ก่อนหน้านี้คอลัมน์ “รู้ไว้เผื่อออกสอบ” พาน้องๆ ไปทำความรู้จักกับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรมอียิปต์ และอารยธรรมอียิปต์กันไปแล้ว วันนี้เรามาต่อกันที่อารยธรรมสุดท้ายแห่งโลกตะวันตก นั่นคือ “อารยธรรมโรมัน” จะมีมรดกทางวัฒนธรรมอะไรบ้างที่น่าสนใจ วันนี้พี่แป้งจะพาน้องๆ ชาว Dek-D ย้อนเวลาไปรู้จักกับความรุ่งเรืองและความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมโรมันกันค่ะ
อารยธรรมโรมัน คืออะไร
อารยธรรมโรมัน คือ อารยธรรมโลกตะวันตกที่มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม ในคาบสมุทรอิตาลี บริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นอารยธรรมของพวกอินโด-ยูโรเปียนเช่นเดียวกับชาวกรีก โดยหลังจากที่รบชนะชาวอีทรัสคัน (Etruscan) ซึ่งเป็นชนกลุ่มเดิมที่อาศัยในบริเวณนี้ จึงได้ก่อตั้งอาณาจักรโรม และกรุงโรมขึ้น และเรียกตัวเองว่า “โรมัน” จักรวรรดิโรมันขยายอำนาจไปยังดินแดนต่างๆ นานหลายร้อยปี โดยมีปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการขยายอำนาจ คือ สภาพภูมิศาสตร์ของแหลมอิตาลี ระบอบการปกครอง และกองทัพโรมัน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ยุคใหญ่ ๆ ได้แก่ ยุคราชอาณาจักรโรมัน, ยุคสาธรณรัฐโรมัน และยุคจักรวรรดิโรมัน
1. ยุคราชอาณาจักรโรมัน (753–509 ปีก่อนคริสตกาล)
ยุคราชอาณาจักรโรมัน เป็นยุคที่มีความสำคัญต่อการก่อตั้ง และการพัฒนาอารยธรรมโรมัน
- การตั้งถิ่นฐานของชาวอิตาลิก : พวกอินโด-ยูโรเปียน ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณริมแม่น้ำไทเบอร์ คาบสมุทรอิตาลี เรียกรวมๆว่า ชาวอิตาลิก ซึ่งเอาชนะชาวพื้นเมืองอีทรัสคัน เกิดการขยายถิ่นฐานจากหมู่บ้านเล็กๆ เป็นเมืองจนสามารถควบคุมดินแดนเพื่อนบ้านผ่านสนธิสัญญาและการรบ กระทั่งในที่สุดสามารถปกครองทั้งคาบสมุทรอิตาลี ยึดครองดินแดนขนาดใหญ่ ผู้คนในทวีปยุโรป และรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และสร้างอาณาจักรโรมขึ้นมา รวมถึงกรุงโรมด้วย
- การสร้างกรุงโรม : ถูกก่อตั้งเมื่อ 753 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยตามตำนานกล่าวว่า โรมูลัส (Romulus) และเรมุส (Remus) พี่น้องฝาแฝดที่เป็นโอรสของเทพเจ้ามาร์ (Mars) ซึ่งทั้งสองถูกท่วงน้ำแต่รอดชีวิต และเติบโตจากน้ำนมของนางหมาป่าเป็นผู้สร้างกรุงโรม
- การปกครองระบอบกษัตริย์ : ช่วงแรกกรุงโรมถูกปกครองในระบอบกษัตริย์ เรียกว่า อิมพีเรียม (Imperium) โดยมีกษัตริย์จำนวน 7 พระองค์ ซึ่งรวมถึงโรมุลุส (Romulus) ผู้ก่อตั้งกรุงโรม กษัตริย์เหล่านี้ได้มาจากการเลือกตั้งโดยวุฒิสภาและคณะอินแตร์เรกส์ (Interrex) ที่ทำหน้าที่เสนอชื่อผู้สมัคร
- การสิ้นสุดของระบอบกษัตริย์ : กษัตริย์จะมีสภาซีเนต หรือสภาขุนนางเป็นที่ปรึกษาโดยสมาชิกสังกัดในชนชั้นสูง หรือพาทรีเชียน (patrician) ประมาณ 509 ปีก่อนคริสต์ราช พวกพาทรีเชียนเชื้อสายละติน ได้โค่นล้มระบอบกษัตริย์โดยขับไล่ออกจากบัลลังก์ โดยกษัตริย์องค์สุดท้ายคือ กษัตริย์ลูกิอุส ตาร์กวินิอุส ซุแปร์บุส (Lucius Tarquinius Superbus) เหตุการณ์นี้นำไปสู่การสิ้นสุดของระบอบกษัตริย์และการจัดตั้งระบบสาธารณรัฐ
2. ยุคสาธารณรัฐโรมัน (509 - 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
ยุคสาธารณรัฐโรมัน เป็นยุคที่อารยธรรมโรมันมีการพัฒนามากขึ้น ดังนี้
- การจัดตั้งระบบสาธารณรัฐ : หลังจากการโค่นล้มระบอบกษัตริย์ โรมได้เปลี่ยนการปกครองไปเป็นระบบสาธารณรัฐ โดยมีการเลือกตั้งกงสุลสองคนที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน วุฒิสภา (Senate) ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากชนชั้นสูง (พาทรีเชียน) มีอำนาจในการบริหาร และกำหนดนโยบาย ระบบนี้เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองมากขึ้น แต่ยังมีการจำกัดสิทธิ์ของราษฎรทั่วไป หรือเพลเบียน (plebeian) เช่น ชาวไร่ ชาวนา ช่างฝีมือ ลูกจ้าง
- ต่อมาไม่นานพวกเพลเบียนพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง สภาซีเนตจึงยินยอมให้พวกเพลเบียนมีสิทธิเลือกผู้นำของตนเอง เรียกว่า คณะทรีบูน (tribunes) และสามารถจัดการลงประชามติในกลุ่มตนเองได้ ในที่สุดคณะทรีบูนได้รับสิทธิทางการเมืองในการหยุดยั้งการกระทำที่อยุติธรรม และกดขี่พวกเพลเบียนของพวกทาทรเชียน โดยมีสิทธิในการเปล่งวาจาว่า “วีโต้” (veto) หมายถึง “ข้าพเจ้าขอห้าม” ซึ่งกลายเป็นคำศัพท์ทางการเมืองสากลในมัยปัจจุบัน หมายถึง “การยับยั้ง”
- กฎหมายสิบสองโต๊ะ : ความขัดแย้งระหว่างพวกพาทรีเชียนกับเพลเบียนได้ก่อให้เกิดการต่อสู้ระหว่างชนชั้น ใน 440 ปีก่อนคริสต์ศักราช เพลเบียนชนะโดยสามารถทำให้พวกพาทรีเชียนยอมออกกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร ประกอบด้วยมาตราต่างๆ จารึกในแผ่นสำริด จำนวน 12 แผ่น (นักวิชาการบางคนสันนิษฐานว่าเขียนลงแผ่นไม้)เรียกว่า กฎหมายสิบสองโต๊ะ (Law of the Twelve Tables) เป็นกฎหมายที่ทำให้พาทรีเชียนและเพลเบียนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน และเปิดโอกาสให้เพลเบียนสามารถดำรงตำแหน่งบริหารสำคัญๆ ได้เช่นเดียวกับพาทริเชียน
- สงครามพิวนิค : ในระหว่าง 264 - 146 ปีก่อนคริสต์ศักราช กองทัพโรมันได้ก่อสงครามพิวนิค (Punic War) จำนวน 3 ครั้ง เป็นสงครามระหว่างโรมันและคาร์เทจ (เผ่าคาร์เทจสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าฟินิเชียน) ที่รบกันยาวนานกว่า 50 ปี และในการรบครั้งที่ 3 โรมันสามารถชนะในศึกใหญ่ครั้งสุดท้ายได้ ทำให้ได้ครอบครองดินแดนของคาร์เทจ ทำการผูกขาดการค้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จนร่ำรวย สามารถสร้างเมือง รวมทั้งรบแนวคิด ขนบธรรมเนียมและประเพณีของอารยธรรมกรีกในอดีตและในสมัยเฮเลนิสติกเข้ามาไว้
- การปฏิรูปของจูเลียส ซีซาร์ : ยุคสาธารณรัฐโรมันมีผู้นำคนสำคัญ คือ “จูเลียส ซีซาร์” ซึ่งมีความสามารถด้านการรบมาก สามารถแผ่ขยายอาณาเขตรบชนะ กรีก อียิปต์ เอเชียไมเนอร์ แอฟริกา และสเปน ทั้งยังดำเนินการปฏิรูปสาธารณรัฐโรมันในหลายด้าน เช่น การขยายวุฒิสภา และสร้างงานสำหรับคนยากจน
- การสิ้นสุดยุคสาธารณรัฐ : จูเลียส ซีซาร์ ได้ตั้งตนเป็น “ผู้เผด็จการตลอดชีพ” ซึ่งขัดกับกฎหมายที่ตำแหน่งนี้จะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือนเท่านั้น จึงได้เกิดความขัดแย้งกับสภาซีเนต 44 ปีก่อนคริสต์ศักราช จูเลียส ซีซาร์ ถูกลอบสังหารจากเหตุการณ์นี้ ซึ่งการเสียชีวิตของเขาทำให้โรมันไม่เหมือนเดิม
- การแย่งชิงอำนาจก่อนเข้าสู่จักรสรรดิโรมัน : หลังจากจูเลียส ซีซาร์ถูกสังหาร ทำให้เกิดสงครามการเมือง แย่งชิงอำนาจระหว่างชนชั้นปกครอง และนายทหาร โดย ออคตาเวียน (Octavain) หลานชายหรือลูกบุญธรรมของจูเลียส ซีซาร์ สามารถปราบมาร์ค แอนโทนี (Mark Antony) คู่แข่งทางการเมืองคนสำคัญซึ่งปกครองอียิปต์ร่วมกับพระนางคลีโอพัตรา (Cleopatra) สำเร็จ ทำให้ออคตาเวียนกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโรม
3. ยุคจักรววรดิโรมัน (133 - 30 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
- การขึ้นสู่อำนาจของออกัสตัส : 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช โรมยุติการปกครองแบบสาธารณรัฐ และเปลี่ยนเป็นระบอบจักรวรรดิอย่างเป็นทางการ ออคตาเวียน ถูกสภาซีเนตสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิโรมัน ได้รับสมญานามว่า “ออกัสตัส ซีซาร์ (Augustus Caesar)”
- ยุคสันติภาพโรมัน (Pax Romana) : หลังจากออกัสตัส ซีซาร์ ได้สถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิองค์แรกแล้ว เศรษฐกิจ และสังคมของจักรวรรดิโรมันเจริญรุ่งเรืองสูงสุด เรียกได้ว่าเป็น “ยุคสันติภาพโรมัน (Pax Romana)” หรือยุคทองของโรมัน เพราะสามารถปกครองดินแดนถึงสามทวีป ทั้งยุโรป เอเชีย และแอฟริกา ครอบคลุมพื้นที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด กินช่วงระยะเวลากว่า 200 ปี จนถึงยุคสมัยจักรพรรดิมาร์คัส ออเรลิอัส (ประมาณ 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช - ค.ศ. 180)
- การแบ่งจักรวรรดิโรมัยตะวันตก - ตะวันออก : เมื่อถึงรัชสมัยจักรพรรดิไดโอคลิเชียน (ค.ศ. 244-311) ทรงเห็นว่าจักรวรรดิโรมันกว้างใหญ่และเกิดปัญหาในการปกครอง จึงแบ่งจักรวรรดิโรมันออกเป็น 2 ส่วน คือ จักรวรรดิตะวันตก และตะวันออก (ต่อมาคือจักรวรรดิไบเซนไทน์)
- ประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำจักวรรดิ : ในรัชสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนดิน (Constantine) ราว ค.ศ. 306-337 ทรงนับถือศาสนาคริสต์ และประกาศให้เป็นศาสนาประจำจักวรรดิ พร้อมทั้งสถาปนากรุงคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople ปัจจุบันคือ นครอิสตันบลู ประเทศตุรกี) เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันตะวันออกรองจากกรุงโรม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเสื่อมสลายของโรมัน
- การล่มสลายของอาณาจักรโรมันตะวันตก : หลังจากนั้นโรมันเริ่มเข้าสู่ยุคเสื่อมสลาย โรมันต้องเผชิญกับปัญหาภายใน ตั้งแต่ความอ่อนแอของจักรพรรดิ ความอ่อนแอของระบบทหาร และเศรษฐกิจ ความเสื่อมศีลธรรมจรรยาของชาวโรมัน และการรุกรายจากชนเผ่าต่างชาติ อย่างเผ่าก็อธ (Goths) เข้ายึดกรุงโรมสำเร็จใน ค.ศ. 410 และได้ปลดจักรพรรดิโรมันตะวันตกองค์สุดท้าย คือ โรมิวลุส ออกัสตัส ออกจากตำแหน่งในปี ค.ศ. 476 ถือเป็นจุดสิ้นสุดของอาณาจักรโรมัน และจุดสิ้นสุดประวัติศาสตร์ยุคโบราณ
- ส่วนจักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือจักรวรรดิไบเซนไทน์ยังคงมีจักรพรรดิปกครองต่อไปจนถึง ค.ศ. 1453 ก่อนถูกพวกเติร์กเข้ายึดครองและถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire)
สรุปจุดเด่นของอาณาจักรโรมัน
การเมืองการปกครอง
- ระบอบสาธารณรัฐ : หลังจากการโค่นล้มระบอบกษัตริย์ในปี 509 ก่อนคริสต์ศักราช โรมเปลี่ยนเป็นระบบสาธารณรัฐ โดยมีการเลือกตั้งกงสุลและวุฒิสภา
- กฎหมายสิบสองโต๊ะ (Twelve Tables) : เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับชาวโรมันทุกคน เป็นมรดกชิ้นสำคัญของโรม ที่ถือว่าเป็นแม่แบบกฎหมายของยุโรปในเวลาต่อมา
- กฎหมายจัสติเนียน (Corpus Juris Civilis) : เป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นในยุคโรมันตะวันออก (ไบเซนไทน์) ซึ่งจัดทำขึ้นโดยจักรพรรดิจัสติเนียน ประมาณ ค.ศ. 528 โดยกฎหมายนี้ถูกรวบรวมและจัดหมวดหมู่ เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษา และจดจำ โดยกฎหมายจัสติเนียนถือได้ว่าเป็นต้นแบบของกฎหมายประเทศต่างๆ ในปัจจุบัน
- การแบ่งชนชั้นในวุฒิสภา : การแบ่งชนชั้นในอารยธรรมโรมันมีความซับซ้อนและมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างทางสังคมและการเมือง โดยสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มหลัก ๆ ดังนี้
- แพทริเชียน (Patricians) คือ ชนชั้นสูงที่มีอำนาจและฐานะทางสังคมสูง ประกอบด้วยครอบครัวที่มีสายเลือดเดียวกันและมีอิทธิพลทางการเมือง เศรษฐกิจ และศาสนา แพทริเชียนเป็นสมาชิกของสภาซีเนต และมีสิทธิในการให้คำปรึกษาแก่กษัตริย์ในยุคแรก ต่อมาในระบอบสาธารณรัฐ พวกเขายังคงมีอำนาจในการกำหนดนโยบายและควบคุมการบริหารอีกด้วย
- เพลเบียน (Plebeians) คือ ประชาชนทั่วไปที่ประกอบอาชีพหลากหลาย เช่น ช่างฝีมือ พ่อค้า และเกษตรกร ส่วนใหญ่เป็นคนชนชั้นกลางหรือต่ำ เป็นชนชั้นที่ไม่มีสิทธิเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง แต่พวกเขาก็พยายามเรียกร้องสิทธิและมีส่วนร่วมในการปกครองมากขึ้นในเวลาต่อมา และมีการจัดตั้งสภาของตนเองเพื่อรักษาผลประโยชน์ด้วย
สถาปัตยกรรมและประติมากรรม
สถาปัตยกรรมและประติมากรรม โรมันได้รับอิทธิพลจากกรีก โดยมีการปรับปรุงรูปแบบต่าง ๆ ให้เข้ากับวัฒนธรรมและความต้องการของชาวโรมัน เช่น การใช้เสาแบบดอริก, ไอออนิก และโคอรินเทียน แต่ยังมีการพัฒนาที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
สถาปัตยกรรม
- ประตูโค้ง (Arc) : สิ่งก่อสร้างของโรมันจะเน้นความใหญ่โต แข็งแรง เพื่อประโยชน์ในการใช้สอย ส่วนใหญ่ดัดแปลงมาจากกรีก โดยจะใช้ประตูโค้ง (Arc) หลังคาโดมแทนหน้าจั่ว เช่น โคลอสเซียม วิหารแพนธีออน และที่อาบน้ำสาธารณะ
- โคลอสเซียม (Colosseum) : สนามกีฬาใหญ่ที่สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน ใช้สำหรับจัดการแข่งขันกีฬา การสู้กันระหว่างนักสู้กลาดิเอเตอร์ หรือกลาดิเอเตอร์สุ้กับสัตว์ร้าย เช่น สิงโต รวมถึงเป็นพื้นที่ในการแสดงต่าง ๆ ถือเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
- วิหารแพนธีออน (Pantheon) : เทวสถานที่มีโดมขนาดใหญ่ เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงอยู่ในสภาพดี ใช้เป็นสถานที่บูชาเทพเจ้าหลายองค์ และต่อมาเป็นคริสต์ศาสนสถาน
- ที่อาบน้ำสาธารณะ (Public Baths) : เช่น โรงอาบน้ำไดโอคลีเชียน (Baths of Diocletian) และโรงอาบน้ำคาราคัลลา (Baths of Caracalla) ซึ่งมีระบบระบายน้ำและระบบทำความร้อนที่ทันสมัย เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถออกกำลังกาย อ่านหนังสือและพักผ่อน
- เซอคัส แมกซิมัส (Circus Maximus) : สนามแข่งรถม้าขนาดใหญ่ สามารถรับรองคนได้ 150,000 คน มีการแข่งขันกันวันละ 24 รอบ ผู้ชนะจะได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษของการกีฬา
ประติมากรรม
ประติมากรรมของโรมันรับอิทธิพลมาจากชาวอีทรัสกัน และกรีกยุคเฮเลนิสติก แสดงถึงรูปร่างทางกายภาพที่ดูเรียบง่ายแต่เข้มแข็ง มักแสดงถึงความงามของร่างกายมนุษย์และเทพเจ้า โดยมีการใช้หินอ่อนในการสร้างผลงานที่ละเอียดและสมจริง โดยจะเน้นไปที่บุคคลสำคัญ เช่น ประติมากรรมภาพสลักครึ่งท่อนของจักรพรรดิ นักการเมือง เช่น รูปปั้นออกกัสตัส ซีซาร์
- ประติมากรรมเทพมาร์ส (Mars) : รูปปั้นของเทพมาร์สซึ่งเป็นเทพแห่งสงคราม เป็นที่รู้จักในฐานะเทพเจ้าที่สำคัญในวรรณกรรมโรมัน และมีการสร้างรูปปั้นเพื่อบูชาเทพเจ้านี้
สิ่งก่อสร้างด้านคมนาคม
- ถนนคอนกรีต : โรมันสร้างถนนด้วยคอนกรีตสำหรับการคมนาคม เพื่อเป็นศูนย์กลาง โดยถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่กรุงโรม
- สะพานส่งน้ำ (Aqueduct) : ชาวโรมันได้สร้างสะพานส่งน้ำเพื่อขนส่งน้ำวันละ 300 ล้านแกลลอน หรือประมาณ 8,505 ล้านลิตร จากภูเขาไปยังเมือง เพื่อการอุปโภค-บริโภคของชาวเมือง
ภาษาและวรรณกรรม
- ภาษา : ชาวโรมันพัฒนาภาษา “ละติน” มาจากภาษากรีก โดยมีพยัญชนะ 23 ตัว ภาษาละตินเป็นรากฐานของภาษายุโรป เช่น ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน
- วรรณกรรม : ได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมกรีกและการพัฒนาผลงานที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง เน้นการเขียนตำนาน และพงศวดารเป็นร้อยแก้ว และร้อยกรองที่สะท้อนจินตนาการของผู้เขียน
- อิเนียด : ประพันธ์โดย เวอร์จิล เป็นมหากาพย์ประวัติความเป็นมาของกรุงโรมและแทรกคำสั่งสอนเกี่ยวกับหน้าที่ของพลเมืองต่อจักรวรรดิ
- บทประพันธ์ร้อยแก้วของซิเซโร : เป็นข้อเขียนทางการเมืองและจริยธรรมที่เต็มไปด้วยความคมคาย หรือวรรณศิลป์ และจดหมายของซิเซโรที่ใช้ภาษาละตินได้สละสลวยงดงาม จนผลงานของเขาได้กลายเป็นงานแม่แบบให้แก่ผู้รักภาษาละติน
ความเชื่อและศาสนา
- ความเชื่อเรื่องเทพเจ้า : โรมันได้รับอิทธิพลจากเทพปกรณัมกรีก และมีการปรับเปลี่ยนชื่อและลักษณะของเทพเจ้า เช่น ซูส (Zeus) กลายเป็น จูปิเตอร์ (Jupiter), โพไซดอน (Poseidon) เป็น เนปจูน (Neptune), และอะธีนา (Athena) เป็น มิเนอร์วา (Minerva) เป็นต้น
- ศาสนาคริสต์ : ปลายยุคจักรวรรดิ มีการแพร่กระจายของคริสต์ศาสนา นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อดั้งเดิมกับความเชื่อใหม่ จนกระทั่งจักรพรรดิคอนสแตนติน (Constantine) ได้ประกาศให้คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมายในปี ค.ศ. 313
มาทดสอบความรู้กัน
หลังจากทำความรู้จักกับอารยธรรมโรมันกันไปแล้ว มาทดสอบความรู้กันดีกว่าค่ะ วันนี้พี่แป้งมีแบบฝึกหัดมาให้น้องๆ ลองทำกันถึง 2 ข้อ ด้วยกัน ถ้าพร้อมแล้วลงมือทำได้เลย!
ชนชาติใดที่ใช้คอนกรีตในงานก่อสร้างเป็นชนชาติแรก (O-NET สังคมศึกษา ปีการศึกษา 2558)
1. อียิปต์
2. เปอร์เซีย
3. จีน
4. กรีก
5. โรมัน
_________________________________________
ข้อใดไม่ปรากฏในอารยธรรมของชาวโรมัน (แนวข้อสอบสังคมศึกษา)
1. การมีสภาซีเนต หรือสภาขุนนาง
2. การเขียนมหากาพย์โอดิสซีย์
3. การแพทย์เจริญสามารถผ่าทารกออกจากครรภ์มารดา
4. การเขียนกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร-กฎหมายสิบสองโต๊ะ
น้องๆ ชาว Dek-D คิดว่าแต่ละข้อตอบอะไรบ้าง มาคอมเมนต์คำตอบด้านล่างได้เลย!
สำหรับคอลัมน์ ‘รู้ไว้เผื่อออกสอบ’ วิชาสังคมบทความต่อไปจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ถ้าน้อง ๆ มีประเด็นที่น่าสนใจ หรือความรู้จากวิชาอะไร ที่อยากให้นำมาเล่า หรือแจกทริคการจำ ก็สามารถคอมเมนต์เอาไว้ด้านล่างได้เลย!
ข้อมูลจาก
https://pubhtml5.com/tkvm/rboo/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A5_%E0%B8%A1.4-%E0%B8%A1.6/32
0 ความคิดเห็น