Teen Coach EP.120 : ถอด 4 บทเรียนจากความล้มเหลว!

โลกนี้ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด ไม่มีใครไม่เคยล้มเหลว

“แคท“ เรียนสายศิลป์ภาษา ปีนี้เธอต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นเด็ก TCAS 68 ตอนแรกแคทลังเลใจว่าจะเรียนคณะไหนดี เพราะที่เลือกเรียนสายศิลป์ภาษา ไม่ได้มีเป้าหมายเรื่องคณะที่อยากเข้า แค่เลือกเรียนเพราะอยากเลี่ยงเลข ไม่อยากเครียด อยากทำกิจกรรม ใช้ชีวิต ม.ปลาย ให้คุ้มที่สุด ตอนปลาย ม.5 เธอได้รับแรงบันดาลใจในการเข้าคณะนิเทศฯ จุฬาฯ จากการคุยกับรุ่นพี่ แคทเร่งการเรียนพิเศษ และจัดตารางอ่านหนังสือเต็มที่ มีบ้างที่ผิดแผนเพราะเธอยังทำงานเป็นกรรมการนักเรียน แล้วต้องช่วยรุ่นน้องทำกิจกรรม ตอนสอบ mock test คะแนนค่อนข้างดี มีโอกาสติดคณะนี้มากถึง 90% ในช่วง 1 เดือนก่อนสอบ TGAT/TPAT แคทเริ่มกังวล นอนดึกเพราะอ่านหนังสือ ติวและทำข้อสอบ ไปเรียนสายไม่ก็โดดเรียน ระหว่างวันรู้สึกเบลอ ๆ ถ้าอยู่บ้านบางทีนอนกลางวัน ตื่นกลางคืน มีการคุยกับเพื่อนที่อยากเข้าคณะเดียวกันบ้าง เธอนอยด์ว่าเพื่อนดูเตรียมตัวได้ดีกว่า ทำให้แคทยิ่งลนจนล่ก  3 วันก่อนสอบเธอนอนไม่หลับ วันที่ไปสอบ TGAT แคทหลับคาห้องสอบไป 10 นาที จนกรรมคุมสอบมาปลุก เธอพยายามทำข้อสอบอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายทำไม่ทัน ที่ทำไปก็ไม่แน่ใจว่าถูกมั้ย แคทเฟลมากเลยหยุดเรียนนั่งดูซีรีส์อย่างฉ่ำ เพื่อไม่ให้คิดมากเรื่องคะแนน วันประกาศเธอได้คะแนน TGAT 65% ซึ่งน้อยกว่าที่คาดไว้มาก เพราะเคยตั้งความหวังไว้ที่ 80% แคทสติแตก โทษตัวเอง ร้องไห้ไม่หยุดมีอาการหายใจไม่ออก ใจสั่น คุมตัวเองไม่ได้ คุยไม่รู้เรื่อง คุณแม่เลยพาเธอมาพบพี่หมอแมวน้ำเพื่อรับการประเมินและการรักษา

ว่าด้วยเรื่อง 'ความล้มเหลว'

เมื่อเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรามีความคาดหวังอยากที่จะได้ผลตามภาพที่วาดไว้ แต่เมื่อผลออกมาแย่ ไม่เป็นไปตามที่คิด คนส่วนใหญ่มองว่าสิ่งนี้ คือ ความล้มเหลว

หากเราต้องการความสมบูรณ์แบบ (Perfectionism) ไม่ยอมรับความผิดพลาด วิธีคิดแบบนี้เป็นหนึ่งในอุปสรรคต่อการเรียนรู้หรือทำสิ่งใหม่ ๆ เพราะความกลัวที่จะทำไม่ได้ตามที่คาดหวังทำให้เราเลือกที่จะไม่ลงมือทำ บางครั้งเราหลีกเลี่ยงด้วยเหตุผลว่ายังไม่พร้อม ในความเป็นจริงไม่มีอะไรที่สามารถทำได้สมบูรณ์แบบ 100% ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา ความสมบูรณ์แบบต่างหากที่เป็นเรื่องแปลก

"ความฉลาดที่เกิดจากความล้มเหลว" (Intelligent Failure) คือ การที่เราลงมือทำแล้วไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ แต่เราฉลาดมากขึ้นจากการเรียนรู้ข้อผิดพลาด ได้ข้อมูลชุดใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน เมื่อเราลงมือครั้งถัดไปเราจะทำมันได้ดีขึ้น ความล้มเหลวที่เกิดในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ก็แค่เคยเกิด ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลมาปรับใช้เป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้เรามีการพัฒนาจนเก่งขึ้นได้

มีงานวิจัยที่ศึกษาว่าระดับความยากง่ายของงาน งานที่ทำที่จะทำให้คนเกิดการเรียนรู้มากที่สุด คือ งานที่ทำแล้วถูกต้อง 85% นั่นหมายถึงว่าอีก 15 % เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ (85% rule for optimal learning) หากงานง่ายเกินไปไม่ได้ทำให้เราเกิดการเรียนรู้ ส่วน 15% ที่ทำไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้เราเติบโต

สาเหตุที่ทำให้เราล้มเหลวทำตามเป้าหมายไม่ได้เกิดจากหลายอย่าง เช่น ทำผิดที่ผิดเวลา ไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อม ขาดความรู้และทักษะ ขาดการอดทนรอคอย แต่อย่างน้อยการที่เราทำแล้วล้มเหลว นั่นหมายถึงว่าเราได้พยายามไปแล้ว วิธีที่ทำแล้วไม่ได้ผลช่วยให้เราเรียนรู้ว่าวิธีนี้มันไม่เวิร์ก ครั้งหน้าให้ลองวิธีอื่นดู

บทเรียนจากความล้มเหลว

1. ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence - EQ)

เมื่อเราทำอะไรแล้วล้มเหลว ไม่ได้เป็นตามที่คิดไว้ เราจะท่วมท้นไปด้วยอารมณ์ลบ เช่น ผิดหวังกับตัวเอง กังวลหากต้องทำซ้ำคิดว่าอาจจะทำพลาดอีก แต่ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป สำหรับคนที่มี EQ สูง ในช่วงแรกที่รู้ว่าเรื่องที่ทำผิดพลาดอาจรู้สึกแย่ได้ แต่พอจับอารมณ์ (emotional awareness) ทำความเข้าใจใหม่ และปรับความคิดได้ว่า “อย่างน้อยเราเคยได้ทำและเรียนรู้อะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้น ” นอกจากจะทำให้เราสงบใจลง ยังเป็นการที่เราเมตตาให้อภัยตัวเอง (self- compassionate)

2. ความนอบน้อมถ่อมตน (Humility) 

หากเราทำสิ่งที่ล้มเหลว หนึ่งในวิธีแก้ปัญหา คือ การขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ซึ่งเป็นการแสดงความนอบน้อมถ่อมตน ลดอีโก้ของตัวเองลงเพื่อให้งานสำเร็จ และยังเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นด้วย มีงานวิจัยพบว่าคนที่มีแรงจูงใจอยากทำที่เกิดจากตัวเอง (internal motivation) และมีความมุ่งมั่น (determination) พร้อมที่จะเรียนรู้จากข้อผิดพลาด มีโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองได้มาก

3. ความยืดหยุ่นทางจิตใจ (Resiliency)

ความล้มเหลวสอนให้เรารู้ว่าเมื่อล้มจะลุกขึ้นมาได้อย่างไร คนที่มีความยืดหยุ่นทางใจสูงแม้จะทำอะไรแล้วไม่สำเร็จ ไม่ว่าเจ็บปวดแค่ไหน แต่ไม่นานเขาจะลุกขึ้นมาเพื่อหาทางใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาอย่างไม่ย่อท้อ

4. การเห็นอกเห็นใจ (Empathy)

เมื่อเราต้องเจอกับความล้มเหลวเราอยากที่จะหนีออกจากสถานการณ์ตรงนั้น แต่บางครั้งเรายังอยู่เพราะมันชาเสียจนขยับตัวไม่ได้ เราเฝ้าก่นด่าโทษตัวเองว่าเราแย่ ห่วย ที่ไม่สามารถทำให้อะไรสำเร็จ แต่หากเรามีเมตตาและเห็นอกเห็นใจกับตัวเองว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เราจะฟื้นตัวกลับมาและเข้าใจว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟ็กต์เสมอไป แพ้ได้ ล้มได้

ทำอย่างไรให้ใจฟื้นฟูเมื่อเราต้องเจอกับความล้มเหลว

1. จัดการกับอารมณ์ที่ท่วมท้นก่อน

ความล้มเหลวทำให้เกิดอารมณ์ลบ เช่น โกรธ เสียใจ กังวล ซึ่งจะไปกลบความสามารถในการใช้เหตุผล ดังนั้นต้องพยายามสงบใจก่อน เช่น ฝึกควบคุมลมหายใจ (breathing exercise) ไปทำสิ่งที่ชอบ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด เมื่ออารมณ์สงบลง สมองเราถึงจะคิด วิเคราะห์ แยกแยะได้ดีขึ้น

2. พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นจากหลายมุมมอง

ตัวเราเองที่อยู่ในวังวนของปัญหา เราแก้เองไม่ได้ถ้ายังใช้มุมมองแบบเดิมอยู่ สิ่งที่ต้องทำ คือ ถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง ใช้ความคิดเสมือนเป็นบุคคลที่ 3 ที่กำลังเฝ้าดูสถานการณ์ ลองคิดว่าหากเป็นคนอื่นที่เจอกับเรื่องนี้เขาจะวิเคราะห์แก้ปัญหาอย่างไร แต่ถ้าเราคิดไม่ได้ ให้ลองถามเพื่อนร่วมงาน หรือคนที่เราคิดว่าน่าจะเข้าใจปัญหาและให้คำชี้แนะได้ ข้อดีของการรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น คือ เมื่อคนนั้นไม่ได้ติดอยู่กับอารมณ์ลบที่เกิดยากความผิดหวัง การใช้เหตุผลจะทำได้ดีกว่า

3. ถามตัวเองว่า “ทำไมถึงล้มเหลว” ไล่เรียงหาสาเหตุตามขั้นตอน

ขั้นตอนนี้สำคัญในการค้นหาต้นตอของปัญหาที่ทำให้ล้มเหลว ให้เริ่มไล่ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการลงมือทำภารกิจนั้น จดบันทึกปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เมื่อเราใจเย็นมากพอและใช้เหตุผล เราจะมองเห็นข้อผิดพลาดที่ทำให้เกิดปัญหาทั้งเล็กน้อยและเรื่องใหญ่ เมื่อเรารู้สาเหตุของปัญหาแล้วเราแก้ไข ครั้งต่อไปเราจะได้ปรับเปลี่ยนวิธีที่เพิ่มโอกาสให้เกิดความสำเร็จมากขึ้น

4. การขอความช่วยเหลือจากคนอื่น

บางคนมองว่าการแก้ปัญหาที่ทำให้ล้มเหลว ต้องเป็นความรับผิดชอบแค่ของเรา เพราะต้องการพึ่งพาตัวเอง ไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ แต่ในความเป็นจริง “การขอความช่วยเหลือจากคนอื่น” เป็นหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหา หากเราไม่รู้ ทำไม่เป็น ให้ถามจากคนที่มีประสบการณ์หรือเชี่ยวชาญด้านนั้น อย่าอายที่ต้องถาม เพราะบางคนคิดว่าถ้าเราไปถามคนอื่น เราจะถูกมองว่า ห่วย โง่ ซึ่งอีกฝ่ายจะคิดแบบนั้นหรือไม่ก็ได้ แต่อย่างน้อยเราได้คำตอบเพื่อนำไปแก้ปัญหา 

5. ความล้มเหลวครั้งนี้ไม่ใช่จุดจบของชีวิต

ตอนแรกที่เราจมกับความผิดหวังจากความล้มเหลวที่เกิด บางคนมองว่ามันเป็นเรื่องที่แย่มาก เสมือนว่าโลกกำลังจะแตก ถึงจุดจบของชีวิต แต่หากเราทำใจยอมรับว่ามันล้มเหลวและเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขมันได้ สิ่งที่ทำได้ คือ การยอมรับและเดินหน้าแก้ปัญหา ใช้เหตุผล พยายามทำในครั้งต่อไปให้ดีที่สุด ความผิดพลาดในครั้งนี้ไม่ได้ถึงว่าจะต้องเป็นไปตลอด มันเป็นแค่เรื่องหนึ่งที่เป็นเศษเสี้ยวของชีวิตทั้งหมด ให้มองว่าความล้มเหลวเป็นโอกาสดีในการเรียนรู้เพื่อที่จะสำเร็จต่อไปในอนาคต

6. หากทำใจไม่ได้เมื่อเกิดความล้มเหลว

หากเราล้มเหลวแล้วติดแหงกอยู่กับตรงนั้น รู้สึกแย่มาก move on ไม่ได้ เช่น เศร้ามาก ไม่อยากทำอะไร มองไม่เห็นอนาคต หมดหวัง นอนไม่หลับ แนะนำให้พบกับผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา เพื่อที่จะมาทางแก้ปัญหาร่วมกัน

พี่หมอแมวน้ำคุยกับแคท ได้ข้อมูลว่าเดิมแคทเป็นเด็กเรียนเก่งที่ชอบทำกิจกรรมไปด้วย ใช้วิธีอ่านหนังสือสอบแบบ one night miracle ผลสอบออกมาดีทุกครั้ง ทุกเรื่องที่เคยทำมาไม่เคยล้มเหลว ตั้งเป้าอะไรไว้ได้ตามนั้นหมด เผิน ๆ แคทดูเป็นคนชิล แต่จริง ๆ เธอชอบความเพอร์เฟ็กต์เพราะคิดว่าถ้าหากตั้งใจและมีความพยามยามผลลัพธ์ต้องออกมาดี แต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นเรื่องยาก เพราะต้องมีการวางแผนล่วงหน้า บังคับตัวเองให้เรียนพิเศษ ทำข้อสอบให้ได้มากที่สุด แค่ตอนคิดว่าจะเข้าคณะไหนก็ยากแล้ว เพราะแคทเรียนได้ดีทุกวิชา แต่ไม่รู้ว้าตัวเองอยากทำอาชีพอะไร ที่เลือกนิเทศฯ จุฬาฯ เพราะอยากเรียนควบคู่ไปกับการทำกิจกรรม แต่กว่าจะปักเป้าคณะที่อยากได้มันก็เกือบสายไปแล้วในความคิดของเธอ เพราะเพื่อนรอบตัวดูมีความชัดเจนกับชีวิตว่าอยากเรียนอะไร เลยเตรียมตัวกันตั้งแต่ ม.4 พอแคทเริ่มเตรียมตัวมันมีความกังวลตลอดว่าจะทันมั้ย ถ้าไม่ได้คณะนี้แล้วจะเรียนอะไร จะถูกคนอื่นมองว่าแคทเป็นคนล้มเหลวหรือเปล่า ช่วง 1 เดือนก่อนสอบเธอมีอาการกังวลมาก คิดกังวลไปเรื่อย ๆ อย่างหยุดไม่ได้ เช่น ถ้าสอบไม่ได้อนาคตจะแย่ แล้วจะไปทำอาชีพอะไร จะมีเงินพอใช้มั้ย อาจต้องทำธุรกิจ งั้นต้องหาเงินเตรียมไว้ลงทุน ตอนอ่านหนังสือไม่ค่อยมีสมาธิ มีปัญหานอนไม่หลับเข้านอนยาก พอนอนไม่ได้เลยลุกมาอ่านหนังสือจนเช้า ตารางชีวิตพัง กินข้าวไม่เป็นเวลา มีอาการปวดท้องบ่อย แต่ไม่อยากเสียเวลาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ต้องการอยู่แต่ที่บ้านเพื่ออ่านหนังสือ พอผลสอบออกมาแย่แคทโทษตัวเองเยอะว่าไม่เก่ง ไม่ดี ไม่ยอมทำตามแผน ตอนนี้คิดว่าตัวเองเป็น loser ไม่อยากเจอใคร อายที่คะแนนน้อย ระหว่างเล่าเธอร้องไห้ตลอด มีอาการหายใจไม่ออกเป็นระยะ ใจสั่น พี่หมอแมวน้ำเลยฝึกการควบคุมลมหายใจ (breathing exercise) ไปด้วย อาการทางกายดีขึ้น 

 

พี่หมอแมวน้ำวินิจฉัยว่าแคทเป็น “โรควิตกกังวล” ให้ยากินเพื่อปรับสมดุลสารเคมีในสมอง ร่วมกับการทำจิตบำบัดปรับวิธีคิดและพฤติกรรม (CBT- Cognitive Behavioral Therapy) ให้แคทยอมรับความคิดและอารมณ์ลบที่เกิด มีความคิดบวกตามเป็นจริง ปรับพฤติกรรม หาสาเหตุข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น เช่น การจัดตารางเวลา, ปรับเรื่องการนอน วางแผนการสอบ A-level และคิดเรื่องคณะสำรองหากไม่ติดคณะที่อยากได้ 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับเรื่องราวของแคทที่คิดว่าตัวเองล้มเหลว พี่หมอแมวน้ำคิดว่าเด็ก ๆ หลายคนที่ทำคะแนนสอบ TGAT/TPAT ครั้งนี้ไม่ได้ตามเป้า อาจมีอาการเหมือนแคทได้ เลยอยากให้กำลังใจและอยากให้ลองนำวิธีที่เล่าให้ฟังไปปรับใช้กันดู หากใครมีอะไรอยากบ่นระบายหรือมีคำถามสามารถเมนต์ที่ข้างใต้นี้ได้เลยค่ะ

Reference:https://www.psychologytoday.com/intl/blog/connected-leadership/202402/learning-from-failurehttps://psychcentral.com/health/lessons-failure-teaches#lessonshttps://www.airswift.com/blog/lessons-from-failure
หมอแมวน้ำ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น