อุปสงค์ vs อุปทาน ออกสอบบ่อย

สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D คอลัมน์ ‘รู้ไว้เผื่อออกสอบ’ ในวันนี้จะพาทุกคนมาเตรียมความพร้อมในพาร์ตเศรษฐศาสตร์ ซึ่งถือว่าเป็นอีกพาร์ตที่ค่อนข้างยาก เพราะต้องใช้การวิเคราะห์พอสมควร โดยหัวข้อที่จะพาทุกคนไปทำความรู้จักวันนี้คือ ‘อุปสงค์ อุปทาน’ เพราะเป็นเรื่องที่ออกสอบบ่อย ออกสอบทุกปี เนื้อหาจะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน!

อุปสงค์ vs อุปทาน ออกสอบบ่อย
อุปสงค์ vs อุปทาน ออกสอบบ่อย

กลไกราคา คืออะไร?

กลไกราคา คือ การที่ราคาของสินคาขึ้นๆ ลงๆ ไปตามความต้องการซื้อ (อุปสงค์) และความต้องการขาย  (อุปทาน) น้องๆ จะสังเกตได้จากบางช่วงที่สินค้าราคาแพง หรือบางช่วงสินค้าราคาถูกมาก โดยราคาสินค้าที่เปลี่ยนแปลงนั้น มีสาเหตุมาจากความต้องการซื้อและความต้องการขายนั่นเอง  

หน้าที่ของกลไกราคา คือการกำหนดมูลค่า หรือราคาสินค้า และกำหนดปริมาณสินค้า โดยกลไกราคามักเกิดในประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ที่เปิดโอกาสให้เอกชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประเทศไหนที่รัฐเข้ามาประกอบกิจกรรมเศรษฐกิจเพียงผู้เดียว หรือผูกขาดเพียงเจ้าเดียวก็จะไม่มีกลไกราคา ซึ่งจะถูกเรียกว่า ตลาดล้มเหลว

หมายเหตุ : กลไกราคา มีหลายชื่อเรียก บางสำนักเรียกว่า กลไกตลาด ระบบราคา หรือระบบตลาด

องค์ประกอบของกลไกราคา

อุปสงค์ คืออะไร?

อุปสงค์ (Demand) คือ ความต้องการซื้อ และมีอำนาจซื้อ หมายความว่า ถ้าเราอยากซื้อ แต่ไม่มีเงินซื้อ ไม่สามารถซื้อของนั้นได้ ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้วถือว่ายังไม่เกิดอุปสงค์

กฎของอุปสงค์ 

เมื่อสินค้าราคาสูง ความต้องการซื้อน้อย 

เมื่อสินค้าราคาถูก ความต้องการซื้อมาก

หมายความว่า ความต้องการซื้อ (อุปสงค์) แปรผกผันกับราคาสินค้า สามารถเขียนกราฟได้ ดังนี้

กฎอุปสงค์
กฎอุปสงค์

 

อุปทาน คืออะไร?

อุปทาน (Supply) คือ ความต้องการขาย พ่อค้าแม่ค้าที่อยากขายของถ้าของแพงมาก ความต้องการขายก็จะมาก เพราะหวังกำไรจากการขายสินค้า แต่ถ้าสินค้านั้นขายได้ราคาน้อย ได้กำไรน้อยทำให้ไม่อยากขายนั่นเอง

กฎของอุปทาน 

เมื่อสินค้าราคาสูง ความต้องการขายมาก

เมื่อสินค้าราคาถูก ความต้องการขายน้อย

หมายความว่า ความต้องการขาย (อุปทาน) แปรผันตามราคาสินค้า สามารถเขียนกราฟได้ ดังนี้  

กฎอุปทาน
กฎอุปทาน

จากกราฟอุปสงค์-อุปทาน น้องๆ จะเห็นว่าเส้นอุปสงค์จะลากลงมาด้านล่าง ส่วนเส้นอุปทาน (ความอยากขาย) จะลากขึ้นไปด้านบน ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อกลไกราคาขึ้นอยู่กับ “ราคา” เป็นหลัก ถ้าราคาสูงจะอยากขายมาก แต่อยากซื้อน้อย ถ้าเราถูกจะอยากซื้อมาก แต่อยากขายน้อย จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่พูดเกี่ยวกับราคาอย่างเดียว หากพูดถึงกลไกราคาจะพิจารณาเฉพาะปัจจัยที่เป็นราคาเท่านั้น ไม่รวมปัจจัยอื่นๆ เพราะฉะนั้นระวังข้อสอบหลอกกันด้วยนะคะ  

ปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่ออุปสงค์-อุปทาน

ทั้งนี้เวลาที่เราซื้อ-ขายสินค้า เราก็ไม่ได้ดูเฉพาะราคาอย่างเดียว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการซื้อ-ขายสินค้าด้วย  

ปัจจัยที่ส่งผลต่ออุปสงค์

1. รายได้ของผู้บริโภค : หากผู้บริโภคมีรายได้มาก > ความต้องการซื้อมาก

2. จำนวนประชากร : หากมีประชากรจำนวนมาก > แย่งกันบริโภค > ความต้องการซื้อมาก

3. รสนิยมของผู้บริโภค : แตกต่างกันไปตามเพศ อายุ อาชีพ ขนบธรรมเนียมประเพณี และเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและยุคสมัย > ผู้ผลิตต้องปรับปรุงตลอดเพื่อรักษาอุปสงค์

4.ราคาสินค้าชนิดอื่นๆ*

  • สินคาชนิดที่แทนกันได้ ถ้าราคาสินค้าที่แทนกันได้ชนิดหนึ่งสูงขึ้น เส้นอุปสงค์สินค้านั้นจะลดลง และเส้นอุปสงค์สินค้าอีกตัวที่แทนกันได้จะเพิ่มขึ้น  
    เช่น อยากกินเนื้อไข่ไก่แต่ช่วงนี้ไข่ไก่แพง ในขณะที่ไข่เป็ดไม่แพง (และเรากินไข่เป็ดแทนได้) > ความต้องการซื้อ (อุปสงค์) ไข่เป็ดจะเพิ่มขึ้น
  • สินค้าที่ใช้ประกอบกัน ถ้าราคาสินค้าชนิดหนึ่งสูงขึ้น อุปสงค์สินค้าทั้งสองชนิดจะลดลงทั้งคู่ เช่น รถยนต์-น้ำมัน

5. ปัจจัยอื่นๆ  

  • อุปนิสัยในการจับจ่ายและการออมของผู้บริโภค
  • การเก็บภาษีของรัฐ
  • อัตราดอกเบี้ยในทองตลาด
  • การศึกษาของผูบริโภค
  • การคาดคะเนราคา หรือการเก็งกำไร

*ระวัง! ในส่วนของปัจจัย “ราคาสินค้าชนิดอื่นๆ” เช่น สินค้าชนิดที่แทนกันได้, สินค้าที่ใช้ประกอบกัน ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่ออุปสงค์เท่านั้น ไม่ส่งผลกับอุปทาน*  

ปัจจัยที่ส่งผลต่ออุปทาน

1. ต้นทุนการผลิต (ราคาปัจจัยการผลิต)  : หากต้นทุนการผลิตสูง > ความต้องการขายลดลง เพราะได้กำไรน้อย

2. การเปลี่ยนแปลงฤดูกาล : หน้าร้อน > คนอยากทานไอศกรีมมากกว่าเต้าฮวย > ความต้องการขายไอศกรีมจะสูงกว่าเต้าฮวย

3. ค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ  : ถ้าผู้ขายต้องเสียค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำสูง > การจ้างงานน้อยลง > อุปทานจะลดลง  

4. การคาดการณ์ในอนาคตของผู้ผลิต  : ถ้าผู้ผลิตเห็นว่าในอนาคตราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้น อุปทานในปัจจุบันจะมากกว่าอุปทานในอนาคต  

5. จำนวนผู้ขายในตลาด  : ถ้าจำนวนผู้ขายในตลาดเพิ่มขึ้น อุปทานในสินค้าก็จะเพิ่มขึ้น

ดุลยภาพของภาวะตลาด

อย่างที่เราทราบกันว่าราคาสินค้าต่างๆ ขึ้นลงตลอด แล้วอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาสินค้าไม่นิ่ง มาดูไปพร้อมกันค่ะ

ดุลยภาพของภาวะตลาด
ดุลยภาพของภาวะตลาด
  • จากเส้นสีน้ำเงิน หากความต้องการซื้อ (D) มากกว่าความต้องการขาย (S) สินค้าจะขาดตลาด ของจะราคาแพงขึ้น เรียกว่า ภาวะอุปสงค์ส่วนเกิน-อุปทานส่วนขาด
  • จากเส้นสีแดง หากความต้องการซื้อ (D) น้อยกว่าความต้องการขาย (S) สินค้าจะล้นตลาด ของจะราคาลดลง  เรียกว่า ภาวะอุปสงค์ขาด-อุปทานส่วนเกิน
  • จากเส้นสีเขียว หากความต้องการซื้อ (D) เท่ากับความต้องการขาย (S) สินค้าจะขายหมดพอดี เรียกว่า ภาวะดุลยภาพ คือภาวะที่ผู้ซื้อผู้ขายพอใจที่ซื้อขายสินค้ากันในราคานี้
อุปสงค์ vs อุปทาน ต่างกันอย่างไร?
อุปสงค์ vs อุปทาน ต่างกันอย่างไร? 

มาทดสอบความรู้กัน

สำหรับโจทย์เรื่องกลไกราคา โดยส่วนใหญ่แล้วโจทย์จะยกกรณีตัวอย่างมา และให้เราวิเคราะห์ ดังนั้น น้องๆ เข้าใจเกี่ยวกับกลไกราคา ทั้งกฎของอุปสงค์และอุปทาน วันนี้พี่แป้งมีโจทย์มาให้น้องๆ ฝึกทำ 2 ข้อ ถ้าพร้อมแล้วลงมือทำได้เลย!

 

1. ข้อใดเป็นอุปสงค์ในทางเศรษฐศาตร์ (ตัวอย่างข้อสอบสังคมศึกษา)

ก. เจโน่อยากไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัว ตั้งใจว่าจะไปเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่

ข. เตนล์ชอบรับประทานสลัดผักมาก มื้อกลางวันเขาซื้อสลัดผักมารับประทานวันละถุงเสมอ

ค. พีพีมีฐานะร่ำรวย เพื่อนของพีพีมาขายบ้านพักที่เขาใหญ่ แต่พีพีไม่ซื้อเพราะเขาชอบทะเล

ง. วินเทอร์อยากได้ตุ๊กตามอนชิชิมาก คุณแม่สัญญาว่าวันเกิดปีหน้าจะซื้อตุ๊กตาให้เธอ

____________________________________________________

2. ตามกฎของอุปทาน ผู้ผลิตจะนำเป็ดย่างออกขายมากขึ้นในกรณีใด (ตัวอย่างข้อสอบสังคมศึกษา)

ก. ราคาขายไก่ย่างสูงขึ้น

ข. ราคาขายเป็ดย่างสูงขึ้น

ค. รายได้ของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น

ง. ฟาร์มระบายเป็ดออกจากฟาร์มเพิ่มขึ้น

 

น้องๆ ชาว Dek-D คิดว่าแต่ละข้อตอบอะไรบ้าง มาคอมเมนต์คำตอบด้านล่างได้เลย!

 

สำหรับคอลัมน์ ‘รู้ไว้เผื่อออกสอบ’ วิชาสังคมบทความต่อไปจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ถ้าน้อง ๆ มีประเด็นที่น่าสนใจ หรือความรู้จากวิชาอะไร ที่อยากให้นำมาเล่า หรือแจกทริคการจำ ก็สามารถคอมเมนต์เอาไว้ด้านล่างได้เลย!

 

 

 

พี่แป้ง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น