นโยบายการเงินและนโยบายการคลังต่างก็เป็นมาตรการสำคัญที่ถูกนำมาใช้ในการกำกับดูแลระบบเศรษฐกิจให้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แต่น้อง ๆ ทราบกันรึเปล่าคะ ว่าทั้งสองนโยบายมีความแตกต่างกันอย่างไร ทำไมถึงได้แยกจากกัน? คอลัมน์ 'รู้ไว้เผื่อออกสอบ' ในวันนี้ จะมาบอกความแตกต่างและทริคในการแยกแยะทั้งสองนโยบาย รับรองว่าง่ายนิดเดียว ไปดูกันค่ะ!
นโยบายการเงิน VS นโยบายการคลัง
ความแตกต่างที่เห็นชัดระหว่างนโยบายทั้งสองมีอยู่ด้วยกัน 3 อย่าง คือ ผู้ดำเนินนโยบายหรือผู้ใช้นโยบาย, เป้าหมายของนโยบาย และเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินนโยบาย
นโยบายการเงิน
ผู้ดำเนินนโยบายการเงิน คือ ธนาคารกลาง (Central Bank) เช่น ธปท. เป็นธนาคารกลางของไทย, Fed เป็นธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา นโยบายการเงินมีเป้าหมาย คือ เสถียรภาพด้านราคา เสถียรภาพเศรษฐกิจ เสถียรภาพระบบการเงิน โดยเฉพาะการดูแลเสถียรภาพด้านราคาถือเป็นเป้าหมายนโยบายการเงินของทุกประเทศ ระดับราคาที่ไม่เพิ่มอย่างรวดเร็วเกินไปหรือเงินเฟ้อแบบอ่อน ๆ จะช่วยให้หน่วยครัวเรือนไม่ต้องเผชิญกับภาระค่าครองชีพเพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว และช่วยให้หน่วยธุรกิจยังแข่งขันกันได้จากราคาของต้นทุนการผลิตที่ไม่ผันผวนมากนัก
ธนาคารกลางของแต่ละประเทศมีวิธีการดำเนินโยบายการเงินที่แตกต่างกัน โดยการตั้งเป้าหมายในหลายรูปแบบ ในกรณีของประเทศไทย ธปท. ดำเนินนโยบายการเงินภายใต้เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ (Inflation targeting) และมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงิน การดำเนินนโยบายทำโดยการปรับขึ้น คง หรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยมีกนง. เป็นผู้กำหนดเพื่อรักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายที่กำหนดไว้
หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หมายถึง พิจารณาแล้วว่าเศรษฐกิจร้อนแรงมีแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงเกินจึงดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด ในทางกลับกันหากเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็หมายความว่าไม่มีแรงกดดันเงินเฟ้อหรือเศรษฐกิจอยู่ในช่วงซบเซาจึงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
แม้ว่านโยบายการเงินจะมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือหลัก แต่อัตราดอกเบี้ยนโยบายก็ไม่ใช่อัตราดอกเบี้ยที่เราใช้กันทั่วไปในท้องตลาด การจะทำให้นโยบายการเงินส่งผลไปถึงประชาชนได้ต้องอาศัยเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ จะมีเครื่องมืออะไรบ้างนั้น ใครอยากรู้เพิ่มเติมสามารถตามอ่านเรื่องของ นโยบายการเงิน ที่นี่ได้เลยค่า!
นโยบายการคลัง
ผู้ดำเนินนโยบายการคลัง คือ รัฐบาล โดยมีเครื่องมือในการดำเนินนโยบายเป็นภาษีและการใช้จ่ายของภาครัฐ เป้าหมายของนโยบายการคลัง คือ เพื่อรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจให้อยู๋ในระดับที่เหมาะสม เกิดการกระจายรายได้และการจ้างงานอย่างเต็มที่
หากรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจจะดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวเพื่อเพิ่มปริมาณเงินให้ระบบเศรษฐกิจ โดยการลดภาษีเพื่อให้ประชาชนมีเงินในการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น และ/หรือเพิ่มการใช้จ่ายของภาครัฐโดยอาจเป็นการลงทุนหรือการซื้อสินค้าและบริการ การทำเช่นนี้จะกระตุ้นให้เกิดการผลิตและการจ้างงานมากขึ้น
ในทางกลับกัน หากรัฐบาลเห็นว่าเศรษฐกิจเติบโตมากเกินไปและต้องการลดความร้อนแรงนั้นลง รัฐบาลจะดำเนินนโยบายการคลังแบบหดตัว โดยการเพิ่มอัตราภาษีและ/หรือลดการใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งจะทำให้เงินในระบบเศรษฐกิจน้อยลง ประชาชนมีเงินในให้ใช้จ่ายน้อยลง ส่งผลไปถึงการผลิตและการจ้างงานที่ลดลงนั่นเอง
ส่วนใครที่สงสัยว่างบประมาณเกินดุลและขาดดุลแตกต่างกันอย่างไร รวมถึงรายรับและรายจ่ายของรัฐบาลมีอะไรบ้างนั้น สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ
ทริคในการจำ
ธนาคารกลางใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการดำเนินนโยบายการเงิน
ส่วนรัฐบาลใช้ภาษีและ/หรือการใช้จ่ายภาครัฐในการดำเนินนโยบายการคลัง
มาทดสอบความรู้กัน!
ทุกคนคงจะเข้าใจความแตกต่างของนโยบายการเงินและนโยบายการคลังกันพอสมควรแล้ว คราวนี้เรามาลองทดสอบความเข้าใจนั้นกันดีกว่า โจทย์ในวันนี้มาจากข้อสอบวิชาสังคมศึกษาจากโครงการ Dek-D’s Pre-Admission รอบวิชาสามัญ+กสพท ธันวาคม 2564 ถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มกันเลย!
รัฐบาลปัจจุบันจัดโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เป็นการดำเนินนโยบายประเภทใด
1. นโยบายงบประมาณเกินดุล เพื่อกระตุ้นรายได้ของรัฐบาล
2. นโยบายการเงินแบบเข้มงวด เพื่อกระตุ้นประชาชนให้เกิดการใช้จ่าย
3. นโยบายการคลังแบบเข้มงวด เพื่อกระตุ้นรายจ่ายรัฐบาล
4. นโยบายการคลังแบบขยายตัว เพื่อกระตุ้นประชาชนให้เกิดการใช้จ่าย
5. นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เพื่อกระตุ้นรายจ่ายรัฐบาล
ที่มาhttps://www.bot.or.th/content/dam/bot/documents/th/research-and-publications/articles-and-publications/publications/economics-book.pdfเป็นอย่างไรกันบ้างคะน้อง ๆ ตอบข้อไหนอย่าลืมมาคอมเมนต์ไว้ที่ด้านล่างกันน้า สำหรับคอลัมน์ 'รู้ไวเผื่อออกสอบ' ครั้งหน้าจะเป็นเรื่องอะไรรอติดตามกันนะคะ^^
0 ความคิดเห็น