Teen Coach EP.130 : ชอบมาก คลั่งไคล้ ติดตามไปทุกที่ เป็น แฟนคลับ? ซาแซง? หรือ สตอล์กเกอร์?

พฤติกรรมซาแซง และสตอล์กเกอร์ไม่ใช่ความรัก!  อย่าเข้าใจผิด!

หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินคำว่า “ซาแซงแฟน” หรือคนที่ถูกนิยามว่า “คลั่งไคล้” ศิลปินมากเกินไป จะคอยติดตามนอกตาราง แอบขับรถตาม บินเที่ยวบินเดียวกัน

หรือแม้แต่ข่าว สตอล์กเกอร์ ชายโรคจิตแอบสะกดรอยตามหญิงที่ตนเองชอบที่เห็นได้ในข่าวบ่อย ๆ หรือพยายามครอบครอง แต่ทำไม่ได้

คำว่า สตอล์กเกอร์ (Stalker) หรือ ผู้สะกดรอยตาม กลายเป็นคำที่หลายคนคุ้นหูจากสื่อ บันเทิง หรือชีวิตจริง โดยเฉพาะเมื่อพฤติกรรมดังกล่าว นำไปสู่ความรู้สึกหวาดกลัว ไม่ปลอดภัย และบางครั้งก็นำไปสู่การกระทำที่รุนแรง วันนี้พี่จะมาพูดถึงพฤติกรรม Stalking ในมุมมองทางจิตวิทยากันนะคะ 

นักจิตวิทยาชาวออสเตรเลีย ได้แบ่งประเภท Stalker ออกเป็น 5 รูปแบบ ได้แก่

Rejected Stalker 

ผู้ที่ไม่ยอมจบกับความสัมพันธ์ ทำใจยอมรับการเลิกราไม่ได้ มักจะวนเวียนกลับมาแสดงตัวตน หรือ ติดต่อ รวมถึงคุกคาม

Resentful Stalker 

ผู้ที่รู้สึกว่าเหยื่อทำให้ตนเจ็บปวด จึงตอบโต้ด้วยการคุกคามหรือข่มขู่

Intimacy Seeker 

มักมีความเชื่อผิด ๆ ว่าตนเองมีความสัมพันธ์พิเศษกับเหยื่อ เช่น ดารา ศิลปิน ไอดอล นักการเมือง หรือบุคคลที่ไม่เคยรู้จักกันจริง ๆ

Incompetent Suitor 

พยายามจีบหรือสร้างความสัมพันธ์ แม้จะถูกปฏิเสธอย่างชัดเจน โดยมักขาดทักษะทางสังคม

Predatory Stalker

คุกคามแบบอันตรายที่สุด มักมีเป้าหมายทางเพศ ใช้การสะกดรอยเป็นขั้นตอนเตรียมการล่วงละเมิดหรือทำร้าย

งานวิจัยด้านจิตวิทยายังชี้ว่า บุคคลที่เป็น Stalker มักมีความผิดปกติทางบุคลิกภาพ เช่น บุคลิกภาพแบบ Antisocial Personality Disorder (ASPD) หรือ บุคลิกภาพต่อต้านสังคม Borderline Personality Disorder (BPD) หรือ ความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง และ Narcissistic personality disorder หรือ บุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง หรือมีภาวะจิตเวช เช่น Erotomania (เชื่อว่าคนอื่นรักตนเองโดยไม่มีเหตุผล)

หนึ่งในรูปแบบของ Stalking ที่มักพบในสื่อบันเทิงเกาหลีหรือวงการ K-Pop คือ “ซาแซงแฟน” (Sasaeng Fan) หมายถึง แฟนคลับที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของศิลปิน เช่น

  • แอบถ่ายรูป ถ่ายคลิป
  • ติดตามศิลปินที่สนามบิน สถานที่ส่วนตัว หรือหน้าบ้าน
  • ส่งของขวัญไม่พึงประสงค์ (เช่น กางเกงใน, เลือด)
  • โทรหาศิลปินบ่อยครั้ง หรือขโมยข้อมูลส่วนตัว

พฤติกรรมเหล่านี้สอดคล้องกับ Intimacy Seeker และ Incompetent Suitor โดยมีพื้นฐานจากความหลงผิดเชิงโรแมนติก (Obsession) ซึ่งอาจพัฒนาไปเป็นพฤติกรรมคุกคามหรือใช้ความรุนแรงได้

อีกทั้งศูนย์ประเมินภัยคุกคามในอังกฤษ (Fixated Threat Assessment Centre - FTAC) ยังพบว่า Stalker ที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือทางจิตเวช มีแนวโน้มทำร้ายเหยื่อสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Predatory Stalker ที่อาจลงมือทำร้ายร่างกาย ล่วงละเมิดทางเพศ หรือสังหารเหยื่อในบางกรณี

นอกจากนี้ ยังมีกรณีศึกษาหนึ่งที่โด่งดังคือคดีในซีรีส์ Baby Reindeer ซึ่งอิงจากเหตุการณ์จริง ผู้กระทำมีอาการหลงผิดเรื้อรัง ส่งข้อความหานับหมื่นครั้งตลอดหลายปี แม้จะได้รับคำสั่งศาลห้ามเข้าใกล้แล้วก็ตาม ชี้ให้เห็นว่ากฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีแนวทางรักษาและฟื้นฟูร่วมด้วย

ในบางสถานการณ์ ผู้ก่อเหตุทำการสร้างความหวาดกลัว ข่มขู่ แต่ยังไม่ถึงขั้นทำร้ายหรือก่อเหตุ บางครั้งตำรวจอาจจะไม่รับแจ้งความ หรือไม่สนใจได้

นอกจากนี้ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการสะกดรอยตามอย่างชัดเจน พฤติกรรม Stalking จึงมักถูกตีความผ่านบทกฎหมายที่มีอยู่ เช่น

  • มาตรา 397 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ว่าด้วยการกระทำที่เป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม จนเป็นเหตุให้เสียหายแก่ร่างกายหรือจิตใจ
  • พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ หากการคุกคามเกิดผ่านโซเชียลมีเดีย
  • มาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งฯ ใช้เรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง

อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติเหล่านี้ยังมีข้อจำกัด เช่น ต้องพิสูจน์ว่าเกิดความเสียหายจริงแล้ว และมักไม่มีคำสั่งห้ามเข้าพื้นที่ (restraining order) แบบที่ใช้ในอังกฤษ ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้

ในปัจจุบัน การถูกสะกดรอย การตามตื๊อ ยังเป็นเรื่องที่หลายคนมองว่าปกติ เป็นความรักรูปแบบหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่ ผู้ถูกกระทำต้องอยู่กับความหวาดระแวง ความตื่นตระหนก ความหวาดกลัว 

วิธีแก้ปัญหา 

สามารถเริ่มจากการทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า การตามตื๊อหรือการสะกดรอย ไม่ใช่เรื่องโรแมนติก แต่เป็นพฤติกรรมที่ล้ำเส้น คุกคาม และอาจก่อให้เกิดอันตราย ทั้งสื่อ โรงเรียน และโซเชียลควรช่วยกันเปลี่ยนมุมมองเหล่านี้ พร้อมกับให้ข้อมูลว่าเหยื่อควรทำอย่างไรเมื่อถูกคุกคาม เช่น การเก็บหลักฐาน การแจ้งความ หรือขอคำสั่งศาลห้ามเข้าใกล้ 

 

นอกจากนี้ ในระดับกฎหมาย รัฐควรมีกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการ Stalking ที่เอาผิดได้ตั้งแต่เริ่มมีพฤติกรรมคุกคาม ไม่ต้องรอให้เกิดเหตุรุนแรงก่อน และควรมีหน่วยงานที่เข้าใจทั้งเรื่องกฎหมายและจิตใจเหยื่อ เพื่อช่วยเหลืออย่างจริงจัง 

 

ในขณะเดียวกัน คนที่มีพฤติกรรม Stalking ก็ควรได้รับการประเมินและบำบัดทางจิตใจ ไม่ใช่แค่ลงโทษ เพราะหลายคนมีปัญหาเชิงลึกที่ต้องการการดูแล การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้อาจไม่ง่าย แต่ถ้าทุกฝ่ายช่วยกัน สังคมเราจะปลอดภัยและเข้าใจพฤติกรรมนี้ได้มากขึ้นแน่นอน

Stalker ไม่ใช่แค่ภาพในละคร แต่เป็นพฤติกรรมจริงที่มีผลกระทบต่อเหยื่ออย่างลึกซึ้ง ทั้งทางจิตใจ ร่างกาย และสังคม ปรากฏการณ์นี้เกี่ยวพันกับปัจจัยทางจิตวิทยา อาชญากรรม และวัฒนธรรม เราจึงควรให้ความสำคัญทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว กฎหมาย และการดูแลด้านสุขภาพจิต เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเข้าใจพฤติกรรมเหล่านี้มากขึ้น

ข้อมูลจากhttps://www.abc.net.au/stalking-five-types-psychology-mental-health-baby-reindeerhttps://www.ilaw.or.th/articles/52865https://explore.bps.org.uk/content/report-guidelinehttps://www.scientificamerican.com/psychologists-struggle-to-explain-the-mind-of-the-stalker/https://psychiatryonline.org/doi/10.1176/ajp.156.8.1244https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0272735804000418https://decode.thaipbs.or.th/20230919-cyberstalking-law/
โค้ชพี่นักเก็ต

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น