สวัสดีค่ะ น้องๆ ชาว Dek-D ช่วงนี้นอกจากน้องๆ ม.6 จะต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ยังมีอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ต้องเตรียมเหมือนกัน นั่นก็คือ ‘ค่าใช้จ่าย’ หลังจากสอบติดในระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยด้วยค่ะ วันนี้คอลัมน์ ‘เรื่องนี้โรงเรียนไม่ได้สอน’ สรุปมาให้แล้วว่าต้องเตรียมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
เรียนมหาวิทยาลัยต้องจ่ายค่าอะไรบ้าง?
หลายครั้งน้องๆ หลายคนดีใจที่สอบติดจนลืมไปว่า นี่แค่เริ่มต้นชีวิตยังไม่ได้จบแค่นี้ เพราะโดยพื้นฐานแล้วเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ สำหรับการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย เป็นสิ่งที่น้องๆ รวมถึงผู้ปกครองจำเป็นต้องทราบ เพื่อให้เตรียมแผนรับมือและจัดการให้เหมาะสมกับตนเอง ควบคู่ไปกับการวางแผนการศึกษาต่อของตนเองด้วย จะมีค่าอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ!
1. ค่าธรรมเนียมการศึกษา
สิ่งนี้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนแรกเลยที่น้องๆ ทุกคนต้องจ่ายอย่างแน่นอน ซึ่งค่าธรรมเนียมการศึกษาของแต่ละมหาวิทยาลัยนั้นจะมีการแบ่งจ่ายที่แตกต่างกัน ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่
- แบบเหมาจ่าย - เป็นการจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษาเท่ากันทุกเทอม ไม่ว่าในแต่ละเทอมหน่วยกิตที่เรียนจะมากหรือน้อยก็ตาม วิธีคิด คือ นำค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตรหารด้วยจำนวนเทอม
เช่น ค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตร 200,000 บาท เรียน 8 เทอม เท่ากับว่าต้องจ่ายเทอมละ 25,000 บาท ซึ่งการจ่ายในรูปแบบนี้จะรวมค่าบำรุงการศึกษาในส่วนอื่นๆ เอาไว้เรียบร้อยแล้ว
- แบบจ่ายตามหน่วยกิต - เป็นการจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษาตามจำนวนหน่วยกิตที่ลงเรียนในแต่ละเทอม โดยค่าหน่วยกิตของแต่ละคณะ/สาขา นั้นมีความแตกต่างกัน ซึ่งการจ่ายในรูปแบบนี้จะยังไม่รวมค่าบำรุงการศึกษาในส่วนอื่นๆ
เช่น ค่าหน่วยกิตตัวละ 500 บาท เรียนทั้งหมด 19 หน่วยกิต และค่าบำรุงการศึกษา 15,000 บาท เท่ากับว่าในเทอมนั้นต้องจ่าย 24,500 บาท
น้องๆ สามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมการศึกษาได้ทางเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย
2. ค่าเครื่องแต่งกาย
การเปลี่ยนแปลงอีกหนึ่งอย่างเมื่อน้องๆ ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยก็คือ เครื่องแต่งกายต่างๆ ที่เรียกได้ว่าต้องเปลี่ยนใหม่ยกชุดเลยทีเดียว นอกจากจะต้องซื้อเสื้อ กระโปรง กางเกง แบบใหม่แล้ว ยังมีรองเท้า เข็มขัด หัวเข็มขัด เน็กไท เข็มติดเสื้อ และกระดุมเสื้อ (ตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย) ที่จะต้องซื้ออีกด้วย
นอกจากนี้ บางมหาวิทยาลัยยังมีชุดกีฬา สำหรับการเรียนวิชาพลศึกษา รวมไปถึงบางคณะ/สาขา ที่ต้องเรียนเชิงปฏิบัติทำการทดลองต่างๆ ในห้องแล็บหรือห้องปฏิบัติการ ก็อาจจะต้องซื้อเสื้อกาวน์ หรือเสื้อช็อป สำหรับการเรียนเชิงปฏิบัติอีกด้วยค่ะ
ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจซื้อน้องๆ ต้องศึกษากฎระเบียบการแต่งกายที่ถูกต้องของทางมหาวิทยาลัย และวางแผนจำนวนชุดที่จะซื้อให้เรียบร้อย เพื่อที่จะได้เตรียมค่าใช้จ่ายไว้ล่วงหน้า
3. ค่าหนังสือ-เอกสารประกอบการเรียน
สำหรับค่าหนังสือบางมหาวิทยาลัยอาจรวมค่าใช้จ่ายส่วนนี้ในค่าเทอมเรียบร้อยแล้ว แต่บางมหาวิทยาลัยน้องๆ อาจจะต้องจ่ายเองต่างหากด้วยเหมือนกัน นอกจากนี้ บางรายวิชาอาจารย์จะแจกเอกสารประกอบการเรียนตัวอย่างมาหนึ่งเล่มแล้วให้เรานำไปถ่ายเอกสารเพื่อนำมาใช้ประกอบการเรียนด้วย
พี่แป้งแนะนำว่าหากใครอยากลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ อาจจะลองขอชีทเก่าจากพี่ในสายรหัส หรือรุ่นพี่ในคณะที่เรารู้จักแทนก็ได้ค่ะ บางทีเราอาจจะได้ขุมทรัพย์คลังความรู้เพิ่มมาด้วย เช่น เลคเชอร์ที่พี่ๆ ใช้อ่านก่อนสอบ แต่ต้องเช็กก่อนว่าเนื้อหาที่อาจารย์สอนในปีของเราเป็นเนื้อหาเดียวกันกับปีของรุ่นพี่หรือเปล่า เพราะทางสาขาวิชาอาจมีการปรับเปลี่ยนหลักสูตรการสอน เพื่อให้เหมาะสมกับการเรียนในปัจจุบันมากขึ้นด้วย
รวมถึงในอนาคตต้องทำเล่มวิทยานิพนธ์ หรือธีสิส ก็อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการพรินต์เล่มส่งอาจารย์ด้วย ซึ่งกว่าเนื้อหาในเล่มจะผ่าน กว่าจะจัดรูปเล่มให้ถูกต้อง ก็อาจจะหมดหลายร้อยบาทอยู่เหมือนกันค่ะ
4. ค่าอุปกรณ์การเรียน
ยุคนี้รูปแบบการเรียนการสอนมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิม เนื่องจากมีเทคโนโลยีใหม่ๆ พวกเครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ก็มีมากขึ้น นอกจากนี้ บางมหาวิทยาลัยก็อาจจะปรับให้มีการเรียนแบบไฮบริดมากขึ้น ซึ่งอุปกรณ์การเรียนที่จำเป็นในยุคนี้คงหนีไม่พ้น คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก หรือแท็บเล็ต ซึ่งส่วนมากมักเป็นการซื้อแค่ครั้งเดียว ต่อมาถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะไม่ใช่อุปกรณ์แต่ “อินเทอร์เน็ต” ก็ถือเป็นอีกสิ่งที่ต้องมีสำหรับการเรียนในยุคนี้ เพราะถ้าไม่มีเราก็จะไม่สามารถเข้าถึงการเรียนการสอนได้
แต่ถ้าหากน้องๆ คนไหนที่มีงบประมาณไม่เพียงพอสำหรับการซื้อ ทางมหาวิทยาลัยก็มีบริการให้ยืมอุปกรณ์เหล่านี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือนักศึกษา หรือเข้าไปใช้บริการห้องคอมพิวเตอร์ที่ทางมหาวิทยาลัยได้จัดเตรียมเอาไว้สำหรับนักศึกษาก็ได้เช่นกันค่ะ
นอกจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการเรียนแล้ว ค่าอุปกรณ์การเรียนเพิ่มเติมมักจะขึ้นอยู่กับคณะและสาขาที่เราเลือกเรียนด้วย ยิ่งคณะไหนต้องมีอุปกรณ์เฉพาะทาง ยิ่งต้องเตรียมเงินเผื่อไว้ก่อนเลย เช่น คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ อาจจะต้องซื้อพวกอุปกรณ์การเรียนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น กระดาษ ดินสอ กระดาน สีน้ำ ไม้สเกล ฯลฯ เพื่อทำงานส่งอาจารย์ด้วยเช่นกัน
5. ค่ากิจกรรม
บอกเลยว่าตลอดระยะเวลา 4 ปี ในรั้วมหาวิทยาลัยมีกิจกรรมที่รอให้น้องๆ ได้ทำและร่วมสนุกอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น รับน้อง กีฬาสี เฟรชชี่ไนท์ ออกค่าย และกิจกรรมอื่นๆ ที่ทางชมรมหรือสาขาจัดขึ้น โดยกิจกรรมเหล่านี้ก็มีทั้งแบบที่เราต้องจ่ายเองและไม่ต้องจ่าย
ดังนั้นน้องๆ อาจจะต้องมีการเตรียมเงินส่วนนี้เผื่อเอาไว้ด้วย ซึ่งการทำกิจกรรมจะทำให้เราได้พัฒนาทักษะในด้านต่างๆ ที่ไม่สามารถหาได้จากห้องเรียน เช่น ทักษะความเป็นผู้นำ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การทำงานร่วมกับผู้อื่น ฯลฯ
รวมไปถึงได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงาน ทำให้เรามีผลงานที่สามารถนำไปยื่นเพื่อสมัครงานในอนาคตได้ ทั้งนี้กิจกรรมเด่นได้แต่อย่าละทิ้งเรื่องเรียนของเราด้วยนะคะ ควรจะแบ่งเวลาของเราให้ดี เพื่อไม่ให้กระทบกับการเรียน
6. ค่าหอพัก
แน่นอนว่าน้องๆ บางคนต้องมีการโยกย้ายถิ่นฐานจากบ้านเข้ามาอยู่ที่หอพัก เพื่อให้การเดินทางไปเรียนและการทำกิจกรรมต่างๆ สะดวกมากขึ้น การหาหอพักสำหรับน้องๆ เฟรชชี่ รวมไปถึงรุ่นพี่ปีอื่นๆ คงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่พี่แป้งเชื่อว่าตัดสินใจได้ยากมากๆ เพราะเลือกไม่ถูกว่าจะพักหอในหรือหอนอกดี เนื่องจากแต่ละหอก็มีค่าใช้จ่ายและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป
ทางที่ดีพี่แป้งแนะนำว่าให้เราพิจารณาปัจจัยต่างๆ ก่อนที่จะเลือกหอดีกว่า ซึ่งพี่แป้งได้รวบรวมบทความเพื่อเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกหอมาฝากน้องๆ ทุกคนด้วยค่ะ
- เปรียบเทียบ "หอใน - หอนอก - คอนโด - บ้านเช่า" แบบไหนเหมาะกับเราที่สุด?
https://www.dek-d.com/teentrends/65327/ - เช็กลิสต์! สิ่งสำคัญที่ต้องดูให้ดีก่อนก่อนเลือกห้องพัก เพื่อความปลอดภัย
https://www.dek-d.com/teentrends/65262/
นอกจากจะต้องจ่ายค่าหอพักแล้ว อย่าลืมว่ายังมีค่าใช้จ่ายส่วนอื่นที่เราต้องจ่ายเพิ่มเติมด้วย เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าบำรุงส่วนกลาง ด้วยนะ
7. ค่าเดินทาง
น้องๆ ที่อยู่หอคงคิดว่าอยู่หอแล้วก็ไม่ต้องเสียค่าเดินทางใช่มั้ยคะ ถ้าเป็นหอในก็ใช่ค่ะ แต่ถ้าเป็นหอนอกแล้วที่ตั้งของหออยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยออกไป ยังไงก็ต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้อยู่ดี เว้นแต่ว่าเราจะเผื่อเวลาสำหรับการเดินมาเรียนก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัว
ส่วนน้องๆ ที่เดินทางไปกลับบ้าน-มหาวิทยาลัย ต้องเดินทางโดยรถประจำทางหรือรถสาธารณะ ซึ่งบางคนอาจจะต้องนั่งรถหลายต่อ ดังนั้นเราต้องมีการคำนวณอัตราค่าโดยสารที่ต้องจ่ายเอาไว้ด้วย ส่วนใครที่ขับรถมามหาวิทยาลัยเองก็ต้องมีการสำรองเงินที่ใช้จ่ายค่าน้ำมันด้วยเหมือนกัน
8. ค่าอาหาร-ค่ายา
เป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่จะลืมไม่ได้เลย เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง! สำหรับใครที่อยู่บ้านเราอาจจะไม่ต้องจ่ายค่าอาหารมากเท่าไหร่ เพราะสามารถกินข้าวจากที่บ้านได้ แต่ถ้าใครที่อยู่หอต้องบอกก่อนเลยว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี้เป็นส่วนที่ควบคุมยาก และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกด้วย เนื่องจากน้องๆ แต่ละคนใช้จ่ายไม่เท่ากัน แถมอาหารของแต่ละร้านก็มีราคาที่แตกต่างกันด้วย
น้องๆ ควรตั้งงบเอาไว้ก่อนว่าเดือนนี้จะกินไม่เกินกี่บาท หรือเดือนนี้งดกินชาบูปิ้งย่างได้มั้ย เพื่อเป็นการประหยัดเงิน ยิ่งถ้าใครอยู่หอก็ควรสำรองเงินเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เพราะถ้าเกิดว่าวันนึงเราป่วยขึ้นมาก็สามารถนำเงินส่วนนี้มาซื้อยา หรือหาหมอเพื่อดูแลรักษาตัวเองได้
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงค่าใช้จ่ายเบื้องต้นเท่านั้น ยังมีส่วนอื่นๆ อีกที่ไม่ได้กล่าวถึง เนื่องจากแต่ละคนมีการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน ดังนั้น ค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่มีทางเท่ากันแน่นอน ทางที่ดีน้องๆ ควรวางแผนค่าใช้จ่ายเอาไว้อาจจะแบ่งเป็นรายสัปดาห์ หรือรายเดือนตามความสะดวกของตัวเอง ได้เลยค่ะ
1 ความคิดเห็น