จากเด็กสาววัยรุ่นธรรมดา สู่ตำนานนักเขียนเงินล้าน! เส้นทาง 18 ปีของ ‘Hideko_Sunshine’ ที่ไม่มีคำว่าเล่นๆ
เชื่อหรือไม่ว่า ความชอบสามารถจุดประกายความมุ่งมั่นให้ลองเดินตามความฝันได้ เหมือนเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เริ่มจากการชอบดูละคร จนบัดนี้กลายเป็นนักเขียนที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจของใครหลายคน
“เราสามารถหมกตัวอยู่ในบ้านเขียนนิยายได้ทั้งวัน เรียกว่าไม่ต้องกินข้าวก็ได้เพื่อให้ได้ทำสิ่งนี้”
นี่คือคำพูดของ ‘คุณโอ๋’ หรือเจ้าของนามปากกา ‘Hideko_Sunshine’ นักเขียนนิยายแนวรักวัยรุ่น ผู้เติมสีสันให้ช่วงวัยเด็กของผู้อ่าน ผ่านเรื่องราวของตัวละครที่เธอสร้างสรรค์ขึ้น สำหรับพี่มะปรางเองก็มีนิยายในดวงใจของนักเขียนท่านนี้เช่นกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็น SEXY SENSEI ปฏิบัติการรักร้าย มัดหัวใจผู้ชายร้ายลึก หรือ Handsome Cowboy กำราบหัวใจจอมพยศ ซึ่งถูกนำไปสร้างซีรีส์ U-Prince ด้วย นอกจากนี้ยังมีผลงานอีกนับร้อยที่ครองใจแฟนๆ มาจนถึงวันนี้ค่ะ
ทว่าสิ่งที่ทำให้คุณโอ๋เดินบนเส้นทางนักเขียนยาวนานถึง 18 ปี คือ ความชอบในการเขียนนิยาย เริ่มตั้งแต่อายุ 13 ขณะที่เด็กคนอื่นกำลังวิ่งเล่น เธอกลับสนุกอยู่กับการเขียนเรื่องราวลงบนกระดาษ ผ่านการลองผิดลองถูกนับครั้งไม่ถ้วน ก่อนใช้นามปากกา ‘ฉัตรฉาย’ สำหรับนิยายรักแบบผู้ใหญ่ และพัฒนาต่อด้วย ‘แสนการุณ’ เพื่องานที่เข้มข้นกว่าเดิม เรียกได้ว่า ทุกนามปากกาคือย่างก้าวของการเติบโตของเธอเลยค่ะ
วันนี้พวกเราชาวเด็กดีโชคดีมาก ที่ได้คุณโอ๋มาแชร์มุมมองและประสบการณ์ชีวิตบนเส้นทางนักเขียน แบบจัดหนักจัดเต็ม ใครกำลังมองหาแรงบันดาลใจในการเขียนนิยาย มาลองอ่านไม่เสียหายแน่นอนค่ะ!
จากเด็กที่ชอบดูละคร สู่เส้นทางอาชีพนักเขียน
ตอนที่เริ่มแต่งเรื่องราวต่างๆ น่าจะช่วงอายุ 12 ปีค่ะ เริ่มเขียนจากบทละครใส่สมุด ส่วนนิยายเริ่มหัดเขียนตอนอายุ 13 ปี เพราะชอบดูละครแล้วจินตนาการมันโลดแล่นอยู่ในหัว ก็เลยเขียนมันออกมา โดยที่ยังไม่รู้จักอาชีพนักเขียน เพราะช่วงนั้นยังเข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ต แล้วพอดีมีละคร ‘ยอดยาหยี’ ออกอากาศทำให้เราได้รู้จักอาชีพนี้และจุดประกายให้เราอยากเป็นนักเขียนด้วย
สำหรับนิยายเรื่องแรก จำชื่อเรื่องได้ไม่แม่น น่าจะ ‘เรือนร้าง-เรืองรัก’ มั้งคะ เป็นแนวบ้านไร่ พระเอกผิดหวังในความรักแล้วถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก แต่เรื่องนี้ไม่เคยเอาลงในเด็กดีนะ นอกจากเพื่อนที่โรงเรียน 2-3 คน ไม่เคยมีใครได้อ่าน 5555555
ในวันที่ลงนิยายบนเว็บเด็กดี ไม่มีโมเมนต์อะไรพิเศษเพราะมันคือการเริ่มต้นแบบลองผิดลองถูกค่ะ แต่ก็ลุ้นเหมือนกันว่าจะมีคนอ่านหรือเปล่านะ จะมีเมนต์แรกตอนไหน จำได้ว่าเราสมัครสมาชิกแล้วก็ลองทำตามขั้นตอนที่ระบบแนะนำ
ส่วนเรื่องแรกที่เขียนอย่างเป็นทางการคือ ‘ปาปารัซซี่ตัวดี VS นักดนตรีตัวร้าย’ (ตีพิมพ์เป็นหนังสือทำมือและต่อมาได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์แจ่มใสเป็นเรื่องแรก เปลี่ยนชื่อเป็น ‘Paparazzi ปฏิบัติการนี้จารชนหัวใจ’) ถ้าเริ่มนับจากเล่มแรกที่ได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์แจ่มใส ปีนี้ก็เข้าปีที่ 18 แล้วค่ะ
ตอนนั้นจำได้ว่ายังจัดหน้าไม่เป็นเลยค่ะ ก็ค่อยๆ เรียนรู้จากการไปดูบทความของคนอื่นและพูดคุยกับเพื่อนในบอร์ดนักเขียน สมัยนั้นยังไม่มีเฟซบุ๊กเลย
ชอบเขียนนิยาย สั่งสมประสบการณ์ จนมั่นใจว่า ‘เกิดมาเพื่อเป็นนักเขียน’
ถึงไม่มีโมเมนต์ที่มั่นใจแบบปิ๊งขึ้นมาเลย แต่ความมั่นใจเกิดจากการสะสมประสบการณ์มากกว่า
เราเริ่มต้นการเป็นนักเขียนจากความชอบจริงๆ อย่างที่บอกว่าในยุคนั้นเรายังเข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ตก็เลยเขียนใส่สมุดไว้อ่านเองคนเดียว จนเพื่อนที่นั่งเรียนโต๊ะข้างๆ รู้ว่าเราเขียนนิยายก็เลยขออ่าน นั่นคือนักอ่านคนที่สองของเรา (คนแรกคือตัวเราเอง) เราเขียนใส่สมุดให้เพื่อนที่โรงเรียนอ่านมาจนจบม.หก พอขึ้นเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งถึงได้เริ่มหัดเล่นอินเทอร์เน็ต และมีเพื่อนในคณะแนะนำให้เอาเรื่องไปลงเว็บเด็กดี
จากนั้นเราก็เริ่มเป็นนักเขียนออนไลน์เรื่อยมา ผลตอบรับจากนักอ่านบวกกับความรักในงานเขียน ทำให้เรามั่นใจในตัวเองกับเส้นทางนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
การได้มอบความสุขให้กับนักอ่าน แม้จะเป็นเพียงคนเดียวก็คือความสุขแล้วค่ะ เวลาที่มีคนอ่านมาพูดคุย บอกเล่าความอิน ความประทับใจ และหวีดนิยายด้วยกันมันคือช่วงเวลาที่มีความสุขมาก เราเป็นนักเขียนที่โหยหาโมเมนต์นี้เสมอ พอจบเรื่องหนึ่งแล้วก็เลยอยากเขียนเรื่องต่อไป
แม้มีอุปสรรคในชีวิต ก็ไม่ได้ทำให้เลิกเขียนนิยาย
เอาจริงๆ ไม่เคยมีโมเมนต์ที่เราถอดใจเลยค่ะ เพราะเรารักการเขียนนิยายมาก ตอนที่เริ่มหัดเขียนนิยายใหม่ๆ มันมีอะไรที่อยากรู้อยากลองเขียนเต็มไปหมด เราค้นหาความรู้เกี่ยวกับการเป็นนักเขียนในห้องสมุดว่าการเขียนนิยายคืออะไร นักเขียนคืออะไร ส่วนแบ่งรายได้ประมาณไหน
แต่ก็มีช่วงที่คิดว่าจะหยุดเขียนเหมือนกัน มันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต นั่นคือช่วงขึ้นมหาวิทยาลัยค่ะ เพราะคณะเราเรียนหนัก กิจกรรมเยอะ แล้วเราก็เป็นเด็กหอด้วย เลยเจอกิจกรรมรับน้องค่อนข้างหนัก ทั้งของมหาวิทยาลัย ของคณะ และของหอใน เรียกว่าแทบไม่ได้นอนเลย เราอยากทุ่มเทให้กับการเรียนเพื่ออนาคต เพราะครอบครัวไม่ได้มีฐานะที่ดี เราเลยคิดว่าจะเบรกการเขียนนิยายเอาไว้ก่อน แต่พอเพื่อนในคณะรู้ว่าเราเขียนนิยายก็เชียร์ให้ลองเอาเรื่องมาลงเว็บเด็กดี เราก็เลยลองทำตามที่เพื่อนแนะนำ พอก้าวขาเข้ามาแล้วก็เห็นว่ามีคนได้ตีพิมพ์นิยายตั้งแต่อายุยังน้อย โลกนักเขียนเปิดกว้างขึ้น เราก็เลยมุ่งมั่นและเอาจริงเอาจังกับทางนี้ เรียกว่าเบรกการเขียนนิยายไปได้แค่แป๊บเดียว เพื่อนก็มาชี้ทางสว่างให้กลับมาลุยต่อค่ะ
มีบ้างในยุคที่สังคมมีความตระหนักรู้มากขึ้น แต่จะเรียกว่าอุปสรรคก็ไม่ถูก มันคือการเรียนรู้ ปรับตัว เปลี่ยนมุมมอง และเติบโตไปพร้อมกับสังคมที่พัฒนาขึ้นมากกว่า ตอนที่เราเริ่มเขียนนิยายใหม่ๆ เราอายุยังน้อย เริ่มเขียนจากการดูละครที่มีในยุคนั้น การสร้างพล็อตก็ได้แรงบันดาลใจมาจากสื่อที่เสพ อยากเขียนอะไรก็เขียนเลย แค่ไม่ได้ส่งเสริมเรื่องผิดศีลธรรมหรือผิดกฎหมายก็ถือว่าโอเคแล้ว
อีกทั้งยังมองเป็นสื่อบันเทิงที่ผู้เสพต้องแยกแยะ แต่พอเติบโตขึ้น สังคมมีความตระหนักรู้มากขึ้น งานในอดีตเราถูกหยิบยกขึ้นมาวิจารณ์ด้วยแว่นตาของปัจจุบันก็ทำให้เราได้เห็นว่างานเรายังมีข้อบกพร่องตรงไหน เราก็แค่ยอมรับในความบกพร่องนั้น ปรับปรุงมัน เปลี่ยนทัศนคติ และพัฒนาตัวเอง เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดหรือส่งต่อแนวคิดที่อาจไม่เหมาะสมอีก
ส่วนจุดที่ลังเลว่า “หรือเราควรหยุดพัก” ไม่มีอีกแล้วอะ 555555 อาจเพราะเรารัก มุ่งมั่น และมีแพสชันกับการเป็นนักเขียนมาตั้งแต่เด็กเลยก็อย่างที่บอกว่าบางทีสามารถหมกตัวเขียนนิยายจนไม่กินข้าวก็ยังได้ เราเลยมุ่งมาที่เส้นทางนี้โดยที่ไม่ได้มองเส้นทางอื่น แม้ในปัจจุบันจะมีงานอื่นๆ เข้ามา เช่น มีเอเจนซี่มาเสนองานโปรโมต มีบริษัทเกมติดต่อให้ทำเกม หรือมีเพื่อนชวนไปเขียนบทหนังหรือบทละคร เราก็ไม่ได้รับงานนั้น เพราะจะกระทบกับงานเขียนนิยาย ตอนนี้เลยมองภาพตัวเองไปทำงานอย่างอื่นไม่ออกแล้ว
เริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ ด้วยการเปลี่ยนจาก ‘รักวัยรุ่น’ เป็น ‘รักผู้ใหญ่’
ไม่เคยกลัวเลยค่ะ ที่เราเปลี่ยนมาเขียนแนวที่โตขึ้นไม่ใช่เพราะเขียนแนววัยรุ่นไม่รอดแล้ว แต่เราเขียนเพราะเราอยากลองเขียนอะไรใหม่ๆ อยากเขียนงานที่หลากหลายขึ้น และอยากท้าทายตัวเอง เพราะงั้นเลยไม่รู้สึกกลัว พอเรามองงานเขียนเป็นความท้าทายมันก็จะสนุกขึ้น เราเรียนรู้จากผลงานรุ่นพี่ และเรียนรู้จากงานที่ประสบความสำเร็จในตลาด โดยไม่ทิ้งเอกลักษณ์ของเรา
ในยุคที่เราเขียนงานแนววัยรุ่น เป็นแนวที่สื่อสารเร็ว เล่ากระชับ ภาษาลื่นไหล และเน้นเร้าอารมณ์ ขอแค่มีเหตุผลสนับสนุนการกระทำของตัวละครเรื่องก็สามารถดำเนินไปได้แล้ว แต่พอเขียนแนวผู้ใหญ่มันจะเอาแค่อารมณ์นำไม่ได้แล้ว ภาษาต้องดี อ่านลื่นไหล สละสลวย เรื่องมีเหตุมีผลจริงๆ และเหตุผลนั้นต้องสมเหตุสมผลด้วย ที่สำคัญบริบทแวดล้อมตัวละครเรื่องการทำงาน ฉาก ตัวละครที่ประกอบในฉากต้องสมจริง ขณะเดียวกันเรื่องก็ต้องดึงคนอ่านไปได้จนตลอดรอดฝั่ง
เมื่อนักอ่านเติบโตขึ้นหรือแม้แต่ตัวเราเองในปัจจุบันก็ไม่มองว่านิยายเป็นเพียงสื่อบันเทิงอย่างเดียว การจะสื่อสารอะไรออกไปต้องคิดให้เยอะๆ ว่าเรากำลังให้อะไรกับคนอ่าน นอกจากความบันเทิงแล้วเรายื่นยาพิษให้เขาแบบที่เราไม่รู้ตัวหรือเปล่า หรือเรากำลังไปส่งเสริมค่านิยมอะไรที่ไม่ถูกไม่ควรมั้ย
นิยายเราอาจไม่ต้องถึงขั้นเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น เพราะจุดมุ่งหมายหลักก็ยังเป็นสื่อบันเทิง แต่ก็ต้องระมัดระวังว่าอย่าไปส่งเสริมให้เรื่องที่ไม่ดีกลายเป็นสิ่งที่ดี
นิยายไม่แมสไม่ใช่เรื่องใหญ่ สิ่งสำคัญคือการรับมือกับแรงกดดัน
ส่วนตัวคิดว่าการเขียนนิยายสักเรื่องให้แมสไม่ยากเท่ากับการเขียนนิยายยังไงให้อยู่ในหัวใจนักอ่าน และนักเขียนสามารถยืดอายุงานของตัวเองไปได้นานๆ
นักเขียนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แมสตั้งแต่เรื่องแรกที่เขียน แต่เป็นการสะสมฐานนักอ่านมาเรื่อยๆ สะสมประสบการณ์ ปรับปรุงและพัฒนาผลงานเพื่อรอจังหวะชีวิตที่ทุกองค์ประกอบมันพอเหมาะพอดีกันแล้วงานก็จะพุ่งขึ้นมา
สิ่งสำคัญคืออย่าเพิ่งท้อหรือทิ้งไปก่อนเพราะบางทีจังหวะที่งานคุณจะแมสอาจจะรออยู่ในวันพรุ่งนี้ก็ได้
ถ้าพูดถึงเรื่องงานแมสหรือไม่แมสเราว่าสิ่งที่นักเขียนหลายคนต้องรับมือและก้าวข้ามไปให้ได้คือ ‘แรงกดดัน’ ทั้งจากตัวเองและจากภายนอก เพราะเคยมีนักเขียนมาปรึกษาเราเหมือนกันว่าพอมีงานแมสขึ้นมา เรื่องต่อไปจะกดดัน กลัวว่าจะไม่แมสเท่าเดิม กลัวนักอ่านจะผิดหวัง
ซึ่งตัวเราเองก็เคยเป็น แต่ด้วยความที่ทำเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัว เราจึงมองมันเป็นเรื่องธรรมชาติของการทำงานค่ะ นักแสดงดังๆ เขายังไม่ได้เล่นละครแล้วเรตติ้งดีทุกเรื่องเลย นักเขียนอย่างเราจะแมสบ้าง แป้กบ้างมันก็เป็นเรื่องปกติ ขอแค่เราตั้งใจเขียนงานให้ดีที่สุดและตั้งใจโปรโมตเท่าที่นักเขียนคนหนึ่งจะทำได้ ต่อให้งานไม่แมสก็จะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังว่าเรายังไม่ได้เต็มที่กับมัน รักงานเขียนได้ แต่อย่าเอาชีวิตไปผูกกับมันจนเกินไป เพราะถ้าไม่ประสบความสำเร็จ เราจะรู้สึกเหมือนตัวเองล้มเหลวไปด้วย
ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงนิยายเรื่องหนึ่งก็คือผลงานเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ไม่แมสก็เขียนเรื่องต่อไป ชีวิตเราใช่ว่าจะเขียนนิยายแค่เรื่องเดียวนี่นา จริงมั้ย
เพราะนักเขียนเข้าใจตัวละครดีที่สุด
เรื่องที่เขียนไปร้องไห้ไปมีหลายเรื่องเลยค่ะ น่าจะเกือบ 70% ของงานที่เขียนมาเลยแหละ ที่ร้องไห้ไม่ใช่เพราะยาก แต่เพราะอินกับเรื่องราวของตัวละคร เราไม่ได้ร้องไห้ให้แค่กับตัวพระเอก-นางเอกนะคะ บางครั้งก็ร้องไห้ให้กับตัวร้ายด้วย
นักเขียนเป็นคนที่รู้จักเรื่องราวและแบ็กกราวนด์ของตัวละครดีที่สุด การเขียนนิยายเรื่องหนึ่งใช้เวลานาน เราเลยผูกพันกับตัวละคร เหมือนพวกเขาอยู่ในชีวิตเรา อย่างเรื่องล่าสุดที่เขียนคือ ‘สิงห์หวงก้าง’ เป็นเรื่องที่เราร้องไห้หนักมากเลยค่ะ
แม้พล็อตคร่าวๆ ของเรื่องนี้จะดูธรรมดา แต่กลับเป็นเรื่องที่เรารักมากจนกดดันตัวเอง เขียนๆ ลบๆ มาตั้งแต่ปลายปี 2565 กว่าจะปิดต้นฉบับได้ก็เดือนมีนาคมปี 2568 ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ตรงใจเรามากที่สุด และเพราะใช้เวลาในการเขียนค่อนข้างนาน ใส่รายละเอียดและเขียนด้วยความตั้งใจว่าอยากให้ตัวละครมีชีวิตเหมือนคนจริงๆ เราเลยผูกพันกับตัวละครมาก เวลาที่ตัวละครเจ็บหรือเจอจุดพลิกผัน เราก็รู้สึกไปกับตัวละครด้วย
แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ เลยนะคะ เพราะถ้านักเขียนไม่อินกับเรื่องราวและตัวละครของตนเองก็คงยากที่นักอ่านจะอินไปด้วย
เลยจุดที่คาดหวังกับเรื่องใหญ่ ขอแค่ให้คนอ่านได้ความสุขและแรงบันดาลใจก็พอ
สำหรับเราในตอนนี้มันเลยจุดที่คาดหวังว่างานจะให้อะไรกับคนอ่านแล้ว เลยอยากเล่าความประทับใจเมื่อนักอ่านได้รับแรงบันดาลใจจากนิยายของเรา และพวกเขาก็เป็นแรงบันดาลใจให้เรายังมีกำลังใจในการเขียนงานต่อเช่นกัน
1. มีหลายครั้งที่คนอ่านนิยายแล้วอินจนไปเที่ยวตามรอยนิยายในสถานที่ต่างๆ ไปสถานที่เดียวกับตัวละครในนิยาย หรือแม้แต่ขับรถผ่านเส้นทางที่เราเคยเขียนพูดไว้ในนิยายแล้วนึกถึงนิยายเรา แค่นี้ก็ทำให้เราใจฟูแล้วค่ะ หรืออย่างปีที่แล้วมีนักอ่านของเราได้พูดคุยกันเกี่ยวกับนิยายจนไปบริจาคเงินให้กับโรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในโลเกชันที่เราเคยเอ่ยถึงในนิยายก็ทำให้เรามีความสุขมากเหมือนกัน ที่นิยายตัวเองได้เป็นแรงบันดาลใจให้คนทำความดี
2. นักอ่านหลายคนเติบโตมากับนิยายเราและปัจจุบันก็เป็นนักเขียนชื่อดังกันไปแล้ว
3. เราเคยทำคลิปเล่าใน TikTok เล่าสั้นๆ ว่าตอนเด็กๆ เราเคยจุดตะเกียงเขียนหนังสือแล้วมีนักอ่านมาขอบคุณเราในตอนเด็กว่า… การจุดตะเกียงเขียนนิยายของเราในวันนั้นช่วยจุดไฟในการเป็นนักเขียนให้เขาในวันนี้ด้วย
4. เคยมีนักอ่านบอกว่าชีวิตเขาค่อนข้างโดดเดี่ยวและนิยายเราคือความสุขที่ทำให้เขายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
และอีกหลายๆ เหตุการณ์ที่ได้เจอมามันทำให้เรายังมีไฟในการเขียนนิยาย พัฒนาผลงาน และยังอยากอยู่ตรงนี้ เพราะเรารู้ว่าการมีอยู่ของเรามันมีความหมายสำหรับนักอ่าน และการมีอยู่ของนักอ่านที่ยังสนับสนุนเราก็มีความหมายสำหรับเรามากๆ เหมือนกันค่ะ
แต่ถ้าวันหนึ่งไม่มีคนอ่านอีกต่อไป… คิดว่าก็น่าจะยังเขียนอยู่ค่ะ เพราะเราเริ่มต้นการเขียนนิยายมาจากการมีนักอ่านเพียงคนเดียวคือตัวเราเอง ครั้งหนึ่งเราเคยมองว่าความสำเร็จของการเป็นนักเขียนคือการมีผลงานที่ได้ตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม มีผลงานที่เลี้ยงตัวเองเลี้ยงครอบครัวได้ ผลงานถูกนำไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ และได้ทำซีรีส์
พอวันหนึ่งเราได้ทุกอย่างครบแล้ว มันก็เหมือนเราไปถึงจุดสูงสุดของความฝันแล้วค่ะ ปัจจุบันนี้กลับกลายเป็นว่าความสำเร็จที่เรามีต่อผลงานแต่ละเรื่องเล็กลงมาก ขอแค่ให้ใครสักคนอ่านผลงานเราแล้วมีความสุข เราก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
แรงบันดาลใจจากการชอบเที่ยว สู่โปรโมตนิยายผ่าน TikTok
ความจริงไม่ได้คิดอะไรที่เป็นการเป็นงานเท่าไหร่เลยค่ะ 55555 แต่เราเป็นนักเขียนที่ชอบท่องเที่ยวเพื่อเก็บเรฟและหาแรงบันดาลใจจากสถานที่ต่างๆ มาเขียนนิยาย ชอบถ่ายรูปและถ่ายคลิปมาให้นักอ่านดูประกอบเรื่องราวในนิยายด้วย เลยมีนักอ่านบอกให้ลองทำช่องเพื่อรวบรวมคลิปไว้ แล้วเราเห็นว่า TikTok ก็เป็นแพลตฟอร์มที่น่าสนใจ มีคนเล่นเยอะ และเหมาะกับการทำคลิปสั้นๆ เราก็เลยลองเล่นดูค่ะ
ตอนแรกยังไม่ติดเท่าไหร่ก็ลงคลิปไว้แค่สองคลิปแล้วก็ทิ้งช่องไปเป็นปี จนมาช่วงปีใหม่กลับไปลองเล่นอีกครั้ง ด้วยความที่เป็นคนชอบความท้าทายด้วยมั้งคะ เลยอยากปั้นช่อง อยากรู้ว่าตัวเองจะทำได้แค่ไหน เล่นไปได้อาทิตย์หนึ่งก็ทำคลิปแมสได้ มีคนเข้ามาดูสองแสนวิว ตอนนั้นตื่นเต้นและเริ่มสนุกกับการทำคลิปมากขึ้น เพราะมีนักอ่านหลายคนเข้ามาทักทายและติดตามผลงานเราด้วย ตอนนี้เราคิดว่าการโปรโมตงานเขียนใน TikTok ก็ไม่เลวเลย
การมีสื่อต่างๆ เพิ่มมากขึ้นในโลกออนไลน์ทำให้นักอ่านโฟกัสกับนิยายน้อยลงค่ะ แม้แต่ตัวเราเองก็ยังใช้เวลากับสื่ออื่นๆ เพิ่มมากขึ้น และสื่อบางสื่อเช่น TikTok ที่เน้นการนำเสนอคลิปสั้นๆ ก็ทำให้คนอ่านสมาธิสั้นลงด้วยค่ะ เน้นการเสพเรื่องราวที่ดำเนินเรื่องไวขึ้นและบรรยายน้อยลงซึ่งอาจจะไม่ใช่ทุกคนนะคะ แต่เราคิดว่าน่าจะมีผลอยู่บ้าง
ยังมีไอเดียและพร้อมเดินหน้า
ไอเดียที่อยากลองแต่ง มีหลายอย่างเลยค่ะ เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบลองเขียนอะไรใหม่ๆ เมื่อมีความพร้อม มีจังหวะ และมีข้อมูลมากพอจะออกผลงานที่ท้าทายให้ได้อ่านกันนะคะ
ส่วนเป้าหมายในปี 2568 คาดหวังกับตัวเองว่าจะได้คลอดนิยายซีรีส์ชุด NO KISS NO KILL ฉบับรีเมกที่นักอ่านหลายคนรอคอยสักทีค่ะ เพราะนักอ่านรอกันอย่างเหนียวแน่นมาเป็นสิบปีแล้ว
ส่งต่อกำลังใจจาก Hideko_Sunshine <3
ก่อนจะเป็นนักเขียนที่แมส ก่อนจะเป็นนักเขียนเงินแสนเงินล้าน นักเขียนแทบทุกคนเริ่มต้นมาจากศูนย์และเริ่มสะสมนักอ่านมาเรื่อยๆ ค่ะ
สิ่งสำคัญสำหรับเราคือ
1. อย่าท้อเพราะความสำเร็จอาจรอเราอยู่ในวันพรุ่งนี้
2. พัฒนาผลงานเสมอ อย่าคิดว่าเรื่องที่เขียนอยู่มันคือสุดยอดผลงาน เหลือพื้นที่ให้พัฒนาบ้าง
3. ซื่อสัตย์กับคนอ่าน อย่าดูถูกคนอ่าน
และ 4. ศึกษาตลาดเพราะเทรนด์เปลี่ยนไปทุกปี แนวยอดฮิตในอดีตอาจจะไม่ได้เป็นที่สนใจของนักอ่านแล้วในปัจจุบัน
Fun Fact เกี่ยวกับคุณโอ๋ ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้!
1. เคยแต่งนิยายเกือบทั้งเล่มในมือถือและเรื่องนั้นคือนิยาย ‘Dark Blue Kiss’ และ ‘มาลีรติกานต์’ ค่ะ ปัจจุบันก็ยังพิมพ์ในมือถือสลับกับพิมพ์ในโน้ตบุ๊ก
2. เอาประสบการณ์จากการท่องเที่ยวและสถานที่ต่างๆ มาเขียนนิยาย ล่าสุดคือเรื่อง ‘สิงห์หวงก้าง’ เคยเกือบขับรถคว่ำตอนไปจุดสกัดเขาแผงม้าก็เอามาใส่ในนิยายซะเลย
3. เคยฝันร้ายสะดุ้งตื่นแล้วความฝันมันติดตามาก เลยเอามาต่อยอดเป็นนิยายได้ทั้งซีรีส์คือเซ็ต NO KISS NO KILL ซึ่งเป็นผลงานแนวแฟนตาซีเรื่องแรกของเราด้วย
4. ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ คือเวลาคิดงานไม่ออก หัวตันๆ เราจะชอบไปอาบน้ำและสระผมหรือไม่ก็ออกไปขับรถเล่นซึ่งทำให้คิดงานออกแทบทุกครั้งเลยค่ะ ใครหัวตันๆ ลองไปทำดูนะคะ
ป้ายยานิยายที่ทำเป็นซีรีส์
1. Handsome Cowboy กำราบหัวใจยอมพยศ (ซีรีส์ U-Prince ตอน สิบทิศ)
2. Dark Fairy Tale ล่ารักเดิมพันใจยัยตัวร้ายกับนายซาตาน
3. Pink Kiss ยัยแสนรักขอพักหัวใจไว้ที่คุณชายแสนดี (ซีรีส์ Kiss The Series รักต้องจูบ)
4. Natural Kiss ยัยแสนดีขอยกหัวใจดวงนี้ให้หนุ่มวิศวะ(ซีรีส์ Kiss The Series รักต้องจูบ)
5. Red Kiss ยัยแสนซนขอค้นหัวใจพี่ชายขี้อ้อน (ซีรี่ส Kiss Me Again จูบให้ได้ถ้านายแน่จริง)
6. Violet Kiss ยัยแสนสวยช่วยรักษาแผลใจน้องชายจอมดื้อ (ซีรีส Kiss Me Again จูบให้ได้ถ้านายแน่จริง)
7. Peach Kiss ยัยแสนหวานกับแผนการจับหัวใจคุณหมอเจ้าเล่ห์ (ซีรีส์ Kiss Me Again จูบให้ได้ถ้านายแน่จริง)
8. Blue Kiss เพื่อนแก้เหงา #พีทเก้า (ซีรีส์ Kiss Me Again จูบให้ได้ถ้านายแน่จริง)
9. Dark Blue Kiss รักไม่ระบุสถานะ (ซีรีส์ Dark Blue Kiss จูบสุดท้ายเพื่อนายคนเดียว)
10. Security Love ยามหล่อบอกต่อว่ารัก (ซีรีส์ หอนี้ชะนีแจ่ม Girl Next Room)
11. เท่าที่...ใจเว้าวอน (ซีรีส์ The Three GentleBros คู่แท้แม่ไม่เลิฟ)
******
คุณโอ๋พิสูจน์ให้เราเห็นว่า ความสำเร็จบนเส้นทางนักเขียนตลอด 18 ปี ไม่ได้เกิดจากโชคช่วย แต่เพราะ ‘ความรักในการเขียน’ ที่หล่อหลอมให้เธอทุ่มเท ใส่ใจ และกล้าก้าวออกจากกรอบเดิมๆ จนเปลี่ยนความชอบให้กลายเป็นอาชีพที่มั่นคง กระทั่งถึงจุดสูงสุดของความฝัน ก็คาดหวังแค่ให้คนอ่านมีความสุข
คุณโอ๋ไม่ได้แค่เขียนนิยายดี ๆ ให้เราอ่านเท่านั้น แต่เรื่องราวและแนวคิดของเธอยังเป็นแรงบันดาลใจ ให้ใครหลายคนที่กำลังท้อแท้หรือลังเล ได้กล้าลงมือเขียนและกลับมาเชื่อมั่นในเส้นทางของตัวเองด้วยค่ะ
พี่มะปรางเองก็หวังว่าทุกคนที่ได้อ่านจะทำตามความชอบให้เต็มที่ และไม่ย่อท้อกับการสั่งสมประสบการณ์นะคะ เพราะไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีหรือร้าย ก็ล้วนมีคุณค่าในวันที่เรามองย้อนกลับไปค่ะ
สุดท้ายนี้คือเตรียมกรี๊ดด! กับซีรีส์ที่กำลังสร้างจากนิยาย ปลายปากกา Hideko_Sunshine อย่าง My Lover is Mr. K ปราบพยศขุนศึก บอกเลยว่าแค่ภาพปกก็ทำคนอ่านใจสั่นได้ แล้วพี่ขุนศึกเวอร์ชันคนจะทำใจคนดูขาดเลยไหมคะเนี่ย ><
พี่มะปราง
อ่านนิยายของ Hideko Sunshine, ฉัตรฉาย, แสนการุณ
- Paparazzi ปฏิบัติการนี้จารชนหัวใจ
- Love and Lie ลวงหัวใจให้เสพติดความรัก!
- Two Worlds เมื่อคุณสามีบอกว่าฉันมีชู้
- U Prince Memory Story สิบสองหนุ่มฮอตกับภารกิจสานต่อหัวใจ
- กะรัตพลอย
- สิงห์หวงก้าง
- สามีมิโปรด
- อื่นๆ
0 ความคิดเห็น