เคยได้ยินคำนี้ไหม..Strict parents raised the best liars พ่อแม่ที่เข้มงวดมักจะสร้างลูกขี้โกหก
หลายคนอาจจะเเคยพบเจอเหตุการณ์ที่พ่อแม่ดุ พยายามจะควบคุมเรา หรือบังคับให้ทำในสิ่งที่ต้องการ แล้วการทำแบบนั้นมันส่งผลต่อตัวเราจนถึงปัจจุบันนี้ กับประโยคที่กล่าวมาข้างต้น ครอบครัวที่เข้มงวด ส่งผลให้ลูกโตมาเป็นคนโกหก
อย่างที่เราน่าจะพอทราบกันว่า รูปแบบการเลี้ยงดูของพ่อแม่ สามารถส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรม อารมณ์ และทักษะชีวิตของลูกในระยะยาว
จากงานวิจัยของ Diana Baumrind นักจิตวิทยาเด็ก และนักวิชาการหลายท่าน ได้มีการแบ่งรูปแบบการเลี้ยงลูกออกเป็น 4 รูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบมีลักษณะเฉพาะและให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันต่อพัฒนาการของเด็ก
1. รูปแบบการเลี้ยงดูด้วยเหตุผล (Authoritative Parenting)
พ่อแม่จะตั้งกฎระเบียบที่ชัดเจน มีความคาดหวังต่อลูกในระดับเหมาะสม แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ลูกได้พูดคุย แสดงความคิดเห็น และเรียนรู้จากผลของการตัดสินใจของตนเอง พ่อแม่ให้การสนับสนุนและเป็นที่พึ่งทางอารมณ์อย่างอบอุ่น
ส่วนลูกที่เติบโตมากับการเลี้ยงดูในรูปแบบนี้ จะมีความมั่นใจในตนเอง รู้จักคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี มีความรับผิดชอบและประสบความสำเร็จในด้านการเรียน
2. รูปแบบการเลี้ยงดูแบบเคร่งครัด ไม่ยืดหยุ่น (Authoritarian Parenting)
พ่อแม่จะเน้นกฎเกณฑ์เข้มงวด ใช้อำนาจในการควบคุมลูก โดยไม่เปิดโอกาสให้ซักถามหรือโต้แย้ง มักมีคำพูดลักษณะว่า “ต้องทำเพราะแม่บอก” และใช้การลงโทษเป็นหลัก หรือเราเรียกอีกอย่างว่า Strict Parents
ส่วนลูกที่เติบโตมาจากการเลี้ยงดูรูปแบบนี้ จะเชื่อฟังแต่ขาดความมั่นใจในตนเอง มีแนวโน้มเครียด วิตกกังวล หรือมีปัญหาในการเข้าสังคม ไม่กล้าแสดงออก และขาดทักษะในการตัดสินใจด้วยตนเอง
3. รูปแบบการเลี้ยงดูแบบตามใจ (Permissive Parenting)
พ่อแม่กลุ่มนี้ให้ความรักและอิสระอย่างเต็มที่ แต่จะไม่ค่อยตั้งกฎเกณฑ์หรือข้อจำกัด ลูกสามารถทำตามใจได้โดยไม่ต้องมีความรับผิดชอบมากนัก หรือเรียกได้ว่า Spoiled Child นั่นเอง
ส่วนลูกที่เติบโตมาจากการเลี้ยงดูรูปแบบนี้ จะมีโอกาสที่จะขาดวินัย เอาแต่ใจ ไม่ค่อยมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รวมถึงมีโอกาสที่จะเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ เช่น ภาวะอ้วน สูงกว่ารูปแบบอื่น
4. พ่อแม่แบบ “ละเลย ไม่ใส่ใจ” (Uninvolved Parenting)
พ่อแม่กลุ่มนี้จะไม่สนใจ ไม่สามารถมีส่วนร่วมในชีวิตของลูกมากเท่าไร อาจจะเกิดได้จากหลายปัจจัย สภาพ สังคม เศรษฐกิจ หรือสภาพจิตใจของพ่อแม่เองด้วย
ลูกที่เติบโตจากการเลี้ยงดูรูปแบบนี้คือ ลูกจะขาดความผูกพันทางอารมณ์ มีปัญหาการแสดงออกทางพฤติกรรม มีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมรุนแรง หรือมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า และวิตกกังวลอีกด้วย
หลังจากที่เราได้รู้จักรูปแบบการเลี้ยงดูของพ่อแม่ (Parenting Styles) ก็จะทำให้เราได้เห็นภาพมากขึ้นว่าการเลี้ยงดูส่งผลต่อการเติบโตของลูกอย่างไร
นอกจากนี้สถาบัน National Institutes of Health ได้ทำการวิจัยหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่มีผลต่อการตัดสินใจ (Decision Making for Parenting Style) พบว่า การเลี้ยงแบบเคร่งครัด (Authoritarian Parenting) จะมีข้อกำหนดกับตัวลูกค่อนข้างเยอะ แต่กลับละเลยความรู้สึกของลูก แม้ว่าการเลี้ยงดูในรูปแบบดังกล่าวช่วยสร้างความเชื่อฟังในระยะสั้น แต่จะส่งผลกระทบในระยะยาว เช่น ส่งผลกระทบต่อความสุขของลูก รวมถึงตัวลูกจะมีพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ต่ำ และที่สำคัญคือ “ทักษะโกหกที่เพิ่มขึ้น” นั่นเอง ในทางตรงข้ามการเลี้ยงดูด้วยเหตุผล (Authoritative Parenting) มีแนวโน้มสร้างเด็กที่มีความรับผิดชอบและมีความน่าเชื่อถือได้มากกว่า
งานวิจัยอีกรายงานระบุว่า เด็กที่เติบโตในครอบครัวเคร่งครัด (Authoritarian Parenting) มักมีแนวโน้มปกป้องตัวเองสูง (Self-Defending) และมักมีความมั่นใจในตนเองต่ำ (low self-esteem) ซึ่งตรงข้ามการเลี้ยงดูด้วยเหตุผล (Authoritative Parenting) และยังมีงานวิจัยที่พบว่า เด็กที่เติบโตในโรงเรียนหรือครอบครัวที่เคร่งครัด (authoritarian) มักโกหกได้เร็วและแนบเนียนกว่าฝ่ายที่เลี้ยงแบบมีเหตุผล (Authoritative)
จากการศึกษาพบว่า “การเลี้ยงดูแบบมีเหตุผล (Authoritative)” เป็นแนวทางที่ส่งเสริมให้เด็กเติบโตอย่างมีความมั่นคงทั้งทางอารมณ์ สังคม และสติปัญญา เพราะเด็กจะได้เรียนรู้ทั้งขอบเขต ความรับผิดชอบ และการสื่อสารอย่างเคารพซึ่งกันและกัน
เรามาพูดถึงการโกหกบ้างดีกว่า นอกจากการเลี้ยงดูแล้ว ยังมีสาเหตุอะไรที่ทำให้เด็กถึงเลือกที่จะโกหกพ่อแม่
ดร.วิกตอเรีย ทัลวาร์ (Dr. Victoria Talwar) นักจิตวิทยาและนักวิจัยด้านพัฒนาการเด็กจากมหาวิทยาลัย McGill ได้มีการอธิบายไว้ในพอดแคสต์ ตอน Why Kids Lie ของ American Psychological Association (APA) ว่า
เด็กทุกคนโกหก เป็นพฤติกรรมพัฒนาการที่พบได้ทั่วไป
- การโกหกต้องใช้ทักษะการคิดระดับสูง เช่น ความจำ การควบคุมตนเอง และการเข้าใจความคิดของผู้อื่น (theory of mind)
- เด็กเล็กอาจโกหกเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา แต่เมื่อโตขึ้น พวกเขาเริ่มเข้าใจมุมศีลธรรม เช่น การโกหกเพื่อช่วยเหลือคนอื่น
- การอบรมจากพ่อแม่และครูมีผลอย่างมาก เช่น ถ้าลงโทษมากเกินไป เด็กอาจโกหกเก่งขึ้นเพื่อเอาตัวรอด
พ่อแม่ควรจะเปิดใจคุยกับลูกเมื่อลูกโกหก แทนการลงโทษ ดร.วิกตอเรีย ยังกล่าวอีกว่า การลงโทษเด็กอย่างรุนแรงสามารถทำให้เด็กโกหกเก่งขึ้น เพราะพวกเขาเรียนรู้ว่าการโกหกช่วยหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ เด็กจะไม่เรียนรู้ว่าทำไมพฤติกรรมนั้นถึงผิด แต่จะพัฒนาเทคนิคเพื่อหลบเลี่ยงความผิดมากขึ้น ควรเปิดใจในการพูดคุย สร้างความไว้ใจ และเป็นตัวอย่างด้านความซื่อสัตย์ให้เด็ก
ใน Podcast ดังกล่าว ยังอธิบายไว้ว่า การโกหกเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งของเด็ก โดยที่
เด็กเริ่มโกหกตั้งแต่อายุ 2–3 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่สมองกำลังพัฒนาทักษะการรู้คิด (executive functions) เช่น ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรม และเข้าใจความคิดผู้อื่น การโกหกจึงแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเริ่มเข้าใจมุมมองของคนอื่น (theory of mind) และเข้าใจตรรกะเพื่อหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ไม่พึงประสงค์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของสติปัญญาทางอารมณ์ (Emotional Intelligence)
เด็กในช่วงประถมต้นมักโกหกเพื่อหลีกเลี่ยงโทษ ขณะที่วัยรุ่นเริ่มใช้เพื่อปกปิดภาพลักษณ์และรักษาความเป็นส่วนตัว การโกหกบางประเภทเพื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม
การโกหกในเด็กอาจเกิดขึ้นจากพัฒนาการ แต่หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ทักษะการโกหกนั้นอาจจะพัฒนาไปในระดับรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อตัวเด็กและคนอื่น ๆ ได้ ดังนั้น การเลี้ยงดูเอาใจใส่ พูดคุยด้วยเหตุผลจึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรทำเมื่อรับรู้ว่าเด็กโกหก เมื่อพ่อแม่ยิ่งเข้มงวด จะยิ่งทำให้เด็กหลุดออกจากกรอบ สิ่งที่แสดงออกทำแค่เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกลงโทษ และจะส่งผลกระทบต่อเด็กในหลาย ๆ ทางนั่นเอง
Referenceshttps://www.iflscience.com/stricter-parents-turning-children-effective-liars-37525https://www.apa.org/news/podcasts/speaking-of-psychology/why-kids-liehttps://www.parents.com/parenting/better-parenting/style/parenting-styles-explained/การเลี้ยงดูด้วยเหตุผล (authoritative style) ที่เน้นความเข้าใจ มีขอบเขต และสนับสนุนความจริง ส่งเสริมให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่คิดเป็น มีความรับผิดชอบ และเชื่อใจในตนเองและผู้อื่น
0 ความคิดเห็น