“ซองแดงแต่งผี” ภาพยนตร์คอมเมดี้สุดปัง! เจาะลึกเบื้องหลังความฮาและเคมีที่ลงตัวของ “บิวกิ้น–พีพี” กับผู้กำกับ “พี่หมู ชยนพ”

“ซองแดงแต่งผี” เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์รีเมคที่น่าจับตามองแห่งปี เพราะเป็นภาพยนตร์ที่รีเมคจาก Marry My Dead Body จากไต้หวัน โดยได้ “พี่โต้ง-บรรจง” โปรดิวซ์มือทอง และที่ขาดไม่ได้คือ “พี่หมู ชยนพ” ผู้กำกับภาพยนตร์สุดโปร ผู้กำกับหนังชื่อดังของไทยอย่าง Friend Zone, เมย์ไหน..ไฟแรงเฟร่อ หรือภาพยนตร์วัยรุ่นในตำนานอย่าง ซักซี้ด ห่วยขั้นเทพ มากไปกว่านั้นยังได้ “พีพี กฤษฏ์” และ “บิวกิ้น พุฒิพงศ์” คู่ขวัญของวงการบันเทิงไทยในการรับบทนำในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย เรียกได้ว่า ครบเครื่องตั้งแต่บท ผู้จัด ไปจนถึงนักแสดงเลยทีเดียว

วันนี้ พี่กล้วยหอม Dek-D Podcast จึงขออาสาพาทุกคนไปพูดคุยกับ “พี่หมู ชยนพ” ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องซองแดงแต่งผี ถึงแรงบันดาลใจในการสร้างหนังคอมเมดี้เรื่องนี้ และคำแนะนำสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการเรียนสายนิเทศอีกด้วย!

. . . . . . . . . .

สวัสดีค่าพี่หมู แนะนำตัวกับน้อง ๆ Dek-D Podcast หน่อยค่ะ

พี่หมู: สวัสดีครับ พี่ชื่อหมู ชยนพ บุญประกอบ นะครับ เป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องซองแดงแต่งผีครับ

พี่หมูช่วยเล่าถึง “จุดเริ่มต้น” ของหนังเรื่องนี้หน่อยค่ะ

พี่หมู: จุดเริ่มต้นมาจาก “พี่โต้ง บรรจง” โปรดิวเซอร์ของหนังเรื่องนี้ได้มีโอกาสไปดู Marry My Dead Body เวอร์ชันต้นฉบับที่เทศกาลหนังต่างประเทศ แล้วตอนที่ดูพี่โต้งก็อินมาก ถึงขนาดที่ว่าอยู่ในโรงแล้วปิ๊งไอเดียขึ้นมาเลย  โดยเฉพาะเคมีของตัวละคร ซึ่งดูเข้ากับ “พีพี-บิวกิ้น” มาก ๆ พี่โต้งก็คิดทันทีว่า ‘ถ้าจะรีเมกเรื่องนี้นะ และนักแสดงต้องเป็นสองคนนี้เท่านั้น!’  นอกจากนั้นแล้ว พี่โต้งได้นึกถึงเราขึ้นมาด้วย คงเพราะเราเคยทำหนังคอมเมดี้อย่าง Friend Zone มาก่อน พี่โต้งเลยรู้สึกว่าถ้าให้เรากำกับน่าจะออกมาลงตัวพอดี  พอหนังจบปุ๊บ แกก็ออกจากโรงมาคุยกับน้อง ๆ ที่ไปดูด้วยกัน แล้วโทรหาเราเลย! เอาจริง ๆ เหมือนถูกหวยเลยครับ

แล้วหนังเรื่อง Marry My Dead Body มีจุดเด่นอย่างไร ถึงทำให้เราตัดสินใจนำมารีเมคเป็นเวอร์ชันนี้คะ

พี่หมู:  เรารู้สึกว่าไอเดียของต้นฉบับ (Marry My Dead Body) เจ๋งมาก เพราะเป็นการผสมกัน ทั้งหนังผี หนัง LGBTQIA+ ที่สำคัญคือมันตลกมาก ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นแนวที่หนังไทยเราถนัด แต่ดันเป็นหนังจากประเทศอื่น ก็แอบมีคิดเหมือนกันว่า ทำไมเราไม่เคยคิดอะไรแบบนี้ขึ้นมานะ"

แล้วพอทุกอย่างมันมารวมกันปุ๊บ มันกลับกลายเป็นหนังที่มีความเป็นแอคชั่น คู่หู แฟนตาซี เรียกได้ว่าครบรสสุด ๆ แล้วที่สำคัญคือมันตลกมาก แบบคอมเมดี้ที่ขำจริงอะไรจริง แล้วก็ต้องอาศัยเคมีของนักแสดงนำสองคน ซึ่งต้นฉบับเขาทำไว้ดีมาก ๆ อยู่แล้ว  พอคิดว่าจะเอามาดัดแปลงให้เข้ากับบริบทของไทย ก็รู้สึกว่ามันท้าทายดี เพราะเราไม่เคยรีเมคหนังแบบนี้มาก่อนเลย การรีเมคครั้งนี้ก็เหมือนเป็นเรื่องใหม่สำหรับเราด้วยครับ ก็เลยรู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ ครับ

Marry My Dead Body ภาพยนตร์ต้นฉบับจากไต้หวัน
Marry My Dead Body ภาพยนตร์ต้นฉบับจากไต้หวัน

เนื่องจากต้นฉบับมาจากไต้หวัน ซึ่งมีวัฒนธรรมบางอย่างที่แตกต่างจากประเทศไทย การสร้างหนังเรื่องนี้มีความท้าทายเชิงวัฒนธรรมอย่างไรบ้างในการปรับให้เข้ากับบริบทของบ้านเราบ้างคะ

พี่หมู: จริง ๆ แล้ว หนังเรื่องนี้มันมาจากวัฒนธรรมของที่อื่นใช่ไหมครับ แล้วพอเราจะทำเป็นเวอร์ชั่นไทย ก็ต้องคิดว่าทำยังไงให้คนดู เชื่อว่าเรื่องราวมันเกิดขึ้นที่ประเทศไทยจริง ๆ

ซึ่งเราก็ใช้วิธีเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมที่มีอยู่แล้ว อย่างเรื่องบรรพบุรุษ เชื้อสาย หรือรากเหง้าทางวัฒนธรรมจีน อันนี้คือจุดที่พอเชื่อมเข้ากับบริบทไทยแล้วมันดูสมจริง เพราะในความเป็นจริงคนไทยหลายคนก็มีเชื้อสายจากที่ต่าง ๆ อยู่แล้ว มันเลยไม่ใช่เรื่องแปลกเลย พอเราตีความออกมาแบบนี้ มันก็เลยไปเชื่อมกับตัวละครซินแสในเรื่อง ที่จะมีบทพูดประมาณว่า “ลื้อต้องจัดพิธีตามความเชื่อของบรรพบุรุษ” อะไรแบบนี้ ซึ่งก็ช่วยให้เรื่องราวมันเชื่อมโยงกับความเป็นไทยได้มากขึ้นครับ

อะไรเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดในการทำหนังเรื่องนี้คะ

พี่หมู: พอเป็นหนังรีเมค มันก็มีต้นฉบับอยู่แล้วใช่ไหมครับ คนดูสามารถไปดูเวอร์ชันเดิมได้เลย เพราะงั้นแน่นอนว่าคนจะมีความคาดหวัง หรือไม่ก็อาจจะเผลอเอาไปเปรียบเทียบกับต้นฉบับว่า เฮ้ย เดิมมันเป็นแบบนี้นะ ซึ่งมันจะแตกต่างจากการดัดแปลงจากนิยายหรือเรื่องสั้น เพราะพวกนั้นมันเป็นคนละสื่อกัน แต่พอเป็นหนังรีเมคที่รีเมคจากหนังอีกเรื่อง คนดูก็จะรู้เรื่องราวอยู่แล้ว หรือบางคนอาจจะเคยดูมาแล้วด้วยซ้ำ

“พอเป็นหนังรีเมคที่รีเมคจากหนังอีกเรื่อง คนดูก็จะรู้เรื่องราวอยู่แล้ว ประเด็นคือเราต้องคิดว่าจะทำยังไงให้ชนะความคาดหวังของคนดูได้ ในขณะที่เราก็ต้องคงบางอย่างที่แฟน ๆ ชอบในต้นฉบับ"

 อย่างซีนไฮไลต์หรือฉากเด็ดที่คนจำได้ดี อันนี้เราก็ต้องใส่ไว้แน่นอน แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องมีอะไรใหม่ ๆ ที่เซอร์ไพรส์คนดูด้วย คือมันเป็นการบาลานซ์ระหว่างของเดิมที่ดีอยู่แล้ว กับสิ่งใหม่ที่เพิ่มเข้ามาให้หนังมีเสน่ห์มากขึ้นครับ

ทำไมแคสถึงต้องเป็น “พีพี-บิวกิ้น” เท่านั้นคะ

พี่หมู: คือจริง ๆ แล้ว พี่โต้งเนี่ยแหละครับที่เป็นคนเคาะเลย ว่าต้องเป็นพีพีกับบิวกิ้นเท่านั้น ถึงขนาดบอกเลยว่า “ถ้าไม่ใช่สองคนนี้ โปรเจกต์นี้อาจจะไม่เกิดขึ้นเลย” พี่โต้งเชื่อในเคมีของสองคนนี้มาก ซึ่งในฐานะที่เราเองก็ติดตามงานของพีพีกับบิวกิ้นมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นข่าว สัมภาษณ์ หรือแม้แต่คลิปที่ทั้งคู่หยอกกัน แกล้งกันไปมา เราก็เห็นชัดเลยว่าทั้งคู่สนิทกันมาก แถมยังอยู่ในวงการและเติบโตมาด้วยกันแบบยาว ๆ เคมีของคู่นี้คือเป็นคู่นี้จริง ๆ อะ  

“พอเราเริ่มเวิร์กช็อป อ่านบท ไปถึงวันถ่ายจริง เราก็ยิ่งเห็นชัดขึ้นไปอีกว่า “อ๋อ เข้าใจแล้วว่าทำไมแฟนคลับถึงรักคู่นี้มาก” เพราะทั้งคู่สนิทกันจนเข้าใจกันแบบสุด ๆ การแกล้งกัน หยอกกัน มันเป็นสไตล์ของพีพี-บิวกิ้นที่ไม่มีใครเหมือนจริง ๆ”

ตอนเราเขียนบท แน่นอนว่าเรามีคาแรกเตอร์ต้นฉบับจากหนังเวอร์ชันเดิมที่เราต้องดัดแปลงให้เข้ากับบริบทไทย แต่สุดท้ายแล้ว เราก็เอาตัวตนของพีพีกับบิวกิ้นมาใส่เข้าไปด้วย คือบทมันก็เอื้อให้กับเคมีของสองคนนี้จริง ๆ 

อย่างบิวกิ้น รับบทเป็น เม่น คาแรกเตอร์แบบแมน ๆ ชายแท้ที่แทบไม่มีความรู้เรื่อง LGBTQIA+ เลย ส่วนพีพี รับบทเป็น ตี่ตี๋ ผีสายแฟที่เป็น LGBTQIA+ แบบสุดตัว มีความมั่นใจ ไหลลื่น แล้วพอมาเจอเม่นเท่านั้นแหละ! เข้าทางเลยครับ ต้องแกล้ง ต้องกวนประสาทให้สุด หนังเรื่องนี้มันเลยไม่ใช่หนังวายโรแมนติกแบบที่คนคุ้นเคย แต่มันเป็นแนวคู่หู Buddy Comedy มากกว่า เหมือนเพื่อนกันที่คอยปั่นกันไปมา ซึ่งมันจะเป็นพีพี-บิวกิ้นในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนครับ

แล้วเคมีของทั้งคู่เป็นอย่างไรบ้าง รีวิวหน่อยได้ไหมคะ

พี่หมู: ถ้าจะขยายความคำว่า เคมี ก็คือหลาย ๆ ซีนที่เราเขียนบทมา เราคิดมาแล้วว่าอยากให้เป็นแบบนี้นะ แต่บางครั้งเราก็เปิดพื้นที่ให้พีพีกับบิวกิ้นลองเล่นตามธรรมชาติของเขาดูแล้วมันจะมีหลายจังหวะที่เราเองในฐานะคนทำหนังก็คิดไม่ถึง อย่างรีแอคบางอย่าง การแกล้งกัน การกวนกันที่มัน งอกขึ้นมาเอง ซึ่งบางทีพอได้เห็นแล้วเราก็ชอบมาก มันเลยถูกใส่เข้าไปในหนังด้วย ข้อดีของหนังเรื่องนี้คือ นักแสดงเขาสนิทกันอยู่แล้ว เคมีของเขามันแข็งแรงมาตั้งแต่ต้น เราแทบไม่ต้องบิ้วต์เลย สิ่งที่เราเติมเข้าไปก็แค่ทำให้มันไปสุดมากขึ้น ซึ่งก็โชคดีมากสำหรับคนทำหนังอย่างเราครับ

ตั้งแต่ทำหนังเรื่อง “ซักซี้ด ห่วยขั้นเทพ” จนมาถึงเรื่อง “ซองแดงแต่งผี” พี่หมูมีอะไรที่เราได้เรียนรู้ในฐานะของผู้กำกับบ้างคะ

พี่หมู: สไตล์การกำกับของเราก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ นะ เราค่อนข้างคุ้นชินกับการสร้างบรรยากาศที่ รีแลกซ์ ในกองถ่าย คืออยากให้บรรยากาศมันดี ให้นักแสดงรู้สึกสบายใจในการทำงาน

ปกติในกองถ่ายก็จะมีแอคติ้งโค้ชที่คอยดูแลเรื่องการแสดงแบบเข้มงวด คอยบรีฟให้ทุกอย่างเป็นระบบระเบียบ ส่วนเราเองจะเป็นเหมือน น้ำเย็น คอยช่วยบาลานซ์บรรยากาศ ไม่ได้ไปกดดันนักแสดง เราเชื่อว่าการให้กำลังใจ เชียร์อัพ และสร้างสภาพแวดล้อมที่สบาย ๆ มันจะช่วยให้ทุกคนแสดงออกมาได้ดีที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าวิธีอื่นไม่ดีนะ มันขึ้นอยู่กับแนวหนัง อย่างถ้าเป็นหนังทริลเลอร์ที่ต้องการความกดดัน วิธีแบบซีเรียส ๆ อาจจะเวิร์กกว่า แต่พอดีหนังที่เราทำส่วนใหญ่เป็นคอมเมดี้ ซึ่งบรรยากาศในกองมันต้อง เบาสบาย มากกว่าตึงเครียด

วิธีนี้เราทำมาตั้งแต่ ซักซี้ด ห่วยขั้นเทพ แล้ว อย่างพีท พชร ตอนถ่ายหนังเรื่องแรก ๆ แรก ๆ เขาจะเกร็งมาก แต่พอถ่ายไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงท้าย ๆ อะ มันเริ่มสบายใจ เล่นอะไรออกมาก็ไม่รู้ แต่เวิร์ก กลายเป็นโมเมนต์ที่มีเสน่ห์มาก อย่างฉากประกวด Hotwave ที่อยู่ดี ๆ ถอดเสื้ออะไรของเขาก็ไม่รู้ แต่มันออกมาดีเพราะเขารู้สึก free แล้ว เราก็เลยรู้สึกว่าวิธีแบบนี้มันเวิร์กกับตัวตนของเราในการทำงานครับ

“โดยสรุปคือ เราจะคิดทุกอย่างไว้แล้วว่าต้องถ่ายอะไร ยังไง แต่ในเทคท้าย ๆ เรามักจะปล่อยให้นักแสดงเล่นตามธรรมชาติ ถ้าเขาเล่นอะไรเกินไปหรือล้นไป เราก็เก็บไว้ก่อน แล้วคอย encourage ให้เขาลองอะไรใหม่ ๆ คิดอะไรออกก็ให้ใส่มาเลย ลองดู ไม่ต้องกลัวพลาด”

จริง ๆ เราก็รู้แหละว่าอะไรที่เราชอบหรือไม่ชอบ แต่เราอยากให้นักแสดงรู้สึกมั่นใจและกล้าเล่นออกมาให้สุด แล้วเราค่อย pick up สิ่งที่ดีที่สุดจากตรงนั้น

การกำกับหนังที่เป็นต้นฉบับ กับหนังที่รีเมค มีวิธีการที่ต่างกันไหมคะ

พี่หมู: จริง ๆ ขั้นตอนการทำงานมันก็ไม่ต่างกันมากนะครับ แต่พอเป็นรีเมค มันจะมีต้นทางของมันอยู่แล้ว สิ่งที่ต่างออกไปเลยก็คือ เราต้องเอาต้นฉบับนั้นมาขยาย มาดูโครงสร้างว่ามันเป็นยังไง แล้วก็ไล่ดูเลยว่าแต่ละจุดมีอะไรที่เราชอบ อยากคงไว้ หรือมีอะไรที่เราอยากเปลี่ยน ดัดแปลง หรือเพิ่มเติมให้มันเข้ากับเวอร์ชันของเรา

“ถ้าเป็น original นี่มันจะเหมือน ขุดเหมืองแร่ คือต้องขุดลงไปเรื่อย ๆ แล้วก็ค่อย ๆ ค้นหา บางทีก็ขุดผิดทาง ต้องลองไปเรื่อย ๆ มันใช้เวลานานกว่าเยอะ แต่พอเป็น รีเมค มันเหมือนมีคนขุดมาให้แล้วระดับหนึ่ง เราแค่ต้องมาดูว่า เจอหินแร่ก้อนนี้แล้ว เราจะเจียระไนมันยังไงต่อดี”

อย่างปกติถ้าเป็นหนัง original ที่เราเคยทำกันมาก่อนเนี่ย บางเรื่องใช้เวลาเขียนบทเกือบปี หรือบางเรื่องก็เป็นปีเลย แต่เรื่องนี้เราใช้แค่ประมาณ 6 เดือน เท่านั้น แล้วพอได้มีโอกาสคุยกับคนเขียนบทต้นฉบับของ Marry My Dead Body เขาบอกว่าเค้าใช้เวลา 3 ปี ในการเขียน! ตอนเขาถามว่าเราใช้เวลากี่ปี แล้วเราไปตอบว่า 6 เดือน เขาตกใจเลย (หัวเราะ) เราก็บอกไปว่า ก็คุณเขียนมาให้ตั้ง 3 ปีแล้วไง ขอบคุณมากเลยครับ

ทำไมชื่อภาษาไทยถึงเป็นชื่อ “ซองแดงแต่งผี” คะ

พี่หมู: จริง ๆ ชื่อ ซองแดงแต่งผี เป็นไอเดียจากทีมครีเอทีฟครับ เราว่ามันเห็นภาพชัดดีนะ เพราะ ซองแดง เป็นสัญลักษณ์สำคัญของหนังเรื่องนี้อยู่แล้ว ส่วนคำว่า แต่งผี มันก็คล้องจองกันดี พอรวมกันแล้วฟังแล้วติดหู

แล้วพอได้เห็น ภาพวิชวล ของหนัง ทั้งโปสเตอร์ ทั้งหน้าตาตัวละคร มันก็ยิ่งไปด้วยกันได้ดีเลย อย่างโปสเตอร์ที่มีหมา มีบิวกิ้นที่ดูแบบ ทำไมหน้าตาไม่เต็มใจขนาดนี้ แล้วก็พีพีที่เหมือนกำลังจะแกล้งกันอีก มันก็สื่อออกมาได้ชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่หนังผีแบบผีหลอน ๆ แต่เป็นแนวที่มีความสนุก ความกวนอยู่ในตัวเองครับ

มีประเด็นสังคมอะไรที่น่าสนใจและถูกสอดแทรกอยู่ในหนังบ้างไหมคะ

พี่หมู: อันนี้ต้องให้เครดิตต้นฉบับเค้าเลยครับ เพราะคนทำหนังไต้หวันเค้าก็มี message ที่ชัดเจนอยู่แล้ว อย่างไต้หวันเอง กฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านมาสักพักละ แต่จริง ๆ แล้วแค่กฎหมายผ่านไม่ได้แปลว่าสังคมเปิดรับทั้งหมดนะ มันก็ยังมีเรื่องที่ต้องพูด ต้องทำความเข้าใจกันอยู่ การที่หนังหยิบเรื่องนี้มาเล่า ก็เลยเป็นการช่วย educate ให้คนเปิดใจมากขึ้น

เราดูแล้วก็รู้สึกว่า  เรื่องพวกนี้มันยังต้องถูกพูดถึงอีกเยอะเลย แล้วก็ส่วนตัวเราก็ relate กับประเด็นนี้เหมือนกันนะ แบบตอนเด็ก ๆ เราก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องพวกนี้อะ ตอนมัธยมอาจจะยังไม่ได้เจอสังคมที่หลากหลายมาก แต่พอเข้ามหาลัย นิเทศ จุฬาฯ ไงครับ โอ้โห... อ้าวเหรอ! โลกมันกว้างเนอะ! คือเราเพิ่งมาเข้าใจว่าโลกมันเต็มไปด้วยสีสันและความหลากหลาย แล้วเราก็รู้สึกว่าตัวละคร เม่น ในเรื่องนี้ก็คือคนที่กำลังก้าวผ่านจุดนั้นเหมือนกัน พอเค้าได้รู้จัก ตี๋ตี๋ ใกล้ชิดกัน ได้เข้าใจชีวิตของเค้า เค้าก็เริ่มซึมซับเรื่องพวกนี้ไปโดยธรรมชาติ มันเป็นเรื่องของมิตรภาพที่เกิดขึ้นเองแบบไม่ต้องพยายาม ซึ่งเราว่ามันสวยงามดีนะ

อีกอย่างที่ชอบคือ หนังมันดูเหมือนเป็นหนังตลกกวน ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันแฝงประเด็นสังคมอยู่ อย่างตัวละคร เจ๊ก้อย ที่เป็นตำรวจหญิงเนี่ย ก็พูดถึงการที่เธอทำงานในสายอาชีพที่ผู้ชาย dominate อยู่ เธอต้องเจอกับอะไรบ้าง? มันก็เป็นอีกเรื่องที่ต้นฉบับมี และเวอร์ชันของเราก็ยังคงใส่ไว้ เพราะมันเป็นประเด็นที่สำคัญเหมือนกันครับ

อะไรเป็นสิ่งที่พี่หมูประทับใจที่สุดในหนังเรื่อง “ซองแดงแต่งผี”

พี่หมู: น่าจะเป็นตอนที่ได้เห็นพีพีกับบิวกิ้นแสดงด้วยกันนี่แหละครับ คือสำหรับเรามันเป็นอะไรที่ใหญ่มาก ๆ ในหนังเรื่องนี้เลย เพราะทั้งคู่ แบก หนังเรื่องนี้ไว้จริง ๆ แล้วเค้าไม่ได้แค่เล่นฉากคอมเมดี้อย่างเดียวนะ มันมีทั้งฉากดราม่า มีฉากบู๊ มีหลายอารมณ์มาก แล้วเราก็ได้เห็นว่า ทั้งคู่ทำอะไรได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ!? แล้วเวลาเค้าอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นซีนแบบไหน อารมณ์แบบไหน ทั้งคู่ทำได้ดีมาก เราทำไปยังเซอร์ไพรส์ตัวเองไปด้วยเลย

สิ่งที่ชอบมาก ๆ คือความทุ่มเทของทั้งคู่ คือไม่มีห่วงหล่อห่วงสวยกัน กล้าเล่นเต็มที่จริง ๆ แล้วมันทำให้เห็นเฉดอารมณ์ที่กว้างมาก ๆ เหมือนทั้งคู่สามารถเป็นอะไรก็ได้จริง ๆ ซึ่งเรารู้สึกดีใจมากที่ได้เห็นโมเมนต์แบบนี้ตรงหน้าระหว่างถ่ายทำแล้วพอเราอยู่ตรงนั้น เราก็อินไปกับมันด้วยนะ ฉากตลกนี่คือฮาชิบหาย! ส่วนฉากดราม่าก็แบบ โอ้โห…อินจนจุกเลยครับ

หนังคอมเมดี้เรื่องนี้ ต่างจากหนังคอมเมดี้เรื่องอื่นๆ อย่างไรบ้างคะ

พี่หมู: นี่เราไม่เคยคิดเปรียบเทียบแบบนี้มาก่อนเลยนะ แต่เราก็ทำตามสไตล์ที่เราชอบอะ หมายถึงว่า เราดูอะไรแล้วเราสนุก เราชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้น เราชอบหนังตลกที่มันเป็นสถานการณ์จริง ๆ แบบตัวละครไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ขำหรอก แต่มันต้องมาเจอสถานการณ์บ้า ๆ บอ ๆ เช่น อยู่ดี ๆ ต้องมาแต่งงานกับผี อยู่ของตัวเองดี ๆ ก็ต้องมาเจอเรื่องซวย ๆ แล้วมันต้องรับมือกับมัน คือในมุมของตัวละคร มันคงไม่ตลกเลยแหละ แต่ว่าพอมีมุมกล้อง มีการเล่าเรื่องแบบนี้ มันเลยกลายเป็นคอมเมดี้ไปโดยปริยาย ซึ่งเราชอบสไตล์แบบนี้มาก

หลัง ๆ มานี้ หนังอย่าง ซักซี้ด ห่วยขั้นเทพ หรือพวกที่ตัวละครแม่งห่วยแตก อกหัก ชีวิตพัง แต่พอดูไปแล้วกลับตลกเฉยเลย เราขำมัน เพราะอะไร? ก็อาจจะเพราะเราเคยเป็นแบบนั้นมาก่อน หรือเรารู้สึกเอ็นดูมัน เราเข้าใจสิ่งนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนทำหนังคอมเมดี้ว่า จริง ๆ แล้วความตลกมันเกิดจากมุมมองในการเล่าเรื่องนี่แหละ บางเรื่องที่มันรันทดหรือเศร้า ถ้าจับมาเล่าให้ดี มันก็กลายเป็นอารมณ์ขันแบบนึงได้ แล้วเรารู้สึกว่า พอเรามองแบบนี้ มันทำให้เรามีความหวังมากขึ้น มันทำให้เรื่องซวย ๆ ในชีวิตเรามีคุณค่าขึ้นมานะ ช่วงที่เราอกหัก เศร้า ทะเลาะกับเพื่อน ตอนนั้นแม่งโคตรแย่เลย แต่พอเอามาเล่าให้คนอื่นฟัง กลับกลายเป็นเรื่องฮา ๆ ได้ตลอด

เวลานั่งเม้าท์กับเพื่อน เราก็มักจะเล่าเรื่องที่แม่งโคตรฉิบหายใช่ปะ แต่สุดท้ายมันดันเป็นเรื่องสนุกซะงั้น นี่แหละ คอมเมดี้มันอยู่ในชีวิตเรา ถ้าเรามองมันในมุมที่ซัพพอร์ตตัวเองอะ พอเราเป็นคนซวยเอง แต่ดันเอามาเล่าให้คนอื่นขำได้ มันก็รู้สึกว่าความซวยนี้แม่งคุ้มอยู่นะ อย่างน้อยมันก็ไม่ได้เสียเปล่า มันกลายเป็นเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจหรือเปลี่ยนเป็นอะไรที่ดีขึ้นได้

สำหรับหนังเรื่องนี้ มันอาจไม่ใช่เรื่องที่มาจากประสบการณ์ตรงของเราครั้งแรก แต่ก็ยังเป็นมุมมองแบบเดิม คือการมองอะไรที่ยากลำบากให้มันมีความหมายขึ้นมาได้ ถ้าเราหามุมมองสนุก ๆ กับมัน เจอด้านที่มันน่ารักของมัน มันก็กลายเป็นแรงบันดาลใจได้เหมือนกัน

พี่หมูอยากฝากอะไรถึงน้องๆ ที่มีความสนใจเรียนด้านนิเทศศาสตร์บ้างคะ

พี่หมู: ถ้าย้อนกลับไปตอนเด็ก ๆ นะ เรารู้สึกโชคดีมากที่ได้ลองทำอะไรหลายอย่าง แล้วพอเรามองย้อนกลับไป เราไม่เคยเสียใจกับความผิดพลาดเลย สมมติว่าเคยประกวดวงดนตรีแล้วตกรอบ หรือทำอะไรแล้วมันไม่สำเร็จ เราไม่ได้รู้สึกแย่เลย แต่สิ่งที่เสียดายคือสิ่งที่เราไม่ได้ทำมากกว่า แบบว่า...รู้งี้ตอนนั้นว่าง ๆ ก็น่าจะลองไปประกวดดู หรือรู้งี้น่าจะลองทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ตั้งแต่แรก ไม่ใช่มาเริ่มตอนโตแล้วถึงจะรู้สึกว่า เฮ้อ...น่าจะเริ่มเร็วกว่านี้ เพราะงั้น ถ้ามีอะไรที่อยากทำ สนใจอะไร ก็ทำไปเลย อย่าลังเล! ต่อให้มันดูยาก ก็ลองดู ไม่ต้องไปคิดมาก พอโตขึ้นมา อย่างเราตอนนี้จะ 40 แล้ว (โห ไวจัง) มองย้อนกลับไป ทุกอย่างที่เคยทำมันคุ้มหมดเลย แล้วมันก็เหมือนต้นไม้ที่ค่อย ๆ ออกดอกออกผลเรื่อย ๆ อะ

โดยเฉพาะถ้าสนใจสายงานนิเทศ หรือพวกสื่อที่มีอะไรให้ลองเยอะแยะ ก็ไปลองเลย บางทีพอลองแล้วไม่ใช่ ก็ยังดีนะ อย่างน้อยก็รู้ไปเลยว่าเราควรเปลี่ยนทางไปทางไหนต่อ ไม่ต้องมาเสียเวลาคิดว่าถ้า...รู้งี้...ตอนหลัง วัยนั้นอะ มันคือช่วงเวลาของการลองเต็มที่ ลุยให้สุด แล้วเดี๋ยวอนาคตมันค่อยต่อยอดเอง จงทําสิ่งที่ตัวเอง อยากที่สนใจอะทําไปเลยอย่าไปลังเลเลย 

แล้วอะไรบางอย่างที่มันอาจจะดูยากอะก็ลองกับมันดูแบบไม่ต้องไปซีเรียสมากอะ เมื่อผ่านมาก็เวลาชีวิตโตมาจนถึงอายุเนี่ยจะ 40 ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นในตอนนั้นน่ะคุ้มหมดเลยครับ เหมือนมันแบบผลิดอกออกผลขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเราผ่านมันมาแล้วมาได้

สุดท้ายนี้ ทำไมต้องไปดูซองแดงแต่งผีในโรงภาพยนตร์คะ 

พี่หมู: บรรยากาศในโรงมันเป็นอะไรที่พิเศษมากเลยนะ โดยเฉพาะกับหนังตลก เพราะมันชัดเจนมากเสียงหัวเราะนี่แหละที่เป็นตัวชี้วัด ถ้าหนังมันเวิร์ค คนก็จะขำออกมาเอง แล้วถ้าโชคดี ได้ดูพร้อมกับคนเยอะ ๆ ในโรง พอเสียงหัวเราะมันเกิดขึ้นพร้อมกัน มันจะยิ่งสนุกขึ้นไปอีก บรรยากาศแบบนั้นอะ มันมีพลังมากกว่าการนั่งดูอยู่บ้านคนเดียวหรือดูกับคนแค่ไม่กี่คนแน่นอน 

จากประสบการณ์ของเรากับหนังที่ผ่านมา อย่าง Friend Zone หรือ เมย์ไหน..ไฟแรงเฟร่อ เราจำบรรยากาศตอนนั้นได้ดีเลย ช่วงที่ไปทัวร์ตามโรงต่าง ๆ ได้เห็นว่าที่บางกะปิเป็นยังไง ที่รัชโยธินเป็นยังไง แล้วมันน่าสนใจมากนะ เพราะแต่ละที่ขำไม่เหมือนกันเลย มันทำให้เราได้เรียนรู้ในฐานะคนทำหนังไปด้วย

แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ คนที่ได้ดูหนังในโรงพร้อมกับคนอื่น ๆ อะ เขาจะโชคดีมาก เพราะนอกจากจะสนุกกับหนังแล้ว เค้ายังได้เก็บความรู้สึกดี ๆ จากบรรยากาศตรงนั้นไปด้วย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่าจดจำ เพราะงั้น ไม่อยากให้พลาดเลย มันเหมือนไปดูคอนเสิร์ตอะ ถ้าได้ไปดูกับคนเยอะ ๆ มันก็ต้องสนุกกว่าดูที่บ้านแน่นอนครับ

. . . . . . . . . .

เรียกได้ว่าการทำหนังรีเมคในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งความท้าทายของพี่หมู และทีมงาน แต่การได้ลองอะไรใหม่ๆ ก็จะเป็นการเสริมสร้างประสบการณ์ ให้เราเติบโตยิ่งไปกว่าเดิม! ยังไงก็อย่าลืมไปดู “ซองแดงแต่งผี” ในโรงภาพยนต์กันนะคะ

. . . . . . . . . .

สัมภาษณ์โดย พี่กล้วยหอม Dek-D Podcast
ขอขอบคุณ GDH

22Podcast
22Podcast - Columnist 22Podcast by Dek-D. Time to grow, Time to glow.

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น