มาถึงอิตาลีวันแรกนะ โอ้โหพระเจ้า.... อาหารไหนใครว่าอร่อย??? กินไม่ได้เล้ยยย ที่ป๊อกได้กินมื้อแรกไม่ใช่พิซซ่าหรือสปาเกตตี้หรอกนะ แต่เป็นข้าวเย็นๆ เหมือนแช่แข็งมา น้ำเปล่าก็ไม่มี แต่เป็นน้ำอัดแก๊ซ ให้ตายเหอะ ตอนนั้นกินได้อยู่อย่างเดียวคือเนื้อทอด ชีวิตรันทดอะไรได้ถึงขนาดนี้ มาทำไมวะเนี่ย????? อ้อ ตอนมาถึงวันแรกๆ เค้ามีเข้าค่ายปรับตัวด้วย เราก็เลยได้อยู่กับเพื่อนๆ ทั้งคนไทยและต่างชาติ ส่วน Host Family บ้านที่ป๊อกไปอยู่มี dad , mom แล้วก็มีลูกชาย 2 คน อายุ 17 กับ 15 ปี คนโตไม่ได้เจอเค้าหรอกนะ เพราะเค้าไปแลกเปลี่ยนเหมือนกันแต่ไปที่แคนาดา โฮสต์เค้าเป็นครอบครัวค่อนข้างจะอารมณ์ดี แต่ก็มีอายุกันแล้ว อาจจะมีเรื่องอารมณ์บ้างอะไรบ้าง เป็นเรื่องธรรมดาของคนแก่!! โฮสต์ dad เป็นหมอ ส่วน mom เป็นครูสอนโภชนาการอาหาร เก่งทั้งคู่ รู้ทุกอย่างจริงๆ 555+ ส่วนตัวลูกชายนี่มีเรื่องให้เล่ายาวมากๆ แต่ขอสรุปทีเดียวเลยละกัน เค้าจะเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ตามประสาลูกคนเล็ก ไม่ชอบให้ใครเด่นกว่า (แต่เผอิญเราเด่นกว่า 555+) ดื้อ งอแง ไม่ชอบไปโรงเรียน ทั้งๆ ที่โรงเรียนที่นั่นเรียนน้อยมาก และเป็นคนที่ไม่ชอบคุยกับใคร ป๊อกก็พยายามคุยด้วยหลายทีมากมาย แต่ก็จะได้คำตอบกลับมาเพียงแค่คำสั้นๆ หรือประโยคสั้น อยู่ไปก็เลยเริ่มปลงล่ะ มาดูเรื่องของโรงเรียนกันบ้างดีกว่า โรงเรียนที่ป๊อกไปอยู่เป็นวิทยาลัยเทคนิคการโรงแรมและห้องอาหารชื่อ I.P.S.A.R. Petronio ก่อนอื่นขอเล่าลักษณะของเรียนในอิตาลีก่อนดีกว่า โรงเรียนในอิตาลีหรือวิทยาลัยต่างๆ เนี่ย จะมีทั้งหมดประมาณ 6 แบบคือ 1.โรงเรียนวิทยาศาสตร์ (สายวิทย์-คณิต) โดยโรงเรียนหรือวิทยาลัยที่นี่จะเรียนทั้งหมด 5 ปี (ซึ่งของไทยเราเรียน 6 ปี) วิทยาลัยที่ป๊อกเรียนจะมีแบ่งเป็นสายๆ โดยแบ่งเป็น Cooking, Bartender and Waiter และ Reservations ป๊อกได้เรียนในสายของ Reservation ในคลาสป๊อกมีเรียนทั้งหมด 11 วิชา 14.5 หน่วยกิต มีวิชา 1.ศาสนาคริสต์นิกาย โรมันคาธอลิก ช่วงแรกๆ ที่ไปเรียนก็นั่งเอ๋อไปวันๆ เพราะเราก็ไม่รู้ภาษาเค้า ป๊อกค่อนข้างที่จะโชคร้ายนิดนึง เพราะว่าทั้งห้องเป็นผู้หญิงหมดเลย ทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็จะถูกนินทา เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดานะ แต่ก็เชิงรำคาญเล็กน้อย ในห้องมีเพื่อนที่สนิทด้วยอยู่แค่ 3-4 คนเอง เพราะเราปรับนิสัยเข้าหากันได้ ส่วนที่เหลือคือเค้าจะมองป๊อกเป็นตัวประหลาด คนเอเชีย เหยียดหยาม!! มาพูดถึงเรื่องเที่ยวกัน ป๊อกว่าป๊อกเป็นคนที่โชคดีมากเลยคนนึง คือป๊อกได้มีโอกาสไปเที่ยวสถานที่สำคัญๆ ทั่วอิตาลีเลย แต่ขอเริ่มสถานที่ท่องเที่ยวในเนเปิลส์ก่อนละกัน ว่าด้วยเรื่องของประวัติศาสตร์อิตาเลียน "เนเปิลส์" ถือว่าเป็นเมืองหลวงของอิตาลีใต้ (ประมาณ 200-300 ปีก่อน มีการแบ่งแยกอิตาลีออกเป็น 2 ส่วน คืออิตาลีเหนือ เมืองหลวงอยู่ที่ตูริน และอิตาลีใต้ เมืองหลวงอยู่ที่เนเปิลส์) จึงทำให้เนเปิลส์มีปราสาทซึ่งเป็นที่ประทับของกษัตริย์หลายพระองค์ของอิตาลี เช่น Palazzo Reale ซึ่งมีการสร้างคล้ายกับพระราชวังแวร์ซายของฝรั่งเศส , Castel dellOvo เป็นปราสาทเก่าแก่ ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเล และ Castel SantElmo เป็นปราสาทที่ตั้งบนยอดเขา เปรียบเสมือนป้อมปราการ คอยสอดส่อง ดูแลความเรียบร้อยของเมือง และยังสามารถดูภาพพาโนรามาของเมืองเนเปิลส์ได้จากตรงนี้อีกอีกด้วย สถานที่ท่องเที่ยวในเนเปิลส์ที่เด่นๆ ก็คือ "ปอมเปอี" ที่บอกไปแล้ว ปอมเปอีเป็นเมืองเก่าแก่ที่ถูกลาวาไหลทับเมืองทั้งเมือง จากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อประมาณเกือบ 2,000 ปีที่ผ่านมา ในตัวเมืองมีวิหารต่างๆ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดคนทั่วโลกได้ดีเลยทีเดียว ค่าเข้าชมคนละ 11 ยูโร (หรือประมาณ 440 บาท) สำหรับชาวต่างชาตินะ แต่ไปดูแล้วอาจจะปลงๆ กันนิดหน่อยนะ เพราะบางคนที่ถูกลาวาไหลถล่มมาทับตายนี่คือ ตายในท่านั่งบ้าง นอนกอดลูกบ้าง เห็นแล้วสลด ยังไม่หมดนะ เพราะในช่วงเดือนมีนาคม ทางโครงการจะมีโปรเจ็กต์สำหรับให้นักเรียนแลกเปลี่ยนได้ไปเที่ยวในต่างเมือง เป็นระยะเวลา 1 อาทิตย์ และต้องไปอยู่กับครอบครัวใหม่ ซึ่งป๊อกได้เลือกไปที่ "เมืองคาตาเนีย เกาะชิซีเลีย" ทางใต้ของประเทศอิตาลี่ และครอบครัวที่ป๊อกไปอยู่ด้วย เป็นครอบที่น่ารักมาก มีลูกชาย 4 คน เป็นครอบครัวนักดนตรี ทั้งบ้านเล่นดนตรีได้ มีห้องซ้อมดนตรีเป็นของครอบครัวเอง ส่วนคาตาเนียเป็นเมืองที่สวยงามมาก มีการจัดและวางผังเมืองได้สวยงาม มีสถานที่ท่องเที่ยวได้แก่ ภูเขาไฟ Etna เป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลีและตอนนี้ก็ยังมีการปะทุอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อบ้านเมืองและประเทศรอบข้าง นอกจากนี้ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ ป๊อกยังได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆ ของอิตาลี ที่แรกที่ไปคือ "ฟลอเรนซ์" เมืองที่ทุกคนทั่วโลกกล่าวว่า เป็นเมืองที่สวยที่สุดในอิตาลี และก็จริงๆ แหละ เป็นเมืองที่สวยงามมาก ในตัวเมืองแทบไม่มีรถยนต์ให้เห็นเลย เพราะเค้าขี่จักรยานกัน สถานที่ที่สำคัญคือ สะพาน Ponte Vecchio ไปต่อกันที่ "ปิซ่า" สถานที่ที่มีหอระฆังตั้งอยู่บนพื้นเอียง ทำให้ตัวเสานั้นเอนไปด้วย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่หนึ่งในอิตาลี่ และยังเป็นสถานที่ที่กาลิเลโอมาพิสูจน์ความจริงว่า วัตถุ 2 ชิ้น ที่มีขนาดเท่ากัน แต่น้ำหนักไม่เท่ากัน แต่กลับตกถึงพื้นโลกพร้อมกัน หลังจากก็เข้าสู่เมืองแฟชั่น "มิลาน" ... มิลานเป็นเมืองที่สวยเมืองหนึ่ง แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวในมิลาน ก็จะมีแค่ Duomo เป็นวิหารที่สวยที่สุดในอิตาลี และ Galleria Vittorio Emanuele II ซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้งแบรนด์เนมชื่อดัง นอกจากนี้ ในมิลานจะมีถนนไว้ให้สำหรับขาช็อปได้เดินช็อปปิ้งประมาณ 4-5 สายติดกัน และที่สุดท้ายที่ได้ไปในช่วงอีสเตอร์ก็คือ เมืองแห่งเทพนิยาย "เวนิซ" เวนิซเป็นเกาะนะ ไม่ใช่เป็นเมือง เป็นเกาะกลางน้ำที่สำคัญที่สุดในอิตาลี มีคลองเล็กๆ ไว้ให้สำหรับเรือกอนโดลาที่โด่งดังและแพงสุดๆ ได้พานักท่องเที่ยวเที่ยวชมความของเกาะ ถ้าจำไม่ผิด ครึ่งชั่วโมง 40 ยูโร หรือประมาณ 1,600 บาท และสิ่งที่ทุกคนอาจไม่รู้มาก่อนคือ นอกจากเกาะเวนิซแล้ว ยังมีอีกหลายๆ เกาะที่สำคัญที่อยู่ในเขตการปกครองของเวนิซ คือเกาะมูราโน และเกาะบูราโน ทั้ง 2 เกาะนี้เป็นเกาะที่เงียบสงบ ผิดกับเกาะเวนิซที่มีนักท่องเที่ยวมากมาย 2 เกาะนี้เป็นเกาะที่ผลิตแก้วต่างๆ รวมทั้งเครื่องประดับ ของตกแต่งที่ทำจากแก้ว จึงมีหลายโรงงานที่อยู่บนเกาะ 2 เกาะนี้ และที่สุดท้ายที่ได้ไปเที่ยว แต่ไม่ได้ไปในช่วงอีสเตอร์นะ ก็คือ "โรม" เมืองหลวงของอิตาลีนั่นเอง โรมมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะมากมาย แต่จะยกตัวอย่างแค่ 2-3 ที่ก็พอ .... ที่แรกเลยคือมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ หรือที่เรียกกันว่า "นครรัฐวาติกัน" วาติกันเป็นรัฐที่เล็กที่สุดในโลก และเป็นรัฐเดียวที่อยู่ในอิตาลี บาทหลวงหรือผู้ที่ทำงานในวาติกัน จะไม่ถือว่าตัวเองเป็นชาวอิตาเลียน เพราะวาติกันเป็นรัฐอิสระนั่นเอง และมีพระสันตะปาปาเป็นประมุข สถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่สองคือ Fontana di Trevi หรือน้ำพุเทรวี ว่ากันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่หนึ่ง ที่นักเสี่ยงโชคมักจะมาขอพรจากน้ำพุนี้ด้วยการอธิษฐานแล้วโยนเหรียญลงไปในบ่อ ว่ากันว่าจะทำให้ประสบความสำเร็จในเรื่องที่ขอ แต่ป๊อกไม่ได้ขอนะ และที่สุดท้ายที่จะพูดถึงคือ "โคลอสเซียม" อย่างที่ทุกคนรู้กันคือเป็นสนามกีฬาเก่าแก่ของอิตาลี่ ใหญ่มากๆ ใหญ่จริงๆ โดยในประวัติศาสตร์แล้ว โคลอสเซียมได้สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 1 มีพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถจุคนได้ถึง 8 หมื่นคน ชั้นใต้ดินจะแบ่งออกเป็นห้องๆ ไว้กักขังนักโทษประหาร และสัตว์ร้ายต่างๆ เช่น สิงโต เป็นต้น ในบ้างครั้ง โคลอสเซียมถูกจัดให้เป็นลานประหารของนักโทษ แต่ในบางครั้งก็เเป็นสนามประลองความสามารถของเหล่าผู้กล้าในอาณาจักรอิตาลี และ 1 เดือนก่อนที่จะกลับ AFS ก็ได้จัดค่ายอีก 1 ค่าย เพื่อเป็นการอำลา รวมถึงการทำกิจกรรมร่วมกัน การเขียนบรรยายความรู้สึกที่มีกับอิตาลี ครอบครัวอุปถัมป์ รวมถึงกับ AFS ด้วย เป็นค่าย 4 วัน 3 คืน และเป็นค่ายที่สนุกและเศร้าที่สุด เพราะนึกถึงความรู้สึกที่จะต้องกลับประเทศของแต่ละคน ฮือๆ มีการแสดงต่างๆ ซึ่งให้แต่ละชาติออกมาแสดง แต่รอบนี้ประเทศไทยไม่โชว์เดี่ยวแล้ว เบื่อ!! เลยโชว์รวมกับประเทศในแถบเอเชีย สร้างความฮือฮาให้ทุกคนอย่างเว่อร์มาก หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่า ไปอยู่อิตาลี พูดอิตาเลี่ยนได้หรอ แล้วจะปรับตัวยังไง คือเรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเลย เพราะทาง AFS ได้จัดคอร์สเรียนภาษาอิตาเลียนไว้ให้แล้ว เริ่มเรียนตั้งแต่ 2 อาทิตย์แรกที่ไปถึงจนถึงอาทิตย์ก่อนเทศกาลปีใหม่เลยทีเดียว และอีกอย่างหนึ่งสำหรับการเรียนภาษา คือเราได้ยินภาษาทุกวัน เจอคนพูดด้วยทุกวัน บวกกับการที่เรียนภาษาไปด้วยเนี่ย แน่นอนว่า มันจะเป็นการซึมซับภาษาไปในตัว เหมือนตอนเราเป็นเด็กที่ได้ยินผู้ใหญ่พูดคุย แล้วเราก็จำมาพูด นั่นแหละ ใช้เทคนิคเดียวกัน 5555+ แต่อย่าลืมว่า ความขยันเป็นสิ่งที่ทำให้เราไปสู่ความสำเร็จนะเพื่อนๆ ได้อ่านประสบการณ์เด็กนอกจากอิตาลีแบบนี้แล้ว เชื่อว่าปีหน้า ยอดคนที่เลือกไปอิตาลีคงเยอะขึ้นเป็นเท่าตัวแน่ๆ 5555+ อื้อหือออ อ่านจบนี่ต้องไปเอาน้ำมาล้างตา เพราะอิจฉาตาร้อนมากๆๆ ค่ะ สุดยอดจริงๆ โดยเฉพาะได้เที่ยวเมืองใหญ่ๆ ของอิตาลีครบทุกเมืองแบบนี้ น่าอิจฉาที่สุดเลย !! ส่วนใครมีประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ อยากแบ่งปันเพื่อนๆ บ้างก็ส่งมาให้ พี่เป้ ได้ที่ pay@dek-d.com เลยนะคะ แล้วเจอกันแน่นอน
|
||||
แสดงความคิดเห็น
ถูกเลือกโดยทีมงาน
ยอดถูกใจสูงสุด
Italyyyyyyyyyyyyyyyyyy!
ประเทศที่อยากไปที่สุดในโลก!
อิจฉาอย่างแรง อยากไปเวนิชสุดๆๆๆๆ
หรือว่าจะไปสมัครทุนบ้าง แต่คงยาก อีกอย่างพื้นฐานอิตาลีต่ำติดดิน
(แต่เรียนมาสี่ภาษาแล้วแฮะ ไทย อังกฤษ ยุ่น ฝรั่งเศส จะเรียนอีกภาษาจะเป็นไรไป!)
กำลังโหลด
สุดยอด ๆ แต่เค้ายังเหยียดสีผิวกันอีกหรอเนี่ย T^T
กำลังโหลด
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการที่จะลบความเห็นนี้ใช่หรือไม่ ?
59 ความคิดเห็น
เติร์กเองง AFS Italy49
ตอนนี้อยู่ Catania ครับบ รุ่นน้องพี่เค้าปีนึง
อยากไปเที่ยวเยอะๆแบบพี่เค้าบ้าง TT
ปล. รส.102 ครับ อิอิ
แต่อย่าลืมนะคะว่าระบบการศีกษาที่อิตาลีไม่เหมือนเมืองไทยหรือประเทศอื่น เพราะที่น้องป๊อกเรียกว่า "วิทยาลัย" (scuola superiore) ถ้าเทียบกับเมืองไทยแล้วก็คือ มัธยมศึกษาตอนปลาย เรียนทั้งหมด 5 ปี บวกกับมัธยมศึกษาตอนต้น (scuola media) อีก 3 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่อิตาลีใช้เวลาเรียนทั้งหมด 8 ปีค่ะ ถ้าจะเทียบกันต้องเทียบกันแบบนี้ค่ะ
ปล.เรื่องต่อไปน่าติดตาม =,,=
คิๆ ๆ ๆ
พี่เค้าเก่งจังเลยเนาะ
ไปอยู่อิตาลี ด้วยอ่ะ
เค้าก็อยากไป อิตาลี แต่ภาษาไม่กระดิกเล้ย ยย ยย T^T
Italyyyyyyyyyyyyyyyyyy!
ประเทศที่อยากไปที่สุดในโลก!
อิจฉาอย่างแรง อยากไปเวนิชสุดๆๆๆๆ
หรือว่าจะไปสมัครทุนบ้าง แต่คงยาก อีกอย่างพื้นฐานอิตาลีต่ำติดดิน
(แต่เรียนมาสี่ภาษาแล้วแฮะ ไทย อังกฤษ ยุ่น ฝรั่งเศส จะเรียนอีกภาษาจะเป็นไรไป!)
สุดยอด ๆ แต่เค้ายังเหยียดสีผิวกันอีกหรอเนี่ย T^T
ส่วนเรื่องอาหารก็ไม่ต้องห่วงเลย อันไหนที่เอามาจากไทยได้ก็เอามาทำกินที่นี่ 555
เหมือคห.9 เลยอ่ะ > <
เราก็เรียนรู้มาสี่ภาษาแล้วเหมือนกัน
ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส
ตอนนี้กำลังคิดอยู่ว่า ถ้าลองไปสมัครสอบตอนม.ปลาย
จะเลือกอะไรดี
อยากไปอิตาลี ออสเตรเลีย แคนาดา > <
อเมกา ก็อยากไปนะ แต่รู้สึกคนไทยไปเยอะมาก 555+
นั่นสิ เรียนอีกภาษาจะเป็นไรไป : p
หอเอนๆ ^ ^
ได้ไปต่างประเทศด้วย
แต่ถ้าไปเกาหลีคงดีกว่านี้
เพราะชอบเกาหลี
อยากไปอิตาลี ประเทศในฝันอีกประเทศนึงเลย
แต่เค้ายังเหยียดสีผิวกันอีกหรอ ฟังแล้ว ความอยากไปลดลงครึ่งหนึ่งเลย