เมื่อ 42% ขององค์กรใหญ่ใช้ AI แทนมนุษย์ อีก 58% จะอยู่รอดได้อย่างไรในยุค AI ครองเมือง
หนึ่งในข้อมูลที่น่าตกใจซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้ก็คือ ปัจจุบันองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลกกว่า 42% หันมาใช้งาน AI แทนแรงงานมนุษย์แล้ว เพราะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิม และในอนาคตอันใกล้ ความสามารถของ AI ก็จะยิ่งพัฒนาไปไกลกว่านี้อีกมาก
คำถามคือ...นักเรียน นักศึกษา เด็กจบใหม่ รวมถึงคนวัยทำงาน จะปรับตัวยังไงไม่ให้ตกขบวนจากอีก 58% ที่เหลือ?
คำตอบของเรื่องนี้อยู่บนเวทีเสวนา “AI READY ERA : AI เปลี่ยนโลก แบรนด์ ธุรกิจ และมนุษย์เงินเดือน ปรับอย่างไรให้อยู่รอด” ภายในงาน SUSTAINABILITY EXPO 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 โดยมีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ “คุณวนัสรา วงษ์สมุทร CEO of Tamaya” “คุณโชษณ ธาตวากร CEO of Ausara Surface & Textile” “คุณศรัณย์ คุ้งบรรพต HR Leader สถาบันการเงินชั้นนำ” และดำเนินรายการโดย “คุณภัทรเมธ รัมมณีย์ – Brand Strategist & Marketing Coach”
AI ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นตัวช่วยให้ชีวิตดีขึ้น
คุณศรัณย์ คุ้งบรรพต HR Leader จากสถาบันการเงินชั้นนำ เปิดเผยข้อมูลที่ชวนตกใจว่า ปัจจุบันกว่า 40% ขององค์กรขนาดใหญ่ที่มีพนักงานมากกว่า 10,000 คนทั่วโลก ใช้งาน AI อย่างจริงจังถึง 42% และคาดว่าในปี 2027 วงการการตลาดและโฆษณาจะขับเคลื่อนด้วย AI และอัลกอริทึมมากถึง 74%
กลุ่มที่น่ากังวลที่สุดคือ “คนที่ไม่เชื่อใน AI” เพราะเขาจะไม่เรียนรู้หรือพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมันเลย ซึ่งสุดท้ายอาจกลายเป็นผู้ที่ตกขบวน
แต่แทนที่จะมองว่า AI เป็นสิ่งแปลกหน้าที่ต้องหวาดกลัว คุณศรัณย์ชี้ว่า มนุษย์เราผ่านการเปลี่ยนแปลงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม จนถึงยุคอินเทอร์เน็ต แรกเริ่มเราก็เคยไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไร แต่สุดท้ายเราก็ปรับตัวได้เสมอ
หากมองว่า AI คือเครื่องมือที่ช่วยให้เราทำงานได้เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น มันจะช่วยให้เรามีเวลาไปใช้ชีวิตกับครอบครัว หรือทำสิ่งอื่นๆ ที่สร้างความสุขมากกว่าเดิม ดังนั้นการเข้ามาของ AI ไม่ได้แค่เปลี่ยน “การทำงาน” แต่ยังเข้ามาช่วย “ยกระดับชีวิต” องค์กรจึงควรสร้าง Ecosystem ที่เปิดรับ AI ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานอย่างเป็นธรรมชาติ
“AI คือประแจ” ใช้ให้เป็น แล้วจะทำได้ทุกอย่าง
คุณโชษณ ธาตวากร CEO จาก Ausara Surface & Textile แนะนำคนอีก 58% ที่ยังไม่คุ้นเคยกับ AI โดยให้มองว่า AI เป็นเหมือน “ประแจ” เป็นเครื่องมือมหัศจรรย์ที่ทุกคนต้องเรียนรู้วิธีใช้ เพราะเมื่อใช้เป็นแล้วจะรู้ว่า AI ทำได้แทบทุกอย่าง
อย่างไรก็ตาม การมีเครื่องมือมากขึ้นไม่ได้หมายความว่าจะมีคู่แข่งมากขึ้น เพราะยังมี 3 สิ่งสำคัญที่ AI ไม่มีทางแทนมนุษย์ได้
- Intention คือ ความตั้งใจ หรือ เจตจำนง แม้ว่า AI ผลิตผลงานได้เป็นล้านๆ ชิ้น แต่ก็ยังไม่สามารถปิดการขายได้ เพราะยังไม่เข้าใจมนุษย์
- Imagination จินตนาการ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้โดยไม่ต้องพึ่ง DATA มนุษย์สามารถคิดสิ่งใหม่โดยไม่ยึดติดกับข้อมูล ในขณะที่คอมพิวเตอร์ทำไม่ได้
- Imperfection ความไม่สมบูรณ์แบบ ความเป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบนี่แหละ ที่ทำให้งานมีเอกลักษณ์และแตกต่างจาก AI
จาก “ผู้ทำ” สู่ “ผู้คุม” บทบาทใหม่ของแรงงานยุค AI
คุณวนัสรา วงษ์สมุทร CEO จาก Tamaya มองว่า ยุคนี้พนักงานต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ทำ” เป็น “ผู้คุม” เพราะเรามี AI เป็นเครื่องมืออยู่แล้ว หน้าที่ของเราคือต้องอยู่เหนือกว่า AI ใช้ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ความรู้ และความเป็นมนุษย์ เพื่อกำกับและชี้นำ AI
ยกตัวอย่างจริงจากการใช้ AI เป็น Chatbot ในการตอบคำถามแทนพนักงาน ซึ่งเป็นงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ จำเจ และ AI ก็ทำได้ดี ไม่ล้า ไม่ป่วย ไม่มีหยุดปีใหม่หรือสงกรานต์ แต่พนักงานยังคงมีบทบาทหน้าที่ในการเฝ้ามอง ดูแล และพัฒนา AI ให้เก่งขึ้น ด้วยสิ่งที่ AI ทำไม่ได้ นั่นคือ การเข้าใจจิตใจและบริบทของความเป็นมนุษย์
คนที่ “ไม่ปรับตัว” คือคนที่ AI จะมาแทนที่
สุดท้ายแล้วคนที่จะถูก AI คุกคามอย่างแน่นอนคือ คนที่ทำงานแบบ “หน้าเดียว” คือทำซ้ำ ๆ อย่างเดียว โดยไม่พัฒนาทักษะอื่นเลย เพราะเมื่อ AI ถูกพัฒนาให้ทำงานนั้นได้ดีกว่า มนุษย์ที่ไม่เรียนรู้หรือปรับตัวจะค่อย ๆ ถูกแทนที่
ทักษะสำคัญในยุคนี้ที่ทุกคนต้องมีคือ Reskill และ Upskill การปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ต่อไปในอนาคตจะเป็น “โลกของเป็ด” ที่คนต้องมีความสามารถหลากหลาย ทำได้หลายอย่าง และองค์กรเองก็ต้องยืดหยุ่น ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
เมื่อ AI เข้ามา ประตูบานหนึ่งอาจปิดลง แต่ก็จะมี ประตูบานใหม่ ๆ เปิดขึ้นเสมอ หน้าที่ของเราคือเปิดหู เปิดตา เปิดใจ เรียนรู้ และพัฒนา เพื่อก้าวผ่านไปสู่โอกาสบานใหม่ในยุค AI
1 ความคิดเห็น