มัมหมีจะปกป้องลูกคนนี้เอง
ติดกระดุมเสื้อให้น้องเดี๋ยวนี้ ไม้เรียวอยู่ไหน
น้องยังเร้กอยู่มากกกกกก
มัมหมีหลายๆ คนต้องเคยใช้ประโยคเหล่านี้กับศิลปินที่เราเลือกให้เป็น 'โพลูก' ลูกที่เรามองเป็นเด็กตัวเล็กๆ มี Position เป็นเหมือนลูกน้อย ถึงแม้ว่าศิลปินคนนั้นจะอายุเยอะกว่า หรือจะสูงกว่าเราก็ตาม
นอกจาก 'โพลูก' แล้ว การชื่นชอบศิลปินยังมีอีกหลายโพ ซึ่งคำว่า "โพ" ย่อมาจาก "Position" หมายถึง ตำแหน่ง ฐานะ ที่แฟนคลับมองศิลปินที่เรารักอยู่ใน 'สถานะ' ไหน เช่น โพแฟน โพแดดดี๊ โพพี่ โพน้อง เป็นต้น
จริง ๆ แล้วความรักที่มีให้ศิลปินไม่ใช่เรื่องผิดเลย เรารักและสนับสนุนเขาเท่าที่แฟนคลับคนนึงจะทำได้ อยากให้เขาประสบความสำเร็จ มีคนค้นพบเยอะๆ อยากส่งเขาไปจนสุดทาง
แต่ในบางครั้ง ความรักในรูปแบบที่กล่าวมา ก็เปรียบเสมือนการตีตรา หรือจำกัดให้ศิลปินอยู่ในจุดจุดหนึ่ง ในกรอบที่เราวางเอาไว้ ในรูปแบบที่เราคาดหวังว่า เขาจะต้องเป็นเด็ก ตัวเล็ก ยังจิ๋วหลิว เป็นน้องน้อยพิกกี้บูบูตลอดไป
ความคาดหวังนี้ ก็อาจจะไปกดดันให้ศิลปินไม่สามารถแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงได้ เป็นตัวของตัวเองไม่ได้เต็มที่ แล้วเมื่อใดที่เขาเติบโตขึ้น เขาก็อาจจะไม่ได้เป็นไปตามทีเราคาดหวัง
บางคนก็รับได้ แต่ก็มีบางคนที่ยังติดภาพจำ และการคาดหวังให้เขาเป็นแบบที่เราต้องการ และการกระทำเหล่านี้อาจนำไปสู่การเหยียดเพศ โดยที่เราไม่รู้ตัวได้
มาถึงตรงนี้หลาย ๆ คนคงสงสัยว่า มันคือการเหยียดเพศยังไงนะ? เราไม่ได้ไปต่อต้านหรือเกลียดชังเขาซักหน่อย
สิ่งนี้มีชื่อเรียกว่า Benevolent Sexism
Benevolent Sexism หมายถึง ทัศนคติที่มองว่าผู้หญิงเป็นกลุ่มที่อ่อนแอกว่า ไร้ความสามารถต้องการการปกป้อง หรือการช่วยเหลือ และดูแลจากผู้ชาย เช่น การเชื่อว่าผู้หญิงเป็นสิ่งมีค่าที่ควรได้รับการดูแลจากผู้ชาย การมองว่าผู้หญิงมีบทบาทเฉพาะในฐานะภรรยาและแม่ หรือเชื่อว่าผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชายและต้องได้รับการปกป้อง
หรือแม้แต่การทรีตผู้หญิงอ่อนแอกว่า ผู้หญิงต้องการความช่วยเหลือ ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ แม้ว่าจะบรรลุนิติภาวะแล้วก็ตาม
แม้ว่า Benevolent Sexism จะไม่ได้แสดงออกมาในรูปแบบที่รุนแรงหรือก้าวร้าวเหมือนกับ Hostile Sexism (ซึ่งแสดงความเกลียดชังหรือการดูถูกผู้หญิงอย่างเปิดเผย แบบที่เราเข้าใจและเคยเห็น ๆ กันมา) แต่ทัศนคตินี้ยังคงสามารถมีผลกระทบต่อความเสมอภาคทางเพศได้ ในลักษณะที่เป็นการจำกัดเสรีภาพของผู้หญิง และไม่ยอมให้พวกเธอมีโอกาสในการพัฒนาและบรรลุศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่
ทัศนคติเหล่านี้ถูกส่งผ่านมาอย่างต่อเนื่อง จนเรามองว่า มันอาจจะเป็นเรื่องปกติ ที่จะมีมุมมองนี้ต่อบุคคลที่มีความ Feminine หมายถึงความเป็นผู้หญิง บอบบาง น่าทะนุถนอม มีความสวยงาม เป็นต้น ซึ่งอาจจะรวมไปถึงโพลูก คนที่เรามองว่าเขามีความเป็น Feminine แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเพศกำเนิดเป็นผู้หญิง
Benevolent Sexism มักจะถูกมองว่าเป็นการแสดงออกถึงความเมตตาหรือความห่วงใยจากผู้ชายต่อผู้หญิง เช่น การมองว่าผู้หญิงควรได้รับการดูแลหรือได้รับการช่วยเหลือในสถานการณ์ต่างๆ หรือการมองว่าผู้หญิงไม่ควรต้องทำงานหนักหรือทำงานที่เสี่ยงอันตราย ซึ่งทัศนคติเหล่านี้อาจดูเหมือนดีและมีเจตนาดี แต่ในความเป็นจริงอาจจะทำให้ผู้หญิงถูกจำกัดบทบาทและสิทธิในการเลือกทางชีวิตได้ เช่น
- เชื่อว่าผู้หญิงควรอยู่ที่บ้านหรือดูแลครอบครัว และไม่ควรทำงานนอกบ้าน หรือไม่ควรทำงานที่ท้าทายความสามารถทางสติปัญญาและร่างกาย
- การที่ผู้ชายอาจคิดว่าผู้หญิงไม่สามารถทำงานบางอย่างได้ (เช่น การซ่อมแซมบ้านหรือการขับรถในสถานการณ์ยากๆ) จึงพยายามเข้ามาช่วยเหลือโดยไม่ขอความเห็นจากผู้หญิง
- การเชื่อว่าผู้หญิงควรรับผิดชอบในการเลี้ยงดูเด็ก และไม่ควรทำงานหนัก หรือมีตำแหน่งที่มีอำนาจมาก
ซึ่งบางครั้ง ทัศนคติเหล่านี้ถูกส่งต่อมาจากสภาพแวดล้อม สถาบันครอบครัว สื่อต่าง ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว เราอาจจะซึมซับความคิดเหล่านั้นเข้ามา และมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่ในความเป็นจริง ก็ไม่แตกต่างอะไรจากการเหยียดเพศแบบเห็นได้อย่างชัดเจน หรือ Hostile Sexism
Marquette University ได้ทำการศึกษาหัวข้อ Benevolent Sexism และผลกระทบต่อพฤติกรรมและทัศนคติของผู้ชายและผู้หญิงในสังคม พบว่า Benevolent Sexism ส่งผลต่อความเสมอภาคทางเพศ โดยผู้หญิงที่รับรู้ถึง Benevolent Sexism มักจะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับโอกาสในการก้าวหน้าในชีวิตหรือในอาชีพการงาน
และที่สำคัญคือการมีทัศนคติดังกล่าว อาจไม่ได้ส่งผลทันที แต่จะส่งผลกระทบระยะยาวต่อความเสมอภาค โดยเฉพาะในแง่ของการจำกัดอำนาจและโอกาสของผู้หญิงในหลาย ๆ ด้าน
เห็นกันแล้วใช่มั้ยคะว่า บางครั้งเราก็เผลอแสดงทัศนคติบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อตัวเราหรือสังคมของเราโดยไม่รู้ตัว แต่เข้าใจได้ว่าการไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องผิดนะคะ หลาย ๆ คน มองว่าการดูแล มองเขาเป็นเด็ก เป็นเรื่องที่ดี เพราะเรารักเขา แต่ในความเป็นจริง มันก็เปรียบเสมือนการตีกรอบให้เค้าทำอะไรที่เราอาจจะคาดหวังให้เค้าทำโดยไม่รู้ตัว
ในบางครั้ง เราก็อยากดูแล โอ๋เอ๋ ลูกเราเจอเรื่องไม่ดี คนไม่ดี เราอยากจะปกป้องเขาให้ดีที่สุดเท่ากับความรักที่เรามีให้เขา แต่ในขณะเดียวกัน ศิลปินสามารถเติบโตและดูแลตัวเองได้ตามวัยของเขา และอาจจะส่งผลให้ตัวศิลปินมีความอึดอัด กดดัน และไม่กล้าแสดงตัวตน รวมไปถึงการทำงานที่เปลี่ยนไป การรับบทบาทใหม่ๆ การแต่งตัวสไตล์ใหม่ๆ เพราะกลัวจะทำให้แฟนคลับผิดหวังนั่นเองค่ะ
ข้อมูลจากhttps://www.sciencedirect.com/topics/psychology/benevolent-sexismhttps://epublications.marquette.edu/cgi/viewcontent.cgiการเป็นมัมหมี การรักศิลปิน การปกป้องคนที่เรารักเป็นเรื่องที่ดีค่ะ แต่เราอย่าลืมมารักกันในแบบที่ถูกต้อง และไม่ส่งผลกระทบกับตัวศิลปินหรือสังคมกันนะคะ
0 ความคิดเห็น