รู้จัก! ประโยคบกพร่อง ออกสอบบ่อย

ประโยคบกพร่อง เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ข้อสอบ A-Level วิชาภาษาไทย ออกสอบทุกปี แม้จะออกแค่ปีละ 1-2 ข้อ แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรพลาด เพราะเรื่องนี้เหมือนเป็นข้อช่วย แค่จับหลักได้ว่าประโยคบกพร่องมีกี่ประเภท แค่นี้ก็ทำข้อสอบพาร์ตหลักภาษาได้สบาย ๆ วันนี้คอลัมน์ ‘รู้ไว้เผื่อออกสอบ’ จะพาทุกคนไปดูว่าประโยคบกพร่องคืออะไร มีทั้งหมดกี่รูปแบบ พร้อมทริคสังเกตโจทย์ที่เอาไปใช้ในห้องสอบได้จริง!

รู้จัก! ประโยคบกพร่อง ออกสอบบ่อย
รู้จัก! ประโยคบกพร่อง ออกสอบบ่อย

ประโยคบกพร่อง คืออะไร?

ประโยคบกพร่อง คือ ประโยคที่ไม่สมบูรณ์ มีข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์หรือโครงสร้าง ทำให้ความหมายไม่ชัดเจน หรือสื่อสารได้ไม่เต็มที่ ประโยคบกพร่องอาจเกิดจากการใช้คำผิดความหมาย ขาดส่วนประกอบสำคัญของประโยค หรือใช้ภาษาที่ไม่ถูกต้องตามหลักภาษา.  โดยประโยคบกพร่องมีลักษณะดังนี้

*หมายเหตุ : หัวข้อที่ดอกจันทน์ (*) เป็นประเด็นที่ข้อสอบนำมาออกสอบบ่อย

1. การใช้ภาษาผิด

การใช้ภาษาผิด คือ การใช้ภาษาผิดความหมาย หรือผิดหลักไวยกรณ์ ซึ่งสามารถพิจารณาตั้งแต่ระดับคำ กลุ่มคำ สำนวน ประโยค 

1.1 การใช้คำผิดความหมาย*

การใช้คำผิดความหมาย คือ การใช้คำที่ผิดไปจากความหมาย หรือผิดเจตนาในการสื่อสารของรูปประโยค ซึ่งสาเหตุอาจมาจากเป็นคำคล้ายกัน เสียงคล้ายกัน หรือใช้ผิดด้วยความเข้าใจผิด 

ตัวอย่างการใช้คำผิดความหมาย : พ่อแม่เสี้ยมสอนให้เขาเอื้ออารีแก่ผู้อื่น ประโยคจะใช้คำว่า "เสี้ยมสอน" ไม่ได้ เพราะเป็นความหมายเชิงลบไม่เข้ากับรูปประโยคซึ่งเป็นเชิงบวก ต้องใช้คำว่า "สั่งสอน" แทน

1.2 การใช้คำผิดหลักไวยากรณ์

การใช้คำผิดหลักไวยากรณ์ คือ การใช้คำบุพบท คำสันธาน หรือคำลักษณนาม ผิดจากหลักไวยกรณ์

  • คำบุพบท คือ คำที่ใช้เชื่อมคำอื่น ๆ ในประโยค เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำเหล่านั้น มักจะวางไว้หน้าคำนาม หรือคำสรรพนาม เช่น
    • บอกความเป็นเจ้าของ >>  ของ แห่ง ฯลฯ
    • บอกความเกี่ยวข้อง >> กับ แก่ แด่ ต่อ ฯลฯ
    • บอกเวลา >> ตั้งแต่ จน เมื่อ กระทั่ง ถึง ฯลฯ
    • บอกความประสงค์ >> เพื่อ สำหรับ ฯลฯ
    • บอกสถานที่ >> ใกล้ ไกล บน ล่าง หน้า หลัง ริม ใน นอก ฯลฯ
  • คำสันธาน คือ  คำที่ทำหน้าที่เชื่อมคำกับคำ ประโยคกับประโยค ข้อความกับข้อความ เพื่อแสดงความคล้อยตาม ความขัดแย้งเหตุผล หรือเชื่อมความให้สละสลวย เช่น
    • คำสันธานที่เชื่อมความคล้อยตามกัน >> และ/ทั้ง...และ/ทั้ง...ก็/ครั้น...ก็/ครั้น...จึง/ก็ดี/เมื่อ...ก็ว่า/พอ...แล้ว
    • คำสันธานที่เชื่อมความขัดแย้งกัน >> แต่/แต่ว่า/กว่า...ก็/ถึง...ก็
    • คำสันธานที่เชื่อมข้อความให้เลือก >> หรือ/หรือไม่/ไม่...ก็/หรือไม่ก็/ไม่เช่นนั้น/มิฉะนั้น...ก็
    • คำสันธานที่เชื่อมความที่เป็นเหตุเป็นผล >> เพราะ/เพราะว่า/ฉะนั้น...จึง/ดังนั้น/เหตุเพราะ/เหตุว่า/เพราะฉะนั้น...จึง
  • คำลักษณนาม คือ คำที่บอกลักษณะและชนิดของคำนาม โดยจะวางไว้หลังตัวเลขหรือคำที่บอกจำนวนเพื่อแสดงให้เห็นว่าคำนามนั้นมีลักษณะอย่างไร ลักษณนามมีหลายประเภท เช่น
    • บอกชนิด: เช่น "เล่ม" (หนังสือ, กรรไกร), "องค์" (พระพุทธรูป), "หลัง" (บ้าน)
    • บอกหมวดหมู่: เช่น "ฝูง" (สัตว์), "วง" (ตะกร้อ)
    • บอกสัณฐาน: เช่น "แผ่น" (กระดาน), "วง" (แหวน)
    • บอกจำนวนและมาตรา: เช่น "คู่" (รองเท้า), "โหล" (ของ 12 ชิ้น)
    • บอกอาการ: เช่น "จีบ" (พลู), "มวน" (บุหรี่)

ตัวอย่างการใช้คำผิดหลักไวยากรณ์ : โบราณสถานที่สำคัญทุกชิ้นในประเทศไทยควรได้รับการดูแล คำว่า "ชิ้น" ไม่เหมาะสมกับคำว่า "โบราณสถาน" เพราะโบราณสถานเป็นสถานที่ ไม่ใช่วัตถุหรือสิ่งของเล็ก ๆ ต้องใช้คำว่า "แห่ง" แทน

1.3 การใช้กลุ่มคำ หรือสำนวนผิด*

การใช้กลุ่มคำหรือสำนวนผิด คือ การนำกลุ่มคำ หรือสำนวนมาใช้โดยไม่ถูกต้องตามความหมาย หรือบริบทที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจทำให้ความหมายเพี้ยน ผิดหลักภาษา ทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังสับสน

ตัวอย่างการใช้สำนวนผิด : เขาจะทิ้งไพ่ใบสุดท้าย ก่อนลาจากวงการนี้ “ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย” หมายถึง ทีเด็ดที่เก็บไว้ใช้ในยามคับขันหรือไม้ตาย ควรใช้คำว่า “ทิ้งทวน” หมายถึง ทำหน้าที่เป็นครั้งสุดท้าย

1.4 การเรียงคำผิดลำดับ

การเรียงคำผิดลำดับ คือ การเรียงคำไม่ถูกต้องตามหลักไวยกรณ์ 

ตัวอย่างการเรียงคำผิดลำดับ : คนแก่ชอบไปถือศีลฟังธรรมที่วัดจำนวนมาก ควรแก้เป็น คนแก่จำนวนมากชอบไปถือศีลฟังธรรมที่วัด

1.5 การใช้ประโยคไม่สมบูรณ์

การใช้ประโยคไม่สมบูรณ์ คือ ประโยคที่ขาดส่วนสำคัญของประโยค หรือมีส่วนเกินเข้ามาทำให้ความหมาย หรือโครงสร้างประโยคผิดไป

ตัวอย่างการใช้ประโยคไม่สมบูรณ์ : นักกีฬาที่ได้เหรียญทองโอลิมปิก ประโยคนี้ขาดใจความสำคัญ ควรเติมประโยคให้สมบูรณ์เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้น เช่น นักกีฬาที่ได้เหรียญทองโอลิมปิกเดินทางถึงประเทศไทยแล้ว

2. การใช้ภาษาไม่เหมาะสม

การใช้ภาษาไม่เหมาะสม คือ การใช้ภาษาหรือถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมกับกาลเทศะ บุคคล และการใช้ถ้อยคำผิดระดับภาษา

2.1 การใช้คำต่างระดับ

การใช้คำต่างระดับ คือการนำคำที่ระดับภาษาต่างกันมาใช้ในประโยคเดียวกัน เช่น การใช้ภาษาพูดในภาษาเขียน

ตัวอย่างการใช้คำต่างระดับ : ดิฉันอยากทราบว่าส้มตำแซ่บบ่ มีการใช้ระดับภาษาต่างกัน คือภาษาพูดปนกับภาษาเขียน ควรใช้ปรับให้ภาษาอยู่ในระดับเดียวกัน ฉันอยากรู้ว่าส้มตำแซ่บบ่ (ภาษาพูด) 

อ่านเรื่อง ‘ระดับภาษา’ 

2.2 การใช้คำไม่เหมาะกับความรู้สึก

การใช้คำไม่เหมาะกับความรู้สึก คือ การเลือกใช้คำที่สื่ความหมายไม่ตรงกับความรู้สึกผู้พูด 

ตัวอย่างการใช้คำต่างระดับ : ไทม์รู้สึกใจหายที่เลิกกับแจมไปสักที ประโยคนี้ไม่เหมาะสมตรงที่ ใจหาย แต่ท้ายประโยคคือ ได้เลิกไปสักที จึงทำให้ประโยคบกพร่องตรงที่สรุปแล้วไทม์รู้สึกใจหายจริงๆ หรืออยากเลิกตั้งแต่แรก

2.3 การใช้ภาษาต่างประเทศปะปน

การใช้ภาษาต่างประเทศปะปน คือ การนำคำที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษ หรือ “คำทับศัพท์” มาใช้ปะปนในภาษาโดยไม่จำเป็น 

ตัวอย่างการใช้ภาษาต่างประเทศปะปน : ฉันชอบนั่งรถเมล์แอร์คอนดิชั่นมากกว่ารถเมล์ธรรมดา คำว่า แอร์คอนดิชั่น มาจากคำว่า air conditioner หมายถึง เครื่องปรับอากาศ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วคนมักจะเรียกกันว่า รถเมล์ปรับอากาศ ซึ่งหมายถึงรถเมล์ที่มีเครื่องปรับอากาศหรือแอร์นั่นเอง

 3.การใช้ภาษาไม่กระจ่าง ไม่ชัดเจน

การใช้ภาษาไม่กระจ่าง ไม่ชัดเจน คือ การใช้ภาษาที่ไม่สามารถสื่อความหมายที่ผู้ส่งสารต้องการได้ อาจเกิดจากการใช้คำที่มีความหมายกว้าง คำที่มีความหมายไม่เฉพาะเจาะจง คำที่มีความหมายขัดแย้งกัน หรือการใช้ประโยคที่ทำความเข้าใจได้หลายอย่าง

3.1 การใช้คำที่มีความหมายกว้าง 

การใช้คำที่มีความหมายกว้าง คือ การใช้คำที่มีความหมายไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความรู้สึก และความคิดเห็นของแต่ละคน 

ตัวอย่างการใช้คำที่มีความหมายกว้าง : ชานยอลเอาของมาให้แบคฮยอน ประโยคนี้บกพร่องเพราะไม่ได้ระบุชัดเจนว่า “ของ” คืออะไร เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจควรระบุให้ชัดเจนว่าของสิ่งนั้นคืออะไร เช่น ชานยอลเอาดอกไม้มาให้แบคฮยอน

3.2 การใช้คำที่มีความหมายขัดแย้ง

การใช้คำที่มีความหมายขัดแย้ง คือ การใช้คำที่ทำให้ผู้รับสารสับสนว่าผู้พูดต้องการสื่อสารอะไร

ตัวอย่างการใช้คำที่มีความหมายขัดแย้ง :  การเดินทางไปเกาะเสม็ดไม่ลำบากมากนัก เรียกได้ว่าตกทุกข์ได้ยากทีเดียว จากประโยคอาจทำให้เกิดความสับสนได้ว่าสรุปแล้ว ลำบากหรือไม่ลำบากกันแน่ 

3.3 การใช้ประโยคกำกวม* 

การใช้ประโยคกำกวม คือ การใช้ประโยคที่สามารถตีความหายได้หลายความหมาย ทำให้สื่อสารแล้วเข้าใจไม่ตรงกัน

ตัวอย่างการใช้ประโยคกำกวม : นิดหน่อยซื้อไก่ทอดราดซอสราคาถูก “ราคาถูก” ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นส่วนขยายของคำใด จึงสามารถตีความได้ 2 แบบ

  • “ราคาถูก” ขยาย “ไก่ทอด” = ไก่ทอดที่ซื้อมามีราคาถูก
  • “ราคาถูก” ขยาย “ซอส” = ซอสที่ราดไก่ทอดมีราคาถูก
อ่านเรื่อง ‘ประโยคกำกวม’ 

4. การใช้ภาษาไม่สละสลวย

การใช้ภาษาไม่สละสลวย คือ การใช้ภาษาที่สามารถสื่อสารได้อต่อาจเป็นภาษาที่ไม่ราบรื่น

4.1 การใช้คำฟุ่มเฟือย*

การใช้คำฟุ่มเฟือย คือ การใช้คำที่ไม่มีความหมายต่อประโยค สามารถตัดทิ้งได้ หรือการใช้คำที่มีความหมายซ้ำซ้อนกันอยู่

ตัวอย่างการใช้คำฟุ่มเฟือย : สมศรีเป็นคนเดียวที่ไม่ตายรอดชีวิตมาได้ จากประโยคมีการใช้คำที่ที่มีความหมายซ้ำซ้อนกันอยู่ คือ “ไม่ตาย” “รอดชีวิต” 

4.2 การใช้คำที่ไม่คงที่

การใช้คำที่ไม่คงที่ คือ การเปลี่ยนแปลงคำคำเดียวกันในประโยค โดยไม่จำเป็น

ตัวอย่างการใช้คำไม่คงที่ : เมื่อวานนี้ไปเยี่ยมคนเจ็บที่โรงพยาบาล พบว่าคนไข้มีอาการดีขึ้นมากแล้ว จากประโยคคำว่า “คนเจ็บ” “คนไข้” จัดว่าเป็นคำที่มีความหมายเดียวกันในประโยคนั้น 

4.3 การใช้สำนวนภาษาต่างประเทศ* 

การใช้สำนวนภาษาต่างประเทศ คือ การใช้ประโยคภาษาไทยที่เลียนแบบวิธีการเรียบเรียงประโยคแบบสำนวนต่างประเทศ ในที่นี้คือ ภาษาอังกฤษ ซึ่งประโยคบกพร่องจากการใช้สำนวนภาษาต่างประเทศมีข้อสังเกต ดังนี้
 

1. โครงสร้างประโยค

  • โครงสร้างภาษาไทย = ประธาน (S) + กริยา (V) + กรรม (O) เช่น หัวหน้าห้องรวบรวมการบ้าน
  • โครงสร้างภาษาอังกฤษ = กรรม (O) + กริยา (V) + ประธาน (S) เช่น การบ้านถูกรวบรวมโดยหัวหน้าห้อง

2. ส่วนขยาย

ส่วนขยายในภาษาไทยจะอยู่หลังคำที่ถูกขยาย และวางชิดกับคำที่ขยาย (ยกเว้นส่วนขยายของคำที่มีกรรม) เช่น

ตัวอย่างส่วนขยายประโยคภาษาไทย : “ข้อสอบภาษาไทยเข้าใจยาก” คำขยายของประโยคนี้คือ คำว่า ยาก จะเห็นว่าอยู่ชิดกับคำกริยา ซึ่งคือคำว่า “เข้าใจ” 

 

ตัวอย่างสำนวนภาษาต่างประเทศ : “ข้อสอบภาษาไทยยากต่อการเข้าใจ” คำขยายของประโยคนี้คือ คำว่า ยาก จะเห็นว่าอยู่ชิดกับประธาน ซึ่งคือคำว่า “ข้อสอบภาษาไทย” ซึ่งจากโครงสร้างนี้

เหมือนคำว่า ต่อการเข้าใจ มาเป็นส่วนขยายของคำว่า ยาก แทน

 

จากประโยคตัวอย่างทั้ง 2 รูปแบบ แม้ความหมายจะเหมือนกันแต่การวางรูปประโยคต่างกัน

3.ใช้จำนวนนับอยู่หน้าคำนาม โดยไม่ใช้ลักษณนาม

สำนวนภาษาต่างประเทศมักจะใช้จำนวนนับอยู่หน้าคำนาม โดยที่ไม่ใช้ลักษณนามเหมือนภาษาไทย ซึ่งประโยคลักษณะนี้มักจะเจอในพาดหัวข่าว

ตัวอย่างประโยคภาษาไทย : โรงแรมดัง 5 แห่งทุ่มงบตกแต่งสถานที่ใหม่ทั้งหมด

ตัวอย่างสำนวนภาษาต่างประเทศ : 5 โรงแรมดังทุ่มงบตกแต่งสถานที่ใหม่ทั้งหมด

4.มีคำขยายความ

ภาษาไทยสื่อความหมายด้วยถ้อยคำกระชับรัดกุม ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย แต่ภาษาต่างประเทศมักจะมีคำขยายความ เช่น ให้ความ, มีความ, มีการ, ในความ, ทำความ, ทำการ

ตัวอย่างประโยคภาษาไทย : แจฮยอนรู้สึกชอบหมูกรอบ/แจฮยอนชอบหมูกรอบ

ตัวอย่างสำนวนภาษาต่างประเทศ : แจฮยอนมีความรู้สึกชอบหมูกรอบ

5.กลุ่มคำที่เป็นสำนวนภาษาต่างประเทศ

มีการใช้กลุ่มคำที่เป็นสำนวนภาษาต่างประเทศ เช่น ในอนาคตอันใกล้, เต็มไปด้วย, นำมาซึ่ง, มันเป็นอะไรที่, ในความคิดของ

ตัวอย่างประโยคภาษาไทย : ลิซ่าจะกลับมาเมืองไทยเร็วๆ นี้

ตัวอย่างสำนวนภาษาต่างประเทศ : ลิซ่าจะกลับมาเมืองไทยในอนาคตอันใกล้นี้

ประโยคบกพร่อง ออกสอบบ่อย
ประโยคบกพร่อง ออกสอบบ่อย

ตัวอย่างโจทย์ที่พบบ่อยในข้อสอบเรื่อง ประโยคบกพร่อง

  • ประโยคใดมีข้อบกพร่องเช่นเดียวกับประโยค “........”
  • ประโยคในข้อใดบกพร่องต่างจากข้ออื่น
  • ข้อใดใช้คำถูกความหมาย
  • ข้อใดใช้คำผิดความหมาย

แจกทริค! ทำข้อสอบประโยคบกพร่อง

1. ประโยคต้องเรียงลำดับจาก ประธาน+กริยา+กรรม

2. คำต้องไม่ขัดแย้งกัน

3. คำต้องมีความหมายถูกต้อง

4. ต้องใช้สำนวนถูกต้อง

5. ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย

6. ประโยคต้องไม่กำกวม

7. ต้องใช้ลักษณนามให้ถูกต้อง

8. ใช้ภาษาต่างประเทศ ก็ต่อเมื่อ (1) มีคำไทยบัญญัติไว้, (2) มีบัญญัติไว้แต่ไม่นิยม

มาทดสอบความรู้กัน!

รู้จักประเภทของประโยคบกพร่องกันไปแล้ว ถึงเวลาทดสอบความเข้าใจกันแล้วค่ะ โจทย์เรื่องประโยคบกพร่องอาจจะต้องใช้การวิเคราะห์สักนิดนึง แนะนำว่าค่อยๆ อ่านตัวเลือกแล้วสังเกตดีๆ วันนี้ 2 ข้อมาให้ฝึกทำ เป็นข้อสอบ A-Level วิชาภาษาไทย จากโครงการ Dek-D’s Pre-Admission รอบธันวาคม 2564 และรอบพฤศจิกายน 2566

 

1.ประโยคใดมีข้อบกพร่องเช่นเดียวกับประโยค “นิกรเป็นลูกโทนคนเดียวของพ่อแม่” (โครงการ Dek-D’s Pre Admission รอบพฤศจิกายน ปี 2566)

ก. น้องแอบเล่นตัวต่อก็เลยถูกแม่่ตี

ข. สัปเหร่อเอาศพใส่เข้าไปในโลงสําหรับเก็บศพ

ค. ศิลปินวงนี้เป็นเทพบุตรจุติใหม่ในวงการเพลง

ง. มันไม่ใช่ความจริงเลยเรื่องนี้

จ. ชาวบ้านแถวนี้นิยมเลี้ยงหมู หมา และโค

_____________________________________________

2. ข้อใดใช้คำถูกความหมาย (โครงการ Dek-D’s Pre Admission รอบธันวาคม ปี 2564)

ก. สามีภรรยาคู่ไหน ๆ ในโลกก็มีปัญหาทะเลาะวิวาทกันได้ทั้งนั้น

ข. ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากทัศนวิสัยหรือนิสัยใจคอที่ไม่เข้ากัน

ค. โดยมากคนที่รู้สึกอึดอัดคับแค้นใจมากกว่ามักจะเป็นฝ่ายหญิง

ง. เพราะสังคมคาดหวังให้ผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายเก็บงำความรู้สึกเอาไว้

จ. ทั้งที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องรู้จักปรับตัวใช้สติและภูมิปัญญาแก้ปัญหา

น้องๆ คิดว่าแต่ละข้อคำตอบไหนถูกต้อง คอมเมนต์ด้านล่างได้เลย!  

 

สำหรับคอลัมน์ ‘รู้ไว้เผื่อออกสอบ’ วิชาภาษาไทย บทความต่อไปจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ฝากติดตามกันด้วยนะคะ หรือถ้าน้องๆ มีเรื่องราวน่าสนใจเรื่องไหน ที่อยากให้นำมาเล่า หรือแจกทริคการจำ ก็สามารถคอมเมนต์เอาไว้ด้านล่างได้เลย!

 

พี่แป้ง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น