สวัสดีน้อง ๆ Dek-D ทุกคนค่ะ รู้ไว้เผื่อออกสอบวันนี้พี่มีหัวข้อการโต้แย้ง และการโน้มน้าวมาฝากน้อง ๆ กันค่ะ พร้อมทั้งมีตัวอย่างข้อสอบมาให้น้อง ๆ ได้ทดลองทำกันด้วย แล้วทั้งสองเรื่องนี้จะมีลักษณะอย่างไร มีกลวิธีอย่างไร และภาษาที่ใช้เป็นอย่างไร วันนี้พี่จะพาน้อง ๆ ไปชมกันค่ะ
การโต้แย้งคืออะไร?
โดยปกติแล้วไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความเห็นตรงกันหรือคิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งเหมือนกัน ความแตกต่างทางความคิดและความเข้าใจจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทุกสังคม จึงทำให้เกิดการแสดงความคิดเห็นโต้แย้ง และแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการเมือง เรื่องเศรษฐกิจ เป็นต้น
ซึ่งการโต้แย้งก็เป็นการที่สองฝ่ายมีทรรศนะที่ไม่ตรงกัน เนื่องจากการมีประสบการณ์ภูมิหลังต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนกัน จึงทำให้แต่ละคนมีทรรศนะคนละแบบ และก่อให้เกิดการตั้งประเด็นขึ้นมาเพื่อใช้ในการโต้แย้งกัน โดยแต่ละฝ่ายจะมีการนำเหตุผล หลักฐานมาอ้างอิง เพื่อประกอบรองรับทรรศนะตนเอง และล้มล้างทรรศนะของอีกฝ่ายลง
โดยการโต้แย้งจะสามารถจบลงได้ด้วยการตัดสิน ซึ่งการโต้แย้งสามารถเกิดได้หลายระดับ เช่น ระดับครอบครัว ระดับสังคม หรือใหญ่ขึ้นถึงระดับประเทศและระดับโลกก็ก่อให้เกิดการโต้แย้งได้
องค์ประกอบของการโต้แย้ง
เหตุผล : หลักการที่มีความน่าเชื่อถือ และมีข้อเท็จจริง ที่ผู้พูดจะหยิบยกขึ้นมาอธิบาย และชี้แจง
ข้อสรุป : เป็นส่วนสำคัญที่แสดงทรรศนะ อาจจะเป็นข้อสันนิษฐานเพื่อให้ผู้อื่นพิจารณา และเกิดการยอมรับ
การโต้แย้งมี 3 ประเภท
1. การโต้แย้งเกี่ยวกับข้อเท็จจริง
การโต้แย้งเกี่ยวกับข้อเท็จจริง คือ การโต้แย้งเกี่ยวกับข้อสันนิษฐานหรือข้อคาดการณ์ของฝ่ายตรงข้าม และยกประเด็นข้อเท็จจริงมาเป็นประเด็นในการโต้แย้ง และเสนอทางเลือกให้ผู้ฟัง
ตัวอย่าง 1
ทรรศนะที่ 1
"ด้วยปรากฏว่าในช่วงสอง สามสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีมิจฉาชีพลอบเข้ามาในบริเวณหมู่บ้านในยามวิกาลและโจรกรรมทรัพย์สินมีค่าหลายรายการไปจากบ้านของคุณสมศักดิ์และคุณรุ่งนภา การที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการหมู่บ้านไม่ได้มีมาตรการที่จะป้องกันหรือเข้มงวดกับยามรักษาการณ์ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเอาใจใส่และระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยข้อเท็จจริงทุกครั้งที่ทรัพย์สินของผู้อาศัยในหมู่บ้านสูญหายไป กรรมการหมู่บ้านกลับเพิกเฉยต่อคำร้องเรียน และปล่อยให้เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับบ้านของคุณรุ่งนภา เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วยังพบอีกว่า ระบบสาธารณูปโภคของหมู่บ้านก็มีความบกพร่อง แสงสว่างมีไม่เพียงพอ ซึ่งอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มิจฉาชีพเข้ามาโจรกรรมได้อย่างสะดวก
ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า การที่ทรัพย์สินของหมู่บ้านถูกโจรกรรมนั้นเป็นเพราะคณะกรรมการหมู่บ้านไม่แสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่และละเลยเรื่องความปลอดภัยของหมู่บ้านมาเป็นระยะเวลานาน"
(ตัวอย่าง : หนังสือหลักภาษาและการใช้ภาษาไทย ม.6)
ทรรศนะที่ 2
"ปัญหาที่ทรัพย์สินของผู้อาศัยภายในหมู่บ้านถูกโจรกรรมไป ดังเช่นกรณีบ้านของ คุณสมศักดิ์และคุณรุ่งนภา ข้าพเจ้าเห็นว่าเราน่าจะพิจารณาถึงสาเหตุของปัญหาอย่างรอบด้าน เพื่อค้นหาต้นเหตุที่แท้จริง เราไม่น่าพิจารณาเพียงปลายเหตุ การไม่เข้มงวดของยามรักษาการณ์หรือ ปัญหาแสงสว่างไม่เพียงพอ ข้าพเจ้าเห็นว่าอาจไม่ใช่ต้นเหตุแห่งปัญหา หากเรามองจากลักษณะทางกายภาพของหมู่บ้านจะพบว่า หมู่บ้านของเราตั้งอยู่บนพื้นที่เสี่ยง มีมิจฉาชีพชุกชุม และห่างจากสถานีตำรวจ ข้อเท็จจริงเหล่านี้จึงน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มิจฉาชีพเข้ามาโจรกรรมทรัพย์สินภายในหมู่บ้านได้ถึงสองครั้ง"
(ตัวอย่าง : หนังสือหลักภาษาและการใช้ภาษาไทย ม.6)
จากตัวอย่างที่ 1 จะเห็นได้ว่ามีการโต้แย้งกันระหว่าง 2 ทรรศนะ โดยเป็นการโต้แย้งกันเพื่อหาถึงสาเหตุ และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์โจรกรรมที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน โดยยกเหตุผลและความน่าจะเป็นประกอบทรรศนะของตนว่าการถูกโจรกรรมเกิดจากอะไร
2. การโต้แย้งเกี่ยวกับนโยบาย
การโต้แย้งเกี่ยวกับนโยบาย คือ การโต้แย้งเกี่ยวกับข้อเสนอแนะ หรือคำแนะนำของฝ่ายตรงข้าม การโต้แย้งประเภทนี้จะมุ่งให้เกิดการกระทำใหม่ เพื่อเปลี่ยนแปลงแนวทางการปฏิบัติให้ไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น
ตัวอย่าง 2
"ขณะนี้โรงเรียนของเรากำลังปรับปรุงบริเวณที่เคยปลูกต้นกระถินณรงค์ไว้ โดยตัดออกทั้งหมดและถมที่ใหม่ ทั้งนี้ทางฝ่ายอาคารสถานที่มีนโยบายที่จะปลูกต้นไม้โตเร็วและให้ร่มเงาได้ดี เช่น ก้ามปู หูกวาง เป็นต้น
ข้าพเจ้าเห็นว่าต้นไม้จำพวกนี้มีประโยชน์ก็เฉพาะแต่ให้ร่มเงาเท่านั้น ยังมีต้นไม้ชนิดอื่นๆ ที่ให้ทั้งร่มเงาและให้ประโยชน์ทางอื่นอีกด้วย เช่น มะม่วง ขนุน กระท้อน ชมพู่ เป็นต้น แม้จะเติบโต ช้ากว่าบ้างเพียง 2-3 ปี ก็คงจะไม่นานเกินไปนัก แต่ประโยชน์สำคัญระยะยาวที่ได้รับก็คือ รายได้จากผลไม้ในปีหนึ่ง ๆ รวมกันแล้วคงจะเป็นจำนวนไม่ใช่น้อย อาจนำมาใช้เป็นเงินสวัสดิการสำหรับโรงเรียนได้ จากสถิติที่ผู้รู้ประมาณไว้ ปรากฏว่ามะม่วงในพื้นที่ 1 ไร่ หากปลูกโดยคัดเลือกพันธุ์ที่เหมาะสม และบำรุงรักษาให้ถูกหลักวิชาแล้วยังทำรายได้ถึงปีละประมาณ 5,000 บาท
ข้าพเจ้าจึงขอเสนอว่า โรงเรียนน่าจะทบทวนนโยบายที่จะปลูกต้นไม้เพียงเพื่อเอาร่มเงา แต่อย่างเดียวเสีย ควรพิจารณาปลูกไม้ผลตามที่ได้เสนอแนะน่าจะเป็นการสมควรกว่า"
(ตัวอย่าง : หนังสือหลักภาษาและการใช้ภาษาไทย ม.6)
จากตัวอย่างที่ 2 จะเห็นได้ว่ามีการกล่าวถึงนโยบายเดิมที่เป็นประเด็นในการโต้แย้งครั้งนี้ จากนั้นได้โต้แย้งโดยการเสนอแนวทางใหม่พร้อมยกเหตุผลในด้านประโยชน์ที่พึงจะได้รับ และนำไปสู่การเสนอให้ทบทวนนโยบาย
3. การโต้แย้งเกี่ยวกับคุณค่า
การโต้แย้งเกี่ยวกับคุณค่า คือ โต้แย้งเกี่ยวกับข้อคิดเห็น หรือข้อวินิจฉัยของฝ่ายตรงข้าม เป็นการโต้แย้งที่จะเป็นการตัดสิน และเปลี่ยนแปลงความคิด (ซึ่งในการโต้แย้งประเภทนี้จะค่อนข้างมีความละเอียดอ่อน) มักจะมีคำว่า ดีกว่า เหมาะสมกว่า เป็นต้น
ตัวอย่าง 3
"ชักชวนหรือเห็นชอบให้ทำร้ายตนเอง ความจริงเรื่องการพูดถึงภาพของเพลงหรือ มิวสิควิดีโอเกี่ยวกับความรักแบบสิ้นคิดที่เห็นกันบ่อย ๆ ในจอทีวีนั้น ว่ากันมาเป็นช่วง ๆ เป็นปี ๆ จนทั้งคนพูด และคนฟังอาจเบื่อไปข้างหนึ่ง แต่ความรักแบบสิ้นคิดนี้ก็ยังปรากฏให้เห็น เหมือนคนคิดภาพหรือคนเขียนเพลงนึกอย่างอื่นที่สร้างสรรค์ไม่ออก นอกจากการทำร้ายร่างกายตนเองของฝ่ายที่ผิดหวัง ทั้ง ๆ ที่พื้นวิธีคิดพระพุทธศาสนาแท้ ๆ บอกว่าการทำลายชีวิตเป็นบาป แทนที่จะสร้างสรรค์งานเพลงหรือสร้างพลังเพลงให้เป็นประโยชน์กับจินตนาการของมนุษย์หรืออย่างน้อยที่สุดก็สร้างความเพลิดเพลินกลับสร้างภาพที่ทำร้ายคนฟัง คนดู แล้วจะเหลืออะไรในสังคมนี้ที่เรียกว่าเป็นแก่นสารให้คนอาศัยเป็นความคิดอ่าน ควรนั่งทบทวนตัวเองสักพักเถิด หรือไม่ก็หาหนังสือดี ๆ มาอ่าน หาเพลงดี ๆ มาฟัง อะไรที่ดี ๆ น่ะ แล้วคิดเปรียบเทียบกันดูว่าลงทุนลงแรงเหมือนกัน ใช้เวลาไปเหมือนกันแต่งานแตกต่างกันอย่างไร เพราะงานที่ทำย่อมสะท้อนถึงสติปัญญาของผู้ทำ"
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2545
(ตัวอย่าง : หนังสือหลักภาษาและการใช้ภาษาไทย ม.6)
จากตัวอย่างที่ 3 จะเห็นได้ว่ามีการใช้คำว่า “แบบสิ้นคิด” “หนังสือดี ๆ “ “เพลงดี ๆ “ ซี่งเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับคุณค่า โดยมีการตัดสินว่าแบบไหนดีกว่า และแบบไหนไม่ดี แบบไหนควรทำไม่ควรทำ โดยจากตัวอย่างมีการใช้เกณฑ์วิธีคิดแบบพระพุทธศาสนามาใช้ในการในการประเมินค่า และประกอบการโต้แย้ง
ข้อสังเกตการโต้แย้ง : การโต้แย้งคือการนำเหตุผลมาแย้งกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง มีคุณภาพ และมีหลักฐานที่ถูกต้องรองรับ
กระบวนการในการโต้แย้ง
- ตั้งประเด็นการโต้แย้ง
- การนิยามคำสำคัญที่มีอยู่ในประเด็นการโต้แย้ง (นิยามจะช่วยจำกัดขอบเขตคำสำคัญที่จะใช้ระหว่างการโต้แย้ง)
- การศึกษาค้นคว้าหาข้อสนับสนุนทรรศนะของผู้โต้แย้ง (ข้อสนับสนุนทรรศนะ คือ การค้นคว้าข้อมูลด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการสืบค้นข้อมูล การสัมภาษณ์ สังเกตแล้วจึงนำมาเรียบเรียงเพื่อช่วยดึงดูดความสนใจ)
- การชี้จุดอ่อนของทรรศนะของฝ่ายตรงข้าม
มารยาท และข้อควรระวังในการโต้แย้ง
- ผู้โต้แย้งควรหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ เนื่องจากการโต้แย้งจะยุติด้วยการแพ้ และชนะกันด้วยเหตุผล ดังนั้นควรปรับตัวเองให้เป็นกลาง และรับฟังเหตุผลของฝ่ายตรงข้าม
- ผู้โต้แย้งต้องรักษามารยาทในด้านวัจนภาษา โดยการใช้ภาษาที่นุ่มนวลแสดงถึงความสุภาพ เหมาะสมกับสถานที่ ไม่ตำหนิฝ่ายตรงข้ามโดยไม่มีเหตุผล ไม่ยกยอตนเอง และไม่แสดงให้เห็นว่าความเห็นของตนดีกว่า และควรใช้คำว่า “ขอ” ให้ชินเพื่อแสดงถึงความสุภาพ นอบน้อม เช่น ขอแสดงความคิดเห็นตรงนี้เพิ่มเติม เป็นต้น และระมัดระวังด้านอวัจนภาษาระหว่างการโต้แย้ง โดยการไม่แสดงท่าทางรุนแรง กิริยาที่แสดงถึงความก้าวร้าว ควรเคารพผู้อาวุโส และคำนึงถึงกาลเทศะเป็นสำคัญ
- ควรเลือกประเด็นในการโต้แย้งอย่างสร้างสรรค์ เป็นประเด็นที่เกิดประโยชน์ และไม่กระทบกระเทือนต่อความรู้สึกผู้อื่น
การโต้แย้ง และการพูดแสดงทรรศนะเป็นการแสดงออกทางความคิดอย่างมีเหตุผล ควรเลือกใช้ถ้อยคำที่เหมาะสม และคำนึงถึงมารยาทในการใช้ภาษาเป็นสำคัญ โดยน้อง ๆ สามารถดูลักษณะของการพูดแสดงทรรศนะได้ที่นี่ (ใส่ลิงก์ไปบทความเรื่องการพูดแสดงทรรศนะ)
การโน้มน้าว คืออะไร?
การโน้มน้าว คือการสื่อสารโดยการพูดเชิญชวน ชักจูง เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความเชื่อถือเปลี่ยนแปลงทัศนคติ และมีความเห็นเอนเอียงไปยังทิศทางเดียวกับผู้พูด และนำไปสู่การปฏิบัติตาม เช่น การพูดโฆษณา การพูดหาเสียง โดยการพูดเพื่อโน้มน้าวจะต้องชี้แนะ และโน้มน้าวให้ผู้ฟังปฏิบัติไปในทางที่ดี และไม่เป็นการบังคับขู่เข็ญให้อีกฝ่ายเชื่อถือ ต้องเป็นไปตามความสมัครใจของผู้ฟัง
ประเภทของการโน้มน้าวใจ
1. คำเชิญชวน : โดยส่วนมากเป็นคำเชิญชวนที่กระทำแล้ว มักจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยจะโน้มน้าวให้รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำประโยชน์ต่อสังคม (ต้องระมัดระวังการหลอกลวง)
2. คำโฆษณาสินค้าหรือบริการ : มีการใช้คำที่สะดุดตา แปลกใหม่ เป็นวลีสั้น ๆ แต่ดึงความสนใจของผู้ฟังได้ดี เนื้อความมักแสดงถึงคุณภาพที่เกินจริงของสินค้า และโน้มน้าวให้เห็นว่าสินค้านี้จะตอบสนองความต้องการของผู้ฟัง
3. การโฆษณาชวนเชื่อ : มีเจตนาไปในทางที่ไม่ดี เนื่องจากเป็นการจงใจโน้มน้าวผู้ฟังโดยไม่คำนึงถึงหลักความเป็นจริง โดยกลวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ มีดังนี้
- การตราชื่อ : การใช้คำพูดเพื่อให้ผู้ฟังหมดความเชื่อถือในตัวบุคคล หรือองค์กรนั้น ๆ
- การอ้างถึงบุคคล สถาบัน : การอ้างถึงองค์กรที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ผู้รับสารเกิดความชื่นชมในองค์กรของตน
- การทำเหมือนชาวบ้านธรรมดา : การสร้างความเป็นกลุ่ม และพวกเดียวกันกับผู้รับสารเพื่อให้ได้รับความเชื่อใจจากผู้รับสาร
- การอ้างถึงแต่ประโยชน์ : การพูดถึงประโยชน์ และข้อดีโดยปิดบังด้านลบไม่ให้ผู้ฟังทราบ
- การอ้างคนส่วนมาก : การอ้างถึงคนส่วนมากว่ายอมรับในสิ่งนี้ เพื่อทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อใจ
- การใช้ถ้อยคำหรูหราเกินจริง : การใช้คำพูดที่สวยหรูดึงดูดใจผู้ฟัง ทำให้ผู้ฟังไม่ได้ติดใจในข้อเท็จจริง
กลวิธีการโน้มน้าว
- การสร้างความศรัทธาหรือความน่าเชื่อถือ
- การใช้เหตุผลประกอบที่มีความสมเหตุสมผล
- การสร้างอารมณ์ความรู้สึกร่วม โดยการทำให้รู้สึกว่าเป็นพรรคพวกเดียวกัน
- การให้ทางเลือกทั้งด้านดี และด้านไม่ดี (เป็นการใช้หลักจิตวิทยา)
- การสร้างความหรรษา จะนำมาใช้เมื่อบรรยากาศเริ่มตึงเครียด
- การเร้าให้เกิดอารมณ์อย่างแรงกล้า (ใช้กรณีที่ไม่อาจใช้เหตุผลได้)
วิธีการพูดโน้มน้าว
- กำหนดจุดมุ่งหมาย : การกำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดว่าต้องการให้ผู้ฟัง คิดตาม รู้สึกตามหรือปฏิบัติตามอย่างไร
- การลำดับเนื้อหา : ต้องมีการเกริ่นนำด้วยการดึงดูดความสนใจ และสร้างความน่าเชื่อถือ ถัดมาเข้าสู่เนื้อหา อธิบายให้เห็นถึงข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง โดยมีเหตุผลรองรับ และสรุป โดยการทบทวนใจความสำคัญที่กล่าวไปทั้งหมด และเน้นการ call to action
- วิธีการพูด : ใช้น้ำเสียง และท่าทางที่ดึงดูดผู้ฟัง มีความเหมาะสมกับเรื่องที่กำลังพูด เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
ภาษาที่ใช้ในการโน้มน้าวใจ
- ไม่ใช้คำที่แสดงให้เห็นถึงการขู่ การบังคับ การสั่ง
- ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ เพื่อที่ผู้ฟังจะพิจารณาเอง และปฏิบัติเอง
- ชี้ให้เห็นโทษของเรื่องนั้น ๆ เพื่อที่ผู้ฟังจะได้ไม่ปฏิบัติ
- แนะนำแนวทางการปฏิบัติที่ง่าย และถูกต้อง
- ใช้ภาษาที่นุ่มนวล มีจังหวะสอดคล้องของคำ เพื่อดึงดูดใจผู้ฟัง
ตัวอย่าง
ยาไม่สามารถรักษาโรคได้ทุกโรค เพราะโรคแต่ละโรคเกิดจากเชื้อโรคที่แตกต่างกัน ตัวยาที่ใช้ในการรักษาก็แตกต่างกันด้วย คนที่ชอบซื้อยาชุดมากินเวลาเจ็บป่วยควรจะได้รู้ถึงโทษที่จะเกิดขึ้นตามมา นั่นก็คือ ระบบการทำงานของตับและไตถูกทำลาย กระดูกผุ ตัวบวมเป็นโรคกระเพาะ ซึ่งออกมาในลักษณะใดนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของยาที่เรากินเข้าไป เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว ขอให้ทุกคนเลิกซื้อยาชุดตามร้านขายยากินเอง ให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกวิธี
จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่ามีการใช้เหตุผลในการอธิบายเพื่อให้เข้าใจถึงโทษที่จะตามมา และจากนั้นมีการใช้คำว่า “ขอให้ทุกคนเลิกซื้อยาชุด” เป็นการชักชวน และโน้มน้าวให้ผู้รับสารปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยการเลิกซื้อยาชุด และไปพบแพทย์เพื่อรักษาอย่างถูกวิธี
มาทดสอบความรู้กัน!
หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักประเภท วิธีการพูด และการใช้ภาษาของการโต้แย้ง และการโน้มน้าวกันไปแล้ว เรามาลองทดสอบความรู้ ความเข้าใจจากข้อสอบกันค่ะ!
1. การโต้แย้งในข้อใดไม่พึงกระทำมากที่สุด
ก. กรรมการทุกคนลงลายมือชื่อในสัญญาฉบับนี้แล้วจึงยกเลิกไม่ได้
ข. สิ่งที่คุณเสนอมาทั้งหมดไม่มีทางทำได้เลยเพราะขัดกับเจตนารมณ์ของบริษัทเรา
ค. อย่าทำแบบนี้เลยมันผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรม
ง. ทุกคนเห็นตรงกันว่าเรื่องนี้ควรพิจารณาใหม่ ดังนั้นคุณจะเพิกเฉยต่อไปคงไม่ได้
จ. คนสติปัญญาปกติที่ไหนเขาจะเห็นคล้อยตามเหตุผลของคุณได้
2. ข้อใดไม่ได้แสดงการโน้มน้าวใจ
ก. อินเดียเป็นประเทศที่มีเสน่ห์อย่างประหลาดสำหรับผู้มาเยือน
ข. คนที่ไม่เคยไปอินเดียคงไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่ ไม่เหมือนที่อื่นในโลก
ค. ถ้าใครไปอินเดียแล้วชอบก็มักจะไปเยือนซ้ำ แต่ถ้าไม่ชอบก็จะเข็ด ไม่ยอมไปอีกเลย
ง. ความงดงามของธรรมชาติและความรุ่มรวยทางวัฒนธธรรมของอินเดียดึงดูดผู้คนจากทุกมุมโลก
จ. อินเดียคืออนุทวีปแสนมหัศจรรย์ บ่อเกิดอารยธรรมสำคัญของโลก
น้อง ๆ ชาว Dek-D คิดว่าจากตัวอย่างข้อสอบทั้งสองข้อที่พี่นำมาฝาก ตอบอะไรกันบ้างคะ มาคอมเมนต์ตอบด้านล่างกันได้เลยค่ะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเรื่องการโต้แย้ง และการโน้มน้าวที่พี่นำมาฝากน้อง ๆ “รู้ไว้เผื่อออกสอบ” ครั้งหน้าจะเป็นเรื่องอะไรฝากน้อง ๆ รอติดตามกันด้วยนะคะ หรือน้อง ๆ คนไหนอยากรู้วิชาไหน หรือเรื่องไหนเพิ่มเติม มาคอมเมนต์ด้านล่างได้เลยนะคะ
ข้อมูลจากhttps://curadio.chula.ac.th/Images/Class-Onair/th/2011/th-2011-12-15.pdfhttp://www.digitalschool.club/digitalschool/thai2_4_1/thai8_4/paper/1.pdfhttps://curadio.chula.ac.th/Images/Class-Onair/th/2010/th-2010-11-25.pdfhttps://thonburee.ac.th/images/e_learnning/chatchada/data/m4_2/k1.pdf
0 ความคิดเห็น