ช่วงนี้ประเทศของเราเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการกันแล้ว บางวันฝนตกหนักต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืนเลยทีเดียว นอกจากจะทำให้ใช้ชีวิตลำบากแล้ว ยังเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติอย่าง “ดินถล่ม” ด้วย หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วดินถล่มสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาหรือที่ลาดชันหลังฝนตกหนัก คอลัมน์ ‘รู้ไว้เผื่อออกสอบ’ วันนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “ดินถล่ม” ให้มากขึ้น ว่าเกิดจากอะไร อันตรายแค่ไหน และจะป้องกันหรือสังเกตได้อย่างไรบ้าง เก็บไว้ใช้สอบได้ แถมยังใช้เอาตัวรอดได้ด้วยนะ!
ดินถล่ม คืออะไร?
ดินถล่ม (land slide) เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่อมวลดิน หิน ทราย และเศษซากจากภูเขาหรือเนินเขา เคลื่อนตัวลงมาอย่างรวดเร็วตามแรงโน้มถ่วงของโลก ปรากฏการณ์นี้สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ และเป็นหนึ่งในภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์ โดยดินถล่มจะเกิดเฉพาะบริเวณที่มีความลาดชัน มักเกิดขึ้นตามหลังปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอื่น ๆ เช่น น้ำป่าไหลหลาก แผ่นดินไหว และเกิดบ่อยเป็นพิเศษในฤดูฝนหรือช่วงเวลาที่มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง ทำให้มวลของดินไม่สามารถคงตัวอยู่ได้
เหตุการณ์ดินถล่มในไทยส่วนใหญ่จะมี "น้ำ" เกี่ยวข้องเสมอ โดยน้ำจะเป็นตัวลดแรงต้านทานในการเคลื่อนตัวของมวลดินหรือหิน และเป็นตัวที่ทำให้คุณสมบัติของดินเปลี่ยนจากของแข็งเป็นของไหล และเนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตอิทธิพลของลมมรสุม มีพื้นที่ภาคเหนือ และภาคใต้ ของประเทศปกคลุมด้วยภูเขาและพื้นที่ลาดชัน ทำให้พื้นที่ดังกล่าวต้องประสบเหตุดินถล่มบ่อยครั้ง
เกร็ดความรู้ : ดินถล่มไม่ได้เกิดเฉพาะภายในแผ่นดินเท่านั้น แต่ยังมีดินถล่มริมชายฝั่ง (coastal landslide) กับดินถล่มใต้น้ำ (submarine landslide) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิ รวมถึงดินถล่มใต้พื้นผิวโลก (subsurface landslide) ที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว หลุมยุบ และแผ่นดินทรุด ตามมา
ประเภทของดินถล่ม
1. การหล่น (Fall) เป็นการเคลื่อนย้ายมวลในแนวดิ่งอย่างอิสระตามแรงโน้มถ่วงของโลก โดยมักเกิดจากหินที่แตกหรือหลุดออกจากหน้าผา ซึ่งเรียกว่า หินหล่น (Rock Fall) ถือเป็นภัยพิบัติธรรมชาติประเภทหนึ่ง เนื่องจากมีความเร็วสูงและมักเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า เศษหินที่หล่นลงมาจะสะสมอยู่บริเวณเชิงผา เรียกว่า ลานหินตีนผา (Talus)
2. การทลาย (Avalanche) เป็นการย้ายมวลที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีความชันสูง โดยจะเคลื่อนที่ลงมาอย่างรวดเร็วในลักษณะกึ่งหล่น กึ่งไถล และมีการกระเด็นกระดอนระหว่างทาง ซึ่งการกระเด็นกระดอนนี้เองที่ทำให้พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติกว้างขวางกว่าการหล่นที่จำกัดอยู่ในแนวดิ่งบริเวณเดียว ตัวอย่างของการทลาย เช่น หินทลาย (Rock Avalanche), เศษหินทลาย (Debris Avalanche) และหิมะทลาย (Snow Avalanche) ซึ่งหิมะทลายเป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด ในภาษาทั่วไปมักเรียกว่า “หิมะถล่ม” แต่ในเชิงวิชาการจัดอยู่ในประเภทหิมะทลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องการย้ายมวล
3. การลื่นไถล หรือการเลื่อนถล่ม (Slide) เป็นการเคลื่อนย้ายของมวลตามแนวลาดชันระดับปานกลาง ในลักษณะที่รูปร่าง ทิศทาง หรือระนาบของการเคลื่อนที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยทั่วไปมักเรียกว่า "ดินถล่ม" แต่ถ้าต้องการระบุชนิดของมวลที่ถล่ม สามารถแบ่งได้ เช่น หินถล่ม (Rock Slide), เศษหินถล่ม (Debris Slide) และดินถล่ม (Landslide) ซึ่งหินถล่มมักเกิดขึ้นรวดเร็วและสร้างความเสียหายรุนแรงที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่หินมีรอยแตกหรือการวางตัวของชั้นหินที่เอียงเทขนานไปกับความชัน
4. การล้มคว่ำ (Topple) หรือการเลื่อนไถล (Slump) เป็นการเคลื่อนที่ของมวลดินหรือหินที่หลุดออกเป็นก้อนใหญ่ (กะบิ) โดยเคลื่อนที่ลงมาตามลาดในลักษณะของการไถลร่วมกับการหมุนตัวของมวล ทำให้เกิดแนวแตกโค้งเว้า (Rotational Slide) ซึ่งมักมีลักษณะเป็นหน้าผาชันคล้ายพระจันทร์เสี้ยว และเกิดตะพักหลายระดับ การเลื่อนไถลมักพบตามพื้นที่ริมชายฝั่งทะเลหรือริมตลิ่งแม่น้ำที่มีการกัดเซาะอย่างรุนแรง โดยสามารถแบ่งออกตามชนิดของวัสดุได้ เช่น หินเลื่อนไถล (Rock Slump) หรือ ดินเลื่อนไถล (Soil Slump) ในทางภัยพิบัติ การเลื่อนไถลมักส่งผลกระทบโดยตรงต่อพื้นที่ด้านบนของแนวเลื่อนไถล เช่น หมู่บ้านหรือถนนที่ทรุดตัวลงไปพร้อมกับมวลที่ไถลลงด้านล่าง ซึ่งแตกต่างจาก การเลื่อนถล่ม (Slide) ที่ผลกระทบมักเกิดกับพื้นที่ด้านล่างของการถล่ม เช่น ถนนที่ตัดผ่านเชิงเขาถูกมวลดินถล่มลงมาปิดทับ
5. การไหล (Flow) การเคลื่อนที่ซึ่งมีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องมากที่สุด ทำให้ตะกอนของดินมีลักษณะเป็นของไหลที่สามารถเคลื่อนที่ไปบนพื้นระนาบได้รวดเร็วและไปได้ไกล สามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ตามขนาดตะกอนและปริมาณน้ำ ได้แก่
1) เศษหินไหลหลาก (Debris Flow)
- เกิดจากตะกอนขนาดใหญ่ที่ปะปนกับกรวด หิน ดิน และซากไม้
- ไหลลงมาตามร่องน้ำบนภูเขา ด้วยความเร็วสูงประมาณ 1–10 เมตรต่อวินาที
- พบบริเวณร่องน้ำในหุบเขาที่มีเศษหิน ดิน และซากพืชสะสม
- เมื่อมีฝนตกหนัก น้ำที่มีมากจะกวาดทุกอย่างไหลมาตามร่องน้ำ ก่อนที่จะไหลออกมาจากหุบเขาลงมากองทับถมกันบริเวณที่ราบเชิงเขา
- เป็นภัยพิบัติที่รุนแรงและรวดเร็ว ทำลายบ้านเรือน ถนน และสิ่งปลูกสร้างเป็นบริเวณกว้าง
2) ดินไหลหลาก (Earth Flow)
- เกิดจากดินขนาดเล็ก เช่น ดินทรายแป้ง หรือทรายละเอียด
- มักเกิดในพื้นที่ที่มีความลาดชันต่ำ
- เคลื่อนที่ค่อนข้างช้า ประมาณ 10 เมตรต่อชั่วโมง
- เกิดจากดินดูดซับน้ำจนลื่นและไหลตัวได้
- แม้จะไม่เร็วมาก แต่สามารถสร้างความเสียหายได้หากเกิดใกล้ที่อยู่อาศัยได้
3) โคลนไหลหลาก (Mud Flow)
- เกิดจากมวลดินหรือโคลนที่อิ่มน้ำ
- ไหลรวดเร็วและเป็นของเหลวข้น
- หากเป็นโคลนที่มีกรวดภูเขาไฟ (pyroclastic) ผสมอยู่ และอิ่มน้ำ จะเรียกว่า ลาฮาร์ (Lahar)
- ลาฮาร์มักเกิดหลังภูเขาไฟปะทุ และเป็นภัยพิบัติที่อันตรายมาก เพราะสามารถไหลไกลและเร็ว
6. การแผ่ออกทางด้านข้าง (Lateral Spread) และการคืบคลาน (Creep) เป็นรูปแบบหนึ่งของการย้ายมวลที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ตามแนวลาดเอียงของพื้นที่ โดยมีความเร็วเฉลี่ยประมาณ 0.5–5.0 เซนติเมตรต่อปี สาเหตุหลักมาจากการที่มวลวัสดุเกิดการยืดตัวหรือหดตัวจากอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงโลก ในบางพื้นที่การคืบคลานมีความเกี่ยวข้องโดยตรงต่อความชื้น จากการมีน้ำหรือหิมะซึมผ่านชั้นดินลงไปไม่ลึกนัก ทำให้ดินชั้นบนชื้นแฉะและมีความอิ่มตัวสูงกว่าดินหรือหินด้านล่าง ทำให้การยึดเกาะตัวของดินชั้นบนลดลง จนเกิดการไหลเลื่อนลงไปด้านล่างอย่างช้า ๆ
แม้การเคลื่อนที่แบบนี้จะช้าและสังเกตได้ยากในระยะสั้น แต่สามารถตรวจพบได้จากหลักฐาน เช่น ต้นไม้ที่เอน, เสาไฟหรือรั้วที่เอียง, ผิวถนนหรือทางเดินที่แตกร้าว หรือสิ่งปลูกสร้างที่ทรุดตัวไม่เท่ากัน ถึงแม้การคืบคลานจะไม่รุนแรงทันทีเหมือนภัยพิบัติอื่นๆ แต่ก็สามารถสร้างความเสียหายสะสมต่อสิ่งปลูกสร้างได้ในระยะยาวได้
สาเหตุที่ทำให้เกิดดินถล่ม
สำหรับสาเหตุที่ทำให้มีโอกาสเกิดเหตุการณ์ดินถล่ม แบ่งออกเป็น 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่
1. ปัจจัยทางธรรมชาติ
- ฝนตกหนัก ปริมาณน้ำฝนที่มากเกินไปทำให้ดินเกิดความชุ่มชื้น จนถึงจุดที่ไม่สามารถรองรับน้ำได้อีก ทำให้ดินอ่อนตัวและเกิดการถล่ม
- การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ การละลายของหิมะหรือการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็วอาจทำให้ดินไม่มั่นคงและเกิดการเคลื่อนตัวลงมา (ซึ่งปัจจัยนี้ไม่เกิดในประเทศไทยอย่างแน่นอน)
- แผ่นดินไหว การสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ทำให้ดินและหินที่ไม่มั่นคงเกิดการเคลื่อนตัวลงมาได้
- การกัดเซาะของน้ำหรือการไหลของแม่น้ำ ทำให้ฐานของเนินเขาอ่อนตัวและไม่สามารถรองรับน้ำหนักของดินได้
2. ปัจจัยที่มนุษย์สร้างขึ้น
- การตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ดินสูญเสียรากไม้ที่ช่วยยึดเกาะดิน ทำให้ดินไม่มั่นคงและเกิดการถล่มได้ง่ายขึ้น
- การก่อสร้างและพัฒนาที่ดิน เช่น การก่อสร้างถนน บ้านเรือน การขุดเจาะพื้นที่เนินเขา ทำให้เกิดการรบกวนโครงสร้างของดิน จนเกิดดินถล่มได้
- การขุดเหมือง ทั้งการทำเหมืองเปิดและการระเบิดในพื้นที่ภูเขา สามารถทำให้โครงสร้างดินเสียหาย และนำไปสู่การถล่มของดิน
จุดเสี่ยงเกิดดินถล่ม
- หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในหุบเขา ติดกับภูเขาและใกล้ทางน้ำ
- มีร่องรอยดินแยกบนภูเขาเหนือหมู่บ้าน
- หมู่บ้านที่ถูกน้ำป่าไหลหลากบ่อยๆ
- มีกองหิน ทราย และซากไม้อยู่เป็นจำนวนมากในลำน้ำ
- หมู่บ้านที่เคยเกิดดินถล่ม หรือมีหลักฐานทางธรรีวิทยาว่าเคยเกิดดินถล่มในอดีต
ฤดูกาลเกิดดินถล่ม
- ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีโอกาสเกิดดินถล่มในช่วงเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อน
- ภาคใต้ มีโอกาสเกิดดินถล่มในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม เนื่องจากเป็นช่วงฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ
สัญญาณเตือนก่อนเกิดดินถล่ม
- เกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ติดต่อกันเป็นเวลานานบนภูเขาสูง มากกว่า 100 มิลลิเมตรต่อวัน หรือนานกว่า 6 ชั่วโมง
- ระดับน้ำในแม่น้ำและลำห้วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
- สีของน้ำเปลี่ยนมีสีขุ่นมากกว่าปกติ รวมถึงมีกิ่งไม้หรือท่อนไม้ ไหลปนมากับกระแสน้ำ
- มีเสียงดังผิดปกติมาจากภูเขาหรือลำห้วย เช่น เสียงหักของต้นไม้ เสียงแตกของหิน เสียงไหลของโคลน
- ดินมีสภาพอิ่มน้ำ หรือชุ่มน้ำมากกว่าปกติ
ผลกระทบจากดินถล่ม
- บ้านเรือนเสียหายจากการทับถมของเศษดิน หิน ทราย ที่ไหลมากับน้ำ
- ผู้คนและสัตว์เลี้ยงได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก
- พืชผลทางการเกษตรเสียหาย
- เส้นทางคมนาคมต่างๆ ถูกทำลายเสียหาย
- เส้นทางเดินของน้ำถูกทับถม และเปลี่ยนไป
วิธีเตรียมความพร้อม และรับมือกับดินถล่ม
1. เฝ้าระวังภัย
- ติดตามข่าวสารการพยากรณ์อากาศ
- รับฟังการแจ้งประกาศเตือนภัย
- ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานต่างๆ
- ต้องใช้ข้อมูลที่เผยแพร่โดยหน่วยงานราชการ หรือสถาบันที่น่าเชื่อถือ
- ติดตามประกาศเตือนภัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะแจ้งระยะเวลาที่จะเกิดอุทกภัย เพื่อการตัดสินใจได้รวดเร็วทันเวลา
2. เตรียมพร้อม
- เตรียมสิ่งของจำเป็น เช่น อาหาร น้ำดื่ม ยา เสื้อผ้าไฟฉายและถ่าน ไว้ใช้ยามเกิดภัย
- นำรถยนต์ และพาหนะไปเก็บไว้ในพื้นที่ที่่น้ำท่วมไม่ถึง
- การเตรียมพร้อมเสริมคันกั้นน้ำ เพื่อป้องกันบ้านเรือน
- ย้ายผู้ป่วย เด็ก ผู้สูงอายุ ไปยังทีี่ปลอดภัย
- อพยพสัตว์เลี้ยง ให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย พร้อมอาหารจำเป็น
- ตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในบ้าน ปลั๊กไฟ หรือตัดกระแสไฟเมื่อเกิดน้ำท่วม
- รวบรวมของใช้จำเป็นไว้บนที่ปลอดภัยที่น้ำท่วมไม่ถึง
3. สังเกตสิ่งบอกเหตุทางธรรมชาติ
- ฝนตกหนักมากเกิน 100 มิลเมตร/วัน
- น้ำในแม่น้ำเอ่อล้นสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนสี
4. ศึกษาเส้นทางอพยพ สถานที่ปลอดภัย
- ซักซ้อมคนในครอบครัวให้พร้อม
- ร่วมกิจกรรมฝึกซ้อมแผนป้องกันภัยของชุมชน
5. รู้ข้อมูลเครือข่ายเตือนภัยและช่วยเหลือ
- เบอร์โทรสายด่วน
- เว็บไซต์ แอปพลิเคชันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลเตือนภัย
ช่องทางติดตามข่าวสารการเตือนภัยดินถล่ม
| เว็บไซต์ | สายด่วน |
| กรมอุตุนิยมวิทยา www.tmd.go.th พยากรณ์อากาศ เส้นทางพายุ ปริมาณน้ำฝน บทวิเคราะห์ด้านสภาพอากาศ กรมทรัพยากรน้ำ www.dwr.go.th ระบบเตือนภัย สถานการณ์น้ำ และข้อมูลน้ำแต่ละพื้นที่ลุ่มน้ำ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ www.ndwc.go.th สภาพข้อมูลภัยพิบัติ การแจ้งเตือนพื้นที่ภัยพิบัติ กรมทรัพยกรธรณี www.dmr.go.th การเฝ้า ระวังพื้นที่เสี่ยงดินถล่ม สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) www.haii.or.th ข้อมูลพายุ อากาศ ฝน ระบบน้ำ (น้ำในเขื่อน ระดับทะเล) กรมชลประทาน www.rid.go.th ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ ลำน้ำ การปล่อยน้ำ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย www.disaster.go.th ข้อมูลภัยพิบัติ การประกาศพื้นที่ภัยพิบัติ การบริหารจัดการประสานความช่วยเหลือผู้ประสบภัย |
|
มาทดสอบความรู้กัน!
เป็นอย่างไรกันบ้างคะน้องๆ ได้ทำความรู้จักกับดินถล่มกันไปแล้ว รวมถึงได้ทราบวิธีการเตรียมตัวและเฝ้าระวังเหตุการณ์ดินถล่มด้วย ตอนนี้ถึงเวลามาทดสอบความเข้าใจเกี่ยวกับภัยพิบัติชนิดกันแล้วค่ะ วันนี้พี่แป้งมีข้อสอบมาให้ทุกคนฝึกทำ 3 ข้อ พร้อมแล้วลงมือเลย!
ข้อใดมีความเสี่ยงที่จะประสบภัยดินโคลนถล่ม
ก. บ้านมานะอยู่ริมหาด
ข. บ้านมานีอยู่ที่ราบลุ่ม
ค. บ้านมาลีอยู่ที่ลาดเชิงเขา
ง. บ้านมาลัยดีอยู่ที่ราบสูง
____________________________________________________
ข้อใดมักเกิดพร้อมดินถล่ม
ก. น้ำป่า
ข. แผ่นดินไหว
ค. ลมแรง
ง. อุทกภัย
____________________________________________________
การเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วของดินโคลนและน้ำผสมกัน ไหลลงมาตามระนาบเอียงเนื่องจากแรงดึงดูดของโลก เป็นลักษณะประเภทของแผ่นดินถล่มประเภทใด
ก. การหล่น
ข. การไหล
ค. การเลื่อนถล่ม
ง. การทลาย
น้องๆ ชาว Dek-D คิดว่าแต่ละข้อตอบอะไรบ้าง มาคอมเมนต์คำตอบด้านล่างได้เลย!
สำหรับคอลัมน์ ‘รู้ไว้เผื่อออกสอบ’ วิชาสังคมบทความต่อไปจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ถ้าน้อง ๆ มีประเด็นที่น่าสนใจ หรือความรู้จากวิชาอะไร ที่อยากให้นำมาเล่า หรือแจกทริคการจำ ก็สามารถคอมเมนต์เอาไว้ด้านล่างได้เลย!
ข้อมูลจากhttps://waymagazine.org/landslide-disaster-of-rainy-season/ https://www.psffoundation.com/uploads/818ad3d016e644c89f9c9a6d5b2c2dd3.pdf https://www.mitrearth.org/7-3-mass-wasting/ https://mekhala.dwr.go.th/imgbackend/doc_file/document_161404.pdf https://npm.disaster.go.th/npm/cms/2027?id=87878
0 ความคิดเห็น