สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D เชื่อว่าทุกคนเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘เงินบาทแข็งค่า’ หรือ ‘เงินบาทอ่อนค่า’ ในข่าวเศรษฐกิจกันมาบ้าง ส่วนใครที่เป็นสายเที่ยว หรือช้อปปิ้งในต่างประเทศก็คงจะคุ้นเคยกับการแลกเปลี่ยนสกุลเงินกันเป็นอย่างดี วันนี้ คอลัมน์ ‘รู้ไว้เผื่อออกสอบ’ จะพาไปทำความรู้จักกับ ‘ค่าเงิน’ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลต่อเศรษฐกิจและการลงทุน มาดูไปพร้อมกันว่า ปัจจัยอะไรที่ส่งผลให้ค่าเงินมีการเปลี่ยนแปลง พร้อมทริคจำ และแบบฝึกหัดท้ายบทความ!
สกุลเงินคืออะไร?
สกุลเงิน หมายถึง ชื่อเรียกเงินตราที่มีใช้ในแต่ละประเทศ สกุลเงินจะเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศหรือกลุ่มประเทศ โดยการแลกเปลี่ยนเงิน การซื้อของหรือบริการระหว่างประเทศที่ใช้สกุลเงินต่างกันจะใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินเป็นเกณฑ์ในการอ้างอิง
Note : โดยทั่วไปสกุลเงินจะมีหน่วยสกุลเงินย่อย ส่วนมากจะเป็นอัตราส่วน 1/100 ของสกุลเงินหลัก เช่น 100 สตางค์ = 1 บาท หรือ 100 เซนต์ = 1 ดอลลาร์ แต่บางสกุลเงินจะไม่มีหน่วยย่อย เช่น สกุลเงินเยน (¥) ทั้งนี้ หลายๆ ประเทศยกเลิกการใช้สกุลเงินย่อยไป เนื่องจากเงินเฟ้อ
ค่าเงินแข็ง - ค่าเงินอ่อน คืออะไร?
ก่อนอื่นน้องๆ ต้องเข้าใจก่อนว่า ถ้าทุกประเทศใช้สกุลเงินเดียวกันทั้งโลก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ หรือบาท ก็จะไม่มีกลไกการเปลี่ยนแปลงการแข็งค่าหรืออ่อนค่าของเงินเกิดขึ้น แต่เนื่องจากประเทศต่างๆ มีการทำมาค้าขายระหว่างกัน และแต่ละประเทศก็ใช้เงินคนละสกุล จึงต้องมีการปรับสกุลเงินของตัวเองให้อยู่ในสกุลที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้
เช่น ผู้ประกอบการในไทยส่วนใหญ่จะใช้สกุลดอลลาร์สหรัฐเป็นตัวกลางในการค้าขายกับต่างชาติ ดังนั้น ในการขายสินค้าจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนราคาขายจากสกุล “บาท” ไปเป็นสกุล “ดอลลาร์” เพื่อให้พูดคุยต่อรองค้าขายกันได้
ซึ่งอัตราที่เอาไว้ปรับมูลค่าสกุลเงิน เรียกว่า “อัตราแลกเปลี่ยน” เป็นอัตราส่วนที่เป็นการเปรียบเทียบค่าเงินของสกุลหนึ่งเทียบกับอีกสกุลหนึ่ง เพื่อใช้ในการแปลงสกุลเงินนั่นเอง เพราะฉะนั้นเวลาที่เราได้ยินว่า เงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่านั้น ต้องดูว่า “เทียบกับเงินสกุลอะไร?” เช่น เงินบาทอ่อนค่า เมื่อเทียบกับเงินยูโร เป็นต้น มาดูไปพร้อมกันว่าค่าเงินแข็งตัวและค่าเงินอ่อนตัว เป็นอย่างไร
ค่าเงินแข็ง คือ มูลค่าของสกุลเงินหนึ่งแพงขึ้นเมื่อเทียบกับอีกสกุลหนึ่ง
ตัวอย่างค่าเงินแข็ง : จากเดิมเงิน 35 บาท แลกได้ 1 ดอลลาร์สหรัฐ แต่วันนี้เงิน 34 บาท แลกได้ 1 ดอลลาร์ ดังนั้น เงินบาทจึงแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ส่วนเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท
ค่าเงินอ่อน คือ มูลค่าของเงินสกุลหนึ่งมีค่าน้อยลงกว่าเดิมเมื่อเทียบกับเงินอีกสกุลหนึ่ง
ตัวอย่างค่าเงินอ่อน : จากเดิมเงิน 35 บาท แลกได้ 1 ดอลลาร์สหรัฐ แต่วันนี้เงิน 36 บาท แลกได้ 1 ดอลลาร์ ดังนั้น เงินบาทจึงอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ส่วนเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินบาท
ทริคจำ
เงินบาทแข็งค่า = เงินเราแพงขึ้น เงินเขาถูกลง
เงินบาทอ่อนค่า = เงินเราถูกลง เงินเขาแพงขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินแข็งตัว หรืออ่อนตัว
เงินแต่ละสกุลมีลักษณะเหมือนสินค้าที่ราคาขึ้นลงตามกลไกตลาด ถ้าความต้องการมาก เงินสกุลนั้นก็จะแข็งค่าเป็นพิเศษ แต่ในทางกลับกันถ้าเงินสกุลไหนไม่เป็นที่ต้องการ ก็จะทำให้เงินอ่อนค่าได้ ด้วยเหตุนี้เองทำให้ค่าเงินของแต่ละประเทศสามารถแข็งค่าหรืออ่อนค่าได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ตัวอย่างเช่น กรณีเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หากมีความต้องการซื้อเงินบาทมากขึ้น โดยเอาเงินดอลลาร์สหรัฐมาขาย เงินบาทก็จะแพงขึ้น (แข็งค่าขึ้น) ในทางกลับกันหากมีความต้องการซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐมากขึ้น โดยเอาเงินบาทมาขาย เงินบาทก็จะถูกลง (อ่อนค่าลง)
โดยจะมีปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบทำให้ความต้องการของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป ดังนี้
1. อัตราดอกเบี้ย
การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยมักทำให้ค่าเงินแข็งตัว เนื่องจากดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและเพิ่มความต้องการสกุลเงิน เพราะได้ผลตอบแทนดีขึ้น ในขณะที่การลดลงของอัตราดอกเบี้ยมักทำให้ค่าเงินอ่อนตัว เนื่องจากลดความน่าสนใจในการลงทุน และเพิ่มความต้องการขายเงินตราในระบบเศรษฐกิจ เพราะได้ผลตอบแทนน้อยลง
2. ดุลการค้าและการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ เช่น ถ้าประเทศไทยส่งออกสินค้ามากกว่านำเข้า (เกินดุลการค้า) ไทยก็จะมีเงินต่างประเทศมากขึ้น และเงินจากต่างประเทศก็จะถูกแลกเป็นเงินบาท ทำให้ความต้องการเงินบาทมากขึ้น ดังนั้นหากเกินดุลการค้าเงินก็จะแข็งค่า
ในทางกลับกันถ้าไทยนำเข้าสินค้ามากกว่าส่งออก (ขาดดุลการค้า) ต้องใช้เงินชำระค่าสินค้านำเข้า เงินบาทก็จะถูกแลกเป็นเงินต่างประเทศ ทำให้ความต้องการเงินบาทลดลง ดังนั้นเมื่อขาดดุลการค้า เงินก็จะอ่อนค่าลง
รวมทั้งการเคลื่อนย้ายเงินทุน เมื่อมีเงินทุนเข้ามาในประเทศมาก จะทำให้ค่าเงินแข็งขึ้นเนื่องจากความต้องการสกุลเงินของประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่การเคลื่อนย้ายเงินทุนออกนอกประเทศมากจะทำให้ค่าเงินอ่อนลงเนื่องจากความต้องการสกุลเงินลดลง
3. นโยบานการเงินของธนาคารกลาง
ธนาคารกลางมีหน้าที่ควบคุมปริมาณเงินให้เหมาะสมกับปัจจัยทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ด้วยเครื่องมือ 2 อย่าง ประกอบด้วย
1) อัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่อง (Required Reserve Ratio) คือ อัตราส่วนเงินฝากขั้นต่ำที่ธนาคารพาณิชย์ต้องกันไว้เป็นเงินสำรอง
เช่น ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นควรว่าต้องลดปริมาณเงินบาทในระบบ ก็จะเพิ่มสัดส่วนเงินสำรองขั้นต่ำ ทำให้เงินแข็งค่า ในทางตรงกันข้ามถ้าลดสัดส่วนเงินสำรองขั้นต่ำ ปริมาณเงินบาทในระบบก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้เงินอ่อนค่า
2) การซื้อขายเงินบาทผ่านตลาดการเงิน ธนาคารกลางสามารถเพิ่มหรือลดปริมาณเงินในระบบได้ด้วยการซื้อขายเงินผ่านตลาดการเงิน
เช่น ในประเทศไทยหากต้องการลดปริมาณเงินบาทในระบบก็จะนำสกุลเงินต่างประเทศในคลังไปแลกเป็นเงินบาท (ซื้อเงินบาทด้วยเงินต่างชาติ) ปริมาณเงินบาทในระบบก็จะลดลง เงินบาทจะแข็งค่า แต่ถ้าต้องการเพิ่มเงินบาทในระบบก็จะนำเงินบาทในคลังไปแลกเป็นสกุลเงินต่างประเทศ (ขายเงินบาทแลกกับสกุลเงินต่างชาติ) ปริมาณเงินบาทในระบบก็จะเพิ่มขึ้น เงินบาทจะอ่อนค่า
4. เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเติบโตสูงและมีเสถียรภาพส่งผลให้ค่าเงินแข็งขึ้น เนื่องจากดึงดูดการลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการเกินดุลการค้าและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ในทางกลับกันถ้าเศรษฐกิจที่อ่อนแอถดถอย การขาดดุลการค้า และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหรือการเมือง มักส่งผลให้ค่าเงินอ่อนลง เพราะนักลงทุนอาจสูญเสียความเชื่อมั่นและย้ายเงินทุนออกจากประเทศ
ค่าเงินแข็ง – ค่าเงินอ่อน ใครได้ ใครเสีย?
ค่าเงินในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงค่าเงินบาทเท่านั้น แต่การแข็งค่า หรืออ่อนค่าในทุกสกุลเงิน ย่อมมีผลกระทบต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มากก็น้อย เรามาดูกันว่าผลกระทบจากทั้งการแข็งค่า และอ่อนค่าของสกุลเงินมีอะไรบ้าง?
“ผู้ได้ผลประโยชน์” จากค่าเงินแข็ง
- ผู้นำเข้าและนักลงทุน เพราะสามารถนำสินค้า เช่น เครื่องจักร วัตถุดิบ อุปกรณ์ต่างๆ จากต่างประเทศได้ในต้นทุนที่ถูกลง
- ผู้ที่มีหนี้ต่างประเทศ เพราะทำให้มูลค่าของหนี้ลดลง เมื่อเทียบกับเงินในประเทศ ทำให้สามารถจ่ายหนี้ด้วยค่าเงินที่ต่ำลง
- ผู้ที่ไปศึกษาต่อ หรือไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะค่าใช้จ่ายจะน้อยลง
- ประชาชนทั่วไป ที่ต้องการซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ สามารถซื้อได้ในราคาถูกลง
“ผู้ที่เสียผลประโยชน์” จากค่าเงินแข็ง
- ผู้ส่งออก แม้ส่งออกของเท่าเดิม และจ่ายเงินเป็นสกุลเงินต่างประเทศเท่าเดิม แต่เมื่อนำรายได้มาแลกเป็นเงินในประเทศจะได้น้อยลง
- ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวรับแลกสกุลเงินต่างประเทศ เพราะสามารถแลกเป็นเงินในประเทศได้น้อยลง
- ผู้ที่ทำงานในต่างประเทศ เพราะรายได้ที่หามาได้จากต่างประเทศ เมื่อโอนกลับหรือแลกเป็นสกุลเงินในประเทศลจะได้น้อยลง
“ผู้ได้ผลประโยชน์” จากค่าเงินอ่อน
- ผู้ส่งออก เพราะสามารถนำรายได้จากการขายสินค้ามาแลกเป็นเงินในประเทศได้สูงขึ้น
- ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวรับแลกสกุลเงินต่างประเทศ เพราะสามารถนำมาแลกเป็นเงินในประเทศได้สูงขึ้นเช่นกัน
- ผู้ที่ทำงานในต่างประเทศ เพราะรายได้ที่หามาได้จากต่างประเทศ เมื่อโอนกลับหรือแลกเป็นเงินในประเทศจะได้มูลค่าสูงขึ้น
“ผู้ที่เสียผลประโยชน์” จากค่าเงินอ่อน
- ผู้นำเข้าและนักลงทุน เพราะจะทำให้ต้นทุนการซื้อสินค้า เช่น เครื่องจักร วัตถุดิบ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ จากต่างประเทศมีต้นทุนสูงขึ้น
- ผู้ที่มีหนี้ต่างประเทศ เพราะต้องจ่ายหนี้ด้วยเงินซึ่งเป็นสกุลเงินในประเทศมากขึ้น
- ผู้ที่ไปศึกษาต่อ หรือไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะจะมีค่าใช้จ่ายที่แพงขึ้น
- ประชาชนทั่วไป ที่ต้องการซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ ต้องใช้เงินมากขึ้นในการนำไปแลกเป็นเงินต่างประเทศเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการ
เกร็ดความรู้ส่งท้าย
อัตราแลกเปลี่ยนยอดฮิต โดยส่วนใหญ่มักเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะเป็นสกุลเงินหลักของโลก เช่น
- EUR : USD เงินยูโรเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เช่น 1 EUR = 1.084 USD
- USD : JPY เงินดอลลาร์สหรัฐฯเทียบเงินเยน เช่น 1 USD = 152.9 JPY
- GBP : USD เงินปอนด์เทียบเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เช่น 1 GBP = 1.299 USD
- USD : THB เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับเงินบาท เช่น 1 USD = 33.68 THB
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนกลางของตลาด ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2567
‘สกุลเงิน’ ที่ควรรู้ ก่อนแลกเงินไปเที่ยวต่างประเทศ
| ประเทศ | สกุลเงิน | รหัสสกุลเงิน | สัญลักษณ์ |
| กัมพูชา | เรียล | KHR | ៛ |
| เกาหลีใต้ | วอน | KRW | ₩ |
| แคนาดา | ดอลลาร์แคนาดา | CAD | C$ |
| จีน | หยวน | CNY | ¥ |
| ญี่ปุ่น | เยน | JPY | ¥ |
| เดนมาร์ก | โครเนอ | DKK | kr |
| นิวซีแลนด์ | ดอลลาร์นิวซีแลนด์ | NZD | NZ$ |
| ฝรั่งเศส | ยูโร | EUR | € |
| พม่า | จัต | MMK | K |
| ฟิลิปปินส์ | เปโซ | PHP | ₱ |
| มาเลเซีย | ริงกิต | MYR | RM |
| ลาว | กีบ | LAK | ₭ |
| เวียดนาม | ดอง | VND | ₫ |
| สหรัฐอเมริกา | ดอลลาร์สหรัฐ | USD | $ |
| สิงคโปร์ | ดอลลาร์สิงคโปร์ | SGD | S$ |
| อังกฤษ | ปอนด์ | GBP | £ |
| ออสเตรเลีย | ดอลลาร์ออสเตรเลีย | AUD | AU$ |
| อินโดนีเซีย | รูเปียห์ | IDR | Rp |
| อินเดีย | รูปี | INR | ₹ |
| ฮ่องกง | ดอลลาร์ฮ่องกง | HKD | HK$ |
มาทดสอบความรู้กัน!
ทำความเข้าใจเรื่องค่าเงิน และรู้ทริคการจำเงินแข็งค่า-เงินอ่อนค่ากันไปแล้ว มาลองทดสอบกันดีกว่าค่ะว่า น้องๆ เข้าใจเรื่อง ค่าเงิน กันมากน้อยแค่ไหน ถ้าพร้อมแล้วลุยเลย!
ถ้าประเทศไทยมีผลการดำเนินเศรษฐกิจที่เกินดุลการค้ามาก และมีความเชื่อมั่นจากต่างประเทศค่อนข้างสูง ในเรื่องการลงทุนและการท่องเที่ยวแสดงว่ากำลังจะเกิดเหตุการณ์ใดต่อไปนี้ (แนวข้อสอบสังคมศึกษา)
1. เงินบาทลอยตัว
2. เงินบาทแข็งค่าขึ้น
3. เงินบาทอ่อนค่าลง
4. เงินบาทคงที่อย่างมีเสถียรภาพ
5. เงินบาทแข็งค่าขึ้น และเงินบาทคงที่อย่างมีเสถียรภาพ
น้องๆ คิดว่าคำตอบข้อไหนถูกต้อง? พิมพ์มาในคอมเมนต์ด้านล่างได้เลย!
สำหรับคอลัมน์ ‘รู้ไว้เผื่อออกสอบ’ วิชาสังคมศึกษาฯ บทความต่อไปจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ฝากติดตามกันด้วยนะคะ หรือถ้าน้องๆ มีเรื่องราวน่าสนใจเรื่องไหน ที่อยากให้นำมาเล่า หรือแจกทริคการจำ ก็สามารถคอมเมนต์เอาไว้ด้านล่างได้เลย!
ข้อมูลจาก : https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/bot-magazine/256601131vocabstoryfx.html
0 ความคิดเห็น