ทำความรู้จัก 22 แผนที่ลุ่มน้ำไทย ออกสอบบ่อย!
สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D สำหรับคอลัมน์ ‘รู้ไว้เผื่อออกสอบ’ ในวันนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ ‘แผนที่ลุ่มน้ำไทย’ ซึ่งปัจจุบันมีการปรับปรุงใหม่เป็น 22 ลุ่มน้ำหลัก มาดูกันว่าในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทยมีลุ่มน้ำสำคัญอะไรบ้าง พร้อมสรุปสถานการณ์น้ำในประเทศไทยย้อนหลัง 15 ปี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการดูแลทรัพยาการน้ำ เพื่อให้น้องๆ เข้าใจภาพรวมและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำข้อสอบ

ความสำคัญของลุ่มน้ำในทางภูมิศาสตร์
"ลุ่มน้ำ" ในทางภูมิศาสตร์ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ที่มีแม่น้ำไหลผ่าน แต่เป็นหน่วยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นดิน น้ำ สิ่งมีชีวิต และมนุษย์ โดยมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตหลายด้าน ดังนี้
1. หน่วยพื้นฐานของระบบอุทกวิทยา
ลุ่มน้ำ คือ พื้นที่ที่รวบรวมน้ำฝนที่ตกลงมาทั้งหมดให้ไหลลงสู่แม่น้ำสายหลักเพียงสายเดียว เปรียบเสมือนอ่างเก็บน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ ทำหน้าที่กำหนดการเดินทางของน้ำทั้งหมดในพื้นที่นั้น ซึ่งมีความสำคัญต่อการศึกษาปริมาณน้ำท่า น้ำใต้ดิน และความสมดุลของน้ำในระบบ
2. กำหนดการเปลี่ยนแปลงลักษณะภูมิประเทศ
พลังงานของน้ำที่ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำภายในลุ่มน้ำ เป็นตัวการสำคัญที่สร้างสรรค์และเปลี่ยนแปลงเปลือกโลกผ่าน 3 กระบวนการหลัก คือ
- การกัดเซาะ ทำให้เกิดหุบเขา ร่องลึก และโตรกธารในบริเวณต้นน้ำ
- การพัดพา ขนส่งตะกอน ดิน หิน ทราย จากตอนบนลงมากับสายน้ำ
- การทับถม โดยเมื่อความเร็วของน้ำลดลง ตะกอนจะทับถมกันเกิดเป็นลักษณะภูมิประเทศที่สำคัญ เช่น ที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงและดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง
3. รากฐานของระบบนิเวศ
ลุ่มน้ำเป็นขอบเขตธรรมชาติที่กำหนดและค้ำจุนระบบนิเวศที่หลากหลาย ตั้งแต่ป่าไม้บนภูเขาสูงซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ ไปจนถึงระบบนิเวศในลำน้ำและปากแม่น้ำ ซึ่งความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในลุ่มน้ำมีความเชื่อมโยงกันอย่างมาก ส่งผลให้กิจกรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต้นน้ำ เช่น การตัดไม้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพน้ำและสิ่งมีชีวิตในพื้นที่กลางน้ำและปลายน้ำเสมอ
4. พื้นที่ตั้งถิ่นฐานและศูนย์กลางกิจกรรมของมนุษย์
โดยนับแต่อดีตเป็นต้นมา เราจะเห็นว่าอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลกล้วนถือกำเนิดขึ้นในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ เช่น ลุ่มแม่น้ำไนล์ ไทกริส-ยูเฟรติส สินธุ และเจ้าพระยา เนื่องจาก พื้นที่ลุ่มน้ำเป็นเป็นแหล่งน้ำดิบสำหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตรกรรม เป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญในอดีต เป็นแหล่งอาหารซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ของดินและสัตว์น้ำ และยังเป็นที่ตั้งของเมืองสำคัญในปัจจุบันอีกด้วย สังเกตได้จากเมืองใหญ่ส่วนมากยังคงตั้งอยู่ริมแม่น้ำสายหลัก ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและสังคมนั่นเอง
5. ช่วยในการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
เนื่องจากทุกสิ่งในลุ่มน้ำเชื่อมโยงกัน การใช้ขอบเขตลุ่มน้ำเป็นหน่วยในการวางแผนจัดการจึงมีประสิทธิภาพสูงสุดและสอดคล้องกับธรรมชาติมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบริหารจัดการน้ำ คือ การจัดสรรน้ำ การป้องกันน้ำท่วมและภัยแล้ง การอนุรักษ์ดินและป่าไม้ คือ การวางแผนการใช้ที่ดินเพื่อลดการชะล้างพังทลายของดิน และการควบคุมมลพิษ คือ การติดตามและจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษทางน้ำ
22 ลุ่มน้ำไทย มีลุ่มน้ำอะไรบ้าง
ลุ่มน้ำหลักของไทย แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม รวม 22 ลุ่มน้ำ ตามภูมิภาค ดังนี้
กลุ่มลุ่มน้ำภาคเหนือ (6 ลุ่มน้ำ) ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญที่สุดของประเทศ
1. สาละวิน
2. โขงเหนือ
3. ปิง
4. วัง
5. ยม
6. น่าน
กลุ่มลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (3 ลุ่มน้ำ) ครอบคลุมพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุด
7. โขงตะวันออกเฉียงเหนือ
8. ชี
9. มูล
กลุ่มลุ่มน้ำภาคกลางและตะวันออก (8 ลุ่มน้ำ) เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและที่ราบลุ่มเจ้าพระยา
10. สะแกกรัง
11. ป่าสัก
12. เจ้าพระยา
13. ท่าจีน
14. แม่กลอง
15. บางปะกง
16. โตนเลสาบ
17. ชายฝั่งทะเลตะวันออก
กลุ่มลุ่มน้ำภาคใต้ (5 ลุ่มน้ำ) มีลักษณะเป็นคาบสมุทรและมีลุ่มน้ำที่เป็นทะเลสาบ
18. เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์
19. ภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบน
20. ทะเลสาบสงขลา
21. ภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่าง
22. ภาคใต้ฝั่งตะวันตก

หน่วยงานสำคัญเกี่ยวกับการจัดการน้ำ
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
เป็นหน่วยงานกลางระดับนโยบาย ทำหน้าที่วางแผนแม่บทการจัดการน้ำของประเทศให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
กรมชลประทาน
ดูแลการพัฒนาแหล่งน้ำ การจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตร การป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ เช่น การสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ และระบบชลประทาน
กรมทรัพยากรน้ำ
กำกับดูแล อนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรน้ำในระดับลุ่มน้ำ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน
การประปานครหลวง (กปน.) และ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.)
รับผิดชอบการผลิตและจ่ายน้ำประปาเพื่อการอุปโภคบริโภคในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดตามลำดับ
ข้อสังเกตชวนจำ
- แม่น้ำเจ้าพระยาเกิดจากการรวมตัวของ ลุ่มน้ำปิง และลุ่มน้ำน่าน (เดิมจำเป็น ปิง วัง ยม น่าน) ที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์
- 4 ลุ่มน้ำหลัก (ปิง วัง ยม น่าน) คือ หัวใจของภาคเหนือ ไหลลงสู่ที่ราบภาคกลาง
- ลุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดในไทย คือ ลุ่มน้ำมูล ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางที่สุดในประเทศ
- แม่น้ำสองพี่น้องอีสาน คือ ลุ่มน้ำชี จะไหลไปรวมกับ ลุ่มน้ำมูล ที่จังหวัดอุบลราชธานีก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง
- ลุ่มน้ำแห่ง EEC คือ ลุ่มน้ำบางปะกง และลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก เป็นแหล่งน้ำหลักหล่อเลี้ยงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
- ลุ่มน้ำโตนเลสาบ เป็นลุ่มน้ำเดียวของไทยที่น้ำไหลออกจากประเทศ (ไปสู่ทะเลสาบเขมร)
- ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เป็นลุ่มน้ำที่มีระบบนิเวศ 3 น้ำ (น้ำจืด, น้ำกร่อย, น้ำเค็ม) และเป็นทะเลสาบแบบ "ลากูน" (Lagoon) แห่งเดียวในไทย
- ลุ่มน้ำตาปี เป็นลุ่มน้ำที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้

สถานการณ์น้ำในไทย ระหว่างปี 2553-2568
1. มหาอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ (พ.ศ. 2553 - 2554)
ปี 2553
ปี 2553 มีสัญญาณเตือนก่อนวิกฤต เพราะเกิดอุทกภัยรุนแรงและกินวงกว้าง โดยเฉพาะในจังหวัดนครราชสีมาที่เผชิญน้ำท่วมหนักที่สุดในรอบหลายสิบปี และยังเกิดน้ำท่วมใหญ่ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สถานการณ์ในปีนี้สะท้อนให้เห็นถึงปริมาณน้ำสะสมที่สูงและเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งต่อไปยังปีถัดไป
ปี 2554
ปี 2554 เป็นปีมหาอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ เป็นปีที่ประเทศไทยเผชิญกับ "มหาอุทกภัย" ครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ซึ่งมีสาเหตุเกิดจากปัจจัยซ้อนกันหลายประการ คือ
- ปริมาณฝนมหาศาล จากอิทธิพลของพายุโซนร้อนที่พัดผ่านหรือส่งผลกระทบต่อไทยต่อเนื่องถึง 5 ลูก คือ ไหหม่า นกเตน ไห่ถาง เนสาด และนาลแก ทำให้มีปริมาณฝนตกสะสมสูงกว่าค่าเฉลี่ยมา
- การบริหารจัดการน้ำในเขื่อน โดยมีการกักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนหลัก คือ เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ปริมาณมากในช่วงต้นฤดูฝน เมื่อพายุเข้ามาต่อเนื่องทำให้ไม่สามารถรองรับน้ำได้อีกต่อไป จนต้องเร่งระบายน้ำปริมาณมหาศาลออกมา
- วิกฤตความเสียหาย สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 1.44 ล้านล้านบาท ตามรายงานประเมินของธนาคารโลก (World Bank) โดยนิคมอุตสาหกรรม 7 แห่งจมน้ำ และส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่า 12.8 ล้านคน
ช่วงปรับตัวและผลพวงหลังน้ำท่วม (พ.ศ. 2555)
ปี 2555
ปี 2555 เป็นปีแห่งการฟื้นฟูและปรับตัวครั้งใหญ่ มีการปรับเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำในเขื่อนโดยเน้นการพร่องน้ำมากขึ้นเพื่อป้องกันเหตุซ้ำรอย ทำให้้แม้จะไม่เกิดอุทกภัยรุนแรงระดับประเทศ แต่การเร่งระบายน้ำทำให้ปริมาณน้ำต้นทุนสำหรับฤดูแล้งในปีถัดๆ ไปลดน้อยลง และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่นำไปสู่ปัญหาภัยแล้งรุนแรงในเวลาต่อมา
วิกฤตภัยแล้งรุนแรง (พ.ศ. 2558-2559)
โดยเฉพาะในปี 2559 เป็นปีที่แล้งหนักมาก โดยปริมาณน้ำในเขื่อนหลัก 4 แห่งของลุ่มน้ำเจ้าพระยา คือเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคเกษตรกรรม
ขณะนั้นรัฐบาลต้องออกมาตรการขอความร่วมมือให้งดทำนาปรังอย่างจริงจัง และยืนยันว่าน้ำที่มีอยู่จะสำรองไว้เพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นหลัก วิกฤตครั้งนี้ทำให้เกิดความตื่นตัวเรื่องความมั่นคงของน้ำ และเป็นจุดเริ่มต้นของการทบทวนแผนบริหารจัดการน้ำของประเทศครั้งใหญ่
การปฏิรูปเชิงโครงสร้างและการรับมืออุทกภัย (พ.ศ. 2560-2562)
ต่อมาในช่วงปี 2560 ภาครัฐได้ปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการน้ำโดยจัดตั้ง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เพื่อเป็นหน่วยงานกลางด้านนโยบาย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงเผชิญอุทกภัยครั้งสำคัญจากอิทธิพลของพายุโซนร้อนโพดุลและคาจิกิ ในปี 2562 ซึ่งทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง
เกิดภัยแล้ง น้ำเค็มรุก อุทกภัยซ้ำซาก (พ.ศ. 2563-2566)
ปี 2563
ในปี 2563 ภัยแล้งได้กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับปัญหาน้ำเค็มรุกเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาอย่างรุนแรง ทำให้การประปานครหลวงต้องแจ้งเตือนประชาชนถึงรสชาติน้ำประปาที่อาจเปลี่ยนแปลงไป และต้องมีการผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลองเข้ามาช่วยผลักดันน้ำเค็ม ซึ่งเป็นมาตรการแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น
ปี 2565
ต่อมาในปี 2565 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดอุบลราชธานี ต้องเผชิญกับอุทกภัยใหญ่อีกครั้งจากอิทธิพลของพายุโนรู ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำมูลสูงจนท่วมบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรมเป็นเวลานานนับเดือน
สถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้ม (พ.ศ. 2567-2568)
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากสภาวะเอลนีโญไปสู่สภาวะลานีญา ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้มีปริมาณฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติในปี 2568 โดยอาจมีลักษณะเป็นฝนตกหนักกระจุกตัวในเวลาสั้นๆ (Rain Bomb) เพิ่มความเสี่ยงต่อน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งอ้างอิงบทวิเคราะห์จาก Spacebar.th และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สทนช. และกรมชลประทาน กำลังติดตามสถานการณ์และวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างใกล้ชิด
สถานการณ์ล่าสุด น้ำท่วมภาคเหนือจากพายุวิภา (21-25 ก.ค. 68)
กระทั่งล่าสุดประเทศไทยเผชิญภัยธรรมชาติอีกครั้ง คือ พายุโซนร้อน "วิภา" ซึ่งเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งที่ประเทศเวียดนามตอนบน และอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเมื่อเคลื่อนผ่านประเทศลาว ก่อนจะสลายตัวเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงปกคลุมบริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยในช่วงวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2568
แม้ว่าพายุวิภาที่เคลื่อนตัวผ่านภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยในขณะที่สลายตัวลงเป็นหย่อมความกดอากาศแล้ว แต่หย่อมความกดอากาศต่ำที่อ่อนกำลังลงจากพายุ ประกอบกับร่องมรสุมกำลังแรงยังคงส่งผลให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้เกิดสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในบางจังหวัด เช่น น่าน พะเยา และเชียงราย
ปัจจุบัน (25 กรกฎาคม 2568) สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดน่านยังคงน่าเป็นห่วงในพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำ แม้ระดับน้ำในบางอำเภอจะเริ่มลดลงแล้ว แต่มวลน้ำยังคงไหลลงสู่พื้นที่ท้ายน้ำ ขณะที่หน่วยงานต่างๆ กำลังเร่งให้ความช่วยเหลือและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
มาทดสอบความรู้กัน!
ทำความเข้าใจเรื่อง 22 ลุ่มน้ำไทยกันไปแล้ว ถึงเวลามาทดสอบความรู้กันแล้วค่ะ สำหรับข้อสอบที่นำมาให้น้องๆ ฝึกทำโจทย์ เพื่อวัดความรู้ความเข้าใจกันในวันนี้มี 2 ข้อด้วยกัน เป็นแนวข้อสอบวิชาสังคมศึกษา ถ้าพร้อมแล้วเริ่มทำได้เลย!
1. การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ต้องอาศัยน้ำจากลุ่มน้ำใดเป็นหลัก
1. ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และ ลุ่มน้ำท่าจีน
2. ลุ่มน้ำบางปะกง และ ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก
3. ลุ่มน้ำป่าสัก และ ลุ่มน้ำสะแกกรัง
4. ลุ่มน้ำแม่กลอง และ ลุ่มน้ำเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์
5. ลุ่มน้ำมูล และ ลุ่มน้ำชี
2. จากข้อมูลล่าสุด (21-25 ก.ค. 68) พายุโซนร้อน "วิภา" ไม่ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่อ่อนกำลังลงและสลายตัวบริเวณประเทศใด ก่อนจะส่งอิทธิพลเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมภาคเหนือของไทย
1. ประเทศเมียนมา
2. ประเทศจีน
3. ประเทศกัมพูชา
4. ประเทศลาว
น้องๆ ชาว Dek-D คิดว่าข้อไหนถูกต้อง ถ้ารู้แล้วว่าก็คอมเมนต์ด้านล่างได้เลย!
พระราชกฤษฎีกา กำเนิดลุ่มน้ำ พ.ศ. 2564สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ https://www.tcijthai.com/news/2012/10/watch/215https://tiwrmdev.hii.or.th/current/2011/flood54Eng.html https://www.worldbank.org/en/news/feature/2011/12/13/world-bank-supports-thailands-post-floods-recovery-effort https://www.thaipbs.or.th/news/content/7673https://www.thaipbs.or.th/news/content/287678https://www.thairath.co.th/news/local/northeast/2512891 http://www.onwr.go.th/?page_id=3992https://editors.spacebar.th/social/2568-thailand-floods-or-droughhttps://www.tmd.go.th/warning-and-events/warning-stormสำหรับคอลัมน์ ‘รู้ไว้เผื่อออกสอบ’ วิชาสังคมศึกษาฯ บทความต่อไปจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ฝากติดตามกันด้วยนะคะ หรือถ้าน้องๆ มีเรื่องราวน่าสนใจเรื่องไหน ที่อยากให้นำมาเล่า หรือแจกทริคการจำ ก็สามารถคอมเมนต์เอาไว้ด้านล่างได้เลย!
0 ความคิดเห็น