Mayuki

[JLS04] Pinocchio Curse สาปร้ายให้กลายเป็นรัก

ฉันคล้ายพิน็อคคิโอ อ้อใช่ แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต่าง ถ้าพิน็อคคิโอโดนนางฟ้าเสก ฉันก็คงโดนแม่มดสาป

0%
VOTE
ตอนก่อนหน้า

ตอนที่ 7/7 :: chapter 7 : I'm lying, again and again.






7

I’m lying, again and again.

           

 

 

วันขอบคุณพระเจ้าตรงกับวันพฤหัสฯที่สี่ของทุกเดือนพฤศจิกายน ฉันไม่ได้ชอบขบวนพาเหรด ไม่ได้ชอบสินค้าลดราคา สิ่งเดียวที่ฉันชอบในวันนี้คือการอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว วันขอบคุณพระเจ้ามอบโอกาสนั้นให้ฉัน ในปีที่ผ่านมา ต่อให้พ่อกับแม่จะไม่ว่างหรือทะเลาะกันแค่ไหน แต่พวกเขาไม่มีทางเมินฉันในวันนี้แน่

           

ตอนอยู่แนชวิลล์ ส่วนใหญ่พ่อกับแม่จะพาฉันออกไปกินข้าวนอกบ้าน แน่นอนว่าต้องมีการช็อปปิ้งต่อ แต่นิวยอร์กก็ไม่เลว ถึงจะไม่มีอาหารนอกบ้านหรือช็อปปิ้ง แต่การใช้เวลาด้วยกันในเพนต์เฮ้าส์ก็คือความสุขของฉันแล้ว

           

ฉันนอนคว่ำอยู่บนเตียงในห้องนอนที่ไม่ได้กลับมานาน สิ่งของหายไปบ้างเพราะฉันขนไปไว้ที่อพาร์ตเม้นต์บางส่วน ฉันก้มมองมือถือในมืออีกครั้ง ข้อความของเคลวินส่งมาบอกว่าจะบินกลับนิวยอร์กเย็นนี้ เขากลับไปเยี่ยมครอบครัวที่แนชวิลล์ตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว...ครอบครัวอบอุ่น ฉันไม่ได้อิจฉาหรอกนะ สาบานได้

           

ชีวิตของฉันตอนนี้ไม่ได้แย่ นั่นทำให้รู้สึกดีทีเดียว เมื่ออาทิตย์ก่อนฉันได้ยินเจนนี่พูดกับกลุ่มเพื่อนว่ารีเบคก้าฟื้นแล้ว นั่นเป็นข่าวดี ฉันถึงบอกไงว่าชีวิตก็ไม่ได้แย่ ถึงจะเข้ากับกลุ่มเพื่อนเคลวินไม่ค่อยได้ แต่กับไมค์ฉันโอเคดี เขายังมองออกเสมอว่าความสัมพันธ์ของฉันกับเคลวินยังราบรื่นเหมือนเพื่อนทั่วไป

           

ฉันแนบหน้าลงกับเตียงนุ่ม สายตาจ้องไปที่นาฬิกาข้างหัวเตียง...บ่ายสามโมงเย็นแล้ว แต่จังหวะที่ฉันถอนหายใจและลุกขึ้นนั่ง ประตูห้องก็เปิดออก

           

ราเชล เกรย์ ยังเป็นผู้หญิงที่สง่างามไม่เปลี่ยน...ฉันนั่งนิ่งๆแล้วจ้องแม่ ในมือของเธอถือถุงคลุมเสื้อ เราคุยกันครั้งสุดท้ายคือคืนที่ฉันไปร้านอาหารของไมค์ แม่ไม่ได้บอกว่าจะกลับมาเพนต์เฮ้าส์กี่โมง แต่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็มาแล้ว

           

“ไม่เจอกันนานนะเพรท” แม่ยิ้มแล้วเดินเข้ามาหอมแก้มฉัน ที่จริงแล้วฉันยังรู้สึกอึดอัดกับเรื่องที่แม่อยากให้ฉันไปอยู่ที่อื่น แต่ฉันบอกตัวเองแล้ว เพื่อวันของครอบครัว ฉันจะลืมมันไปซะ “ขอโทษที่มาสาย อันที่จริงแล้วแม่ลงเครื่องมาตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้ว แต่แวะเข้าไปเอาชุดที่สั่งตัดไว้น่ะ”

           

ฉันมองถุงคลุมชุดที่แม่ถือมา ในนั้นเป็นชุดเดรสสีดำสั้นตัดเย็บประณีต “เนื่องในโอกาสอะไรคะ”

           

“ลูกคิดว่ายังไงล่ะ” แม่เดินเอาชุดมาวางลงบนเตียงข้างฉัน และฉันก็ลุกขึ้นยืนมามองมัน ถึงจะถามเหมือนไม่สนใจเท่าไร แต่เชื่อเถอะ ฉันกำลังสนใจชุดเดรสตัวนี้ “รู้มั้ย ไซส์เดรสตัวนี้เล็กกว่าตัวแม่ไปนิดเดียวเอง”

           

“โอ้ ถ้านี่เป็นคำโกหก หนูจะโกรธแม่จริงๆ”

           

“ไม่หรอก มันเป็นของลูกจริงๆนั่นแหละ” หนึ่งในทางที่จะลืมเรื่องแย่ๆของแม่ไปได้ คือการที่เธอหาของขวัญมาให้ฉัน และมันได้ผลจริงๆ...ฉันมองมันคล้ายเห็นเมนูอาหารโปรดอยู่ตรงหน้า ในขณะที่แม่หยิบมันขึ้นมา ก่อนจะเดินนำไปที่ห้องเสื้อผ้า “ลองมันสิ แม่ไม่แน่ใจว่าไซส์ลูกจะยังเหมือนเดิมหรือเปล่า”

           

“มันจะต้องพอดี เชื่อสิ” ฉันคว้าถุงเสื้อคลุมมาแขวน ก่อนจะถอดเสื้อคลุมผ้านิ่มสีขาวที่คลุมทับเสื้อครึ่งตัวสีดำด้านใน “ปีนี้แม่สั่งอาหารอะไรมาบ้าง พ่อโทรมาบอกหนูว่าอาจเข้ามาเย็นหน่อย เพราะติดงาน”

           

ฉันพูดพลางถอดกางเกงยีนส์ขาสั้นลง ก่อนจะสวมชุดเดรสต่อ แม่เดินเข้ามาช่วยเล็กน้อยด้วยสีหน้าปกติ...ฉันลอบมองพลางบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น ต่อให้แม่จะชอบทะเลาะกับพ่อเรื่องติดงาน แต่จะไม่ใช่ในวันนี้ ฉันรู้ว่าพวกเขารักฉันมากพอที่จะไม่ทำให้ผิดหวัง

           

“นั่นเป็นหน้าที่ของลูก แม่เตรียมเบอร์ภัตตาคารไว้แล้ว ทีนี้แล้วแต่ลูกจะเลือกเลย” ซิปด้านหลังถูกรูดขึ้น แม่ขยิบตาให้ฉันแล้วก้าวถอยหลังมามองชุด “สมบูรณ์แบบมากที่รัก”

           

“หนูคือเพรทิเซีย เกรย์ นะ” ฉันพูดกลั้วหัวเราะ เมื่อหันมองกระจกสูงก็เห็นตัวเองในชุดเดรสสีดำสั้นที่ระบายลูกไม้ช่วงแขนยาว “ใช่ มันสมบูรณ์แบบ คงเหมาะกับมื้ออาหารของพวกเรา”

           

“ไม่ เพรท ลูกจะเปลี่ยนมันเป็นชุดเก่า” คำสั่งของแม่ทำให้ฉันขมวดคิ้ว เธอกำลังจะเดินออกไปแล้ว แต่ก็ไม่ลืมทิ้งคำตอบไว้ให้ฉัน “ลงมาช่วยแม่ทำสปาเก็ตตี้ด้วย แม่คิดว่าเราควรเพิ่มมันเข้าไปในเมนูอาหารเย็นนี้”

           

ประตูห้องเสื้อผ้าปิดลงเหลือฉันยืนอยู่คนเดียว...ฉันลูบผมสีบลอนด์แพลตตินั่มที่คิดว่าคงต้องไปย้อมทับอีกรอบเพราะสีซีดเต็มทนแล้ว พลางหลับตาลงเพื่อข่มอารมณ์ ความสุขกำลังไหลเวียนอยู่ในร่างของฉัน ฉันไม่รู้ว่ามากแค่ไหน แต่อาจเพราะเมื่อผ่านเรื่องแย่ๆมา เราจะมองว่าความสุขเล็กน้อยเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เสมอ...ตอนนี้ฉันกำลังเป็นอย่างนั้น

           

เมื่อลืมตาขึ้น ฉันหันไปมองกระจก ผู้หญิงที่มีรอยยิ้มกำลังยืนมองฉันอยู่ เธอขยับริมฝีปากเมื่อฉันพึมพำ

           

“ได้เวลาเข้าครัวแล้ว”

 

           

 

ไม่ต้องใช้คำสารภาพ คนที่สนิทกับฉันต้องรู้ดีว่าฉันทำอาหารไม่เป็น แต่นั่นไม่รวมถึงการเป็นผู้ช่วยเล็กๆน้อยๆ แม่ให้ฉันหั่นมะเขือเทศ ส่วนเธอก็จัดการส่วนอื่นไป...ฉันหั่นมันก่อนจะเหลือบไปมองแม่ นานๆทีแม่จะเข้าครัว และถ้าเมื่อไรที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น ฉันรู้ว่าแม่กำลังอารมณ์ดี

           

ฉันเบือนสายตากลับมามองมะเขือเทศลูกที่สอง ให้ตายสิ หั่นยากเป็นบ้า

           

“ที่โรงเรียนลูกเป็นยังไงบ้าง” บรรยากาศในห้องที่ฉันเปิดดนตรีคลาสสิคคลอเบาๆถูกเสียงแม่แทรกถามขึ้นมา เธอยังคงวุ่นอยู่กับหน้าหม้อโดยไม่มองฉัน

           

“ก็ไม่...” ก็ไม่เลว ฉันกำลังจะพูดคำนั้นออกไป แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นพูดความจริง “ก็ไม่ดีเท่าไร แต่หนูไม่ได้เดือดร้อนมากหรอก” ฉันหมายถึงเรื่องอดีตกลุ่มเพื่อนซึ่งแม่ไม่เคยรู้ คำตอบนี้ทำให้ฉันหยุดมือที่กำลังหั่นมะเขือเทศ คำถามในใจลอยขึ้นมาว่า ฉันไม่ได้โกหกมานานเท่าไรแล้ว

           

“ลูกหมายถึงสองพี่น้องดีเวอเจียร์เหรอ” ครั้งนี้แม่เงยหน้ามาถามฉัน

           

“ประมาณนั้น” ความจริงมีเรื่องแย่ๆอีกมากมายที่ฉันผ่านมาโดยแม่ไม่รู้ และเธอไม่จำเป็นต้องรู้ “แต่ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หมายถึง หนูอยู่กับเพื่อนใหม่...ไม่สิ” ฉันเลียริมฝีปากอย่างลังเล ก่อนจะถอนหายใจ “ต้องเรียกว่าแฟน”

           

ฉันไม่ได้หันไปมองหน้าแม่ แต่เดาออกว่าเธอคงกำลังทำหน้าแปลกใจ ถ้าเป็นปกติ ฉันคงได้ยินน้ำเสียงเรียบเฉยจากแม่ แต่อาจเพราะวันนี้เธออารมณ์ดี น้ำเสียงนั้นติดจะล้อเลียนเล็กน้อย

           

“ว้าว มันเป็นเรื่องธรรมดาของวัยรุ่น เพรทิเซีย เกรย์ เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ แต่ถ้าลูกไม่บอกข่าวนี้ แม่คงคิดว่าเสน่ห์ของลูกเริ่มน้อยลงแล้ว”

           

“ร้ายกาจ” สิ้นคำพูดของฉัน เราหัวเราะออกมาพร้อมกัน แม่สั่งให้ฉันหั่นอีกแค่ลูกเดียว เมื่อจัดการเรียบร้อย ฉันเดินไปเปลี่ยนเพลง จากนั้นก็หันไปมองนาฬิกา นี่เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว...ฉันกัดริมฝีปาก พ่อคงไม่ทำให้ฉันผิดหวังหรอก

           

ระหว่างที่ความเคร่งเครียดตีมวนเข้ามาในท้อง เสียงลิฟต์เปิดออกก็ดังขึ้น ฉันยิ้มแล้วรีบเดินไปที่ลิฟต์ทันที แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อแขกคนนี้ไม่ใช่พ่อ แหงสิ ฉันไม่นับว่าคนส่งอาหารเป็นพ่อหรอกนะ

           

“นี่เป็นอาหารที่คุณสั่งไว้ทั้งหมด และนี่เป็นบิลครับ” ฉันรับถุงใส่อาหารมาด้วยความรู้สึกไม่เป็นสุขเท่าตอนแรก พอหยิบบิลมาดูราคา ฉันเตรียมจะหมุนตัวกลับไปหยิบเงิน แต่เสียงลิฟต์ก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก

           

“พ่อ” ฉันพึมพำ มองพ่อที่ถึงจะมีสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ก็ยิ้มบางๆเมื่อฉันเดินเข้าไปกอด...ความคาดหวังของฉันไม่ถูกทำลายลง “รู้มั้ยว่าพ่อมาสาย ช่วยดูนาฬิกาทีเถอะ”

           

“ขอโทษทีลูกรัก พ่อบอกแล้วนี่ว่าติดงาน” เขาเอี้ยวตัวกลับไปมองพนักงานส่งอาหาร “ค่าอาหารทั้งหมดเท่าไรล่ะ”

           

บิลในมือฉันถูกพ่อหยิบไปดู...ฉันมองพ่อจ่ายเงินให้พนักงานส่งอาหารด้วยความรู้สึกเหมือนมีลูกโป่งกำลังพองโตอยู่ในอก และฉันคิดว่ามันจะยิ่งพองกว่านี้เมื่อเราร่วมโต๊ะอาหารกัน พนักงานส่งอาหารรับเงิน แต่ก่อนเขาจะเข้าไปในลิฟต์ คำอวยพรของเขาเป็นสิ่งที่ฉันชอบ

           

“สุขสันต์วันขอบคุณพระเจ้านะครับ”

           

ฉันถือถุงอาหารไปวางบนเคาน์เตอร์ในห้องครัว แม่หันมาเลิกคิ้ว เธอต้องได้ยินเสียงอยู่แล้วว่าพ่อมา แต่ถึงอย่างนั้นก็หันกลับไปสนใจเส้นสปาเก็ตตี้ที่เพิ่งเทลงกระทะต่อ ฉันเลียริมฝีปากเล็กน้อยอย่างไม่ชอบใจ แต่เอาเถอะ ความรู้สึกไม่ดีจะต้องไม่เข้าครอบงำฉัน

           

“พ่อคะ มาช่วยหนูจัดอาหารหน่อยสิ”

           

พ่อที่เอาถุงกระดาษไปวางบนโต๊ะอาหารเดินเข้ามาหาฉัน ใบหน้าที่ยิ้มให้ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีเท่าที่ควร ลางสังหรณ์กำลังคืบคลานเข้ามา แต่ฉันก็เมินมันและหันมาสนใจอาหารในถุง

           

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลูกต้องสั่งมา ของโปรดของลูกยืนยันได้ดี”

           

“เพรท เดี๋ยวลูกเริ่มจัดโต๊ะอาหารได้เลยนะ” แม่หันมาบอกฉัน ฉันแค่ยักไหล่แล้วเดินเข้ามาด้านในเคาน์เตอร์ก่อนจะหยิบจานออกมา “ว่าแต่คุณเถอะ ติดงานขนาดนี้ ปลีกตัวออกมาได้ยังไงเนี่ย”

           

“วันของครอบครัวนี่” ฉันจ้องจานในมือ ได้ยินเสียงพ่อพูดเหมือนแค่นหัวเราะ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นอีก พ่อเลือกหันมาคุยกับฉันแทน “ลูกเริ่มชินกับอพาร์ตเม้นต์ใหม่หรือยัง ต้องการอะไรเพิ่มมั้ย”

           

ฉันเปิดกล่องไก่อบน้ำผึ้งแล้วแยกออกมาวางที่จานอย่างไม่รีบร้อน คำถามของพ่อฉันตอบออกไปแค่ “ไม่มีอะไรที่หนูอยากได้ตอนนี้” ในอพาร์ตเม้นต์ฉันมีทุกอย่างที่ต้องการแล้ว “...พ่อกับแม่อยากได้น้ำอะไร อ้อ แต่หนูขอเสนอน้ำส้ม”

           

“ผิดแล้ว ของพ่อต้องเป็นน้ำเปล่า” พ่อเอามือมาลูบหัวฉัน ความอบอุ่นจากฝ่ามือทำให้ฉันยิ้มก่อนจะหันไปมองแม่ที่ยักไหล่เหมือนยังไงก็ได้ ถ้าอย่างนั้นแม่จะได้น้ำส้มเหมือนฉันแน่นอน

           

ฉันหยิบจานอาหารที่มีสี่ห้าอย่างมาที่โต๊ะอาหารทรงกลมติดริมกระจก ถนนนิวยอร์กด้านล่างยังมีรถสวนกันไปมา พ่อช่วยฉันทยอยจัดจาน...ฉันนั่งหันข้างให้กระจก แสงแดดอ่อนๆทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่นานพ่อก็ตามมานั่งฝั่งขวา ส่วนแม่ที่ถือจานสปาเก็ตตี้มาวางบนโต๊ะก็นั่งถัดจากพ่ออีกที

           

“คืนนี้ลูกจะค้างที่นี่ใช่มั้ย” พ่อหันมาถามฉัน ในมือของเขาหยิบถุงกระดาษที่ถือมาก่อนหน้านั้นขึ้นมา

           

“นั่นเป็นสิ่งที่หนูตั้งใจไว้” คำถามของพ่อไม่ได้น่าสนเท่าถุงกระดาษที่กำลังถูกยื่นมาหรอก ฉันคิดเสมอว่าของขวัญเป็นสิ่งพิเศษ และเมื่อเปิดดู ฉันเชื่ออย่างนั้นจริงๆ “นาฬิกาฟอสซิลรุ่นที่เพิ่งออก พระเจ้า” เสียงพึมพำของฉันแฝงไปด้วยความตื่นเต้น ฉันรู้น่า แต่แบรนด์ฟอสซิลเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ฉันหลงใหล

           

ฉันเงยหน้ามองพ่อ ความรู้ใจของเขาช่างน่าขอบคุณ แต่ฉันคิดว่าตัวเองโตเกินกว่าจะกระโดดหอมแก้มเขาแล้ว...พ่อยิ้มบางๆแล้วบอกฉัน

           

“เอาของไปเก็บในห้องก่อนไป จากนั้นมื้อเย็นของเราจะได้เริ่มกันสักที”

           

ฉันขมวดคิ้ว น่าสงสัยว่าทำไมให้ฉันเอาไปเก็บตอนนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ขัดอะไร แต่เมื่อเดินขึ้นบันไดมาเกือบถึงชั้นสองฉันก็หยุดเดิน...การให้เอาของขึ้นมาเก็บก็เพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉันฟังสิ่งที่พ่อกำลังจะพูดกับแม่ ทำไมฉันจะเดาทางพ่อไม่ออกล่ะ ตอนนี้ฉันมีสองทางเลือก นั่นคือการมองข้ามแล้วนำของไปเก็บ หรือ ยืนนิ่งอยู่ตรงนี้เพื่อรับฟังสิ่งที่จะเกิด

           

วันนี้ทั้งวันฉันเลือกอย่างแรกมาตลอด และฉันควรเลือกต่อไป แต่ขากลับหยุดนิ่งไม่ฟังกันเลย

           

“ถึงงานจะเยอะ แต่อย่างน้อยผมก็พยายามหาเวลาให้ครอบครัวเสมอ แต่ดูคุณสิ...”

           

“กำลังเล่นบทนักสืบเหรอ” หลายชั่วโมงมานี้แม่อารมณ์ดี แต่น้ำเสียงแค่นหัวเราะเมื่อกี้บ่งบอกทุกอย่างได้...ฉันสั่งให้ตัวเองก้าวขาขึ้นด้านบน บทนักสืบของพ่อก็คงเหมือนทุกครั้ง เป็นคดีที่นำไปสู่การทะเลาะของสองสามีภารยาเกรย์

           

“ถ้าหมายถึงเรื่องที่คุณนอกใจ นั่นใช่”

           

ขาของฉันหยุดชะงัก มันฟังดูน่าเบื่อที่ต้องรู้สึกอึดอัดอีกครั้ง...ฉันรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่เพราะความลับนี้ยังไม่สร้างปัญหาให้ครอบครัว ฉันถึงย่ามใจมาตลอด...ฉันหันไปเกาะราวบันไดแล้วมองลงไปด้านล่าง แม่มีท่าทางตกใจที่พ่อรู้ เธอมองไปรอบๆเหมือนตั้งสติ และสายตานั้นก็มาหยุดอยู่ที่ฉัน

           

“เพรท” ถึงแม่จะพึมพำอย่างนั้น แต่พ่อดูไม่สนใจเท่าไร เรื่องตรงหน้าสำคัญกว่า “เอาล่ะ ปาสคาล เกรย์ ฉันคิดว่าคุณอยู่กับบทหนังมากเกินไปจนอาจเพี้ยน หรือจินตนาการไปเอง”

           

“ไม่แน่ เพื่อนผมที่เป็นเจ้าของโรงแรมบอกเอง เมื่ออาทิตย์ก่อนคุณอยู่กับไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่โรงแรมมันทั้งคืน” ฉันเลียริมฝีปากขณะค่อยๆก้าวลงบันได แต่สายตายังมองไปที่พ่อกับแม่...ใบหน้าของพ่อไม่แสดงถึงความเสียใจ สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นความสะใจที่หาเรื่องมาชนะอีกฝ่ายได้ “ยังจะปฏิเสธอีกเหรอ...”

           

“ไม่ ไม่” แม่พูดเสียงเด็ดขาด เธอกำลังพยายามตั้งสติ เหมือนฉันในตอนนี้ “นั่นเป็นอาทิตย์ก่อนฉันไปเม็กซิโก เชื่อสิ วันที่เพื่อนคุณเห็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพรทก็อยู่ในห้องนั้นกับฉัน”

           

พ่อทำหน้าไม่เชื่อ...ฉันที่เดินมาถึงโต๊ะอาหารมองหน้าพ่อ

           

“ลูกจะยืนยันอย่างนั้นมั้ย เพรท”

           

ฉันสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นแรง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดหลบสายตาพ่อ

 

“จริงค่ะ วันนั้นแม่นัดเพื่อนไว้ที่โรงแรม หนูที่ไปช็อปปิ้งกับแม่มาก่อนเลยตามไปด้วย”

         

พระเจ้า ฉันโกหกออกไปแล้ว

           

พ่อยังจ้องหน้าฉันอยู่ แปดสิบเปอร์เซ็นต์ฉันคิดว่าพ่อไม่เชื่อ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ภาวนา แค่แสร้งทำเป็นเชื่อก็ดีพอแล้ว...และน่าขอบคุณ พ่อตอบสนองความต้องการของฉัน

           

“เอาล่ะ พ่อขอโทษที่ทำให้เสียบรรยากาศ ลูกมานั่งกินต่อเถอะ” น้ำเสียงของพ่อเย็นชา คำว่าวันแห่งครอบครัวเหมือนเทปที่กรออยู่ในหัว ทำให้ฉันตัดสินใจนั่งลงที่เดิม...ไม่เกิดบทสนทนาใดบนโต๊ะอีก ฉันจ้องสปาเก็ตตี้ในจานเหมือนมันจะช่วยดูดฉันไปจากตรงนี้ได้ “ลูกแน่ใจใช่มั้ยว่าไม่อยากได้อะไรเพิ่ม” เหมือนพ่อกำลังเปลี่ยนเรื่อง หัวข้อเรื่องอพาร์ตเม้นต์ถูกยกขึ้นมาอีกครั้ง

           

“หนูหมายความตามนั้นจริงๆ อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้”

           

ฉันตอบโดยสนใจแค่สปาเก็ตตี้ตรงหน้า แต่เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่พ่อมองมา ฉันก็เบนหน้าออกไปนอกกระจกพลางถอนหายใจ รถแท็กซี่สี่เหลืองสองคันกำลังจอดติดกันอยู่ และบนทางเดิน ผู้คนส่วนใหญ่เดินอย่างรื่นรมย์ มากกว่าจะเร่งรีบเหมือนวันปกติ

           

ประมาณยี่สิบนาทีต่อมาการร่วมโต๊ะที่น่าอึดอัดก็จบลง ก่อนหน้านี้แม่ชวนฉันคุยเรื่องเรียนต่อบ้าง แม่พูดว่ายุโรปก็ดี ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่มีกะจิตกะใจสนใจนักหรอก...ที่แน่นอนที่สุด ยี่สิบนาทีนี้ไร้ซึ่งบทสนทนาระหว่างพ่อกับแม่

           

“เพรท ช่วยแม่ยกจานมาเก็บด้วย” แม่พูดแค่นั้นแล้วลุกเดินเข้าครัวไปก่อน ฉันหยิบจานและลุกขึ้น แต่ก็หยุดยืนนิ่งโดยไม่เดินไปตามที่แม่บอก

           

ตรงมุมโซฟา พ่อกำลังนั่งอ่านนิตยสารโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างอยู่ ฉันกลืนน้ำลาย...พ่อกับแม่รู้ว่าฉันรอคอยวันนี้ พวกเขาถึงยังไม่เดินออกไปจากเพนต์เฮ้าส์หลังทะเลาะกัน ฉันควรขอบคุณ แต่ในขณะเดียวกัน ฉันรู้สึกว่ามันเป็นคำที่พวกเขาไม่สมควรได้รับที่สุด...การย้ายไปอยู่อพาร์ตเม้นต์ไม่ใช่แค่การหนี ฉันแค่หวังว่าเมื่อกลับมาที่นี่อีกครั้ง ทุกอย่างจะเป็นปกติ แต่เห็นได้ชัดในวันนี้ว่าล้มเหลว

           

“เพรท แม่คิดว่าลูกใช้เวลาถือจานนั่นนานไปหน่อยนะ”

           

จานในมือถูกวางลงบนโต๊ะ ฉันยืนลังเลด้วยการนับหนึ่ง สอง สาม ก่อนจะก้าวขึ้นไปชั้นสอง เมื่อลงมาอีกครั้ง พ่อกับแม่มองฉันอย่างสงสัย

           

“หนูขึ้นไปเอากระเป๋าน่ะ บางทีกลับไปนอนที่อพาร์ตเม้นต์คงดีกว่า”

           

ฉันมองมือตัวเองที่ไม่มีของขวัญของพ่อกับแม่ถือไว้

           

“ลูกรัก แม่คิดว่า...” ลิฟต์ที่ฉันเรียกมาถึงพอดี ฉันเดินเข้าไปโดยไม่ฟังเสียงของแม่ต่อ เมื่อประตูลิฟต์ปิดลง ฉันสูดหายใจแล้วบอกว่าตัวเองทำถูกแล้ว...ใช่ ตอนนี้อพาร์ตเม้นต์เหมาะกับคำว่าบ้านมากกว่า

 

           

 

บนท้องถนนยามหกโมงเย็นไม่ใช่ความเงียบ นิวยอร์กไม่เคยมีสิ่งนั้น มีหลายครั้งที่ฉันหลงไปกับเสน่ห์ของเมืองนี้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้แน่ เสียงขบวนพาเหรดหรือเสียงสังสรรค์ไม่ทำให้ฉันรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปด้วยเลย ทั้งที่ความจริงฉันต้องการ

           

“ร้านตุ๊กตาแทร์ดี้ ส่วนลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์สำหรับช่วงนี้” ผู้ชายตัวผอม ผมสีทองเดินมาแจกใบปลิวให้ฉัน ฉันกระชากมันมาอย่างไม่สนใจ แต่ก็ได้ยินเสียงร่าเริงไล่หลังมา “ขอให้มีความสุขกับวันนี้นะครับ ร้านตุ๊กตาแทร์ดี้ยินดีต้อนรับเสมอ”

           

มีความสุข...ฉันแค่นหัวเราะเหมือนมันเป็นเรื่องตลกร้าย

           

ฉันอยากจะคิดว่าตัวเองกำลังอารมณ์เสีย แต่ต้องยอมรับว่าไม่ ฉันแค่รู้สึกแย่ต่างหาก มันอึดอัดเหมือนมีบางอย่างปะทุอยู่ในอก...การหาสิ่งบันเทิงทำเป็นข้อเสนอที่ยอดเยี่ยม แต่เมื่ออยู่ในอารมณ์นี้ ฉันกล้าพนันว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ไม่ต้องการขยับตัวไปไหนแน่ การอยู่ในที่เงียบๆคนเดียวต่างหากที่ยอดเยี่ยมกว่า

           

หัวสมองของฉันเลื่อนลอย ฉันไม่รู้ว่าพาตัวเองกลับมาถึงอพาร์ตเม้นต์ได้ยังไง...เมื่อเข้ามาด้านใน ฉันได้ยินเสียงชนแก้วและพูดคุยจากห้องฝั่งซ้าย ไม่ต้องเดาก็รู้ ห้องด้านล่างนี้เป็นของสเตซี่คนเดียว เธอคงกำลังอยู่กับครอบครัวหรือไม่ก็เพื่อน

           

ฉันเดินไปกดลิฟต์โดยพยายามไม่สนใจเสียงสังสรรค์นั้น และให้ตาย ลิฟต์ลงมาช้าเป็นบ้า

           

“มิสเกรย์” สเตซี่เปิดประตูออกมาทักฉัน ในมือของเธอมีแก้วไวน์อยู่ ใบหน้าของเธอไม่ได้เป็นมิตรเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พูดต่อราวกับมันเป็นธรรมเนียม “ขอให้มีความสุขในวันนี้นะ”

 

ฉัน-เกลียด-ประโยค-นี้! ระหว่างที่คิดอย่างนั้น ลิฟต์ที่เมื่อกี้ช้าจนน่ารำคาญก็เลื่อนลงมาถึงพอดี แน่นอนว่าฉันเดินเข้าไปโดยไม่ตอบสเตซี่สักคำ

           

เมื่อมาถึงห้องตัวเอง ฉันใช้คีการ์ดเปิดเข้าไปด้านในและเปิดไฟ อารมณ์แย่ๆของฉันเริ่มนิ่งลงแล้ว แต่ความอึดอัดยังแน่นอยู่ในอก...ฉันถอนหายใจ ใช้มือจับท้ายทอยตัวเองอย่างเลื่อนลอย วินาทีนั้นสิ่งหนึ่งลอยเข้ามาในหัวของฉัน

           

โคเคน...

           

ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย มันไม่ได้มีผลร้ายแรงขนาดนั้น อีกอย่างฉันก็ใช้ไม่มาก...ความคิดพวกนี้ผลักดันให้ฉันหยิบกระเป๋าใบเก่าที่ยังเก็บโคเคนไว้ออกมา ล่าสุดที่ฉันใช้คือตอนที่ไปผับกริจิโอ และเริ่มจากตอนนี้ ฉันคิดว่ามันจะเป็นเพื่อนฉันไปอีกนานทีเดียว

           

ฉันเดินไปทิ้งสะโพกพิงที่ขอบหน้าต่างแล้วเริ่มสูดผงสีขาวเข้าไป รู้สึกเหมือนเลือดในร่างกายตื่นตัวขึ้นมา ภาพในหัวของฉันราวกับลอยอยู่ในอากาศ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีภาพเหตุการณ์ในวันนี้แทรกเข้ามาในหัวเป็นระยะ สิ่งนั้นกระตุ้นให้ฉันสูดหายใจลึกกว่าเดิม

           

อ่า...ฉันถึงได้บอกไงว่าฉันรักมัน

           

อยู่ๆเสียงแตรรถจากถนนด้านล่างก็เรียกสติฉันกลับมา ดูเหมือนจะมีมอเตอร์ไซค์ตัดหน้ารถกระบะคันหนึ่ง ฉันไม่แน่ใจนัก เพราะสมองกำลังมึนงง...ฉันละสายตาออกมามองม้วนกระดาษข้างๆ ก่อนจะพบว่าฉันเสพมันไปสองม้วน รู้สึกเหมือนน้ำลายในคอเหนียวหนืด แต่ฉันก็พยายามไล่ความกังวลออกไป...มันไม่ได้มีผลร้ายแรง ฉันบอกตัวเองแบบนั้น

           

“อ่า” ความมึนงงยังคงหลงเหลืออยู่ในหัวของฉัน ฉันขมวดคิ้วก่อนจะหยิบโคเคนที่เหลือไปเก็บในลิ้นชัก ตอนนั้นเป็นจังหวะที่มือถือในกระเป๋าของฉันสั่น...ขอบคุณโคเคนที่ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเมื่อเห็นชื่อของคนโทรมา...พ่อ

           

ฉันไม่ได้กดรับเพราะยังไม่พร้อมจะคุยกับเขา ฉันแค่มองมันนิ่งเงียบไปเอง รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่มีสายต่อมา...จากนั้นฉันก็เดินเข้ามาที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ น้ำเย็นๆเรียกสติของฉันให้กลับมา

           

กริ๊ง

           

มีคนมาหาฉัน...ฉันใช้มือปาดน้ำออกจากหน้าพลางเดินไปที่ประตู เมื่อเปิดออกมาก็เห็นเคลวินยืนรออยู่ บนไหล่ของเขามีกระเป๋าสะพาย

           

“สเตซี่บอกฉันว่าเธอกลับมาแล้ว ฉันนึกว่าจะค้างกับพ่อแม่ซะอีก”

           

“...”

           

เคลวินเห็นฉันไม่ตอบ เขาทำสีหน้าแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ...ถ้าเขากำลังเดาว่าฉันทะเลาะกับที่บ้าน ฉันคิดว่าเขาเดาถูกทีเดียว...ฉันเลียริมฝีปากแล้วเปลี่ยนเรื่อง

           

“นายกลับมานานหรือยังล่ะ”

           

“ฉันมาถึงหน้าอพาร์ตเม้นต์เมื่อกี้นี้”  เขามองสีหน้าที่ฉันคิดว่ามันคงดูไม่ดีเท่าไรสักพัก ก่อนจะยิ้มออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “จะว่าอะไรมั้ย ถ้าฉันอยากขอบคุณพระเจ้าด้วยมื้อค่ำในห้องนี้”

           

ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก ฉันหมายถึงความรู้สึกตื้นตันที่เกิดขึ้นกะทันหัน มันน่าอายที่ต้องยอมรับ แต่ฉันรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ในตอนที่เคลวินเอื้อมมือมาดันไหล่ฉันให้กลับเข้ามาในห้อง หน้าอกของเขาแนบกับแผ่นหลังของฉัน มือบนไหล่ที่บีบลงมาทำให้รู้สึกอบอุ่น แต่ยังไม่เท่ากับคำพึมพำของเขา

           

“ไม่เป็นไรน่า”

           

ฉันกระพริบตาไล่น้ำตาที่คลออยู่ในเบ้า ฉันไม่ชอบเวลาตัวเองร้องไห้ที่สุด...เมื่อคิดได้อย่างนั้นก็บิดตัวออกจากมือของเคลวิน และหันหน้ามองเขา

           

“อย่าลืมนะว่าฉันกับนายทำอาหารไม่เป็น”

           

เคลวินแค่หัวเราะแล้วยกมือขึ้นชูให้ฉันดู ฉันมองเขาที่เดินไปสั่งอาหารอีกทาง...ความอึดอัดเบาลงไปยิ่งกว่าตอนเสพโคเคนซะอีก

           

ฉันพึมพำ

 

“ขอบคุณนะ...เค”

 

เคลวินหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ฉันมองแผ่นหลังเขาและภาวนาในใจด้วยประโยคที่ได้ยินบ่อยสุดในวันนี้...สุขสันต์วันขอบคุณพระเจ้า





................
................
ขอบคุณที่ชอบเรื่องนี้ และขอบคุณสำหรับคำติชมทั้งหลาย
ถึงจะผ่านมาแค่ 7 ตอน แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก 
ฮืออออ บ๊ายบายและขอบคุณอีกครั้งจ้า 55555

1 ความคิดเห็น

  • 1
  1. #1 (จากตอนที่ 7)
    2017-02-27 15:22:33
    อาทิตย์สุดท้ายแล้วววว
    พี่ชอบการโกหกของตอนนี้นะ ถ้าเกิดใส่มาตั้งแต่แรกและค่อยๆ ไล่ให้มันอินเท้นส์ขึ้นคงสนุกอ่ะ ทีนี้มันอยู่ที่การลำดับเรื่องแล้ว าษาการบรรยายดีขึ้นนะคะ แต่ก็ยังมีประโยคที่ไม่ธรรมชาติมากๆ หลายประโยคเลย เหมือนที่บอกอ่ะ พอมันพยายามฝรั่งมากเกินไปกลายเป็นอ่านแล้วไม่เข้าใจซะงั้น คำง่ายๆ ก็ควรจะเป็นคำง่ายๆ เหมือนที่พี่เคยพูดไปว่า ถ้าเราคิดคำในหัวเป็นาษาอังกฤษ เวลาเราแปลมาเราก็ต้องแปลมาให้เข้าใจได้ คือพี่เข้าใจจังหวะของการใช้บางประโยคนะ มันสวยกว่าจริงๆ แต่หลายประโยคก็ไม่จำเป็นมากๆ 

    รวมๆ แล้วตีมของเรื่องนี้ดี เป็นหนึ่งในตีมที่ดีที่สุดของการประกวดรอบนี้เลย เสียดายที่เริ่มเรื่องช้าไปหน่อย แล้วก็บรรยายแรกๆ ไม่เข้าใจเลย ตอนนี้พี่ว่าเราพัฒนามาดีขึ้นมากแล้ว ทำแบบนี้ต่อไปนะ เป็นกำลังใจให้จ้า
    #1
  • 1

แสดงความคิดเห็น