เรื่องนี้โรงเรียนไม่ได้สอน : แจกคำศัพท์สำคัญ! ที่เรียนบริหารธุรกิจต้องเจอ

สวัสดีค่ะน้อง ๆ Dek-D ทุกคน เชื่อว่าต้องมีใครที่กำลังสนใจ หรือเล็งที่จะเรียนต่อในสายการเรียนเกี่ยวกับบริหารธุรกิจแน่นอน รู้ไหมคะว่าคำศัพท์เกี่ยวกับการเรียนในสายบริหารธุรกิจเนี่ย ถ้าสังเกตหรือฟังข่าวก็สามารถพบเจอได้อยู่บ่อย ๆ เลย

ในชีวิตประจำวันถ้าเรียนอยู่หรือเรียนจบแล้ว และต้องการทำงานเกี่ยวกับบริหารธุรกิจโดยตรงหรือประกอบอาชีพอะไรจะได้ใช้อยู่บ่อย ๆ แน่นอน รู้ไว้ไม่เสียหายแน่นอน วันนี้พี่นิ้งขอพาไปรู้จักกับคำศัพท์บริหารธุรกิจกันค่ะ
 

แจก 50 คำศัพท์ที่ต้องเจอเมื่อเรียนบริหารธุรกิจ

รูปภาพจาก Freepik
รูปภาพจาก Freepik
  1. Management แปลว่า  การบริหารจัดการ
  2. Strategy แปลว่า กลยุทธ์
  3. Leadership แปลว่า ความเป็นผู้นำ
  4. Marketing แปลว่า การตลาด
  5. Finance แปลว่า การเงิน
  6. Economics แปลว่า เศรษฐศาสตร์
  7. Operations แปลว่า การดำเนินงาน
  8. Human Resources แปลว่า ทรัพยากรมนุษย์
  9. Business Plan แปลว่า แผนธุรกิจ
  10. SWOT Analysis แปลว่า การวิเคราะห์ SWOT (จุดแข็ง, จุดอ่อน, โอกาส, อุปสรรค)
  11. Cash Flow แปลว่า กระแสเงินสด
  12. Profit Margin แปลว่า อัตรากำไร
  13. Revenue แปลว่า รายได้
  14. Cost of Goods Sold แปลว่า ต้นทุนขาย
  15. Return on Investment แปลว่า ผลตอบแทนจากการลงทุน
  16. Business Model แปลว่า รูปแบบธุรกิจ
  17. Shareholder  แปลว่า ผู้ถือหุ้น
  18. Stakeholder แปลว่า ผู้มีส่วนได้เสีย
  19. Branding  แปลว่า การสร้างแบรนด์
  20. Customer Relationship Management (CRM) แปลว่า การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า
  21. Market Research แปลว่า  การวิจัยตลาด
  22. Supply Chain แปลว่า ห่วงโซ่อุปทาน
  23. Business Ethics  แปลว่า จริยธรรมทางธุรกิจ
  24. Corporate Social Responsibility (CSR)  แปลว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร
  25. Merger แปลว่า  การควบรวมกิจการ
  26. Business Model Canvas แปลว่า โมเดลธุรกิจ
  27. Franchise  แปลว่า แฟรนไชส์
  28. B2B (Business to Business) แปลว่า  ธุรกิจต่อธุรกิจ
  29. B2C (Business to Consumer) แปลว่า  ธุรกิจต่อผู้บริโภค
  30. Value Proposition แปลว่า ข้อเสนอคุณค่า
  31. Competitive Advantage แปลว่า ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน
  32. Innovation แปลว่า  นวัตกรรม
  33. Diversification  แปลว่า การกระจายความเสี่ยง
  34. Forecasting แปลว่า การทำนายหรือคาดการณ์
  35. KPIs (Key Performance Indicators) แปลว่า ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานหลัก
  36. Organizational Culture แปลว่า วัฒนธรรมองค์กร
  37. Outsourcing  แปลว่า การจ้างภายนอก
  38. Negotiation แปลว่า  การเจรจาต่อรอง
  39. Entrepreneur แปลว่า ผู้ประกอบการ
  40. Venture Capital แปลว่า เงินทุนร่วมลงทุน
  41. Intellectual Property แปลว่า ทรัพย์สินทางปัญญา
  42. E-commerce  แปลว่า การค้าผ่านอินเทอร์เน็ต
  43. Supply and Demand  แปลว่า อุปทานและอุปสงค์
  44. Market Share  แปลว่า ส่วนแบ่งการตลาด
  45. Globalization  แปลว่า โลกาภิวัตน์
  46. Sustainability แปลว่า  ความยั่งยืน
  47. Risk Management แปลว่า การบริหารความเสี่ยง
  48. Value Chain แปลว่า ห่วงโซ่มูลค่า
  49. Corporate Governance แปลว่า การกำกับดูแลกิจการองค์กร
  50. Target แปลว่า กลุ่มเป้าหมาย
รูปภาพจาก Freepik
รูปภาพจาก Freepik

เรื่องที่ได้เรียน คำที่เจอบ่อย ออกสอบบ่อย!

1. B2B 

B2B หรือ Business-to-Business คือ การทำการค้าระหว่างธุรกิจทำกับธุรกิจด้วยกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ตอบสนองความต้องการทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านวัตถุดิบ การผลิตสินค้า หรือการบริการ เพื่อประโยชน์หรือการพัฒนาธุจกิจขององค์กร โดยไม่ใช่การนำไปเพื่ออุปโภคหรือบริโภคเอง 

เช่น การซื้อผ้ามาเพื่อผลิตเสื้อ ธุรกิจ B2B ที่พบเห็นกันได้บ่อย ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นธุรกิจด้านขนส่งอย่าง DHL เป็นต้น ซึ่ง B2B ก็คล้ายกับ B2C ที่ขยายจากตลาดออฟไลน์มาสู่ตลาดออนไลน์ แต่ต่างกันตรงที่ การทำงานจะเปลี่ยนจาก ระหว่างลูกค้าและเจ้าของธุรกิจ มาเป็น เจ้าของธุรกิจและเจ้าของธุรกิจ โดยการนำระบบออนไลน์นั้นมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจทั้งสองรูปแบบ แต่ธุรกิจแบบ B2B สามารถต่อยอดไปได้ไกลยิ่งขึ้นผ่านระบบ e-Commerce และการตลาดออนไลน์ ทำให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

2. B2C

B2C หรือ Business-to-Customer คือ ธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการระหว่างเจ้าของธุรกิจ(B) และผู้บริโภครายบุคคล(C) เป็นประเภทธุรกิจ E-commerce ที่มีความสัมพันธ์ระยะสั้นระหว่างเจ้าของธุรกิจและผู้ซื้อโดยตรง ซึ่งปัจจุบันธุรกิจประเภทนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมาก เนื่องจากมีการเข้าถึงระบบออนไลน์ และเว็บไซต์ได้ง่าย ตัวอย่างธุรกิจ B2C ได้แก่ประเภทสินค้า เช่น อาหาร, เสื้อผ้า และ ประเภทบริการ เช่น สายการบิน, โรงแรม 

3. SWOT

SWOT Analysis หมายถึง กระบวนการที่ใช้ในการวิเคราะห์ปัจจัยภายในและภายนอกของธุรกิจ เพื่อประเมินสถานการณ์และวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสม SWOT เป็นคำย่อมาจาก Strengths (จุดแข็ง), Weaknesses (จุดอ่อน), Opportunities (โอกาส), และ Threats (ภัยคุกคาม) การวิเคราะห์ SWOT ช่วยให้สามารถมองเห็นภาพรวมของสถานการณ์ปัจจุบันและโอกาสในอนาคตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

SWOT คือ เครื่องมือที่ประกอบด้วยการวิเคราะห์ 4 ปัจจัยหลัก 

 

Strengths จุดแข็ง เป็นปัจจัยภายในที่ส่งเสริมความได้เปรียบของธุรกิจ เช่น คุณภาพของผลิตภัณฑ์, แบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก, หรือเทคโนโลยีที่ทันสมัย 

 

Weaknesses จุดอ่อน หมายถึงปัจจัยภายในที่ทำให้ธุรกิจของคุณมีความเสี่ยงหรือเสียเปรียบต่อคู่แข่ง เช่น ระบบการจัดการที่ไม่ดี, ขาดทรัพยากรที่จำเป็น, หรือการบริการที่ไม่ตอบโจทย์ลูกค้า 

 

Opportunities โอกาส เป็นปัจจัยภายนอกที่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จและการเติบโตของธุรกิจ การมองหาโอกาส ด้วย SWOT คือ เครื่องมือที่ช่วยให้สามารถมองเห็นโอกาสใหม่ ๆ ในตลาดหรือเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจหรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ตลาด โอกาสเหล่านี้เป็นสิ่งที่ธุรกิจควรใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มรายได้และความสำเร็จในระยะยาว

 

Threats ภัยคุกคาม คือปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลเสียต่อธุรกิจ เช่น การแข่งขันที่รุนแรง, การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย, หรือภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ภัยคุกคามในการวิเคราะห์ SWOT คือ การระบุภัยคุกคามเหล่านี้เพื่อให้สามารถเตรียมความพร้อมและหาวิธีป้องกันหรือรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

4. 4P

4P (Marketing Mix) หรือ ส่วนผสมทางการตลาด คือ แนวคิดปัจจัย 4 อย่างที่ธุรกิจต้องวิเคราะห์เพื่อช่วยในการวางแผนการทำงานการตลาดซึ่ง 4P จะประกอบไปด้วย Product (สินค้า), Price (ราคา), Place (ช่องทางการจำหน่าย) และ Promotion (การส่งเสริมการขาย) 

1.ผลิตภัณฑ์ (Product) 

ผลิตภัณฑ์ คือสิ่งที่ธุรกิจต้องการขายให้กับผู้บริโภคและต้องเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ โดยผลิตภัณฑ์ในที่นี้อาจเป็นสินค้าหรือบริการก็ได้ ซึ่งต้องมีประโยชน์และสร้างคุณค่า ให้กับผู้บริโภค ตอบสนองต่อการใช้งานและสร้างความพึงพอใจกับผู้บริโภคได้ดี ซึ่งเหตุผลนี้จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์สามารถขายได้ หรือในกรณีที่มีผลิตภัณฑ์มาอยู่ก่อนแล้วก็ต้องเน้นในเรื่องของการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ ต้องมีความเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ของเราคืออะไร อะไรคือสิ่งที่เราควรเพิ่มหรือปรับปรุงตัวผลิตภัณฑ์ของเรา 

  • หน้าที่และประโยชน์ใช้สอยพื้นฐาน (Function)
  • รูปร่างลักษณะ (Feature and Design)
  • คุณภาพ (Quality Level)
  • การบรรจุภัณฑ์ (Packaging)
  • ตราสินค้า (Brand) : ชื่อ (Name) คำ (Term) สัญลักษณ์ (Symbol) การออกแบบ (Design)

2. ราคา (Price)

ราคา คือคุณค่าหรือมูลค่าของตัวผลิตภัณฑ์ที่แสดงออกมาในรูปของตัวเงิน ซึ่งราคาถือเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์แต่ละแบรนด์เป็นอันดับแรก โดยผู้บริโภคจะเปรียบเทียบระหว่างคุณค่าที่ได้รับว่าเหมาะสมกับราคาหรือไม่ ดังนั้นในฐานะเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการก็ควรต้องกำหนดราคาให้เหมาะสมกับสิ่งที่ผู้บริโภคได้รับก่อนที่จะปล่อยผลิตภัณฑ์ออกสู่ท้องตลาดเสมอ 

  • ต้นทุน (Cost)  ค่าวัสดุ ค่ากำลังการผลิต ค่าแพคเกจจิ้ง ค่าสถานที่ เงินเดือนพนักงานหรือลูกจ้าง และค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาทั้งออนไลน์และออฟไลน์ (เช่น ยิงแอด ทำโฆษณาออนไลน์ ฯลฯ)
  • ราคาของคู่แข่ง ควรตั้งราคาให้เหมาะสมหรือใกล้เคียงกัน เพื่อไม่ให้เกิดการเปรียบเทียบกันจนเกินไป

3. ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place)

ช่องทางการจัดจำหน่าย คือปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับที่ตั้งและรูปแบบสถานที่ให้บริการ โดยต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของเราเพื่อให้เกิดการเพิ่มมูลค่าของธุรกิจ 

  • รูปแบบสถานที่ขายผลิตภัณฑ์หรือบริการ ต้องกำหนดตามความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์หรือการให้บริการ และกลุ่มผู้ใช้หรือผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งรูปแบบต่าง ๆ เช่นสินค้าแบบไหนควรขายที่สถานที่ใด Supermarket, ตลาดสด, ร้านสะดวกซื้อ, ร้านแผงลอยริมทาง, ช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่นเว็บไซต์ E-Commerce, Facebook Page, Instagram ฯลฯ
  • สถานที่ตั้งของร้านค้า  ต้องวิเคราะห์ก่อนลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจคือใคร
  • มีคู่แข่งขันหรือร้านค้าที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการประเภทเดียวกันหรือใกล้เคียงกันในบริเวณนั้นหรือไม่ แล้วจึงค่อยตัดสินใจเลือกสถานที่ตั้งของร้านค้า

4. การส่งเสริมการตลาด (Promotion) 

การส่งเสริมการตลาด คือการสื่อสารกันระหว่างธุรกิจและผู้บริโภค เพื่อกระตุ้นการขายผ่านช่องทางและกลยุทธ์ต่าง ๆ เข้ามาช่วยไม่ว่าจะเป็นการใช้กลยุทธ์ด้าน Digital Marketing, กลยุทธ์ Social Media Marketing ซึ่งประกอบไปด้วย การยิงแอด , สร้างเพจ Facebook, การใช้งาน Influencer หรือการคิดโปรโมชันตามช่องทางต่างๆ ก็ล้วนเป็นวิธีการส่งเสริมการตลาดที่น่าสนใจ โดยผ่านเครื่องมือส่งเสริมการตลาดไม่ว่าจะเป็น

  • การโฆษณา (Advertising)
  • การขายโดยใช้พนักงานขาย (Personal Selling)
  • การตลาดทางตรง (Direct Marketing)
  • การให้ข่าวและประชาสัมพันธ์ (Publicity and Public Relation)
  • การส่งเสริมการขาย (Sale Promotion)

5. Five Forces Model 

Michael E. Porter ศาสตราจารย์จาก Harvard Business School ผู้ที่คิดค้นทฤษฎี Five Forces Model ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ได้กล่าวถึงปัจจัย 5 อย่างที่เป็นแรงกดดันส่งผลกระทบต่อการแข่งขันของตลาดในแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจัยต่างๆ นี้เองจะทำให้วิเคราะห์ได้ว่าอุตสาหกรรมนั้นๆ มีการแข่งขันแบบใด การแข่งขันสูงหรือไม่ อีกทั้ง 5 Forces Model ยังช่วยวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละอุตสาหกรรมได้เช่นกัน เพื่อให้การทำธุรกิจสามารถคาดการณ์และวิเคราะห์เพื่อการวางแผนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี
 

  1. อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ (Bargaining Power of Customers)
    ลูกค้ามีอำนาจต่อรองสูงหากซื้อจำนวนมากหรือมีทางเลือกหลากหลาย ธุรกิจต้องสร้างความแตกต่าง เช่น โปรโมชั่น ลดแลกแจกแถม เพื่อรักษาลูกค้าและลดการเปลี่ยนไปใช้สินค้าคู่แข่ง
  2. อำนาจต่อรองของผู้ผลิต (Power of Suppliers)
    หากซัพพลายเออร์มีจำนวนน้อยหรือวัตถุดิบหายาก พวกเขาจะมีอำนาจกำหนดราคา ธุรกิจควรบริหารต้นทุนและมองหาทางเลือกเพื่อลดการพึ่งพาผู้ผลิตรายใดรายหนึ่ง
  3. ภัยคุกคามจากผู้เข้ามาใหม่ (Threat of New Entrants)
    ผู้เล่นใหม่อาจแย่งส่วนแบ่งตลาด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ ธุรกิจเดิมต้องสร้างความได้เปรียบ เช่น การพัฒนาแบรนด์ ช่องทางจัดจำหน่าย หรือสร้างความภักดีของลูกค้า
  4. ภัยคุกคามจากผลิตภัณฑ์ทดแทน (Threat of Substitutes)
    สินค้าทดแทนที่ถูกกว่า หรือใช้งานสะดวกกว่า อาจดึงลูกค้าไป ธุรกิจต้องพัฒนาและปรับตัวให้ทันเทคโนโลยี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
  5. การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม (Industry Rivalry)
    จำนวนคู่แข่ง ยิ่งมาก การแข่งขันยิ่งสูง ธุรกิจต้องสร้างจุดขายที่ชัดเจน ควบคุมต้นทุน และปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มตลาด เพื่อรักษาส่วนแบ่งและความสามารถในการทำกำไร

6. Business Model Canvas 

Business Model Canvas หรือ โมเดลธุรกิจ คือ เครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการและธุรกิจ สามารถนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์ และสื่อสารรูปแบบการดำเนินงานของธุรกิจตนให้กับบุคคลภายในองค์กรได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง โมเดลธุรกิจนี้ถูกคิดค้นโดย Alexander Osterwalder และ Yves Pigneur ซึ่งปัจจุบันได้กลายมาเป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย สำหรับผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพ และจนไปถึงธุรกิจขนาดใหญ่ 

Business Model Canvas เป็นเครื่องมือช่วยวิเคราะห์และวางแผนธุรกิจให้เข้าใจภาพรวมได้อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบหลัก ได้แก่

  1. พันธมิตรหลัก (Key Partners) การร่วมมือกับบุคคลหรือองค์กรที่ช่วยเสริมศักยภาพธุรกิจ เช่น ผู้ให้บริการขนส่ง ระบบชำระเงิน ซัพพลายเออร์
  2. กิจกรรมหลัก (Key Activities) กิจกรรมที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ เช่น การผลิต การออกแบบ การพัฒนานวัตกรรม
  3. ทรัพยากรหลัก (Key Resources) ทรัพยากรที่ธุรกิจต้องมี เช่น เครื่องจักร เทคโนโลยี สิทธิบัตร ทรัพยากรมนุษย์
  4. คุณค่าที่ส่งมอบ (Value Proposition) จุดเด่นของสินค้า/บริการ ที่ช่วยแก้ปัญหาหรือตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่าคู่แข่ง
  5. ความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship) วิธีสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น บริการหลังการขาย ระบบสมาชิก การให้คำแนะนำ
  6. กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Customer Segments) การแบ่งกลุ่มลูกค้าเพื่อให้สื่อสารและส่งมอบคุณค่าได้อย่างตรงจุด
  7. ช่องทางการสื่อสารและจำหน่าย (Channels) วิธีนำเสนอสินค้าและบริการให้ลูกค้า เช่น ร้านค้าออนไลน์ โซเชียลมีเดีย ตัวแทนจำหน่าย
  8. แหล่งรายได้ (Revenue Streams) วิธีสร้างรายได้จากธุรกิจ เช่น ขายสินค้า ค่าสมัครสมาชิก ค่าโฆษณา
  9. โครงสร้างต้นทุน (Cost Structure) การบริหารต้นทุน เช่น ต้นทุนคงที่ (ค่าเช่า ค่าเงินเดือน) ต้นทุนผันแปร (ค่าวัตถุดิบ ค่าแรง) และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ

 

เป็นอย่างไรบ้างคะ นี่ก็เป็นคำศัพท์และเรื่องที่ได้เรียนส่วนหนึ่งที่ถ้าเข้าไปเรียนเกี่ยวกับบริหารธุรกิจรับรองว่าน้อง ๆ ได้เจอ ได้ใช้แน่นอน และยังใช้ในการทำงานในอนาคตได้อีกด้วยนะคะ 

ที่มาhttps://www.mycloudfulfillment.com/blog/education/b2c-b2b-b2b2chttps://www.disruptignite.com/blog/what-is-swothttps://thedigitaltips.com/blog/marketing/marketing-mix/https://th.jobsdb.com/th/career-advice/article/what-is-five-forces-modelhttps://www.timeconsulting.co.th/what-is-business-model-canvas

 

พี่นิ้ง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น