Teen Coach EP.125 : ต้องมีของดีๆ แพงๆ เสริมความมั่นใจ เพราะ Low Self-Esteem เห็นคุณค่าในตัวเองต่ำ

ทำไมหลายคนต้องอยากได้ อยากมี ของฮิตๆ ของแพงๆ ไว้อวดคนบนโซเชียล 

โลกในยุคปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย คนจำนวนมากมี account อย่างน้อยหนึ่งแพลตฟอร์ม ซึ่งแต่ละวัยจะไปสิงแพลตฟอร์มที่ต่างกัน อย่างรุ่นของพี่หมอแมวน้ำจะใช้ facebook เป็นหลัก ส่วนคนรุ่นหลังเน้นเล่น IG, X (Twitter) หรือ discord และอื่น ๆ อีกมากมาย  ยิ่ง “เด็กรุ่นเจน Z” (เกิดปลายยุค 90 จนถึงต้นปีค.ศ. 2000) โซเชียลมีเดียเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย ที่ใช้สื่อสารกับโลกภายนอก นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาเกิดมาในยุคที่อินเตอร์เน็ตมันดี ได้ใช้ตั้งแต่เล็ก ๆ ยิ่งมาช่วงยุคโควิด การใช้อุปกรณ์หน้าจอ กลายเป็นความจำเป็นที่ต้องมีเพื่อใช้เรียน และติดต่อกับคนอื่น การควบคุมเวลาใช้หน้าจอเลยทำได้ยากขึ้น

ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจและเป็นประเด็นที่ผู้ใหญ่หลายคนเป็นห่วง คือ การที่เด็กอยากได้ อยากมี เหมือนคนที่เห็นในโลกโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ ไลฟ์สไตล์ บลาๆๆ อย่าว่าแต่เด็กเลย…พี่หมอแมวน้ำไถ ๆ ดูรูป ดูคลิปแล้วยังไปเอฟ ไปตามล่าหาซื้อ เที่ยวและกินตามรอยนักรีวิวทั้งหลาย บางทีทำไปแบบงง ๆ แล้วให้เหตุผลกับตัวเองว่า “ของมันต้องมี!” “ประสบการณ์นี้ชั้นต้องได้!” พอมีข้าวของสะสมเพิ่มมากขึ้น สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ ทำให้บ้านรก เปลืองเงิน แทนที่จะเอาไปลงทุนหรือเก็บออมน่าจะดีมากกว่านะ (บ่นตัวเอง)

หากมองในมุมทางจิตวิทยา การที่เราอยากเป็นเหมือนคนอื่น เช่น ใช้เงินซื้อสินค้าแบรนด์เนมที่อินเทรนด์ขณะนั้น เพราะเราอยากได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม หรือทำให้เราโดดเด่นเป็นที่สนใจ ซึ่งการได้รับการยอมรับ และมีปฏิกิริยาจากคนอื่นในทางบวก เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้มีความภาคภูมิใจในตัวเองที่ดี (Healthy Self-Esteem) 

การตอบรับที่ดีมาจากทั้งปัจจัยภายนอก และภายในของตัวเราเอง 

  • ปัจจัยภายนอกเป็นเรื่องที่มองเห็นด้วยตา เช่น หน้าตาดี แต่งตัวเริ่ด ดูหรู ดูแพง
  • ปัจจัยภายในเป็นเรื่องที่แสดงออกมา บางครั้งคนอื่นอาจเห็นหรือไม่ก็ได้ เป็นคุณลักษณะที่ดี เช่น ขยัน มีน้ำใจ ซื่อสัตย์

ถ้าถามว่าเป็นเรื่องผิดมากมั้ยหากใช้เงินเพื่อเกาะกระแสไม่ให้ตกขบวน? ต้องบอกอย่างนี้ค่ะว่าการใช้เงินเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่มีเงื่อนไขในชีวิตไม่เหมือนกัน หลักสำคัญที่ต้องนึกไว้ คือ การใช้เงินนั้นต้องไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อน

ตัวอย่างการใช้เงินเพื่อสร้าง  Self-Esteem

  • น้ำค้างเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่บ้านมีฐานะปานกลาง กู้เงินกยศ. เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ ตอนแรกถูกเพื่อนในคณะล้อเลียนเรื่องการแต่งตัวทำให้เธอขาดความมั่นใจ เธอเลยเลือกที่จะซื้อข้าวของเครื่องใช้ตามเพื่อน หรือไปเช่ากระเป๋ารองเท้ามาถ่ายลง IG, Tiktok บางทีไปเอารูปคนอื่นมาใช้ แล้วมโนว่าเป็นตัวเอง เงินที่หมดไปกับการเข้าสังคมมาจากเงินกู้กยศ. และให้พ่อแม่ไปกู้ธนาคารเพิ่ม โดยให้เหตุผลว่าต้องเอาเงินมาใช้ซื้ออุปกรณ์การเรียน บางทีแต่งตัวแซ่บๆ เพื่อให้มียอดไลก์และยอดฟอลโลว์เพิ่ม สุดท้ายความแตกว่าชีวิตจริงไม่ได้เป็นอย่างที่ลงโซเชียล เลยกลายเป็นถูกบูลลี่หนักจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า เรียนต่อไม่ไหวต้องดรอปไป
     
  • น้ำใสสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางสยามได้ ฐานะที่บ้านไม่ค่อยดี เธอต้องทำงานพิเศษและเรียนไปด้วย เพื่อนในห้องชอบพูดแซะเรื่องเธอใช้ของไม่มียี่ห้อ ช่วงแรกรู้สึกแย่บ้าง ไถ IG แล้วสติแตกแต่คิดมากไปก็ไม่ช่วยให้มีของเหมือนเพื่อน งั้นไปพยายามทำสิ่งอื่นที่เธอสามารถทำได้ดีกว่า เพื่อตัดวงจรแห่งความคิดมาก น้ำใสใช้โซเชียลมีเดียเท่าที่จำเป็น จะได้ไม่ต้องเปรียบเทียบ ตอนเพื่อนแซะก็ทำเป็นไม่สนใจและด่าในใจกลับว่า “ถึงชั้นไม่มีของดี ๆ ใช้ แต่ชั้นเรียนเก่งเว้ย” เธอขยัน หากมีเวลาว่างจะอ่านหนังสือตลอด จนสอบชิงทุนและสอบชีวะ สอวน.ถึงรอบสอง ครูพูดแสดงความชื่นชมเธอหน้าห้อง และให้ช่วยติวเพื่อนก่อนสอบ พวกที่เคยมาบูลลี่เบะปากมองบนแต่ก็ยังมาติวกับเธอ
     
  • น้ำขิงเรียนจบจากคณะบัญชีฯ มหาวิทยาลัยมีชื่อที่ต่างจังหวัด เธอมีความฝันอยากทำงานฝั่งออดิทในบริษัทบิ๊กโฟว์ ช่วงเรียนเธอขยันทำเกรดให้ดีและแข่งรายการต่าง ๆ เพื่อปั้น portfolio ให้ดีมากพอที่บริษัทจะรับเข้าทำงาน ช่วงที่ไปเป็น internship น้ำขิงได้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศจริงในการทำงาน นอกจากจะปลาบปลื้มการได้ทำงานที่ชอบแล้ว ยังเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของรุ่นพี่ บางคนใช้ของแบรนด์เนมแทบจะทั้งตัว เห็นแล้วอยากเป็นแบบนั้นบ้าง แต่ตอนที่เป็นนักศึกษาคำนวณแล้วยังไงก็ไม่มีทางที่จะซื้อของ หรือมีไลฟ์สไตล์แบบนั้นได้ เธอเลยทดไว้ในใจว่า “สักวันหนึ่งเราจะซื้อกระเป๋ายี่ห้อนี้ ” ช่วงปีแรก ๆ ที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพน้ำขิงกินอยู่อย่างประหยัด และรับงานพิเศษ จนมีเงินสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เธอส่งเงินให้ที่บ้านใช้ด้วย บางทีรู้สึกท้อแท้แต่เมื่อดูรูปกระเป๋าที่อยากได้ ใจจะฟูและฮึบขึ้นมา เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ชีวิตความเป็นอยู่ดี มีเงินเก็บและเงินที่สามารถเอาไปเปย์ตัวเองได้ เธอเข้าไปในร้านกระเป๋า เดินเลือก และซื้อรุ่นที่ถูกใจ โพสต์ลง IG 

ต้องยอมรับว่ายุคนี้ส่วนหนึ่งของ Self-Esteem ของคนเรามาจากโลกโซเชียลมีเดีย เราวัดว่ามีคนรักชื่นชอบเรามากแค่ไหนจากจำนวน likes, followers, shares และ engagement อื่น ๆ ซึ่งพี่หมอแมวน้ำไม่เถียงว่า ส่วนหนึ่งมันสะท้อนการยอมรับที่สังคมมีกับเรา แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ดังนั้นอย่าให้ self-esteem ไปขึ้นกับเรื่องพวกนี้มากนัก เพราะเรายังมีโลกจริง ๆ ที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การได้รับการยอมรับจากโลกจริงมีน้ำหนักมากกว่าโลกเสมือน เพราะได้มนุษย์ตัวเป็น ๆ ไม่เหมือนกับโลกโซเชียลที่เป็นใครก็ไม่รู้ มีทั้งแอคหลุมและ anonymous ที่พร้อมจะพ่นความ toxic ใส่เราโดยไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง พี่หมอแมวน้ำเลยอยากเล่าเรื่อง self-esteem ให้ฟังกัน เราจะได้รู้วิธีการสร้าง healthy self-esteem ที่ดีต่อใจ

"Self-Esteem การเห็นคุณค่าในตัวเอง" 

 การมองตัวเองว่าเป็นคนอย่างไร มีข้อดีข้อเสีย และมีคุณค่ามากแค่ไหน เกิดจากความคิดเห็นที่มีต่อตนเองและสิ่งที่คนรอบข้างทำกับเรา กระบวนการก่อร่างสร้าง self-esteem เริ่มต้นมีตั้งแต่ยังเด็ก เป็นสิ่งที่พัฒนาปรับเปลี่ยนได้ตลอดชีวิต หากเราพยายามปรับเปลี่ยนวิธีคิด พฤติกรรม วิธีแก้ปัญหา ได้รับความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง เราจะมี Self-esteem ที่ดีขึ้นได้

"Healthy Self-Esteem การเห็นคุณค่าในตัวเองที่ดี" 

ความสามารถในมองเห็นข้อดีและยอมรับข้อเสียของตัวเอง พร้อมที่จะพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น รักและดูแลตัวเอง 

ลักษณะของคนที่มี  Healthy Self-Esteem

  • ไม่ทำสิ่งที่จะทำให้ชีวิตตัวเองแย่ เช่น เกเร, ใช้สารเสพติด
  • มองเห็นสิ่งที่เป็นแง่บวกในสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • เมื่อเจอปัญหาจะมีความเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถแก้ปัญหา  อดทนผ่านมันไปได้
  • กล้าที่จะลองทำสิ่งต่างๆ และยอมรับผลที่ตามมา
  • สามารถนำประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้ มาเป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้ทำผิดพลาดซ้ำ

"Low Self-Esteem การเห็นคุณค่าในตัวเองต่ำ"

 มองตัวเองว่าไม่เก่ง ไม่ดี ทำไม่ได้ ไร้ความสามารถ ไม่ชอบตัวเอง ไม่มีอนาคต ไม่สมควรที่จะได้รับสิ่งดีๆ เลือกมองแต่สิ่งที่ผิดพลาดล้มเหลว   ตีความทุกอย่างเป็นลบ 

ลักษณะของคนที่มี Low Self-Esteem 

  • ไม่มั่นใจในการตัดสินใจแก้ปัญหา ไม่กล้าเผชิญสิ่งใหม่ๆ กลัวคนอื่นโกรธต่อว่าไม่พอใจ
  • บางคนใช้วิธีหลบเลี่ยงหรือแก้ปัญหาแบบผิดๆ ทำให้เรื่องยิ่งแย่ เช่น ดื่มเหล้า, ใช้สารเสพติด, เล่นพนัน, เที่ยวกลางคืน หรือมี one night stand
  • รู้สึกไม่มีความสุข มีแต่อารมณ์ด้านลบ เช่น เครียด, กังวล, หงุดหงิด, โกรธ, ไม่พอใจ
  • บางคนมีปัญหาความสัมพันธ์กับคนอื่น เช่น ทะเลาะ, อิจฉา

 วิธีการช่วยให้มี Self-Esteem ที่ดีขึ้น 
เพื่อที่เราจะได้รักตัวเองให้มากขึ้น

1. หาสิ่งที่ตัวเองชอบ ถนัดหรือทำได้ดี

ทำกิจกรรมที่ทำแล้วมีความสุข เช่น เล่นดนตรี, กีฬา, ทำศิลปะ และทำโดยไม่จำเป็นต้องเอาชนะใคร ไม่ต้องเป็นที่หนึ่ง ทำแล้วรู้สึกดี ก็เพียงพอแล้ว

2.ทำเรื่องเรียนหรือทำงานให้ดีที่สุดเต็มความสามารถ

ชื่นชมที่ความพยายาม (means) มากกว่าจะมองแค่ที่ผลลัพธ์ (ends) เพราะเราไปควบคุมปัจจัยอื่นได้ยาก

3. พยายามเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสังคม

ลองเข้าร่วมเป็นสมาชิกชมรมต่างๆ หรือมีกลุ่มเพื่อนไว้พูดคุย เพราะคนเรามองตัวเองผ่านสิ่งที่คนอื่นกระทำกับเรา เช่น การได้รับคำชม, การได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (sense of belonging)

 4.ดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี

 การมีร่างกายที่แข็งแรง สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้เต็มที่ ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ กินให้อิ่ม นอนให้หลับ ออกกำลังกาย ไม่ทำสิ่งที่ทำลายสุขภาพ   เช่น กินเหล้า, สูบบุหรี่ 

5.ตั้งเป้าหมายในการทำสิ่งต่างๆ

 การประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆ ที่เราตั้งเป้าหมายเอาไว้ จะเป็นการเพิ่ม Self-esteem เพราะเรา “สามารถทำได้” เป้าหมายไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ ค่อยเป็นค่อยไปตามระดับความสามารถของเรา หากเราตั้งเป้าหมายที่สูงจนเกินไป บางทีจะทำให้สำเร็จได้ยาก ทำให้เรารู้สึกผิดหวังกับตัวเอง

 6. หัดชมตัวเองและมองสิ่งที่เป็นบวก

 การที่เรามีคนอื่นชื่นชมและยอมรับเป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้เรามีกำลังใจ แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่คนอื่นจะมาชมเรา

เราสามารถคาดหวังที่จะได้รับคำชมจากคนอื่นได้ แต่ต้องไม่มากจนเกินไป เพราะถ้าเราตั้งเป้าหมายว่า “ความสำเร็จจากการทำต้องมาจากการชื่นชมของคนอื่น” เรามีโอกาสผิดหวังได้

อย่างน้อยถ้าเราพยายามและตั้งใจที่จะทำสิ่งดีๆแล้ว แม้ไม่มีคนอื่นชม เราสามารถชื่นชมตัวเองและให้กำลังใจตัวเอง โดยชื่นชมตัวเองตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

โดยสรุปแล้ว การโอ้อวดวัตถุนิยมกันในโลกโซเชียลมีเดีย มีความสัมพันธ์กับ self-esteem ในบางกรณี ซึ่งเป็นไปได้ทั้งทางบวกและลบ หากให้ดี healthy self-esteem ควรมาจากคุณลักษณะที่ดีที่ได้รับการยอมรับจากโลกของความจริงมากกว่า ดังนั้นเริ่มจากปิดหน้าจอแล้วเดินไปคุยกับคนอื่นในโลกแห่งความเป็นจริงนะคะ

ข้อมูลจากhttps://www.psychologytoday.com/us/blog/un-numb/202311/speaking-gen-zhttps://www.mind.org.uk/information-support/types-of-mental-health-problems/self-esteem/tips-to-improve-your-self-esteem/https://psychcentral.com/lib/what-is-self-esteem#1

 หมอแมวน้ำเล่าเรื่อง “จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น”

หมอแมวน้ำ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น