เรื่องนี้โรงเรียนไม่ได้สอน : เด็กนิเทศทำไมต้องเรียนวิชากฎหมายและจริยธรรมสื่อ?

สวัสดีค่ะ น้องๆ Dek-D มีใครรู้บ้างว่าถ้าจะเรียนคณะนิเทศศาสตร์ นอกจากจะต้องเรียนวิชาที่เกี่ยวข้องสาขาโดยตรงแล้วยังมีวิชาไหนอีกบ้างที่ไม่คิดว่าเด็กนิเทศจะได้เรียนวิชานี้ แน่นอนว่าส่วนใหญ่ต้องไม่คาดคิดแน่ๆ ว่านิเทศจะต้องเรียนวิชากฎหมายด้วย ซึ่งกฎหมายที่เด็กนิเทศจะต้องเรียนนั่นคือกฎหมายและจริยธรรมสื่อ พี่พับพราวเลยจะพาน้องๆ มารู้จักกับความหมาย และความสำคัญของรายวิชานี้ จะเป็นยังไงบ้างไปดูกัน

ภาพจาก  freepik

วิชากฎหมายและจริยธรรมสื่อ 

รายวิชาที่มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับคำสั่ง ข้อบังคับ และหลักการเชิงศีลธรรมที่ใช้ควบคุมความประพฤติของบุคคลในวงการสื่อสารมวลชน เช่น การเผยแพร่เนื้อหาข่าว การใช้สื่อโซเชียลบนโลกออนไลน์ที่อาจสร้างความเสียหายให้กับผู้อื่น เพื่อการจัดระเบียบควบคุม และเป็นกฎเกณฑ์ในการพัฒนาวงการสื่อสารมวลชนให้มีภาพลักษณ์ที่ดี สรรค์สร้างประโยชน์ให้แก่ผู้รับสารมากที่สุด

จริยธรรมสื่อคืออะไร?

จริยธรรมสื่อมวลชน คือ ข้อประพฤติปฏิบัติของสื่อมวลชน เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติแก่ผู้ประกอบอาชีพนักสื่อสารมวลชนให้มีความรับผิดชอบ หรือหลายคนก็อาจจะคุ้นเคยกับคำว่าจรรยาบรรณมากกว่า ซึ่งก็มีความหมายคล้ายๆ กัน คือกฎเกณฑ์ของความประพฤติหรือประมวลมารยาทของผู้ประกอบอาชีพนั่นเอง

แต่ไม่ว่าจะคำไหนหากการนําเสนอข้อมูลข่าวด้านบันเทิงจากสื่อมวลชนอยู่ภายใต้หลักการของความรับผิดชอบต่อสาธารณะให้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนใคร่ครวญและตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมในอนาคต ก็อาจจะลดประเด็นปัญหาทางจริยธรรมในสื่อมวลชนได้เช่นกัน 

ทำไมถึงต้องเรียนกฎหมายและจริยธรรมสื่อ

หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับการที่คณะนิเทศศาสตร์เรียนการแสดง การผลิตสื่อ หรือการอยู่หน้ากล้อง ซึ่งนั่นก็คือหนึ่งบทบาทของเด็กนิเทศ แต่ก็มีอีกหนึ่งรายวิชาที่หลายคนอาจจะไม่รู้ถึงการมีอยู่ของรายวิชานี้นั่นคือ การเรียนเกี่ยวกับข้อกฎหมายและจริยธรรมสื่อ เพื่อให้วงการสื่อมวลชนมีหลักจริยธรรมในการปฏิบัติงาน เพราะสื่อมวลชนคือกลุ่มคนที่เป็นเหมือนภาพลักษณ์ของบุคคลที่มีชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็นการเผยแพร่ข่าว การสร้างภาพลักษณ์ให้แก่คนในวงการ 

เพื่อไม่ให้เกิดการใช้อำนาจสื่อมวลชนที่เกินขอบเขต คณะนิเทศศาสตร์จึงกำหนดให้มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับกฎหมายและจริยธรรมสื่อ เพื่อสอนให้นักศึกษามีหลักจริยธรรม ปฏิบัติงานด้วยความซื่อตรง สัตย์จริง และใช้ความรู้ความสามารถที่ได้เรียนมาให้เกิดประโยนช์สูงสุดแก่วงการสื่อสารมวลชน และในอีกทางหนึ่งก็เพื่อให้เรารู้จักสิทธิส่วนบุคคล การละเมิดความเป็นส่วนตัว การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ การสร้างเนื้อหาที่ทำให้ผู้อื่นเกิดการเสื่อมเสียชื่อเสียงนั่นเอง 

ภาพจาก  freepik

กฎหมายกับสื่อมวลชนเกี่ยวข้องกันอย่างไร

การปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และค้นคว้าหาข้อเท็จจริง อาจมีความเสี่ยงที่จะไปกระทบต่อการดำเนินชีวิตส่วนตัวของบุคคลอื่น อันนำไปสู่การต่อสู้ทางคดีระหว่างสื่อมวลชนกับผู้ถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ดังนั้นการศึกษา เรื่องการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลจะต้องดำเนินไปควบคู่กับการศึกษาถึงการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดง ความคิดเห็น และเสรีภาพของสื่อ 

ในปัจจุบันมีการใช้สื่อออนไลน์ที่มากขึ้น เรียกได้ว่าทุกช่วงวัยหันมาเล่นสื่อโซเชียลกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งวิญจารณญานในการใช้พื่นที่สื่อที่อยู่ในมืออาจจะทำให้ขาดการไตร่ตรองไปบ้าง เราจะเห็นได้อยู่บ่อยครั้งในเรื่องของการใช้สื่อออนไลน์ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร หรือไม่ทันได้ระวัง จึงมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ขึ้นโรงขึ้นศาลกันอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงควรไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะโพสเนื้อหาต่างๆ ที่พาดพิงถึงบุคคลอื่น 

การปรับตัวของสื่อบันเทิงในยุคดิจิทัล

ความเติบโตของอุตสาหกรรมสื่อมวลชนไทยในนับปัจจุบันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปมากในหลายส่วน ที่เปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัดเจนที่สุดคงจะเป็นความนิยมของแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ในอดีตมีแค่วิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์เท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีสิ่งที่เรียกว่าสมาร์ทโฟนเข้ามามีบทบาทสำคัญ ที่ทั้งใช้งานง่าย พกพาสะดวก รับรู้ข่าวสารได้เร็ว สื่อมวลชนจึงมีการปรับตัวด้วยการใช้สื่อออนไลน์เป็นช่องทางการสื่อสารกับผู้รับสารมากขึ้น ลักษณะเนื้อหาข่าวออนไลน์ที่เหมาะสมกับการนําเสนอบนสื่อออนไลน์จะต้องมีลักษณ์ต้องสั้น กระชับ รวดเร็ว ทันเหตุการณ์ เพราะต้องการตอบสนองด้านความเร็วในการนําเสนอข่าวให้มากขึ้น ซึ่งเป็นจุดเด่นของสื่อออนไลน์ที่สามารถนําเสนอได้ตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง แต่ในความเร็วของสื่อออนไลน์นั่นก็มีข้อเสียคือการเผยแพร่ที่กระจายวงกว้างอย่างรวดเร็ว หากผู้ใช้สื่อเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดพลาดก็อาจจะเกิดเป็นผลเสียได้

กฎหมายช่วยได้จริงหรือ?

หลายคนเกิดคำถามว่าถึงจะมีข้อกฎหมายควมคุมแต่มันใช้ได้ผลจริงหรือเปล่า ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ากฎหมายเป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดการควบคุมการทําหน้าที่และบทบาทของสื่อมวลชนต่อสังคมโดยรวม ซึ่งมีวัตถุประสงค์สําคัญในการไม่ให้สร้างผลกระทบเชิงลบให้เกิดขึ้นในทางสังคมอย่างชัดเจน เนื่องจากแนวทางของกฎหมายมักจะมีรูปแบบของกฎเกณฑ์และบทลงโทษที่มีผลบังคับใช้จริง โดยจะมีความแตกต่างจากแนวทางด้านจริยธรรมที่มุ่งให้เกิดความตระหนักในบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชนเอง ทั้งนี้หากพิจารณาถึงกรอบการพัฒนาในหลักการทางกฎหมายและจริยธรรมด้านสื่อมวลชนย่อมจําเป็นที่ต้องเข้าใจและส่งเสริมการใช้แนวทางในเชิงกฎหมายและจริยธรรมให้สอดประสานกัน

ข้อกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทําใหผู้อื่น นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน หนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ”

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 “ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทําโดยการโฆษณาด้วย เอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทําให้ปรากฏด้วยวิธีใดๆ แผ่นเสียง หรือ สิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทําโดยการกระจายเสียงหรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทํา การป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท”

ภาพจาก  freepik

หลักจริยธรรมสื่อที่ควรตระหนัก 

1. การนําภาพบุคคลใดมาใช้หรือเผยแพร่ทางสื่อใหม่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพก่อน ตัวอย่างเช่น การนํารูปของดาราหรือผู้มีชื่อเสียงมาใช้แสวงหาผลประโยชน์ทางโลกออนไลนในลักษณะเชิงธุรกิจ 

2. การคัดลอกหรือนําผลงานของบุคคลอื่นที่ปรากฏในสื่อใหม่ไปใช้ ควรอ้างอิงแหล่งที่มา หรือขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์เสียก่อน 

3. การเผยแพร่ข้อเท็จจริงเรื่องใดที่อาจส่งผลกระทบในทางเสียหายต่อบุคคลอื่น หรือต่อองค์กรอื่น ควรมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงนั่นอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน เพราะจะส่งผลกระทบตามมาต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบ ตลอดจนบุคคลอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 

4. ผู้ใช้สื่อใหม่ควรมีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมอยู่เสมอ ควรตระหนัก และคํานึงถึงผลกระทบที่จะได้ขึ้นต่อสังคม โดยการใช้งานสื่อใหม่ผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ อย่างสังคม ออนไลน์ซึ่งมีอานุภาพอย่างสูงในการสื่อความหมายไปยังสังคมวงกว้างครอบคลุมไปทั่วประเทศ ดังนั้นก่อนการจะผลิตสารออกไปผู้ส่งสารต้องมีสํานึกของความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างสูง

5. การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใดๆ ควรเป็นไปเพื่อประโยชนสาธารณะเป็นสําคัญ หากผู้ใช้งานคํานึงถึง ประโยชนสาธารณะทั้งในเชิงการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ทัศนคติต่างๆ อันเป็นการเกื้อหนุนและพัฒนาคุณภาพของสังคมในวงกว้าง

6. หลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคําที่ไม่สุภาพหรือภาษาวิบัติ ในปัจจุบันเราจะพบปัญหานี้ได้มากจากสื่อใหม่ต่างๆ ซึ่งเยาวชนเหล่านี้อาจได้รับอิทธิพลหรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

7. ไม่นําเสนอเรื่องราวอันลามก สังคมไทยมีความเชื่อพื้นฐานที่ตั้งอยู่บนศีลธรรมอันดีงาม ตลอดจนวัฒนธรรม และประเพณีที่อํานวยต่อการสร้างคุณธรรม ซึ่งการจะมีการนําเสนอสื่อลามกอนาจารยังเป็นที่ปฏิเสธของผู้คนสวนใหญ่ในสังคม รวมไปถึงบทบัญญัติทางกฎหมายอย่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทํา ความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 ที่ออกมาเพื่อสร้างบรรทัดฐานในการนําเสนอเนื้อหาข่าวสารบนโลกออนไลน์ให้อยู่ภายใต้กรอบของศีลธรรมที่ดีงาม

8. ไม่นําเสนอเรื่องราวที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียศีลธรรมอันดี สื่อใหม่จะไม่นําเสนอข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ที่ขัดแย้งต่อวัฒนธรรมทางสังคม ตัวอยางเช่น การนําเสนอการฆ่าสัตวอย่างโหดเหี้ยม หรือแม้แต่ นําเสนอคลิปการกระทําอนาจาร เป็นต้น

9. ไม่นําเสนอเรื่องราวที่เป็นการชี้ช่องการประกอบอาชญากรรมและการกระทําผิดทั้งปวง ตัวอย่างเช่นมีผู้ประกอบการวิชาชีพเกี่ยวกับสื่อใหมทําวิดีโอคลิปสั้นเกี่ยวกับขั้นตอนการกระทําโจรกรรมของโจรผู้ร้าย เป็นต้น

10. การโฆษณาสินค้าทางสื่อใหม่ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายว่าด้วยการโฆษณากําหนดไว้ ซึ่งหาก ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกําหนดก็อาจจะมีสินค้าที่ไม่มีคุณภาพเขาสู่กลไกการค้า อันจะเป็นอันตรายร้ายแรง อย่างสูงต่อผู้ใช้สินค้าที่เลือกซื้อผ่านช่องทางสื่อใหม่นี้ ทั้งนี้การจะประกอบธุรกิจการค้าเชิงพาณิชย์ในโลกออนไลน์ต้องคํานึงถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคและสังคมเป็นสําคัญ

11. ไม่โฆษณาสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยและต่อสังคม ตัวอยางเช่น การโฆษณายามหัศจรรย์รักษาได้ทุกโรค โดยไม่มีการรับรองคุณภาพจากหน่วยงานที่เป็นที่ยอมรับจากภาครัฐและเอกชน เป็นต้น

12. หลีกเลี่ยงการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไปยังบุคคลอื่นในลักษณะเพื่อประโยชน์ทางการค้าขาย โดยที่บุคคลเหล่านั้นไม่พึงประสงค์ หรือมิได้เป็นสมาชิก สิ่งที่กล่าวข้างต้นอาจจะเป็นการรบกวนผู้ใช้บริการสื่อใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ใช้งานบุคคลอื่นๆ ควรตระหนักถึงประเด็น

เป็นยังไงบ้างกับวิชากฎหมายและจริยธรรมสื่อ หวังว่าน้องๆ จะเข้าใจจุดประสงค์ของการเรียนและรู้จักการใช้พื้นที่สื่อของตัวเองให้ใช้สื่ออย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนะคะ น้องๆ คนไหนมีวิชาที่ไม่คิดว่าเด็กนิเทศจะต้องเรียนอีกลองมาพูดคุยกันได้นะ

 

 

 

 

 

 

 

ที่มาhttps://so03.tci-thaijo.org/index.php/IARJ/article/download/256332/171028https://www.ilaw.or.th/articles/4096https://www.nupress.grad.nu.ac.th/สิทธิส่วนบุคคล/https://www.presscouncil.or.th/ethics/4280 
พี่พับพราว

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น