สวัสดีค่ะน้อง ๆ Dek-D ทุกคน เชื่อว่าต้องมีใครที่กำลังสนใจ หรือเล็งที่จะเรียนต่อในสายการเรียนเกี่ยวกับบริหารธุรกิจแน่นอน รู้ไหมคะว่าคำศัพท์เกี่ยวกับการเรียนในสายบริหารธุรกิจเนี่ย ถ้าสังเกตหรือฟังข่าวก็สามารถพบเจอได้อยู่บ่อย ๆ เลย
ในชีวิตประจำวันถ้าเรียนอยู่หรือเรียนจบแล้ว และต้องการทำงานเกี่ยวกับบริหารธุรกิจโดยตรงหรือประกอบอาชีพอะไรจะได้ใช้อยู่บ่อย ๆ แน่นอน รู้ไว้ไม่เสียหายแน่นอน วันนี้พี่นิ้งขอพาไปรู้จักกับคำศัพท์บริหารธุรกิจกันค่ะ
แจก 50 คำศัพท์ที่ต้องเจอเมื่อเรียนบริหารธุรกิจ
- Management แปลว่า การบริหารจัดการ
- Strategy แปลว่า กลยุทธ์
- Leadership แปลว่า ความเป็นผู้นำ
- Marketing แปลว่า การตลาด
- Finance แปลว่า การเงิน
- Economics แปลว่า เศรษฐศาสตร์
- Operations แปลว่า การดำเนินงาน
- Human Resources แปลว่า ทรัพยากรมนุษย์
- Business Plan แปลว่า แผนธุรกิจ
- SWOT Analysis แปลว่า การวิเคราะห์ SWOT (จุดแข็ง, จุดอ่อน, โอกาส, อุปสรรค)
- Cash Flow แปลว่า กระแสเงินสด
- Profit Margin แปลว่า อัตรากำไร
- Revenue แปลว่า รายได้
- Cost of Goods Sold แปลว่า ต้นทุนขาย
- Return on Investment แปลว่า ผลตอบแทนจากการลงทุน
- Business Model แปลว่า รูปแบบธุรกิจ
- Shareholder แปลว่า ผู้ถือหุ้น
- Stakeholder แปลว่า ผู้มีส่วนได้เสีย
- Branding แปลว่า การสร้างแบรนด์
- Customer Relationship Management (CRM) แปลว่า การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า
- Market Research แปลว่า การวิจัยตลาด
- Supply Chain แปลว่า ห่วงโซ่อุปทาน
- Business Ethics แปลว่า จริยธรรมทางธุรกิจ
- Corporate Social Responsibility (CSR) แปลว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร
- Merger แปลว่า การควบรวมกิจการ
- Business Model Canvas แปลว่า โมเดลธุรกิจ
- Franchise แปลว่า แฟรนไชส์
- B2B (Business to Business) แปลว่า ธุรกิจต่อธุรกิจ
- B2C (Business to Consumer) แปลว่า ธุรกิจต่อผู้บริโภค
- Value Proposition แปลว่า ข้อเสนอคุณค่า
- Competitive Advantage แปลว่า ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน
- Innovation แปลว่า นวัตกรรม
- Diversification แปลว่า การกระจายความเสี่ยง
- Forecasting แปลว่า การทำนายหรือคาดการณ์
- KPIs (Key Performance Indicators) แปลว่า ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานหลัก
- Organizational Culture แปลว่า วัฒนธรรมองค์กร
- Outsourcing แปลว่า การจ้างภายนอก
- Negotiation แปลว่า การเจรจาต่อรอง
- Entrepreneur แปลว่า ผู้ประกอบการ
- Venture Capital แปลว่า เงินทุนร่วมลงทุน
- Intellectual Property แปลว่า ทรัพย์สินทางปัญญา
- E-commerce แปลว่า การค้าผ่านอินเทอร์เน็ต
- Supply and Demand แปลว่า อุปทานและอุปสงค์
- Market Share แปลว่า ส่วนแบ่งการตลาด
- Globalization แปลว่า โลกาภิวัตน์
- Sustainability แปลว่า ความยั่งยืน
- Risk Management แปลว่า การบริหารความเสี่ยง
- Value Chain แปลว่า ห่วงโซ่มูลค่า
- Corporate Governance แปลว่า การกำกับดูแลกิจการองค์กร
- Target แปลว่า กลุ่มเป้าหมาย
เรื่องที่ได้เรียน คำที่เจอบ่อย ออกสอบบ่อย!
1. B2B
B2B หรือ Business-to-Business คือ การทำการค้าระหว่างธุรกิจทำกับธุรกิจด้วยกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ตอบสนองความต้องการทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านวัตถุดิบ การผลิตสินค้า หรือการบริการ เพื่อประโยชน์หรือการพัฒนาธุจกิจขององค์กร โดยไม่ใช่การนำไปเพื่ออุปโภคหรือบริโภคเอง
เช่น การซื้อผ้ามาเพื่อผลิตเสื้อ ธุรกิจ B2B ที่พบเห็นกันได้บ่อย ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นธุรกิจด้านขนส่งอย่าง DHL เป็นต้น ซึ่ง B2B ก็คล้ายกับ B2C ที่ขยายจากตลาดออฟไลน์มาสู่ตลาดออนไลน์ แต่ต่างกันตรงที่ การทำงานจะเปลี่ยนจาก ระหว่างลูกค้าและเจ้าของธุรกิจ มาเป็น เจ้าของธุรกิจและเจ้าของธุรกิจ โดยการนำระบบออนไลน์นั้นมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจทั้งสองรูปแบบ แต่ธุรกิจแบบ B2B สามารถต่อยอดไปได้ไกลยิ่งขึ้นผ่านระบบ e-Commerce และการตลาดออนไลน์ ทำให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น
2. B2C
B2C หรือ Business-to-Customer คือ ธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการระหว่างเจ้าของธุรกิจ(B) และผู้บริโภครายบุคคล(C) เป็นประเภทธุรกิจ E-commerce ที่มีความสัมพันธ์ระยะสั้นระหว่างเจ้าของธุรกิจและผู้ซื้อโดยตรง ซึ่งปัจจุบันธุรกิจประเภทนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมาก เนื่องจากมีการเข้าถึงระบบออนไลน์ และเว็บไซต์ได้ง่าย ตัวอย่างธุรกิจ B2C ได้แก่ประเภทสินค้า เช่น อาหาร, เสื้อผ้า และ ประเภทบริการ เช่น สายการบิน, โรงแรม
3. SWOT
SWOT Analysis หมายถึง กระบวนการที่ใช้ในการวิเคราะห์ปัจจัยภายในและภายนอกของธุรกิจ เพื่อประเมินสถานการณ์และวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสม SWOT เป็นคำย่อมาจาก Strengths (จุดแข็ง), Weaknesses (จุดอ่อน), Opportunities (โอกาส), และ Threats (ภัยคุกคาม) การวิเคราะห์ SWOT ช่วยให้สามารถมองเห็นภาพรวมของสถานการณ์ปัจจุบันและโอกาสในอนาคตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
SWOT คือ เครื่องมือที่ประกอบด้วยการวิเคราะห์ 4 ปัจจัยหลัก
Strengths จุดแข็ง เป็นปัจจัยภายในที่ส่งเสริมความได้เปรียบของธุรกิจ เช่น คุณภาพของผลิตภัณฑ์, แบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก, หรือเทคโนโลยีที่ทันสมัย
Weaknesses จุดอ่อน หมายถึงปัจจัยภายในที่ทำให้ธุรกิจของคุณมีความเสี่ยงหรือเสียเปรียบต่อคู่แข่ง เช่น ระบบการจัดการที่ไม่ดี, ขาดทรัพยากรที่จำเป็น, หรือการบริการที่ไม่ตอบโจทย์ลูกค้า
Opportunities โอกาส เป็นปัจจัยภายนอกที่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จและการเติบโตของธุรกิจ การมองหาโอกาส ด้วย SWOT คือ เครื่องมือที่ช่วยให้สามารถมองเห็นโอกาสใหม่ ๆ ในตลาดหรือเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจหรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ตลาด โอกาสเหล่านี้เป็นสิ่งที่ธุรกิจควรใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มรายได้และความสำเร็จในระยะยาว
Threats ภัยคุกคาม คือปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลเสียต่อธุรกิจ เช่น การแข่งขันที่รุนแรง, การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย, หรือภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ภัยคุกคามในการวิเคราะห์ SWOT คือ การระบุภัยคุกคามเหล่านี้เพื่อให้สามารถเตรียมความพร้อมและหาวิธีป้องกันหรือรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
4. 4P
4P (Marketing Mix) หรือ ส่วนผสมทางการตลาด คือ แนวคิดปัจจัย 4 อย่างที่ธุรกิจต้องวิเคราะห์เพื่อช่วยในการวางแผนการทำงานการตลาดซึ่ง 4P จะประกอบไปด้วย Product (สินค้า), Price (ราคา), Place (ช่องทางการจำหน่าย) และ Promotion (การส่งเสริมการขาย)
1.ผลิตภัณฑ์ (Product)
ผลิตภัณฑ์ คือสิ่งที่ธุรกิจต้องการขายให้กับผู้บริโภคและต้องเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ โดยผลิตภัณฑ์ในที่นี้อาจเป็นสินค้าหรือบริการก็ได้ ซึ่งต้องมีประโยชน์และสร้างคุณค่า ให้กับผู้บริโภค ตอบสนองต่อการใช้งานและสร้างความพึงพอใจกับผู้บริโภคได้ดี ซึ่งเหตุผลนี้จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์สามารถขายได้ หรือในกรณีที่มีผลิตภัณฑ์มาอยู่ก่อนแล้วก็ต้องเน้นในเรื่องของการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ ต้องมีความเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ของเราคืออะไร อะไรคือสิ่งที่เราควรเพิ่มหรือปรับปรุงตัวผลิตภัณฑ์ของเรา
- หน้าที่และประโยชน์ใช้สอยพื้นฐาน (Function)
- รูปร่างลักษณะ (Feature and Design)
- คุณภาพ (Quality Level)
- การบรรจุภัณฑ์ (Packaging)
- ตราสินค้า (Brand) : ชื่อ (Name) คำ (Term) สัญลักษณ์ (Symbol) การออกแบบ (Design)
2. ราคา (Price)
ราคา คือคุณค่าหรือมูลค่าของตัวผลิตภัณฑ์ที่แสดงออกมาในรูปของตัวเงิน ซึ่งราคาถือเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์แต่ละแบรนด์เป็นอันดับแรก โดยผู้บริโภคจะเปรียบเทียบระหว่างคุณค่าที่ได้รับว่าเหมาะสมกับราคาหรือไม่ ดังนั้นในฐานะเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการก็ควรต้องกำหนดราคาให้เหมาะสมกับสิ่งที่ผู้บริโภคได้รับก่อนที่จะปล่อยผลิตภัณฑ์ออกสู่ท้องตลาดเสมอ
- ต้นทุน (Cost) ค่าวัสดุ ค่ากำลังการผลิต ค่าแพคเกจจิ้ง ค่าสถานที่ เงินเดือนพนักงานหรือลูกจ้าง และค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาทั้งออนไลน์และออฟไลน์ (เช่น ยิงแอด ทำโฆษณาออนไลน์ ฯลฯ)
- ราคาของคู่แข่ง ควรตั้งราคาให้เหมาะสมหรือใกล้เคียงกัน เพื่อไม่ให้เกิดการเปรียบเทียบกันจนเกินไป
3. ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place)
ช่องทางการจัดจำหน่าย คือปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับที่ตั้งและรูปแบบสถานที่ให้บริการ โดยต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของเราเพื่อให้เกิดการเพิ่มมูลค่าของธุรกิจ
- รูปแบบสถานที่ขายผลิตภัณฑ์หรือบริการ ต้องกำหนดตามความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์หรือการให้บริการ และกลุ่มผู้ใช้หรือผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งรูปแบบต่าง ๆ เช่นสินค้าแบบไหนควรขายที่สถานที่ใด Supermarket, ตลาดสด, ร้านสะดวกซื้อ, ร้านแผงลอยริมทาง, ช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่นเว็บไซต์ E-Commerce, Facebook Page, Instagram ฯลฯ
- สถานที่ตั้งของร้านค้า ต้องวิเคราะห์ก่อนลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจคือใคร
- มีคู่แข่งขันหรือร้านค้าที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการประเภทเดียวกันหรือใกล้เคียงกันในบริเวณนั้นหรือไม่ แล้วจึงค่อยตัดสินใจเลือกสถานที่ตั้งของร้านค้า
4. การส่งเสริมการตลาด (Promotion)
การส่งเสริมการตลาด คือการสื่อสารกันระหว่างธุรกิจและผู้บริโภค เพื่อกระตุ้นการขายผ่านช่องทางและกลยุทธ์ต่าง ๆ เข้ามาช่วยไม่ว่าจะเป็นการใช้กลยุทธ์ด้าน Digital Marketing, กลยุทธ์ Social Media Marketing ซึ่งประกอบไปด้วย การยิงแอด , สร้างเพจ Facebook, การใช้งาน Influencer หรือการคิดโปรโมชันตามช่องทางต่างๆ ก็ล้วนเป็นวิธีการส่งเสริมการตลาดที่น่าสนใจ โดยผ่านเครื่องมือส่งเสริมการตลาดไม่ว่าจะเป็น
- การโฆษณา (Advertising)
- การขายโดยใช้พนักงานขาย (Personal Selling)
- การตลาดทางตรง (Direct Marketing)
- การให้ข่าวและประชาสัมพันธ์ (Publicity and Public Relation)
- การส่งเสริมการขาย (Sale Promotion)
5. Five Forces Model
Michael E. Porter ศาสตราจารย์จาก Harvard Business School ผู้ที่คิดค้นทฤษฎี Five Forces Model ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ได้กล่าวถึงปัจจัย 5 อย่างที่เป็นแรงกดดันส่งผลกระทบต่อการแข่งขันของตลาดในแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจัยต่างๆ นี้เองจะทำให้วิเคราะห์ได้ว่าอุตสาหกรรมนั้นๆ มีการแข่งขันแบบใด การแข่งขันสูงหรือไม่ อีกทั้ง 5 Forces Model ยังช่วยวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละอุตสาหกรรมได้เช่นกัน เพื่อให้การทำธุรกิจสามารถคาดการณ์และวิเคราะห์เพื่อการวางแผนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี
- อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ (Bargaining Power of Customers)
ลูกค้ามีอำนาจต่อรองสูงหากซื้อจำนวนมากหรือมีทางเลือกหลากหลาย ธุรกิจต้องสร้างความแตกต่าง เช่น โปรโมชั่น ลดแลกแจกแถม เพื่อรักษาลูกค้าและลดการเปลี่ยนไปใช้สินค้าคู่แข่ง - อำนาจต่อรองของผู้ผลิต (Power of Suppliers)
หากซัพพลายเออร์มีจำนวนน้อยหรือวัตถุดิบหายาก พวกเขาจะมีอำนาจกำหนดราคา ธุรกิจควรบริหารต้นทุนและมองหาทางเลือกเพื่อลดการพึ่งพาผู้ผลิตรายใดรายหนึ่ง - ภัยคุกคามจากผู้เข้ามาใหม่ (Threat of New Entrants)
ผู้เล่นใหม่อาจแย่งส่วนแบ่งตลาด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ ธุรกิจเดิมต้องสร้างความได้เปรียบ เช่น การพัฒนาแบรนด์ ช่องทางจัดจำหน่าย หรือสร้างความภักดีของลูกค้า - ภัยคุกคามจากผลิตภัณฑ์ทดแทน (Threat of Substitutes)
สินค้าทดแทนที่ถูกกว่า หรือใช้งานสะดวกกว่า อาจดึงลูกค้าไป ธุรกิจต้องพัฒนาและปรับตัวให้ทันเทคโนโลยี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาด - การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม (Industry Rivalry)
จำนวนคู่แข่ง ยิ่งมาก การแข่งขันยิ่งสูง ธุรกิจต้องสร้างจุดขายที่ชัดเจน ควบคุมต้นทุน และปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มตลาด เพื่อรักษาส่วนแบ่งและความสามารถในการทำกำไร
6. Business Model Canvas
Business Model Canvas หรือ โมเดลธุรกิจ คือ เครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการและธุรกิจ สามารถนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์ และสื่อสารรูปแบบการดำเนินงานของธุรกิจตนให้กับบุคคลภายในองค์กรได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง โมเดลธุรกิจนี้ถูกคิดค้นโดย Alexander Osterwalder และ Yves Pigneur ซึ่งปัจจุบันได้กลายมาเป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย สำหรับผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพ และจนไปถึงธุรกิจขนาดใหญ่
Business Model Canvas เป็นเครื่องมือช่วยวิเคราะห์และวางแผนธุรกิจให้เข้าใจภาพรวมได้อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบหลัก ได้แก่
- พันธมิตรหลัก (Key Partners) การร่วมมือกับบุคคลหรือองค์กรที่ช่วยเสริมศักยภาพธุรกิจ เช่น ผู้ให้บริการขนส่ง ระบบชำระเงิน ซัพพลายเออร์
- กิจกรรมหลัก (Key Activities) กิจกรรมที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ เช่น การผลิต การออกแบบ การพัฒนานวัตกรรม
- ทรัพยากรหลัก (Key Resources) ทรัพยากรที่ธุรกิจต้องมี เช่น เครื่องจักร เทคโนโลยี สิทธิบัตร ทรัพยากรมนุษย์
- คุณค่าที่ส่งมอบ (Value Proposition) จุดเด่นของสินค้า/บริการ ที่ช่วยแก้ปัญหาหรือตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่าคู่แข่ง
- ความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship) วิธีสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น บริการหลังการขาย ระบบสมาชิก การให้คำแนะนำ
- กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Customer Segments) การแบ่งกลุ่มลูกค้าเพื่อให้สื่อสารและส่งมอบคุณค่าได้อย่างตรงจุด
- ช่องทางการสื่อสารและจำหน่าย (Channels) วิธีนำเสนอสินค้าและบริการให้ลูกค้า เช่น ร้านค้าออนไลน์ โซเชียลมีเดีย ตัวแทนจำหน่าย
- แหล่งรายได้ (Revenue Streams) วิธีสร้างรายได้จากธุรกิจ เช่น ขายสินค้า ค่าสมัครสมาชิก ค่าโฆษณา
- โครงสร้างต้นทุน (Cost Structure) การบริหารต้นทุน เช่น ต้นทุนคงที่ (ค่าเช่า ค่าเงินเดือน) ต้นทุนผันแปร (ค่าวัตถุดิบ ค่าแรง) และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ที่มาhttps://www.mycloudfulfillment.com/blog/education/b2c-b2b-b2b2chttps://www.disruptignite.com/blog/what-is-swothttps://thedigitaltips.com/blog/marketing/marketing-mix/https://th.jobsdb.com/th/career-advice/article/what-is-five-forces-modelhttps://www.timeconsulting.co.th/what-is-business-model-canvasเป็นอย่างไรบ้างคะ นี่ก็เป็นคำศัพท์และเรื่องที่ได้เรียนส่วนหนึ่งที่ถ้าเข้าไปเรียนเกี่ยวกับบริหารธุรกิจรับรองว่าน้อง ๆ ได้เจอ ได้ใช้แน่นอน และยังใช้ในการทำงานในอนาคตได้อีกด้วยนะคะ
0 ความคิดเห็น