เคยหมดไฟ หมด Passion ในการทำอะไรซักอย่างในชีวิตไหม?
นุ่นกำลังเรียนอยู่ชั้นม.5 เทอม 2 สายวิทย์-คณิต ที่โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง เธอสอบเข้าเรียนมัธยมปลายที่นี่ เพราะพ่อแม่บอกว่า “ถ้าเข้าโรงเรียนนี้จะเข้าคณะดัง ๆ ได้” นุ่นเลยเข้าสู่ระบบการติวและติว มาตั้งแต่ ม.1 โดยแม่เป็นคนช่วยสมัคร ไปรับไปส่ง ที่บ้านทุ่มไม่อั้นกับเรื่องเรียน ถ้าเรียนตรงไหนไม่เข้าใจแม่จะหาติวเตอร์มาสอนให้เพิ่ม นุ่นเป็นเด็กเก่ง เรียนวิชาอะไรก็ทำได้ดี มีแต่คนชื่นชม
ถึงแม้จะสอบและเรียนได้ดีขนาดนี้ แต่เธอคาใจว่าทำไมไม่มีแพสชั่นในวิชาไหนเลย ทุกวิชาเหมือนกันไปหมด ที่เรียนไปก็แค่การทำตามหน้าที่ของลูกที่ดี รู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้อยากอ่านอยากหาข้อมูลเพิ่มเติมวิชาต่าง ๆ เพราะไม่มีแรงจูงใจ ที่เรียนสายวิทย์เพราะคนรอบข้างบอกว่าเรียนเยอะ ๆ ไว้ก่อน จะได้เลือกเรียนได้หลายคณะ ตั้งแต่เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลาย มีแต่คนเรียนเก่ง เทอมแรกผลการเรียนนุ่นตกลงเหลือ 3.5 ทั้งที่เดิมได้ 4.00 มาตลอด นุ่นแอบรู้สึกช็อคเล็กน้อย แต่ก็แล้วไง… ในเมื่อมีคนเรียนเก่งข้อสอบก็ยาก ได้แค่นี้ก็โอแล้ว แต่กลับกลายเป็นพ่อแม่เองที่เดือดร้อน จัดคอร์สติวเพิ่ม จนตารางชีวิตมีแต่การเรียนทุกวัน
พ่อแม่บอกว่า “ถ้าอยากเข้าคณะแพทย์ ฯ ต้องขยันกว่านี้นะ” นุ่นงงว่าเป้าหมายเข้าโรงเรียนนี้ก็ทำให้แล้ว กลายเป็นเป้าต่อไป คือ คณะแพทย์ฯ อีก เธอไม่ได้อยากเข้าขนาดนั้น แต่ไม่รู้ว่าจะเข้าคณะอะไร เห็นเพื่อนในห้องดูมีไฟ แพสชั่นแรงมากในการเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย นุ่นอิจฉาที่เพื่อนรอบข้างเรียนด้วยความกระตือรือร้น บางคนไปสอบรายการแข่งต่าง ๆ เพื่อทำ portfolio แต่ตัวนุ่นเองเรียนมากจนเอียนไม่ได้ทำกิจกรรมอื่น เพราะหวังสอบเข้า TCAS รอบ 3 ที่ใช้คะแนนสอบ แม้การติวจะทำให้คะแนนดีขึ้นทุกวิชา แต่เธอทำให้มันจบ ๆ ไป พ่อแม่จะได้ไม่ต้องกังวล บางที่นุ่นสับสนกับตัวเองว่าความต้องการที่แท้จริงเรื่องการเรียนและเป้าหมายในชีวิตคืออะไรนะ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยคิดเอง พ่อแม่วางแผนให้ตลอด เมื่อเรียนมาถึงจุดจุดหนึ่งมันหมดแพสชั่น เนือย ๆ อยากนอนอยากเที่ยว ไม่อยากไปโรงเรียน นุ่นสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เย็นวันหนึ่งเธอโดดเรียนพิเศษเพราะไม่มีสมาธิจะเรียน ในหัวมีแต่คำถามที่ไร้คำตอบ
เดินไปผ่านโรงหนังเห็นโปสเตอร์สีสวยเรื่อง inside out 2 เลยซื้อตั๋ว กะดูฆ่าเวลารอแม่มารับ ระหว่างดูนุ่นน้ำตาไหลไม่หยุดแบบงง ๆ มันไม่ได้เศร้า แต่มันอึดอัดใจ เจ็บปวด อยากเป็นแบบนางเอกที่มีแพสชั่น รู้ความต้องการของตัวเอง ตั้งแต่อายุยังน้อย หลังดูจบนุ่นเปรียบเทียบตัวเองว่าเป็นตัว “ennui (เบื่อหน่าย) ” ที่มีแต่ความเบื่อ เนือย ไม่ยินดียินร้าย อยากอยู่เฉย ๆ เงียบ ๆ คนเดียว พลังชีวิตไม่ได้ถูกชาร์จ แบตกำลังจะหมด เพราะขาดแพสชั่น วันรุ่งขึ้นนุ่นปวดหัวมากเลยขอหยุดเรียน แม่บ่นเล็กน้อย แต่เธอไม่สนใจ วันนั้นนุ่นไปหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าจะตามหาแพสชั่นจากไหนแล้วต้องทำอย่างไร เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอ “มีความอยากที่จะทำ” สิ่งนั้นด้วยตัวเอง เธอจดว่าต้องทำอะไรเพิ่มเติมบ้าง
หมดไฟ หมดใจ เพราะต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ
มีคนจำนวนมากที่เรียนและทำงานอย่างไม่มีแพสชั่น แต่ทำไปเพราะเป็นหน้าที่ ไม่ใช่แค่เราที่ต้องเจอกับปัญหานี้ มีงานวิจัยพบว่า 1 ใน 3 ของนักศึกษาเปลี่ยนวิชาหลัก (major) ในการเรียนไปเรียนอย่างอื่นในปีแรกของการเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนการทำงานหลังเรียนจบ ร้อยละ 50 เปลี่ยนงานอย่างน้อย 1 ครั้งใน 5 ปีแรกของการทำงาน
3 เคล็ดลับช่วยกระตุ้นความสนุก เมื่อต้องทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
1. เพิ่มสิ่งที่ชอบ จูงใจให้อยากทำสิ่งที่ไม่ชอบ (Add)
สำหรับคนที่เหนื่อยล้า ใช้พลังชีวิตไปทำในสิ่งที่ไม่ได้อยากทำ ต้องนอนหลับพักผ่อนให้มากเพียงพอ เพราะบางคนนอนดึกจากการทำกิจกรรมที่อยากทำ แต่ไม่ได้ทำระหว่างวัน (Revenge Bedtime Procrastination) เช่น ดูซีรีส์ ไถโซเชียลมีเดีย คุยกับเพื่อน ทำให้นอนน้อย ตอนจะตื่นยิ่งไม่อยากตื่น คำแนะนำนอกจากการหลับชาร์จแบตให้เพียงพอแล้ว คือ การเขียนสิ่งที่อยากทำหลังจากตื่นนอนขึ้นมา 2-3 อย่าง เช่น ฉีดน้ำหอมที่ซื้อมาใหม่ให้ฉ่ำ + กินช็อคโกแลต + อ่านนิยาย 10 นาที เพื่อที่ในตอนเช้าเมื่อนาฬิกาปลุกส่งเสียงดัง พอเราตื่นขึ้นมา แล้วได้ทำในสิ่งที่อยากทำ เป็นการเพิ่มพลังไปทนทำสิ่งต่าง ๆ ระหว่างวันได้
2. ลดงดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิต (subtract)
จัดตารางชีวิตใหม่ ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก จะได้มีเวลาทำสิ่งที่อยากทำเพิ่ม เช่น ไม่เรียนวิชาที่ติวซ้ำซ้อนกัน เลือกเรียนแค่อย่างหนึ่ง แล้วเอาเวลาไปทำโจทย์ ต่อด้วยการแต่งนิยายอัพลงเว็บไซต์ Dek-D
3. ปรับเปลี่ยนความคิด (reframe)
ลองหาเป้าหมายระยะสั้นและยาวจากสิ่งที่ทำอยู่ ปรับเอาทักษะที่เราถนัดและอยากพัฒนาให้ดีขึ้นมาใช้จริง เช่น เราชอบการแต่งนิยาย ผูกเรื่องราว เลยเอามาประยุกต์ใช้กับการสรุปบทเรียนให้เป็นเนื้อหาที่น่าสนใจ
9 ขั้นตอนที่จะสร้างแพสชั่นและมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ
1. นึกถึงตัวเองในอดีต
เด็กส่วนใหญ่มีความฝันอยากทำอาชีพต่าง ๆ แต่เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ บางเรื่องเราหลงลืมไปว่าเรา “เคยชอบ” และเคยทำเป็นงานอดิเรก เช่น วาดรูปแต่งเรื่อง ที่จำได้เพราะไปรื้อค้นกล่องที่เก็บของเล่นตอนเด็ก มีกระดาษและสมุดที่เต็มไปด้วยเรื่องราวแต่งตามจินตนาการจำนวนมาก ลองนำข้อมูลนี้มาไตร่ตรองดูว่าพอจะนำสิ่งที่ชอบมาประยุกต์ใช้กับสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบันได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อที่อย่างน้อยตอนทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ยังมีสิ่งที่ชอบทำเจือปนอยู่ เช่น จดเนื้อหาที่มีรูปภาพประกอบและสร้างเนื้อเรื่องให้จำง่ายมากขึ้น
2. ทำความรู้จักตัวเอง
บางคนใช้ชีวิตตามสูตรสำเร็จรูปที่สังคมคาดหวัง เรียนและทำงานไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีแพสชั่น แต่ทำเพราะเป็นความจำเป็นและหน้าที่ จนลืมที่จะสำรวจใจตัวเองว่าอะไรที่ทำแล้วมีความสุข เช่น เป็นคนที่ชอบเจอผู้คน แต่กลับไปเลือกคณะที่เรียนจบมาทำงานแล็ปเพราะพ่อแม่อยากให้เรียน ทำให้ไม่มีความสุขกับการทำงาน ควรมีการตั้งคำถามกับตัวเองว่าชีวิตเราให้คุณค่ากับอะไรมากที่สุด (core values) เราอยากเติบโตเป็นคนที่มีบุคลิกลักษณะอย่างไร (personality traits) หากเราให้เวลากับตัวเองคิดถึงเรื่องเหล่านี้ การหาแพสชั่นจะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น
3. ปรับ mindset เพื่อค้นหาแพสชั่น
เมื่อเราทำสิ่งที่คิดว่าเป็นแพสชั่น แล้วต้องเจอกับปัญหาอุปสรรค บางคนล้มเลิกไปและไปทำสิ่งอื่น เพราะคิดว่า “หากเรามีแพสชั่น ทุกอย่างมันต้องง่ายสิ” แต่ในความเป็นจริงแล้วต่อให้เรามีแพสชั่นที่จะทำสิ่งหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ต้องเจอกับปัญหาไม่มากก็น้อย ดังนั้นหากเราเลือกที่จะทำตามแพสชั่น เราต้องทำใจและมีความอดทนมากพอที่จะพยายามก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ ไปให้ได้ แต่หากเราทำเต็มที่แล้วเสียงในใจลึก ๆ บอกเราว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไม่ใช่แล้วล่ะ เรามีสิทธิที่จะเปลี่ยนใจไปทำอย่างอื่นได้ ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด เช่น เราเรียนวิทย์-คณิต เพื่อสอบเข้าคณะแพทย์ฯ เพราะเห็นเพื่อนอยากเข้ากัน แต่พอเข้าคณะนี้ได้ เราอยากเรียนอักษรศาสตร์มากกว่า การที่จะซิ่วย้ายคณะไม่ใช่เรื่องผิดบาปแต่อย่างใด ดีซะอีกที่ไม่ต้องเสียเวลาเรียนกับสิ่งที่ไม่ใช่แพสชั่น ยิ่งค้นพบตัวเองเร็วยิ่งดี
4. หาคนที่จะเป็นแรงบันดาลใจ
ลองมองหาคนรอบตัวที่เรากรี๊ด ชื่นชม หรือคนที่มีชื่อเสียงเอามาเป็นแรงบันดาลใจ ให้เราทำตามแพสชั่น แม้ว่าจะเจอปัญหาอุปสรรค เราจะพยายามทำตามเป้าหมายได้ หากเราอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อทำสิ่งที่เป็นแพสชั่น มีตัวช่วยหลายอย่างที่จะให้ข้อมูลกับเรา เช่น การพูดคุยกับคนที่ทำอาชีพนั้น (career mentors) อ่านประวัติคนที่เราชื่นชม (role models) คุยกับคนในครอบครัวและคนที่สนิทเพราะเขาจะบอกได้ว่าเราเป็นอย่างไรในมุมมองของเขา
5. คุยกับคนที่ทำงานตรงตามแพสชั่นของเรา
หากมีโอกาสควรคุยกับคนที่ทำอาชีพหรือสิ่งที่เป็นแพสชั่น เพราะบางครั้งข้อมูลที่เราคิดว่าน่าจะเป็น ในความเป็นจริงอาจไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้ เช่น เราคิดว่าอยากเข้าคณะแพทย์ฯ เพราะคนรอบตัวบอกว่าเราเหมาะกับสิ่งนี้ แต่เมื่อเราคุยกับนักศึกษาแพทย์ แพทย์เฉพาะทาง หนทางการเรียนไม่ได้เหมาะกับไลฟสไตล์ที่เราเป็นหรือแพสชั่นที่เรามี อย่างการที่ต้องอ่านหนังสือตลอดเวลา นอนดึก งานหนัก แต่เราเป็นคนที่ต้องนอน 8 ชั่วโมงขึ้นไป ไม่อย่างนั้นอาการภูมิแพ้จะกำเริบ และเราชอบอ่านหนังสือนิยายมากเพราะอยากเขียนหนังสือขาย หากเรียนแพทย์ เราอาจจะป่วย ไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ เราลองถอยออกมาแล้วไปคุยกับนักเขียนหรือคนในวงการหนังสือหาข้อมูลเพิ่มดูว่าสิ่งที่เราคิดมันเหมือนกับความเป็นจริงที่เป็นมั้ย
6. กล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ ๆ
เมื่อเรารู้สิ่งที่น่าจะเป็นแพสชั่นของเราแล้ว ให้ศึกษาเพิ่ม เปิดประสบการณ์ ทดลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำดู เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าเราชอบสิ่งนั้นจริงๆ หรือไม่ได้ชอบขนาดนั้น เช่น สนใจจะเป็นนักเขียนก็ลองไปสมัครคอร์สการฝึกเขียน เขียนบทความลงโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่าง ๆ แล้วดูปฏิกิริยาฟีดแบคคนอ่านว่าเป็นอย่างไร โลกสมัยนี้เปิดโอกาสมากมายในการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็น online หรือ onsite ดังนั้นอย่าปิดกั้นตัวเอง เช่น กังวลว่าจะทำสิ่งที่คิดว่าเป็นแพสชั่นได้ไม่ดี แล้วเดี๋ยวจะหมดไฟ เลยเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย อันนี้เป็นการตัดทางเลือกตัวเอง
7. วางแผนที่จะไปทำตามแพสชั่น
กำหนดเป้าหมายที่มีความชัดเจนและขั้นตอนที่จะนำไปสู่เป้าหมายนั้น คาดเดาอุปสรรคที่อาจจะเกิดและวิธีแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อย่าลืมมองหาตัวช่วยที่จะเป็นกำลังใจและที่ปรึกษาให้เราได้
8. เอาชนะความกลัว
เป็นเรื่องปกติที่เมื่อเราต้องทำสิ่งใหม่ ๆ เราขาดความมั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จตามที่คาดหวังไว้ ทำให้เราเกิดความกังวลกลัว สิ่งที่จะช่วยได้ คือ การมีที่ปรึกษาทั้งสิ่งที่เรากำลังเผชิญและที่ปรึกษาทางใจ เช่น คุยเรื่องการเรียนกับครูแนะแนวและปรึกษาเรื่องการจัดการความเครียดกับนักจิตวิทยา
9. มีความอดทนและให้อภัยตัวเองสำหรับความเฟลระหว่างการตามหาแพสชั่น
สิ่งที่คิดว่าเป็นแพสชั่น หากเราอดทนทำแล้วระหว่างทางคำตอบมันไม่ใช่อย่างที่คิด ให้อภัยและให้โอกาสตัวเอง เช่น ตอนแรกอยากเรียนแพทย์ ติวและอ่านหนังสืออย่างหนักหน่วง แต่พอไปร่วมกิจกรรม open house รู้สึกอึดอัดมาก ไม่ใช่ตัวเอง เลยตัดคณะแพทย์ฯ ออกจากตัวเลือก บางคนอาจจะลังเลเสียดายว่าทุ่มเงินและเสียเวลาขนาดนี้เพื่อเส้นทางการเป็นแพทย์ ถ้าจะมายกเลิกง่าย ๆ มันผิดบาปมั้ย!? ตอบให้เลยว่าไม่ผิด เพราะความสำเร็จของคนเราไม่ใช่ทำแค่ครั้งเดียวแล้วมันจะได้เลย ต้องมีการลองผิดลองถูก หากเส้นทางไหนลองแล้วมันไม่ใช่ อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่ ให้ไปทางอื่นแทน แต่ถ้าเราไม่ลองทำเราก็ได้แต่คาดเดาผลลัพธ์ซึ่งอาจทำให้เราหลงเส้นทางไปไกล
หลังจากที่ได้อ่านข้อมูลทั้งหมดมา นุ่นพลิกกระดาษสมัยเด็กที่เขียนทั้งเรียงความ เรื่องสั้น นิยาย อ่านแล้วโคตรรู้สึกดี หลับตานึกถึงภาพความสุขที่ได้ทำในตอนนั้น จนได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า “บางทีเราอาจจะอยากเรียนอักษรศาสตร์ เพราะเราชอบเรื่องการเขียน” นุ่นมีแพสชั่นขึ้นมา รีบแชต นัดคุยกับรุ่นพี่ที่เรียนคณะนี้เพื่อให้ช่วยพาทัวร์เปิดโลก ส่วนการเรียนพิเศษจะพยายามจัดตารางเรียนเท่าที่จำเป็น (ไม่ได้เททั้งหมดทิ้ง เผื่อว่าจะกลับใจมาสอบเข้าคณะแพทย์ฯ) เวลาว่างจะไปทดลองลงคอร์สนักเขียนรุ่นเยาว์ และไปสัมภาษณ์นักเขียนที่นุ่นชื่นชอบ จะได้ข้อมูลหลายมุมมองมาประกอบการพิจารณาเลือกคณะที่จะสอบเข้า ถ้าพ่อแม่ไม่เห็นด้วยกับแผนนี้ก็ไม่เป็นไร นุ่นยอมถูกบ่นด่า แต่อย่างน้อยเธอจะได้ทำสิ่งที่อยากทำ ออกมาจากคอมฟอร์ทโซนของตัวเองไปทำตามแพสชั่น
Referencehttps://medium.com/swlh/youre-not-lazy-distracted-or-tired-you-lack-passion-7cb9a0d40a63https://paulwilliamdavis.com/what-can-i-do-if-i-have-no-passion/https://ignitepeakperformance.com/general/what-to-do-if-you-have-no-passion/น้อง ๆ ลองสำรวจใจว่า แพสชั่น ความต้องการที่แท้จริงของเราคืออะไร แล้วมาเล่าให้พี่หมอแมวน้ำฟังหรือปรึกษากันได้นะคะ
1 ความคิดเห็น
ขอบคุณครับ