‘เอิร์ธฐา อติรุจ’ เมื่ออาชีพหมอถึงจุดสิ้นสุด เพราะการทำงานจริงไม่เหมือนภาพที่วาดฝันไว้

. . . . . . . . .

“ลาที่ดีคือลาออก เสียงคัดค้านอาจบอกว่า เราทำให้หมอหลายคนลาออก แต่ถ้าบ้านน่าอยู่ และระบบดีจริง ๆ ก็ไม่มีใครอยากลาออกหรอก ตอนนี้ผู้คนรับรู้ถึงปัญหา และมีทางเลือกในการใช้ชีวิตมากขึ้น”

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่สร้างความสั่นคลอนให้แก่วงการแพทย์ไทย เมื่อหมอรุ่นใหม่ตัดสินลาออกหลังจากเรียนจบได้ไม่นาน ทั้งยังเกิดการถกเถียงเรื่องภาระการทำงานที่หนักเกินไป จนไร้ Work-Life Balance โดย ‘พี่เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก’ อดีตนักศึกษาแพทย์ที่ปัจจุบันผันตัวมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งไม่เพียงมอบความบันเทิง แต่ยังให้ความรู้ทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และสุขภาพแก่ผู้ชม เขาเป็นหนึ่งในบุคลากรทางการแพทย์ที่ออกมาเป็นกระบอกเสียง เปิดเผยปัญหาของวงการแพทย์ไทยที่ถูกซุกอยู่ใต้พรม และหวังให้ระบบสาธารณสุขนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก

แต่กว่าจะมาเป็น  ‘เอิร์ธฐา’ อย่างทุกวันนี้ จากนักเรียนมัธยมที่ตัดสินใจเรียนต่อคณะแพทย์ สู่หมอจบใหม่ที่ตัดสินใจลาออก ระหว่างเส้นทางการเรียนและการทำงานในสายอาชีพนี้จะเป็นเช่นไร ครั้งนี้ พี่จา SparkD ชวนน้อง ๆ มาหาคำตอบร่วมกันผ่านคำบอกเล่าจากประสบการณ์จริงของผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการแพทย์ แต่ตัดสินใจเดินออกจากบ้านหลังนี้ และสร้างเส้นทางชีวิตใหม่ของตนเอง

พี่เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก
พี่เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก

พี่จา: ทำไม ‘เอิร์ธฐา’ วัย 18 ปี จึงตัดสินใจเรียนคณะแพทย์

“คนเก่งต้องเรียนหมอ ไม่มีตัวเลือกอื่น ไม่รู้ว่าเราเป็นอะไรในประเทศได้บ้าง หมอไม่ใช่ความฝัน ไม่เคยคิดจะเรียนเลย คิดแค่ว่าจะต้องสอบหมอให้ติด แต่ไม่เคยนึกภาพตัวเองเป็นหมอเลย แค่เดินไปตามทางที่สังคมวางไว้”

พี่เอิร์ธฐา: เมื่อสิบปีที่แล้ว อาชีพในประเทศไทยมีแค่ข้าราชการ หมอ ครู และพยาบาล ยิ่งเป็นคนต่างจังหวัดยิ่งมีตัวเลือกไม่มาก รวมถึงค่านิยมสมัยนั้นก็มองว่า ‘คณะแพทย์เป็นคณะที่ดีที่สุด’ นักเรียนมัธยมแย่งกันสอบเข้าหมอ โดยที่ไม่รู้ว่าปลายทางเป็นอย่างไร เพราะการสอบเข้าหมอถือเป็น checklist ความสำเร็จของเด็กหัวกะทิ เราถูกสอนมาว่า หมอคืออาชีพที่เปลี่ยนชีวิต และฐานะทางการเงินของใครหลาย ๆ คน เพราะเงินเดือนเริ่มต้นค่อนข้างสูงกว่าหลายอาชีพ การเรียนหมอจึงเปรียบเหมือนหลักประกันของชีวิต สิ่งเหล่านี้คือสาเหตุที่เลือกเรียนคณะแพทย์

พี่จา: เคยรับรู้ปัญหาต่าง ๆ ในการเรียนแพทย์ก่อนเข้าเรียนคณะแพทย์บ้างมั้ย

พี่เอิร์ธฐา: ไม่เคยรู้มาก่อนว่า หมอใช้ชีวิตอย่างไร เรียนและทำงานอะไรบ้าง รวมถึงปัญหาต่าง ๆ ของวงการแพทย์ ส่วนตัวมองว่า เมื่อเราเรียนดีระดับหนึ่งแล้วสอบติดคณะแพทย์ ทุกอย่างก็คงจะดำเนินต่อไป มัธยมปลายยังเรียนได้ คณะแพทย์คงจะไม่ยากเท่าไร ซึ่งเราเดินตามเส้นทางการศึกษาที่วางไว้มาโดยตลอด แต่เริ่มเจอปัญหาในช่วงปี 4 เพราะจากที่นั่งเรียนเลกเชอร์ตอนปี 1-3 ต้องเปลี่ยนมาตรวจคนไข้ในโรงพยาบาล พร้อมกับเรียนและทำงานส่งอาจารย์ไปด้วย 

พี่เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก
พี่เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก

พี่จา: ทำอะไรตกหล่นระหว่างเส้นทางการเรียนหมอบ้างมั้ย

“ถ้าบอกว่าไม่มีก็คงจะโกหก การเรียนแพทย์ในประเทศไทยพรากอะไรหลายอย่างไปจากชีวิตเรามาก ทั้งเวลา ความสุข และการใช้ชีวิต แต่ในปัจจุบันมีการปรับปรุงหลักสูตรการเรียน เพื่อให้ Work-Life Balance ดีขึ้น โดยเอาวิชาที่ไม่จำเป็นออก เหลือแค่วิชาที่จำเป็น”

พี่เอิร์ธฐา: ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราสูญเสียเวลาในการใช้ชีวิตไประหว่างการเรียนแพทย์ เพราะตอนปี 1-3 ก็เรียนจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่ 08.00-16.00 น. ด้วยความที่เนื้อหาวิชาการเยอะมาก นักศึกษาแพทย์ต้องแบกรับระบบการเรียนแบบนี้ประมาณ 1-3 สามเดือน รวมทั้งจากการตัดเกรดแบบอิงกลุ่มที่ทำให้เกิดการแข่งขันสูงในคณะ บางวิชาตัดเอที่ 90 คะแนน และต้องได้ 65-70 คะแนนจึงจะไม่ติด F ดังนั้น ทุกคนมีความกดดันในตัวเองอยู่ทุก ๆ วัน ทำให้สูญเสียชีวิตวัยรุ่นที่เราควรจะเป็นไปโดยปริยาย กว่าจะเรียนจบ เราใช้เวลา 6 ปี ซึ่งช่วง 18-24 ปี เป็นช่วงอายุที่เรามีเรี่ยวแรงในการใช้ชีวิตมากที่สุด แต่สำหรับนักศึกษาแพทย์ ช่วงเวลานี้กลับหล่นหายไป

พี่เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก
พี่เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก

พี่จา: ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่า ‘แพทย์เรียนหนัก’ มันหนักยังไง

“คณะแพทย์เป็นคณะที่ฝึกความอดทน มีคนเคยบอกไว้ว่า คณะแพทย์ไม่ได้ผลิตแค่หมออย่างเดียว แต่ผลิตคนไข้จิตเวชด้วย”

พี่เอิร์ธฐา: ในปัจจุบัน การเรียนหมอในประเทศไทยค่อนข้างพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แต่ยังคงอยู่ในจุดที่เรียนหนัก ช่วงสามปีแรกเป็นการเรียนเลกเชอร์ ซึ่งบางครั้งเรียนล่วงเวลา เช่น ตารางเรียนเลิก 18.00 น. แต่เลิกจริง 19.00 น. ส่วนช่วงเข้าคลินิกเป็นช่วงที่แตกต่างจากวิชาชีพอื่นอย่างชัดเจน เพราะนักศึกษาแพทย์ต้องทำงานที่โรงพยาบาล และอยู่เวรนอกเวลาราชการ ช่วงปี 4 ทำงานตั้งแต่ 16.00-23.00 น. ทุกอย่างอยู่ในคอร์สการเรียนหมดเลย ซึ่งมัน Beyond ชีวิตนักศึกษาของใครหลาย ๆ คนไปแล้ว ถ้าปี 5 ก็อยู่เวรถึง 00.00 น. 

ช่วงปี 6 ก็จะหนักหน่อย เพราะทำงานทุกวัน ไม่มีวันหยุดเลย รวมถึงต้องสอบ เขียนรายงาน และนำเสนอโปรเจกต์ไปด้วย อยู่เวรถึงเช้าของอีกวัน แล้ววันถัดไปก็ต้องไปเรียนต่อ ทั้งเรียน อยู่เวร ตรวจคนไข้ และอดนอนไปพร้อม ๆ กัน ทำทุกอย่างเหมือนคนทำงานแล้ว ทั้งที่เรายังเป็นนักศึกษาอยู่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนงานเพื่อสังคม หรือ Corporate Social Responsibility (CSR)  เพราะทำงานให้โรงพยาบาลโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน เพื่อแลกกับการเรียนรู้ 

พี่เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก
พี่เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก

พี่จา: จุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัดสินใจลาออกคืออะไร

“การทำงานในโรงพยาบาลชุมชนทำให้เราเห็นภาพตัวเองในอนาคตมากขึ้น ชีวิตหมอมันเป็นแบบนี้เหรอ ทำไมเราต้องมาทนอยู่ในสภาพแบบนี้ด้วย ทำไมคนคนหนึ่งต้องรับผิดชอบอะไรมากขนาดนี้ นี่ใช่ชีวิตแบบที่เราต้องการจริงหรือเปล่า ภาพหมอที่เคยคิดไว้ตอนอายุ 18 ปีไม่ใช่แบบนี้”

พี่เอิร์ธฐา: การประกอบอาชีพหมอเปรียบเหมือนขาข้างหนึ่งก้าวเข้าไปในคุกแล้ว เพราะเมื่อเราเขียนอะไรลงไป มันมีผลกับชีวิตคน ก่อนหน้านี้ เราไม่รู้ว่าจะต้องมารับมือกับอะไรที่เยอะขนาดนี้ สิ่งที่เราเคยรับรู้และสัมผัสในตอนปี 6 เทียบไม่ได้กับตอนที่เราก้าวขามาทำงานเป็นปีแรกเลย จริง ๆ เราวางแผนจะไปเรียนต่อซึ่งได้ทุนเรียบร้อยแล้ว แต่จุดเปลี่ยนของชีวิตคือ เราไม่ได้มีความสุขกับการทำงานที่โรงพยาบาลชุมชนขนาดนั้น เพราะไม่มีสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกเลย การตรวจก็มีข้อจำกัด คอมพิวเตอร์ก็ใช้ไม่ได้ ในทางกลับกัน คนไข้ที่เข้ามาใช้บริการก็มีจำนวนเยอะมาก ประชากร 30,000-40,000 คน แต่มีหมอประจำโรงพยาบาลแค่ 2-3 คน ซึ่งต้องผลัดกันทำงานและอยู่เวรนอกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง

พี่เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก
พี่เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก

ส่วนหนึ่งเพราะเราทำงานในช่วงโควิด-19 ที่เปรียบเหมือนการเป็นหมอในยุคสงครามโลก ห้องสี่เหลี่ยมที่บรรจุเตียงได้แค่ 30 คน แต่กลับมีคนนอนอยู่รวมกัน 40 กว่าคน โรงพยาบาลชุมชนต้องดูแลอะไรหลาย ๆ อย่างเอง ไม่ได้มีการเตรียมพร้อมอะไรให้เราก่อนส่งคนไข้มารักษาเลย เราต้องจัดการทุกอย่างเอง ทำโรงพยาบาลสนาม และดูแลคนไข้ 300-400 คนต่อวัน หมอบางคนเป็นโควิด-19 ก็ต้องมาทำงาน สุดท้ายหมอก็ย้ายออกไปหมดเลย เหลือแค่เราที่เขาไม่อนุมัติให้ย้าย เราบอกเขาว่าถ้าไม่ให้ย้ายก็เอาคนมาเพิ่ม แต่เมื่อหมอเพิ่มขึ้น คนไข้ก็เยอะขึ้นไปด้วย ภาระงานและความรับผิดชอบก็หนักขึ้นเช่นกัน สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาเรื่องบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่ถูกแก้ไขเสียที

ทุกวันนี้ แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป หรือหมอ GP (General Practitioner) เป็นจุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหาร ไม่มีใครอยากเป็น เพราะต้องรับความเสี่ยงและภาระทุกอย่าง ทั้งที่ในประเทศเจริญแล้ว หมอที่ต้องการมากที่สุดคือแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป เพราะเขาต้องการคนที่ตรวจคนไข้ได้มากที่สุด แต่ประเทศไทยไม่ได้มองเช่นนั้น ทุกคนจึงหันไปเรียนแขนงอื่น และทิ้งร้างระบบสาธารณสุข เราจึงรู้สึกว่า ภาระงานก็เยอะเกินไป และยังไม่มีใครเห็นค่าเราอีก Call Out อะไรไปก็ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง

“ลาออกดีกว่า ไม่มีความสุขในการตื่นมาตรวจคนไข้แล้ว ใช้ความคิดในระดับวินาที ตรวจคนไข้เสร็จก็เขียนใบลาออกเลย”

เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก
เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก

พี่จา: ชีวิตหลังลาออกเป็นยังไงบ้าง

พี่เอิร์ธฐา: จากที่เคยทำงานในโรงพยาบาลทุกวัน เมื่อลาออกมาก็ต้องแบกรับความกดดันหลายอย่าง อุปสรรคของเรามีแค่ช่วงเริ่มต้นที่ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ เพราะก่อนหน้านี้เราทำงานด้านความงามควบคู่กับการทำงานใช้ทุนในโรงพยาบาลรัฐอยู่แล้ว เราจึงมี Connection ประมาณหนึ่ง รวมถึงทุกที่ต้องการหมอ เราจึงมีทางเลือกอื่น ๆ หลังจากลาออกอยู่แล้ว นอกจากนี้ เรามองว่า Content Creator เป็นอีกทางเลือกที่น่าจะไปต่อได้ โดยมี Work-Life Balance เมื่อถึงจุดหนึ่งที่การทำคอนเทนต์เริ่มไปได้ดี เราก็หันมาทำด้านนี้เต็มตัว เพราะโอกาสไม่ได้มีสำหรับทุกคน และไม่ได้มาบ่อย ๆ เพราะฉะนั้น ถ้ามีโอกาสเข้ามา ให้คว้าโอกาสไว้ก่อน

พี่จา: การเปลี่ยนคณะที่เรียน หรือลาออกจากงานที่วาดฝันไว้ ถือเป็นความล้มเหลวในชีวิตไหม

พี่เอิร์ธฐา: แล้วแต่คนตีความ อาจมองว่าการไม่มีอาชีพที่เป็นหลักเป็นแหล่งคือความล้มเหลวก็ได้ แต่เป้าหมายชีวิตเราไม่ใช่แบบนั้น เป้าหมายชีวิตของเราคือ การมีความสุขในทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะทำงานในสายอาชีพอะไรก็ตาม ทุกวันนี้ก็มองว่าตนเองประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะมีความสุข และ มี Work-Life Balance ที่ดี

พี่จา: ถ้าลาออกจากโรงพยาบาลรัฐแล้วสามารถทำอาชีพอะไรได้บ้าง

พี่เอิร์ธฐา: แพทย์โรงพยาบาลเอกชน คลินิกความงาม พนักงานออฟฟิศ นักลงทุน ตัวแทนประกันในวงการแพทย์ ที่ปรึกษาบริษัทประกัน หรือเซลล์บริษัทยา ส่วนใหญ่จะเป็นภาคเอกชน เพราะตลาดเอกชนต้องการหมอจำนวนมาก และต้องการตลอดเวลา รวมถึงค่าตอบแทนก็สูงมากเช่นกัน

พี่เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก
พี่เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก

พี่จา: ถ้าย้อนเวลาได้ พี่เอิร์ธจะยังเลือกเรียนคณะแพทย์เหมือนเดิมไหม

พี่เอิร์ธฐา: ถ้าย้อนเวลาได้ก็ยังเลือกเรียนหมอเหมือนเดิม เพราะจริง ๆ ชอบเรียนหมอมาก ชอบที่ได้ใช้ความรู้ และได้ช่วยชีวิตคน การได้เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตคน ซึ่งคือจุดเปลี่ยนที่ว่าเขาจะอยู่หรือจะตาย หรือการทำให้คนที่หัวใจหยุดเต้นกลับมาเต้นอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษมาก เราที่สัมผัสสิ่งเหล่านี้ประมาณ 2 ปี 7 เดือน ยังรู้สึกว่าได้ใช้ความรู้ที่สั่งสมมาอย่างคุ้มค่า ผ่านอะไรมาเยอะมาก รวมถึงได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตจากคนไข้ เห็นเกิดแก่เจ็บตาย ทั้ง ๆ ที่อายุแค่ 27 ปีเอง หากชอบวิชาชีพแพทย์จริง ๆ เรียนแล้วไม่เสียเวลา และจะได้อะไรกลับไปแน่นอน

“ถ้าสภาพแวดล้อมการทำงานดี ค่าตอบแทนเหมาะสม และภาระงานไม่หนักจนเกินไป เราอาจจะยังอยากเป็นหมอต่อไป เพราะอาชีพหมอก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ดี”

พี่เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก
พี่เอิร์ธฐา - อติรุจ อาษาศึก

พี่จา: จากการเรียนและการทำงานที่ไร้ Work-Life Balance รวมถึงปรากฏการณ์หมอเรียนจบแล้วลาออก พี่เอิร์ธอยากบอกอะไรกับน้อง ๆ ที่กำลังตัดสินใจจะเรียนต่อคณะนี้บ้าง

พี่เอิร์ธฐา: เราซื้อเวลาไม่ได้ อย่าเปลี่ยนใจไม่เรียนคณะแพทย์ เพราะเห็นคนอื่นลาออก เพราะในอีก 10 ปีข้างหน้า ระบบสาธารณสุขอาจจะได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นกว่านี้ ดังนั้น อย่าทำอะไรที่เราจะเสียดายในอนาคต ถ้าอยากเรียนก็เรียนเลย ฟังจากคำบอกเล่ามันไม่เห็นภาพ น้อง ๆ ต้องมาเจอเอง บางคนอาจจะชอบความลำบากก็ได้ อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างมีทางออกเสมอ ทางออกของหมออาจจะดีกว่าบางสายชีพ เพราะมีอาชีพอื่นรองรับ และหมอไม่มีวันตกงานในประเทศไทย 

“ถ้าหมอคือความชอบ ความฝัน อยากเป็นก็เป็นเลย เรื่องเล่าก็เป็นแค่เรื่องเล่า เราอายุ 18 ปี เรายังมีแรงมี Passion อย่าปล่อยให้อะไรมาทำลาย Passion ของเรา ทุกอย่างก็มีการพัฒนาให้ดีขึ้นตามกาลเวลา หมอเรียน 6 ปี เพราะฉะนั้นอย่างน้อย 7 ปี กว่าหนูจะได้เจอโลกการทำงานจริง ไม่แน่ตอนนั้นหนูอาจจะชอบก็ได้ หรือระบบอาจจะพัฒนามากขึ้นด้วย”

สุดท้ายนี้ ถ้าใครอยากติดตามงานของ ‘พี่เอิร์ธฐา’ ก็อย่าลืมติดตาม YouTube: AERTHA Channel, TikTok: @aertha33 และ Instragram @aertha กันได้เลยจ้า น้อง ๆ คนไหนที่กำลังค้นหาตัวเอง อยากเรียนในคณะแพทย์ หรือสายวิทย์สุขภาพ ก็ลองนำข้อมูลจากพี่เอิร์ธฐาที่เป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่เราไม่ค่อยจะได้ยินนัก ไปประกอบการตัดสินใจของเราได้เลย สำหรับวันนี้ พี่จา พี่บอนไซ SparkD  และพี่เอิร์ธฐาต้องขอตัวก่อน แล้วพบกันใหม่ใน EP. หน้า สวัสดีจ้า บั๊ยบาย

. . . . . . . . .

 พี่จา SparkD เขียน/สัมภาษณ์
พี่บอนไซ SparkD ถ่ายภาพ
พี่อิ๋ว SparkD กราฟิกดีไซน์
พี่ฟิวส์ พี่แอล SparkD บรรณาธิการ
ขอขอบคุณสถานที่ Walden Home Cafe

22Podcast
22Podcast - Columnist 22Podcast by Dek-D. Time to grow, Time to glow.

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

4 ความคิดเห็น

สื่อศิลป์ 6 ธ.ค. 66 11:25 น. 1

เรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตโดยตรงไม่ว่าคนหรือสัตว์ ทุกประเทศทุกชาติเขาเห็นตรงกัน หลักสูตรการเรียนเลยต้องเพิ่มไปอีกสองปี อินเทิร์นอีกปี(ถ้ายังใช้ทุนคืนไม่หมดต่อให้ได้ใบรับรองอินเทิร์นแล้วก็ยังต้องคงสถานะหมออินเทิร์นไปจนกว่าจะใช้ทุนคืนหมด) เพื่อให้คนไข้อุ่นใจในมาตรฐานหมอว่าไม่ใช่ไก่กากว่าจะมาเป็นหมอเต็มตัวแต่ละคนมันหนักหนาสาสมใจกันจริงๆ


หมอรพ.สมัยก่อนจบมาก็บรรจุข้าราชการออโต้ หมอสมัยนี้จะได้บรรจุข้าราชการก็ต้องรอคนเก่าเกษียณ หมอคนไหนจะได้บรรจุก่อนใครก็ต้องมาวัดกันอีกว่าเส้นคนไหนจะใหญ่กว่า มันไม่แปลกที่หมอรุ่นใหม่ๆจะลาออกกันเยอะ เรียนกันนานแทบจะเน่าตายคาห้องสมุดกว่าจะเป็นหมอเต็มตัวชีวิตก็ยังไม่มั่นคงอีก


จริงๆชีวิตหมอใหม่ ต้องทำงานหนักชนิดเงินเดือนร้อยแต่ต้องทำงานหนักเหมือนเงินเดือนหมื่น แถมต้องเสี่ยงคุก....มันไม่คุ้มเลย แต่ถ้าอดทนผ่านจนเป็นหมอเรสซิเดนท์อีก 2-3ปี หมอคนไหนมาถึงตรงนี้แล้วส่วนใหญ่จะไม่ออกกันแระ เพราะค่าตอบแทนการทำงานของหมอระดับนี้ขึ้นไปหมอส่วนใหญ่ยอมรับกันได้


ถึงตรงนี้ผมอยากจะเสริมให้อีกนิด ถ้าใครอยากจะรวยจากอาชีพหมอ คุณต้องมีฝีมือและชื่อเสียงมากพอ เรื่องพวกนี้มันต้องใช้เวลา เพื่อนผมที่เป็นหมอ เขาเรียนจบมาใช้ทุนคืนหมด เขาไปสมัครเป็นหมออาสาเพื่อหาประสบการณ์เพิ่มต่อ (ตรงนี้เพื่อนผมมันบอกตอนหลังว่าจริงๆแล้วมันอยากไปเที่ยวต่างประเทศเลยอาศัยองค์กรอาสาสหประชาชาติเป็นตัวช่วย) เพื่อนผมทำงานอาสา 4-5ปี จนเข้าตาสถาบันแพทย์ที่นึง เขาให้ทุนเพื่อนผมไปเรียนต่อจนจบเอก


ทีนี้เพื่อนผมได้เที่ยวต่างประเทศสาหัสสมใจเลย555+ ทั้งเรียนทั้งทำงาน10กว่าปีเต็มๆ ได้กลับไทยไม่กี่ครั้ง ผมเพิ่งโทรคุยกันล่าสุดมันบอกคิดถึงประเทศไทยสุดๆ หมดสัญญารอบนี้มันบอกจะกลับไทยไม่ต่อสัญญาแล้ว รพ.เอกชนในไทยเขาให้ค่าตอบแทนเพื่อนผมเดือนนึงห้าหกแสน เพื่อนหมอรุ่นเดียวกันบ่นพึมกุทำงานเอกชนมาสิบกว่าปียังได้ไม่ถึงสามแสนเลย เพื่อนผมสวนแล้วเอ็งมาตกระกำลำบากเอาชีวิตแทบไม่รอดกับกาชาดสิบปีหยั่งกุไหมล่ะ ผมฟังเพื่อนมันเถียงกันล่ะขำกลิ้ง


ประสบการณ์เยอะ มีชื่อเสียง หมอหาเงินได้เยอะมากๆ แต่ก็ต้องแลกกับอายุงานในการหาเงินที่เหลือน้อยลง อาชีพ-ังขาดแคลนมาก ไปที่ไหนใครๆก็ต้องการ ขอเพียงแค่ไม่กลัวลำบากสามารถไปได้ทุกที่ อยากปักหลักทำงานประเทศไหนเขาก็รับ สิทธิพิเศษเฉพาะอาชีพหมอจริงๆเลยนะเนี่ยขอบอก ยิ่งบอกเป็นหมอคนไทยต่างชาติยิ่งชอบหนักไปอีก555+


ก็ฝากไว้เด็กๆเอาไปคิดกันเท่านี้ล่ะครับ

0
กำลังโหลด
สื่อศิลป์ 6 ธ.ค. 66 11:25 น. 2

เรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตโดยตรงไม่ว่าคนหรือสัตว์ ทุกประเทศทุกชาติเขาเห็นตรงกัน หลักสูตรการเรียนเลยต้องเพิ่มไปอีกสองปี อินเทิร์นอีกปี(ถ้ายังใช้ทุนคืนไม่หมดต่อให้ได้ใบรับรองอินเทิร์นแล้วก็ยังต้องคงสถานะหมออินเทิร์นไปจนกว่าจะใช้ทุนคืนหมด) เพื่อให้คนไข้อุ่นใจในมาตรฐานหมอว่าไม่ใช่ไก่กากว่าจะมาเป็นหมอเต็มตัวแต่ละคนมันหนักหนาสาสมใจกันจริงๆ


หมอรพ.สมัยก่อนจบมาก็บรรจุข้าราชการออโต้ หมอสมัยนี้จะได้บรรจุข้าราชการก็ต้องรอคนเก่าเกษียณ หมอคนไหนจะได้บรรจุก่อนใครก็ต้องมาวัดกันอีกว่าเส้นคนไหนจะใหญ่กว่า มันไม่แปลกที่หมอรุ่นใหม่ๆจะลาออกกันเยอะ เรียนกันนานแทบจะเน่าตายคาห้องสมุดกว่าจะเป็นหมอเต็มตัวชีวิตก็ยังไม่มั่นคงอีก


จริงๆชีวิตหมอใหม่ ต้องทำงานหนักชนิดเงินเดือนร้อยแต่ต้องทำงานหนักเหมือนเงินเดือนหมื่น แถมต้องเสี่ยงคุก....มันไม่คุ้มเลย แต่ถ้าอดทนผ่านจนเป็นหมอเรสซิเดนท์อีก 2-3ปี หมอคนไหนมาถึงตรงนี้แล้วส่วนใหญ่จะไม่ออกกันแระ เพราะค่าตอบแทนการทำงานของหมอระดับนี้ขึ้นไปหมอส่วนใหญ่ยอมรับกันได้


ถึงตรงนี้ผมอยากจะเสริมให้อีกนิด ถ้าใครอยากจะรวยจากอาชีพหมอ คุณต้องมีฝีมือและชื่อเสียงมากพอ เรื่องพวกนี้มันต้องใช้เวลา เพื่อนผมที่เป็นหมอ เขาเรียนจบมาใช้ทุนคืนหมด เขาไปสมัครเป็นหมออาสาเพื่อหาประสบการณ์เพิ่มต่อ (ตรงนี้เพื่อนผมมันบอกตอนหลังว่าจริงๆแล้วมันอยากไปเที่ยวต่างประเทศเลยอาศัยองค์กรอาสาสหประชาชาติเป็นตัวช่วย) เพื่อนผมทำงานอาสา 4-5ปี จนเข้าตาสถาบันแพทย์ที่นึง เขาให้ทุนเพื่อนผมไปเรียนต่อจนจบเอก


ทีนี้เพื่อนผมได้เที่ยวต่างประเทศสาหัสสมใจเลย555+ ทั้งเรียนทั้งทำงาน10กว่าปีเต็มๆ ได้กลับไทยไม่กี่ครั้ง ผมเพิ่งโทรคุยกันล่าสุดมันบอกคิดถึงประเทศไทยสุดๆ หมดสัญญารอบนี้มันบอกจะกลับไทยไม่ต่อสัญญาแล้ว รพ.เอกชนในไทยเขาให้ค่าตอบแทนเพื่อนผมเดือนนึงห้าหกแสน เพื่อนหมอรุ่นเดียวกันบ่นพึมกุทำงานเอกชนมาสิบกว่าปียังได้ไม่ถึงสามแสนเลย เพื่อนผมสวนแล้วเอ็งมาตกระกำลำบากเอาชีวิตแทบไม่รอดกับกาชาดสิบปีหยั่งกุไหมล่ะ ผมฟังเพื่อนมันเถียงกันล่ะขำกลิ้ง


ประสบการณ์เยอะ มีชื่อเสียง หมอหาเงินได้เยอะมากๆ แต่ก็ต้องแลกกับอายุงานในการหาเงินที่เหลือน้อยลง อาชีพ-ังขาดแคลนมาก ไปที่ไหนใครๆก็ต้องการ ขอเพียงแค่ไม่กลัวลำบากสามารถไปได้ทุกที่ อยากปักหลักทำงานประเทศไหนเขาก็รับ สิทธิพิเศษเฉพาะอาชีพหมอจริงๆเลยนะเนี่ยขอบอก ยิ่งบอกเป็นหมอคนไทยต่างชาติยิ่งชอบหนักไปอีก555+


ก็ฝากไว้เด็กๆเอาไปคิดกันเท่านี้ล่ะครับ

0
กำลังโหลด
สื่อศิลป์ 6 ธ.ค. 66 11:26 น. 3

เรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตโดยตรงไม่ว่าคนหรือสัตว์ ทุกประเทศทุกชาติเขาเห็นตรงกัน หลักสูตรการเรียนเลยต้องเพิ่มไปอีกสองปี อินเทิร์นอีกปี(ถ้ายังใช้ทุนคืนไม่หมดต่อให้ได้ใบรับรองอินเทิร์นแล้วก็ยังต้องคงสถานะหมออินเทิร์นไปจนกว่าจะใช้ทุนคืนหมด) เพื่อให้คนไข้อุ่นใจในมาตรฐานหมอว่าไม่ใช่ไก่กากว่าจะมาเป็นหมอเต็มตัวแต่ละคนมันหนักหนาสาสมใจกันจริงๆ


หมอรพ.สมัยก่อนจบมาก็บรรจุข้าราชการออโต้ หมอสมัยนี้จะได้บรรจุข้าราชการก็ต้องรอคนเก่าเกษียณ หมอคนไหนจะได้บรรจุก่อนใครก็ต้องมาวัดกันอีกว่าเส้นคนไหนจะใหญ่กว่า มันไม่แปลกที่หมอรุ่นใหม่ๆจะลาออกกันเยอะ เรียนกันนานแทบจะเน่าตายคาห้องสมุดกว่าจะเป็นหมอเต็มตัวชีวิตก็ยังไม่มั่นคงอีก


จริงๆชีวิตหมอใหม่ ต้องทำงานหนักชนิดเงินเดือนร้อยแต่ต้องทำงานหนักเหมือนเงินเดือนหมื่น แถมต้องเสี่ยงคุก....มันไม่คุ้มเลย แต่ถ้าอดทนผ่านจนเป็นหมอเรสซิเดนท์อีก 2-3ปี หมอคนไหนมาถึงตรงนี้แล้วส่วนใหญ่จะไม่ออกกันแระ เพราะค่าตอบแทนการทำงานของหมอระดับนี้ขึ้นไปหมอส่วนใหญ่ยอมรับกันได้


ถึงตรงนี้ผมอยากจะเสริมให้อีกนิด ถ้าใครอยากจะรวยจากอาชีพหมอ คุณต้องมีฝีมือและชื่อเสียงมากพอ เรื่องพวกนี้มันต้องใช้เวลา เพื่อนผมที่เป็นหมอ เขาเรียนจบมาใช้ทุนคืนหมด เขาไปสมัครเป็นหมออาสาเพื่อหาประสบการณ์เพิ่มต่อ (ตรงนี้เพื่อนผมมันบอกตอนหลังว่าจริงๆแล้วมันอยากไปเที่ยวต่างประเทศเลยอาศัยองค์กรอาสาสหประชาชาติเป็นตัวช่วย) เพื่อนผมทำงานอาสา 4-5ปี จนเข้าตาสถาบันแพทย์ที่นึง เขาให้ทุนเพื่อนผมไปเรียนต่อจนจบเอก


ทีนี้เพื่อนผมได้เที่ยวต่างประเทศสาหัสสมใจเลย555+ ทั้งเรียนทั้งทำงาน10กว่าปีเต็มๆ ได้กลับไทยไม่กี่ครั้ง ผมเพิ่งโทรคุยกันล่าสุดมันบอกคิดถึงประเทศไทยสุดๆ หมดสัญญารอบนี้มันบอกจะกลับไทยไม่ต่อสัญญาแล้ว รพ.เอกชนในไทยเขาให้ค่าตอบแทนเพื่อนผมเดือนนึงห้าหกแสน เพื่อนหมอรุ่นเดียวกันบ่นพึมกุทำงานเอกชนมาสิบกว่าปียังได้ไม่ถึงสามแสนเลย เพื่อนผมสวนแล้วเอ็งมาตกระกำลำบากเอาชีวิตแทบไม่รอดกับกาชาดสิบปีหยั่งกุไหมล่ะ ผมฟังเพื่อนมันเถียงกันล่ะขำกลิ้ง


ประสบการณ์เยอะ มีชื่อเสียง หมอหาเงินได้เยอะมากๆ แต่ก็ต้องแลกกับอายุงานในการหาเงินที่เหลือน้อยลง อาชีพ-ังขาดแคลนมาก ไปที่ไหนใครๆก็ต้องการ ขอเพียงแค่ไม่กลัวลำบากสามารถไปได้ทุกที่ อยากปักหลักทำงานประเทศไหนเขาก็รับ สิทธิพิเศษเฉพาะอาชีพหมอจริงๆเลยนะเนี่ยขอบอก ยิ่งบอกเป็นหมอคนไทยต่างชาติยิ่งชอบหนักไปอีก555+


ก็ฝากไว้เด็กๆเอาไปคิดกันเท่านี้ล่ะครับ

0
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด