กำเนิดระบบสุริยจักรวาล

"สุริยจักรวาล" คำๆนี้เราได้ยินกันมาตั้งแต่เด็ก และพี่ปาล์มก็สงสัยว่า แล้วสุริยจักรวาลเนี่ย เกิดขึ้นมาได้ยังไง น้องๆสงสัยเหมือนกันบ้างไหมคะ? วันนี้ พี่ปาล์มมีคำตอบค่ะ :)

จักรวาลของเราที่มีดวงอาทิตย์ เป็นศูนย์กลางนั้น ได้ถือกำเนิดมาจากกลุ่มแก๊สร้อนกลุ่มหนึ่ง ของทางช้างเผือก เมื่อประมาณ 5,000 ล้านปีมาแล้ว จักรวาลนี้เป็นจักรวาลที่มีความไม่ธรรมดา อยู่หลายประการ เช่น มีสิ่งมีชีวิต มีวงโคจรของดาวเคราะห์บริวารของจักรวาลนี้ ที่แทบจะอยู่ในระนาบเดียวกันหมด นอกจากนี้ดาวเคราะห์ส่วนมาก จะหมุนรอบตัวเองในทิศทางเดียวกัน ยกเว้นดาวศุกร์และพลูโต ซึ่งหมุนสวนทิศกับดาวดวงอื่นๆ ที่แปลกสุดแปลกคือดาวมฤตยูนั้น จะตะแคงตัวหมุน ครั้นเมื่อนักดาราศาสตร์ เปรียบเทียบความเร็วในการโคจร ของดาวเคราะห์และดวงอาทิตย์แล้ว เขาก็พบว่าดวงอาทิตย์ของเรา หมุนช้าอย่างแทบไม่น่าเชื่อ แค่นี้ยังไม่พอ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังรู้แปลก ที่ยังตอบไม่ได้ว่าเหตุใดดวงจันทร์ ของโลกและดวงจันทร์ของดาวพลูโตจึงมีขนาดใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับดาวแม่ ในขณะที่ดวงจันทร์ของดาวเคราะห์อื่นๆ นั้นเล็กนิดเดียว และดวงจันทร์เหล่านั้นมาจากไหน เหตุใดดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์จึงประกอบด้วยธาตุหนัก แต่เหล่าดาวที่อยู่ไกลจึงมีองค์ประกอบที่เป็นธาตุเบา เหตุใด เหตุใด และเหตุใดทฤษฎีใดๆ ของสุริยจักรวาลที่ถูกต้อง และสมบูรณ์จะต้องอธิบายและตอบคำถามต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ได้หมด

ในอดีตเมื่อประมาณ 200 ปีมาแล้ว นักดาราศาสตร์เคยวาดฝันเกี่ยวกับกำเนิดของสุริยจักรวาลว่าได้มีดาวฤกษ์ดวงใหญ่อีกหนึ่งดวงโคจรมาใกล้ดวงอาทิตย์ของเรา และแรงดึงดูดอันมหาศาลของดวงดาวนั้นได้ดึงดูดแก๊สร้อนจากดวงอาทิตย์ให้หลุดปลิวลอยไปในอวกาศ เมื่อแก๊สนั้นเย็นลง มันจึงจับตัวแข็งเป็นดาวเคราะห์ แต่หลักฐานต่างๆ ในปัจจุบันส่อแสดงให้เห็นแล้วว่า ดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ต่างๆ นั้นเกิดมาพร้อมๆ กัน ดังนั้นทฤษฎีนี้จึงต้องตกไป

ส่วนนักปราชญ์ชื่อ Kant และนักฟิสิกส์ชื่อ Laplace นั้นเคยเชื่อว่า สุริยจักรวาลเกิดจากกลุ่มแก๊สที่หมุนรอบตัวเองจนมีลักษณะเป็นจานกลมเมื่อส่วนต่างๆ ของขอบจานเย็นลงมันจะหดตัวและจับตัวรวมกันเป็นดาวเคราะห์ต่างๆ แต่ถ้าทฤษฎีนี้เป็นจริง เมื่อดาวเคราะห์ต่างๆ ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว ดวงอาทิตย์ก็ควรจะหมุนเร็วขึ้น แต่กลับปรากฏว่าดวงอาทิตย์นั้นหมุนช้ามาก ทฤษฎีนี้จึงต้องมีการปรับปรุง

การสังเกตข้อมูลที่ดาวเทียม Infrared Astronomical Satellite ส่งมา ทำให้นักวิทยาศาสตร์ ได้เห็นดาวฤกษ์หลายดวง เช่น Beta Pictoris ว่ามีแก๊สเย็นห้อมล้อมอยู่ การเห็นนี้จึงทำให้นักดาราศาสตร์ปัจจุบันคิดว่า นี่คือภาพของสุริยจักรวาลตอนถือกำเนิดใหม่ๆ ก็ในเมื่อกล้องโทรทรรศน์อวกาศ Hubble Space Telescope ที่สหรัฐฯ ส่งขึ้นไปค้นหาดาวเคราะห์ ยังใช้การไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์ จึงต้องหันมาพึ่งพาอาศัยอุปกรณ์อื่นๆ จึงขณะนี้ได้มีนักวิจัยบางคน ใช้คอมพิวเตอร์สร้างแบบจำลองการกำเนิด ของสุริยจักรวาลขึ้นในจอ โดยรวมกำหนดว่าในตอนเริ่มต้น มีดาวเคราะห์ที่มีขนาดพอๆ กับโลกเราประมาณ 500 ดวง แล้วดาวเหล่านี้ชนกันหรือกัน โดย G. Wetherill แห่งสถาบัน Carnegie ที่ Washington ได้พบว่ากระบวนการชนบิลเลียดในอวกาศ ลักษณะนี้สามารถนำไปสู่การเกิดดาวเคราะห์ 9 ดวงดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ได้ และโลกของเราจะต้องถูกชน ด้วยอุกกาบาตที่มีขนาดใหญ่เท่าดาวพุธ จึงจะทำให้ ชิ้นส่วนหนึ่งของโลกหลุดออกไป เป็นดวงจันทร์

จะยังไงก็ตามแต่ ตราบเท่าทุกวันนี้ เราก็ยังไม่มีทฤษฎีกำเนิดสุริยจักรวาล ที่สมบูรณ์ดีเลย จึงเป็นว่าสนามความคิดสำหรับเรื่องนี้ ยังมีอาณาบริเวณกว้างพอที่ จะรองรับจิตนาการจากคนทุกคนครับ

โอ้โห...กำเนิดสุริยจักรวาลนี่เหลือเชื่อจริงๆเลยนะคะ เมื่อได้อ่านบทความนี้จบลงแล้ว ทำให้พี่ปาล์มคิดได้ว่า เราเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆเท่าฝุ่นผงของจักรวาลเท่านั้นเอง

พี่ปาล์มขอบคุณบทความและภาพประกอบจาก http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet3/dr_sutat/bornuniv.htm

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

7 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
จิงๆ 30 มิ.ย. 51 20:55 น. 3
ไม่มีใครหาต้นกำเนิดของโลกได้เลย นอกจากอาศัยความเชื่อ เพราะไม่มีใครเกิดทัน

หากรู้ว่าเกิดจากไฮโดรเจนและฮีเลียม แล้วไฮโดรเจนและฮีเลียมละ เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วจักรวาลที่เป็นต้นกำเนิดของโลกละ เกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีใครหาจุดกำเนิดนี้ได้เลย จิงมั้งคับ
0
กำลังโหลด
เหอะๆ 30 มิ.ย. 51 23:17 น. 4
ไม่ต้องแค่โลกหรอก อันนี้ยังจิ๊บๆ ไปสงใสการเกิดของจักรวานเลยดีกว่า งงสุดตีนนน

"จักรวานเกิดจากความไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่ความว่างเปล่า แต่เกิดจากพลังงานรูปหนึ่ง จากจุดที่เป็นศูนย์"

คำพูดจาก หนังสือ ไอสไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น
0
กำลังโหลด
เอิร์ทเองนะอิอิ Member 1 ก.ค. 51 13:25 น. 5
วิฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่ก่อนจะมาเป็นมนุษย์ก็เริ่มมีการศึกษาอะไรต่อมิอะไรรอบๆตัว แล้ววิฒนาการตัวเองจากสัตว์ให้เดิน 2 ขาและเสมือนแยกมนุษย์ออกเป็นอีกประเภทอื่นซึ่งพิเศษกว่าสัตว์ไปแล้ว การวิฒนาการด้านความคิดมีขึ้นมากขึ้น และขนาดของสมองคนปัจจุบันก็ใหญ่กว่าคนยุดก่อนๆ มากขึ้นเรื่อย ฟังแบบนี้แล้วก็น่ายินดีที่มนุษย์มีการวิฒนาการอย่างไม่สิ้นสุดแล้วสามารถที่จะศึกษาสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้ได้ความจริงเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆและเมื่อถึงวันหนึ่งมนุษย์จะสามารถรู้ได้ทุกสิ่งเพราะมนุษย์ก็คือธรรมชาติอย่างหนึ่ง แต่ทว่าถ้าการศึกษานั้นคงไม่ได้มีต่อไปเพราะมนุษย์ก็ได้ทำลายที่อยู่อาศัยของตนลง เมื่อถึงเวลาที่เราไม่สามารถสืบเผ่าพันธ์ได้อีก การศึกษาก็จะสาบสูญไปอย่างไม่ต้องสงสัย มนุษย์เรามองสิ่งไกลตัวมากไปหรือป่าว แล้วการพัฒนาจากวิฒนาการของมนุษย์จะดีจริงงั้นหรอ ยิ่งพัฒนา ยิ่งเหมือนโลกยิ่งแย่ลง อย่างนี้คำว่าพัฒนามันดีหรือไม่กันแน่ แค่บทความที่ผมเขียนนี้ก็มีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวแล้ว และที่สำคัญการพัฒนาของมนุษย์เน้นหนักเพื่อทำให้ความไม่รู้เปลี่ยนเป็นรู้เพื่อรู้แล้วนำมาปรับใช้กับมนุษญ์เพื่อเป็นประโยชน์ แล้วคำว่าประโยชน์ก็เพื่อความสะดวกสบายหรือสนองความต้องการมนุษย์ก็เท่านั้น พอทำได้เท่าที่ต้องการก็ค้นหาสิ่งคือไป แล้วผลกระทบล่ะ ลืมตรงนี้ไปหรือป่าว บางทีน่าจะหยุดพัฒนาเพื่อทำร้ายกันเอง แล้วเน้นการรักษาแทน แต่ต้องรักษาอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อบังหน้าหาประโยชน์อีก ธรรมชาติจะปกป้องกันและกันและให้ผลประโยชน์ต่อกันและกัน*** ธรรมชาติไม่เคยทำร้ายธรรมชาติแต่ธรรมชาติจะเปลี่ยนไปเพื่อความสมดุลเท่านั้น หรือคุณจะบอกว่ามันไม่จริง?
0
กำลังโหลด
Nhong 6 ก.ค. 51 18:25 น. 6
ขอบคุณความเห็นที่5ครับที่โต้วาทีให้

เราแค่เชื่อในทฤษฏีของนักวิทยาศาสตร์

แม้มันจะเป็นจริงแค่0.000001%

เพราะสมัยก่อนยังมีทฤษฏีปโตเลมีที่ว่าโลกแบน

แต่นั้นเป็นการสังเกตจากความรู้สมัยนั้น

แต่เมื่อคนที่ฉลาดกว่านั้นนักวิทยาศาสตร์หลายๆคน นิวตันเอย โคเปอร์นิกัส(เรียกชื่อถูกมั้ย)

ได้พิสูจน์สิ่งต่างๆจนกระจ่าง(สมัยนั้น)

เช่น


ในปี ค.ศ.1543 นิโคลัส โคเปอร์นิคัส ชาวโปแลนด์ ได้ปฏิวัติความเชื่อดั้งเดิมของมนุษย์ในเรื่องของจักรวาล เขากล่าวว่าดวงอาทิตย์ต่างหากคือศูนย์กลางของจักรวาล ไม่ใช่โลก


ต้นทศวรรษ 1600 กาลิเลโอ กาลิเลอี ใด้ใช้กล้องโทรทรรศน์ส่องมองท้องฟ้าเป็นครั้งแรก เขาได้พบเครเตอร์บนดวงจันทร์ ดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัสบดี และข้างขึ้น-ข้างแรมของดาวศุกร์



ในศตวรรษที่ 17 เซอร์ไอแซก นิวตัน ได้คิดค้นกฎการเคลื่อนที่และความโน้มถ่วง นอกจากนี้ เขายังได้ประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์แบบสะท้อนแสงขึ้น ใช้งานเป็นอันแรกของโลกอีกด้วย

ในทศวรรษ 1780 นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษเชื้อสายเยอรมัน วิลเลียม เฮอร์เชล ได้ค้นพบดาวยูเรนัสพร้อมทั้งดวงจันทร์ ทิเทเนีย กับ โอเบอรอน และดวงจันทร์ของดาวเสาร์อีกสองดวงคือ ไมมาส และ เอนเซลาดุส นอกจากนี้เขายังค้นพบดาวคู่อีกกว่า 800 ดวง และพบว่าดาวเหล่านั้นส่วนใหญ่ยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นการพบผลของกฎแรงโน้มถ่วงของนิวตันนอกระบบสุริยะเป็นครั้งแรก

ระหว่างปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 ปีแยร์ ซีมง ลาปลาซ นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้ตั้งสมมติฐานเนบิวลา (nebula hypothesis) ซึ่งกล่าวว่าดาวเคราะห์ต่าง ๆ ในระบบสุริยะเกิดจากการควบแน่นของเนบิวลา แนวคิดนี้เป็นที่ยอมรับอยู่จนถึงปัจจุบัน

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ พระมหากษัตริย์ไทย ได้ทรงคำนวณและพยากรณ์ว่าจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 โดยพระองค์ทรงสามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้ถึง 2 ปี

ในต้นศตวรรษที่ 20 วอลเตอร์ แอดัมส์ พบว่าแสงสเปกตรัมที่ได้ตรวจพบจากจุดใกล้ ๆ ดาวซีริอัสนั้นเป็นดาวแคระขาวซึ่งเป็นดาวสหายของดาวซิริอุสเอง

ในช่วงตศตวรรษที่ 20 นี้ นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อ อาร์เทอร์ เอ็ดดิงตัน ได้คิดทฤษฎีเกี่ยวกับสภาพภายในดาวฤกษ์ได้สรุปว่า ดาวที่มีมวลมากกว่าจะมีความสว่างมากกว่า

ในปี 1910 แอลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ซึ่งเป็นทฤษฎีสำหรับอธิบายโครงสร้างและวิวัฒนาการของเอกภพที่ดีที่สุดจนถึงบัดนี้


ในทศวรรษ 1920 ชาวอเมริกันชื่อ เซชีเลีย ไพน์-กาพอชคิน ได้พบความสัมพันธ์ระหว่างสเปกตรัมกับอุณหภูมิของดาวฤกษ์ และได้เขียนโครงสร้างของบรรยากาศของดาวฤกษ์อีกด้วย

ในกลางศตวรรษที่ 20 ฟริตช์ ซวิกกี นักดาราศาสตร์ชาวสวิส ได้ศึกษากระจุกกาแล็กซีและยืนยันว่ามีสสารมืดอยู่จริง นอกจากนี้ยังได้ศึกษาซูเปอร์โนวาและคาดการณ์ว่าซูเปอร์โนวาอาจทำให้เกิดดาวนิวตรอนได้

ในทศวรรษ 1920 เอ็ดวิน ฮับเบิล นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันได้ค้นพบดาวแปรแสงเซฟีดในกาแล็กซีอันโดรเมดา เขาพบว่ากาแล็กซีนี้เป็นอาณาจักรของดาวที่แยกออกไปต่างหากจากกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา และยังพบว่ากาแล็กซีต่าง ๆ ที่อยู่ไกล ๆ กำลังถอยห่างออกจากเราไป ซึ่งหมายความว่าเอกภพกำลังขยายตัวขึ้น

เราก็มีความเชื่อว่า

"ก่อนจะเกิดบิกแบงน่ะ จักรวาลเป็นอย่างไรมาก่อน"
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด