โพซิตรอน

[JLS07] Hey! Baby ตื๊อผมอีกนิดสิครับ ผมกำลังจะรับรักคุณ

เมื่อความโลกสวยของฉัน ทำให้ต้องถูกบอกเลิก แถมยังถูกแบล็คเมล์อีก วิธีเดียวที่จะแลกรูปแบล็คเมล์ได้ คือฉันต้องตามจีบหนุ่มฮอต ที่ดันเผลอไปอ้างว่าเป็นแฟน โอ้ย.. ทำไมฉันต้องมาตามตื๊อผู้ชายอย่างนายด้วยนะ

0%
VOTE
ตอนก่อนหน้า

ตอนที่ 7/7 :: เทศกาลดอกไม้ไฟ x ความรู้สึกที่ปรวนแปร

7

เทศกาลดอกไม้ไฟ x ความรู้สึกที่ปรวนแปร

 

           #ห้องเรียนรวมคณะมนุษยศาสตร์

ข้อตกลงของเรามันยังไม่จบนะ หวังว่าเธอคงจะยังไม่ลืมมัน

           ฉันได้รับข้อความจากเบอร์ปริศนาที่คาดเดาว่าน่าจะเป็นปีเตอร์ นี่ขนาดปาโทรศัพท์เขาทิ้งไปเมื่อวันก่อนแล้วยังจะอุตส่าห์จำเบอร์ฉันได้อีก ระหว่างคาบเรียนนั้นแทบจะไม่มีสมาธิโฟกัสกับสิ่งตรงหน้าเลย มือข้างหนึ่งหยิบปากกาขึ้นมาเคาะไปมาเบาๆ ในหัวพลันคิดถึงแต่เหตุการณ์เมื่อวันที่ไมเคิลขึ้นเสียงใส่ ตั้งแต่ตามวุ่นวายเขามาฉันไม่เคยเห็นเขาโกรธมากมายขนาดนี้มาก่อน แววตาที่สั่นไหวนั้นทำให้อดคิดไม่ได้ว่าคนในรูปสำคัญอะไรกับเขา

รูปใบนั้น มันเป็นรูปคู่ของไมเคิลที่ยืนเคียงข้างผู้หญิงคนหนึ่งในชุดนักเรียนปักอักษรย่อที่ใครเห็นก็รู้ทันทีว่าเป็นโรงเรียนชื่อดังที่มีค่าเทอมแพงหูฉี่ ทั้งคู่กำลังกอดคอกันอย่างสนิทสนม เจ้าหล่อนฉีกยิ้มกว้าง พวงแก้มขึ้นสีชมพูระเรื่อมีเปียสองข้างคลอเคลียอยู่บนบ่า

           หรือว่า...ผู้หญิงในรูปจะเป็นคนเดียวกับเจ้าของเสียงที่ฉันได้ยินตอนอยู่ที่คอนโดนะ เง้อ สมองฉันยิ่งมีน้อยๆ อยู่ ขี้เกียจคิดอะไรแล้ว T-T

           ระบบสั่นจากโทรศัพท์ทำงานขึ้นทำให้ฉันต้องสไลด์หน้าจอเพื่อเปิดดูอีกครั้ง ทันทีที่สายตาโฟกัสเข้ากับข้อความ มือข้างที่ถือปากกาอยู่ก็ปล่อยวางลงบนโต๊ะทันที

ฉันจะคอยจับตาดูเธอเอาไว้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ของที่ต้องการ

           “เฮ้!” เอ็มหันมาตีเข้าที่ต้นแขนเบาๆ จนเผลอสะดุ้งโหยง พอตั้งสติได้ก็พบว่าเพื่อนๆ หลายคนเริ่มทยอยกันออกจากห้องเรียนเพื่อเตรียมตัวไปพักกลางวันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเลิกคลาสแล้ว ฉันมัวแต่นั่งเหม่อคิดมากอะไรก็ไม่รู้ เลยไม่ได้สนใจเรียนเลยวันนี้ แต่ไม่เป็นไรหรอก...เดี๋ยวค่อยลอกเลกเชอร์จากเอ็มแล้วกัน ท่าทางยัยนั่นดูตั้งใจเรียนเชียว เห็นจดเนื้อหาบนสไลด์เต็มสมุดไปหมด

           “ตกใจหมด...”

           “ขวัญอ่อนอะไรขนาดนั้น นี่...ฉันมานั่งคิดดูๆ แล้วหลังจากที่ฟังแกเล่าเรื่องรูปนั้นมาเอ็มเปิดสมุดขึ้น ในนั้นปรากฏรอยขีดเขียนยึกยือจนอ่านแทบไม่ออก ไมเคิล...ปีเตอร์...เมล สามคนนี้จะต้องเกี่ยวข้องกันและมีเรื่องบาดหมางในอดีตแน่ๆ ส่วนรูปใบนั้นอาจจะเป็นตัวไขปริศนาของสำคัญที่ปีเตอร์ต้องการ

           เอิ่ม...ฉันขอถอนคำพูดเรื่องที่ยัยเอ็มตั้งใจเรียน =_=

เมื่อเห็นว่ามันสมองอันชาญฉลาดของเพื่อนสาวเริ่มทำงานจนฉันที่นั่งฟังอยู่เฉยๆ ต้องขมวดคิ้วทันทีเพราะคิดตามไม่ทัน นี่ไม่ได้โง่นะ แค่ความคิดมันสตาร์ทช้ากว่าชาวบ้านเค้าเฉยๆ =0=

ก็ยังงงๆ อยู่แฮะ สามคนนั้นเกี่ยวข้องกัน แล้วถ้ารูปใบนั้นเป็นปริศนาสำคัญจริงๆ ฉันจะรู้เรื่องรูปนั้นได้ยังไง

อืม...นี่แหละที่กำลังจะบอกเอ็มเงียบไปก่อนจะพูดต่อ แกต้องสนิทกับไมเคิลให้มากกว่านี้เพื่อล้วงความลับมัน เพราะฉะนั้น...แกต้องชวนเขาออกเดท!”

จะบ้าเหรอแก เขายังโกรธฉันเพราะเรื่องนั้นอยู่เลยนะ

เออว่ะ ฉันลืมไป...งั้นเราจะทำยังไงดีล่ะ

เสียงจ้อกแจ้กจอแจขัดบทสนทนาเราสองคนดังขึ้นมาจากนอกห้องเรียน ทำให้ฉันต้องหันไปมองด้วยความสนใจทันที เสียงวี๊ดว๊ายแบบนี้เผื่อมีลีมินโฮโผล่มา จะได้วิ่งไปขอลายเซ็นได้ทัน อ๊างงง >.<

ทว่าคนที่โผล่เข้ามาดันเป็นคนที่ฉันเพิ่งจะคิดมากเรื่องเขาไปเมื่อครู่

ไมเคิล

เขาหยุดลงหน้าประตูก่อนจะกวาดตามองไปรอบห้อง ไม่นาน...นัยน์ตานั้นก็หยุดลงที่ฉันก่อนจะก้าวเข้ามาอย่างไม่รีรอ ท่ามกลางผู้หญิงหลายคนที่มองตามหลังเขาด้วยตาละห้อย

กึก...สองเท้าหยุดลงตรงหน้าโต๊ะฉัน ทำให้เป็นจุดสนใจของเพื่อนหลายคนในห้องทันที

ว่าแต่...เขารู้ได้ยังไงว่าฉันเรียนห้องนี้

บิก้า...” ด้วยท่าทีอ้ำอึ้งนั้นทำให้ฉันเงยหน้าสบตาคนตรงหน้าอย่างตั้งใจฟัง เอ่อ...ขอโทษที่พูดไม่ดีใส่วันนั้น เธอไม่ได้โกรธฉันใช่มั้ย?”

เขามาขอโทษฉัน...T^T

มะ..ไม่เป็นไร ฉันก็เผลอทำของๆ นายหล่นด้วยเหมื---”

ยังไม่ทันจะพูดได้จบประโยคก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างกระทบข้างเอวเป็นสัญญาณบอกให้หยุด พอหันไปก็เห็นว่าเป็นเอ็มที่กำลังกระทุ้งข้อศอกเข้ามา

ให้อภัยเขาง่ายจังวะ รีบพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสสิเอ็มกระซิบลงข้างหู ส่วนฉันที่ได้ฟังต้องหันไปทำหน้างงใส่ทันที โอ๊ย! ก็แบบ...บอกว่าถ้าอยากให้ฉันหายโกรธ นายต้องไปเดทกับฉัน อะไรแบบนี้ เร็วๆ รีบชวนเข้าสิ โอกาสมาถึงแล้ว =_=”

จะบ้าเหรอแก!” ฉันแหวใส่เบาๆ จนไมเคิลนั้นมองการกระทำของเราสองคนที่กำลังกระซิบกระซาบกันอย่างสงสัย

จะให้พูดออกไปว่ายังไงล่ะ TOT นายๆ ไปเดทกัน แบบนี้เหรอ โอ๊ย!

ไปเดทกันมั้ย’ ‘ไปเดทกัน แง...

เร็วสิ!” เอ็มกระทุ้งข้อศอกใส่เอวอีกครั้ง จนฉันที่กำลังนึกคำพูดของเอ็มวนไปมาอยู่ในความคิดเผลอโพล่งออกไปทันทีด้วยความตกใจ

ไปเดทกัน!!”

อะ..โอ๊ย! กว่าจะตั้งสติได้ คำพูดพวกนั้นก็ไหลออกไปหมดแล้ว T-T

คนตรงหน้ามีท่าทีแน่นิ่งไปเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะกระตุกยิ้มขึ้นจนฉันต้องรีบหลุบตาลงต่ำ ส่วนยัยเอ็มนั้นยิ้มกว้างจนปากแทบจะฉีกไปถึงรูหูแล้ว =_=

เธอว่ายังไงนะ แอบถือโอกาสชวนฉันไปเดทอย่างนั้นเหรอ?”

เอ่อ...ไม่ใช่---”

ใช่!” เอ็มพูดแทรกขึ้นจนฉันต้องหันไปถลึงตาใส่

เฮ้ยแก!”

ถ้าอยากให้ยัยบิก้ารับคำขอโทษ นายก็ต้องยอมรับข้อเสนอนี้เอ็มจัดการพูดให้เสร็จสรรพจนฉันต้องรีบก้มหน้าลงด้วยความที่ทำตัวไม่ถูก ออกเดทที่งานเทศกาลดอกไม้ไฟประจำปี

โอ๊ย...มันช่างประจวบเหมาะอะไรเบอร์นี้ วันนี้ดันมีงานดอกไม้ไฟอะไรนั่นอีกด้วย นั่นมันเหมือนงานรวมคู่รักเลยนะ (ฉันจำได้ เพราะปีที่แล้วเคยไปมากับปีเตอร์ =_=) คนที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน ให้ไปเที่ยวงานคู่รักหวานชื่นแบบนั้นมันคงจะกระอักกระอ่วนพอตัวเลยทีเดียว TwT

แต่เขาคงไม่ไปหรอก...

(. . )

ตกลงอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น

ฮะ?”

ฉันจะไปเดทกับเธอ หลังเลิกคลาสสุดท้าย เจอกันหกโมงเย็นที่ใต้ตึกก็แล้วกัน

เขาตอบตกลงอย่างงั้นเหรอ...

 

-Michael’s part-

            จากวันที่เผลอขึ้นเสียงใส่ยัยเมล็ดกาแฟไปในวันนั้นมันทำให้รู้สึกหงุดหงิดตัวเองอย่างบอกไม่ถูกที่เผลอแสดงด้านแย่ๆ ออกไป อยู่ดีๆ ก็พลันนึกถึงแต่ว่ายัยนั่นจะคิดมากหรือเปล่า เธอจะโกรธผมมั้ย

สับสนตัวเองชะมัด ทั้งๆ ที่อุตส่าห์พาตัวเองออกมาอยู่ในจุดที่ไม่ต้องแคร์ความรู้สึกใครแล้วนะ เหอะ! ที่ผมเลือกจะเป็นแบบนั้นก็เพราะต้องการก่อกำแพงหนาๆ ไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองกลับไปยืนอยู่จุดเดิมเหมือนคนโง่ยังไงล่ะ

แต่ที่คิดมากก็เพราะกลัวว่าคำพูดที่มาจากอารมณ์ชั่ววูบจะเผลอไปทำร้ายเธอเข้าเหมือนกับคนๆ หนึ่ง เออ...ช่างมันเถอะ!

ด้วยความที่คิดไม่ตกนั้น จึงต้องยอมลดฟอร์มตัวเองแบกหน้าหล่อๆ มาขอโทษถึงที่ แถมยังมาติดกับดักแผนการชวนเดทของยัยสองคนนั้นอีก จริงๆ แค่ชวนธรรมดาผมก็ไปแล้วครับ ถ้าสวยถูกใจพอ หึหึ ยัยนั่นทำเป็นใจกล้าชวนผู้ชายออกเดท ไวไฟจริงๆ เลยนะเห็นหน้าใสซื่อแบบนี้ แต่ไม่เป็นไรหรอก...ลองควงยัยนั่นดูสักวันก็ได้ ยังไงมันก็เป็นสไตล์ผมอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดมากเรื่องเก่าๆ

อ้อ...เลือกชวนเดทได้ถูกวันด้วยนะ มาชวนไปงานเทศกาลดอกไม้ไฟประจำปีซึ่งมีแค่ปีละครั้งด้วย ร้ายจริงๆ

จากที่สังเกตมา ยัยอราบิก้าอะไรนั่นชอบมีท่าทีแปลกๆ ทำตัวอย่างกับคนมีแผนการอะไรในใจ มาประกาศอย่างชัดเจนว่าจะจีบผม แต่เวลาหยอกเย้าแกล้งกลับทีไรดันหน้าเสียกลัวเข้าทุกที หึหึ ไม่แน่จริงนี่หว่า...จริงๆ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นที่เข้าหาผมก่อนนี่ไม่รอดไปนานแล้ว แต่สำหรับยัยนั่นเก็บไว้แกล้งเล่นแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน

ผมกลัวอย่างเดียวว่า ลูกไก่อย่างเธอจะโดนเสืออย่างผมขย้ำตายก่อนไหม นี่สิ

ยิ่งเวลาเห็นยัยนั่นโดนปีเตอร์ตามคุกคาม ไม่สิ...เหมือนจะมีปากเสียงกันจนใช้ความรุนแรง มันทำให้รู้สึกตงิดๆ ใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับสองคนนั้นมีซัมติงอะไรกันแล้วมาลากผมเข้าไปเอี่ยวด้วยอย่างนั้นแหละ ไหนจะคำพูดแปลกๆ ของปีเตอร์ด้วยอีก

เพราะผมมั่นใจว่าส่วนตัวไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไรกับหมอนั่นอย่างแน่นอน

           ส่วนที่วันนี้ตัดสินใจมาขอโทษ ก็เพราะเวลาที่เผลอนึกถึงใบหน้าใสซื่อทำท่าจะเบะปากร้องไห้ในวันนั้นทีไรแล้วมันอดคิดมากไม่ได้ทุกที อีกอย่าง...เธอก็คงไม่ได้ตั้งใจที่จะทำกล่องรูปนั้นตกลงมาหรอก มันคงจะเป็นเพราะผมหัวเสียกับคนที่ไม่อยากเจอนั่นด้วย เพราะอยู่ดีๆ ยัยนั่นก็กลับมาจากต่างประเทศแล้วโผล่มาเซอร์ไพรส์กันถึงห้อง ทั้งๆ ที่อุตส่าห์พาตัวเองออกมาจากพื้นที่ความทรงจำเก่าๆ พวกนั้นแล้วแท้ๆ

           แล้วจะไปคิดถึงเธอทำไมเนี่ย มันยิ่งทำให้ภาพในอดีตฉายเข้ามาในจิตใจผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจริงๆ

 

           #โรงเรียนมัธยมปลาย

         “เมล ฉันหวงเธอแทบบ้า เธอเลิกทำตัวน่ารักต่อหน้าคนอื่นได้แล้ว

         “คิกๆๆ นายก็อย่าขี้หึงนักสิ

         “แฟนฉันน่ารักขนาดนี้ ฉันไม่ยอมให้ใครมามองหรอก

         “นายก็เกินไปจริงๆ หวงฉันแม้กระทั่งพี่ชายฉันเอง

         ผมเคยรักผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ เมล

ผมมั่นใจว่านี่มันไม่ใช่ความรักฉาบฉวยแบบวัยรุ่น มันไม่ใช่ความหลง แต่กลับสัมผัสได้ว่านี่คือความรักจริงๆ แม้ว่ามันจะดูแก่แดดเกินวัยไปสักหน่อย

เท่าที่จำความได้...เราสองคนเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากเนื่องจากบ้านของเราอยู่ใกล้กัน เธอมักจะงอแงเสมอเวลาพี่ชายต้องบินกลับโรงเรียนที่อเมริกา มีแค่เธอเท่านั้นที่ต้องเรียนที่ไทย เพราะสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงกับโรคประจำตัวในตอนนั้น จึงทำให้ไม่สามารถไปไหนมาไหนไกลๆ ได้

         ผมก็เลยเปรียบเสมือนเพื่อนเล่นที่ดีต่อเธอมาตลอด เอาจริงๆ นี่ก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นมันเริ่มก่อตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกที...ผมก็อยากจะดูแลและจับมือเธอไว้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนไม่อยากปล่อยมือนี้ให้ใคร

         ตั้งแต่เด็กจนโต เธอเหมือนเพื่อนที่รู้ใจที่สุดของผม เราสองคนจึงมีความทรงจำดีๆ ร่วมกันมากมาย และด้วยความที่ผมเป็นที่นิยมในโรงเรียน จึงชอบมีคนเข้าหาอยู่บ่อยๆ แม้ว่าจะมีคนคลั่งไคล้มากมายแค่ไหนก็ตาม แต่ผมกลับไม่เคยมองคนอื่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

         ผมยังคงมั่นคงกับความรู้สึกตัวเองอยู่เสมอ

         ในตอนนั้น...อาจจะเปรียบเธอเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้

         ตั้งแต่วันที่เธอตัดสินใจคบกับผม ทุกอย่างก้าวเดินไปได้สวยอย่างที่คิดไว้ และมันคงจะเป็นเช่นนั้นต่อไป ถ้าหากไม่เกิดเรื่องขึ้นมาซะก่อน

เมื่อผมจับได้ว่าเธอมีคนอื่น

         มันทำให้ได้รู้ความจริงว่าที่ผ่านมาเมลไม่เคยจริงใจกับผมเลยแม้แต่น้อย เธอเห็นแค่ว่าผมโด่งดังเป็นที่กล่าวถึง และด้วยความที่บ้านเราอยู่ใกล้กัน จึงเกิดเป็นกระแสคู่จิ้นขึ้นในตอนนั้น เธอตกลงคบกับผมเพื่ออยากให้เพื่อนคนอื่นอิจฉาที่ได้ควงกับหนุ่มฮอตที่สุดในโรงเรียน และทำให้มีคนจับตาดูเธอมากขึ้น

เมลเป็นคนสวยที่ต้องการจะเป็นที่หนึ่งในโรงเรียน ไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งเหล่านี้ที่เธอปรารถนาจะทำลายความรู้สึกของผมได้พังอย่างยับเยิน

และในวันครบรอบหนึ่งปีของเราสองคนก่อนที่จะจบม.6 เป็นวันที่ตอกย้ำความรู้สึกเจ็บปวดของผมจนไม่อยากให้อภัยมันเลยจริงๆ

         “เมล เมื่อไหร่เธอจะเลิกกับไอ้หมอนั่นสักทีร่างสูงเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าด้วยท่าทีหงุดหงิด แต่ก็ต้องคลายลงเมื่อมือเล็กยื่นเข้าไปคลอเคลียที่ข้างแก้ม

         ฝ่ามือหนานั้นกุมเข้าที่มือเล็กอย่างรวดเร็วพลางดึงมาจุมพิตเบาๆ จนเจ้าตัวบิดอายด้วยความขวยเขิน

         “ไม่เอาน่า...นายก็รู้ว่าฉันแกล้งคบไมเคิลทำไม เขาทำให้ฉันเป็นที่จับตามองในโรงเรียนได้นะ ตำแหน่งดรัมเมเยอร์โรงเรียนก็คงไม่พ้นที่จะเป็นของฉัน ไหนจะดาวโรงเรียนที่แอบได้ยินพวกรุ่นน้องแอบซุบซิบกันอีก

         “ไอ้หมอนั่นมันจะรู้มั้ยนะ ว่าโดนเธอหลอกใช้เป็นสะพาน

         “อย่าพูดอย่างนั้นสิ คิกๆๆ

         เจ้าหล่อนโน้มคอร่างสูงลงมาสัมผัสที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา ก่อนจะกดริมฝีปากหยักลึกลงไปแนบชิดสนิท คนที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ข้างหลังอย่างผม รู้สึกได้ถึงร่างกายที่กำลังสั่นด้วยความโกรธ ทำได้เพียงกำมือตัวเองให้แน่นเพื่อข่มอารมณ์กับภาพตรงหน้าที่ปรากฏการกระทำเหล่านั้นอย่างชัดเจน แม้จะมองไม่เห็นหน้าอีกฝ่ายก็ตาม

         และหลังจากนั้นมา ผมก็ไม่เคยจริงจังกับผู้หญิงคนไหนอีกเลย

         เพราะความจริงใจที่ถูกทำร้ายด้วยความหลอกลวงนี่มันแย่จริงๆ

 

………………………………………………..

 

-Come back to Arabica’s part-

กว่าคลาสเรียนสุดท้ายจะจบลงก็พาเวลาล่วงเลยไปจนเข็มยาวและเข็มสั้นของนาฬิกาบนผนังชี้ไปที่เลขห้า ตอนนี้หลายคนเริ่มเก็บของทยอยออกจากห้องไป แต่ยังมีบ้างบางกลุ่มที่ยังจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่

นี่...วันนี้แกไปเดทกับไมเคิลก็อย่าลืมรวบหัวรวบหางเข้าเลยซะล่ะเอ็มว่าขณะที่กำลังเก็บข้าวของบนโต๊ะลงกระเป๋า ก่อนจะคว้ารายงานวิชาเสรีขึ้นมาเพื่อเตรียมเอาไปส่งยังห้องพักอาจารย์ ริมฝีปากนั้นฉีกยิ้มกว้างกลับมาจนฉันต้องยกมือขึ้นตีแขนยัยนั่นเบาๆ

รวบหัวรวบหางบ้าอะไรล่ะ! ไมเคิลไม่ได้มีหางซะหน่อย =_=”

ทำเป็นตลกกลบเกลื่อนนะยะ อ้อ...อย่าลืมแอบจุ๊บๆ ด้วยนะปากอวบอิ่มพยายามทำปากจู๋จนฉันที่กำลังเก็บปากกาลงกระเป๋าอยู่ต้องหยิบมันขึ้นมาปาใส่คนทะเล้นตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้ทันที

เสียใจด้วยนะ ไม่โดน ฮ่าๆๆ

ในมือคว้าปากกาเคมีแท่งใหญ่ขึ้นมาด้ามหนึ่งหมายเล็งหัวยัยเพื่อนตัวดีที่กำลังเคลื่อนตัวออกไปจากโต๊ะเลกเชอร์ ยัยนั่นยังคงทำปากจุ๊บๆ อยู่อย่างนั้น ทำให้มือข้างที่จับปากกาอยู่ จัดการปาใส่เพื่อนสนิทอย่างเต็มแรงเมื่อถูกล้อ แต่ยัยเอ็มไปฝึกวิทยายุทธ์การหลบหลีกมาจากไหนไม่รู้ ดันสามารถหลบปากกาเคมีแท่งใหญ่ของฉันได้ ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบวิ่งออกไปนอกห้องพร้อมกับเล่มรายงาน

ทิศทางของปากกาที่ถูกส่งออกไปอย่างเต็มเหนี่ยวเมื่อครู่พุ่งเข้าไปยังกลุ่มสตรีที่เกลียดความโลกสวยฉันที่โต๊ะด้านหน้าห้องทันที (ส่วนฉันนั่งอยู่กลางห้อง)

และเจ้าหล่อนกำลังเติมอายไลเนอร์ที่เปลือกตาอยู่อย่างเพลิดเพลิน

           ปั่ก!

           แท่งปากกาโดนเข้าที่ข้อมือเต็มแรงสูบ

           หวืดดดด~

           “กะ..กรี๊ดดดดด! ใคร!! ใครปาปากกามาใส่ฉันบิว เพื่อนร่วมคลาสกระโดดเหยงๆ โวยวายอย่างเอาเรื่อง เมื่อเส้นอายไลเนอร์คุณเธอยาวไปถึงหางคิ้วด้วยฝีมือฉัน มองจากมุมนี้ก็ดูสวยดีนะ มันดูเป็นมิติใหม่แห่งวงการแฟชั่นดี (‘ ‘ )

ถ้ายัยนั่นรู้ว่าเป็นฝีมือใคร ฉันต้องตายแน่ๆ =_=;; เอ่อ...ถ้าหากนอนฟุบลงไปบนโต๊ะแบบเงียบๆ แกล้งตายเหมือนเจอหมี ฉันจะรอดใช่มั้ย ToT

ปากกามีชื่อติดไว้ด้วยนี่เสียงเพื่อนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาทำให้ฉันที่กำลังนอนแกล้งตายอยู่เผลอสะดุ้งขึ้นทันที

ตายแล้วบิก้า! ใครสั่งใครสอนให้ติดชื่อตัวเองไว้ที่เครื่องเขียน นี่ไม่ใช่เด็กอนุบาลที่ต้องกลัวเพื่อนมาขโมยดินสอแล้วนะ ฉันแค่เห็นว่า...สติกเกอร์รูปหมีพูห์ที่สั่งทำชื่อตัวเองได้มันน่ารักดี ก็เลยทำมาติดยกเซตเลย (. . ) ไม่คิดว่าความน่ารักในวันนั้นจะนำพาความหายนะมาให้ในวันนี้ TOT

           “เออใช่ๆๆ ไหนดูซิ...ว่าของใครฉันได้ยินเสียงเพื่อนๆ มะรุมมะตุ้มกันใหญ่เพื่อที่จะอ่านชื่อบนปากกาแท่งนั้น

           “บิก้า! ของยัยเฉิ่มนี่สิ้นสุดความสงสัย บิวก็ถือปากกาแท่งนั้นเดินพุ่งตรงมาหาเจ้าของมันทันที ฉันที่ฟุบหน้าแนบโต๊ะ กำลังบีบนิ้วมือทั้งสิบอย่างใช้ความคิด ใจเต้นระส่ำเมื่อฝีเท้าขยับเข้ามาใกล้

สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ...ฉันควรปฏิเสธ!

เอ่อ...ไม่ใช่ของฉันนะ นี่มันเขียนว่าปิก้า ไม่ใช่ บิก้า ซะหน่อยหลังจากเงยหน้าขึ้นมาก็รีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

หนอยยยย! ยังจะมาโกหกอีกเหรอ ยัยเฉิ่ม อ๋อ...ไม่สิ เดี๋ยวนี้ไม่เฉิ่มแล้ว เพราะเคยถูกผู้ชายทิ้งมาด้วยเหตุผลทั้งเฉิ่มทั้งโง่ ฮ่าๆๆเจ้าหล่อนหัวเราะอย่างสะใจ เพราะแต่ก่อนยัยนี่ก็เป็นลัทธิบูชาปีเตอร์และผู้ชายหล่อ ยิ่งพอรู้ว่าฉันกับปีเตอร์เลิกกันแล้ว ก็เลยได้ใจใหญ่ เวลาได้ยินคำพูดแบบนี้ทีไรมันทำให้รู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาทุกทีเลยจริงๆ

           “ดีแต่ทับถมคนอื่นไปวันๆ สนุกนักหรือไงฉันลุกขึ้นยืนเผชิญหน้าอย่างไม่เกรงกลัว เอาสิ! ถ้าเกิดฮึดสู้พวกเธอบ้างขึ้นมาจะเป็นยังไงนะ

คิดภาพไม่ออกเลยจริงๆ ฮืออออ ToT

           “เดี๋ยวนี้ปากเก่งขึ้นเหรอ แม่โลกสวย หึ

           “เอ่อ...ฉะ..ฉันแค่จะขอปากกาคืนจากที่ใจกล้าในตอนแรกก็ต้องจบลง มือสองข้างกำแน่นเพื่อกลบความประหม่าของตัวเอง ในขณะที่ฝ่ามือนั้นก็เริ่มมีเหงื่อผุดออกมาจนรู้สึกชื้นไปหมด =_=;;

           “พวกแก จับมันไว้!”

ผู้เสียหายจากพลังอายไลเนอร์ที่ทำลายล้างเปลือกตาออกคำสั่งให้เหล่าลูกสมุนพุ่งเข้ามาจับตัว เมื่อเห็นท่าไม่ค่อยดี ฉันเลยผลักโต๊ะเลกเชอร์เอ็มออกไปกันเอาไว้ก่อนจะพาตัวเองวิ่งไปยังหลังห้อง เพื่อนร่วมคลาสหลายคนมองตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาขวาง เพราะแอบเกรงกลัวพวกยัยบิวที่มีนิสัยไม่ยอมใคร และทำตัวเป็นใหญ่ที่สุดในห้องนี้  (ทำอย่างกับแก๊งมาเฟีย)

           “ยัยเอ๊มมมมม ช่วยด้วยยยยฉันส่งเสียงขอความช่วยเหลือขึ้นทันทีเมื่อมือข้างหนึ่งถูกจับไว้โดยใครสักคนที่ฉันไม่มีเวลาพิจารณาในการนึกชื่อ

           “แกเสร็จฉันแน่!”

           “กรี๊ดดดด พวกเธออย่าทำแบบนี้กับฉันเลย เราเป็นเพื่อนกันนะ T^T”

           “ฉันไม่เคยมีเพื่อนเฉิ่มเบ๊อะอย่างแกข้อมือทั้งสองข้างถูกล็อกฝังแน่นบนผนังจนไม่สามารถขยับไปไหนได้ ฮือ...ฉันกำลังจะโดนฆาตกรรมแล้วใช่ม้ายยยย TOT

           “อย่าทำอะไรฉันเลย ToT”

           “ดูรอยที่แกทำไว้นี่! แกทำให้หน้าฉันต้องเปื้อน! ที่เช็ดเครื่องสำอางดีๆ ฉันก็ไม่ได้มันพกมา นี่ถ้าใช้น้ำเปล่าถูออก หน้าฉันก็จะเกิดรอยเหี่ยวย่น สุดท้ายก็ต้องไปเปลืองเงินฉีดโบท็อกซ์อีก คอร์ดหนึ่งมันแพงแสนแพงแทบกระอักเลือดเลยนะรู้มั้ย!!”

จากที่ฟังบิวพูดมา ทำไมมันแลดูยิ่งใหญ่จังเลยอ่ะ แค่ล้างรอยเปื้อนบนหน้าเองนะ =O=!!

           “ฉันขอโต๊ดดดดด T/\T”

           “ฉันแอบได้ยินว่ายัยนี่จะไปเดทกับไมเคิลด้วยแหละเพื่อนอีกคนก่อหวอดขึ้นมาสมทบทันที

           “หนอย...ตามแต่ผู้ชายหล่อนะแก หลังจากปีเตอร์ก็ยังจะเอาไมเคิลอีกเหรอ เพราะฉันนั้น...แกจงไปเดทด้วยความอับอายซะเถอะ!”

           “กรี๊ดดดดดดดดดดด

           บิวเปิดปอกปากกาเคมีสีดำ (แท่งที่ฉันปาไป) โยนทิ้งอย่างไม่รีรอ มือข้างหนึ่งยกขึ้นจับเข้าที่คางฉันไว้อย่างถนัดมือ ก่อนที่ใบหน้าจะได้สัมผัสถึงความเย็นของหมึกที่ถูกละเลงลงมาด้วยความรัก (?)

           “บิก้า! รีบเก็บของลงไป--- เหวอออออ OoO!” เอ็มที่เพิ่งเข้าห้องเรียนมา พอเห็นฉันที่กำลังโดนรุมอย่างป่าเถื่อนก็รีบวิ่งเข้ามาผลักพวกกลุ่มบิวออกทันที ทำบ้าอะไรวะ อยากตายเหรอ!”

           “หึหึ ฝากดูแลเพื่อนรักเธอด้วยก็แล้วกันนะบิวหัวเราะอย่างสะใจก่อนจะพาพรรคพวกถอยทัพกันออกไป ทิ้งไว้เพียงฉันที่นั่งแหมะอยู่บนพื้นหลังจากโดนรุมสกรัมด้วยปากกา

           “บิก้า เอ่อแกโอเคหรือเปล่าวะเอ็มถามด้วยความกระอักกระอ่วนเมื่อจดจ้องมายังใบหน้าฉัน

           “ไม่เป็นไรแก ว่าแต่...หน้าฉันไม่ได้เปื้อนมากใช่มั้ย?” ฉันพยายามพูดขึ้นอย่างใจเย็นแม้ในใจจะร้องไห้ไปแล้วสามรอบ พลางยันตัวเองให้ลุกขึ้นก่อนจะปัดฝุ่นบนกระโปรงพลีสให้เรียบร้อย

แกดูเอาเองดีกว่า

กระจกใบเล็กถูกหยิบยื่นส่งมาให้แทนคำตอบ เมื่อเงาในกระจกสะท้อนภาพออกมา นัยน์ตานั้นก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ มันเป็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีใบหน้าเหลอหลา รอบดวงตาทั้งสองข้างปรากฏรอยหมึกจากปากกาเคมีสีดำวงรอบไว้

            นี่ฉันเป็นญาติกับช่วงช่วงหลินฮุ่ยหรือเปล่าาาาา T0T

 

หลังจากที่พยายามล้างรอยอัปยศนั้นด้วยน้ำเปล่าไปถึงสามรอบกลับไม่เป็นผล เอ่อ...รอยหมึกนั้นจางลงไปนิดหน่อย ย้ำ! ว่านิดหน่อยจริงๆ ช่างโชคร้ายที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ตึกคณะยังไม่มีของที่ต้องการ ไม่ว่าจะกระดาษทิชชู่เปียกหรือที่เช็ดเครื่องสำอางนั้นบังเอิญหมดเกลี้ยง อะไรจะขายดิบขายดีขนาดนั้น =_=

ฉันนั่งกอดเข่าอยู่ใต้ผ้าคลุมผืนสีชมพูหวานแหววของเอ็มที่ถูกคลุมลงมาตั้งแต่ศีรษะจนถึงเอว ระหว่างรอไมเคิลตามนัดนั้น ในใจกลับคิดไม่ตก ริมฝีปากล่างถูกขบกัดด้วยความวิตกกังวลจนรู้สึกว่ามันแทบจะห้อเลือดไปหมด

เอาผ้าคลุมล่องหนมั้ย?” เอ็มถามขึ้นอย่างติดตลก

แกมีด้วยเหรอ ฉันยืมใช้มันหน่อยสิปากตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไรทำให้คนข้างๆ ต้องหันมาโบกหัวทันที

มุกมั้ยล่ะ! =_= อันนั้นมันอยู่ในแฮรี่พอตเตอร์

ฉันเบะปากทันทีเมื่อเสียรู้ยัยเพื่อนตัวดีนี่อีกครั้ง เวลากำลังเครียดมันมักจะคิดอะไรไม่ค่อยทัน ใครว่าอะไรก็เออออไปตามเขาหมด มีใครเป็นแบบฉันบ้างไหมอ่ะ =_=;;

จะให้ยกเลิกนัดครั้งนี้ก็คงไม่ได้ด้วย เพราะไมเคิลเคยบอกไว้ว่าเขาเกลียดคนโกหก แต่จะให้ฉันไปเดททั้งๆ ที่มีรอยปากกาขนาดใหญ่วงอยู่รอบตานี่ก็แย่เหมือนกันนะ เดทแรกของฉันนนนนน TwT

ใส่แว่นไว้สิเอ็มหยิบแว่นกันแดดของตัวเองที่อยู่ในกระเป๋าส่งให้ ฉันรีบรับมันมาใส่เข้าเพื่อปิดบังรอยอุบาทว์นั้นทันที เออ...ไปงานเทศกาลดอกไม้ไฟ มันมืดๆ ไม่มีใครสังเกตรอยบนหน้าแกหรอก

ฉันใส่แว่นดำไปดูดอกไม้ไฟมันจะไม่แปลกเหรอแก

แกยังจะมีหน้าถามอีกเนอะ =_= หรือว่าแกจะยกเลิกล่ะ

ยกเลิกไม่ได้หรอก ฉันไม่อยากให้เขาเกลียดฉัน

แต่อย่าลืมจุดประสงค์หลักของเดทนี้ แกต้องเนียนๆ แอบถามเรื่องรูปนั้นด้วยนะเอ็มกำชับอีกครั้ง

ไม่นาน...บุคคลที่รอคอยก็มาถึง ซึ่งตัวเลขบนโทรศัพท์ขยับเป็นเวลาหกโมงตรงพอดิบพอดีตามเวลานัดหมายเป๊ะ! เอ็มกระซิบอวยพรให้ฉันโชคดีก่อนที่จะขอตัวแยกออกไป ทิ้งไว้เพียงความงุนงงของไมเคิลที่ปรากฏอยู่เต็มสีหน้าเมื่อเห็นสภาพฉันเสมือนกับผู้ก่อการร้าย

เฮ้! นี่บิก้าไง คนดีคนเดิม เพิ่มเติมคือมิดชิดขึ้น =O=

ยัยเมล็ดกาแฟ แต่งตัวอะไรของเธอ จะแฝงตัวไปวางคาร์บอมบ์หรือไง =_=;;”

มะ..ไม่ใช่นะ คือฉันเห็นว่าอากาศมันเย็นๆ ก็เลยหาผ้ามาคลุมกันลมสักหน่อย

ผ้าคลุมสีชมพูลายดอกชบาด้วยนะ TOT

แล้วนั่นจะใส่แว่นดำทำไม เราจะไปงานเทศกาลดอกไม้ไฟกันไม่ใช่เหรอ

อ้อ...อยากใส่เท่ๆ น่ะ นี่แฟชั่นยุคเก้าศูนย์เลยนะ (‘ ‘ )”

เก้าศูนย์อะไรของเธอยัยเพี้ยน

ไมเคิลยื่นมือเข้ามาหมายจะดึงแว่นกันแดดออกจากใบหน้าทำให้ฉันเผลอยกมือขึ้นปัดการกระทำนั้นทันที เขาชะงักด้วยความแปลกใจแต่ก็ไม่ถามอะไรต่อ เอ่อ...อย่าพยายามดึงออกเลยนาย เดี๋ยวก็ได้ฮาแตกกันตรงนี้หรอก

"ให้ฉันใส่เถอะ T^T"

เฮ้! เธอไม่ได้เป็นอะไรแน่นะ =_=”

มะ..ไม่ได้เป็นอะไร ฉันแค่แพ้แสงนิดหน่อย แต่ดันอยากดูดอกไม้ไฟมากๆ เลย ฮืออออ

 

ในที่สุดเราก็มาถึงยังบริเวณจัดงานเทศกาลดอกไม้ไฟประจำปี ตอนระหว่างมาที่นี่ฉันเหมือนเห็นปีเตอร์ด้วยแหละ อาจด้วยเพราะข้อความที่เขาส่งมาจนทำให้ฉันคิดมากจนเกิดภาพหลอนล่ะมั้ง อีกอย่าง...เพราะใส่แว่นดำอยู่ด้วยทำให้มองเห็นอะไรไม่ค่อยถนัด เลยมองผิดๆ ถูกๆ ไปหมด

นายนี่ฮอตเนาะ ดูดิ มีแต่คนมองนายเต็มไปหมดเลย

           “มองเธอต่างหาก แต่งตัวบ้าอะไรก็ไม่รู้

           “...”

           เออว่ะ ฉันลืมไปว่าตัวเองอยู่ในสภาพผู้ก่อการร้าย หลายคนที่เดินผ่านไปมาหันมามองด้วยความแปลกใจ เมื่อครู่มีเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักน่าชังวิ่งมาชนฉันจนตัวเองล้ม พอฉันกำลังย่อตัวลงเพื่อช่วยพยุงเด็กน้อยอยู่นั้น แม่เด็กก็รีบวิ่งเข้ามาคว้าลูกตัวเองกลับไปพร้อมกับเสียงร้องไห้จ้าของเด็กจนคนรอบข้างต้องมองมาด้วยความสนใจ เอิ่ม -_-;;

ระหว่างที่กำลังเดินเข้าไปข้างใน ถึงแม้คนจะไม่แน่นมาก แต่ก็เดินลำบากเหมือนกันตรงช่วงทางเข้าลานที่จัดงาน ไมเคิลที่ดันเจอพวกรุ่นน้องแฟนคลับโดยบังเอิญก็โดนรุมล้อมหน้าล้อมหลังชวนไปนั่งดูดอกไม้ไฟด้วยกันใหญ่

ฮอตจริงๆ เลยนะ =_=

ที่นี่เป็นสนามหญ้ากว้างลักษณะเนินราบลงไป ลมพัดโชยใบไม้พลิ้วไหว อากาศรอบตัวกำลังดีเลยตอนนี้ เย็นสบายนิดๆ แต่...จะมีแค่ฉันร้อนคนเดียวก็เพราะผ้าคลุมที่อยู่บนหัวนี่แหละ -_-

ด้านหน้านั้นมีบึงน้ำขนาดใหญ่ หรือจะเรียกว่าทะเลสาบก็ได้ ผู้คนเริ่มหลั่งไหลกันมาอย่างเนืองแน่น เพราะเดี๋ยวตอนประมาณสามทุ่มจะมีการแสดงดอกไม้ไฟสุดยิ่งใหญ่อลังการ ฉันเห็นบรรดาคู่รักหลายคู่มาจับจองที่นั่งบนสนามหญ้ากันอยู่หลายจุด บริเวณด้านบนที่อยู่ติดกับถนนก็มีร้านขายของกินอยู่เต็มสองข้างทาง ทุกอย่างดูลงตัวมาก ติดอยู่อย่างเดียวคือพวกรุ่นน้องนั้นยังคงยืนคุยกับไมเคิลอยู่

จะคุยกันถึงพรุ่งนี้เลยไหม?

เอ่อ...เดี๋ยวฉันออกไปซื้อน้ำก่อนก็แล้วกันนะอยู่ดีๆ ฉันก็ไม่อยากเห็นเขาโปรยยิ้มให้กับรุ่นน้องพวกนั้น เลยขอตัวเดินแยกออกมา เขาพยักหน้ารับแบบส่งๆ เพราะมัวแต่คุยกันอยากออกรส เฮอะ! แล้วทำไมฉันต้องไปน้อยใจหมอนั่นด้วยล่ะ

ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ

ระหว่างทางที่เดินไปซื้อน้ำ ฉันเหลือบเห็นแผ่นหลังของบุคคลอันตรายอย่าง 'ปีเตอร์' แต่เห็นแค่แวบเดียวเท่านั้น เขาก็เดินหายไปอีกทาง ฉันสะบัดหน้าไปมาเพื่อทิ้งความคิดโง่ๆ ออกไป มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก เชื่อฉันสิ

           หลังจากที่ฉันได้น้ำอัดลมมาสองแก้วก็รีบเดินกลับมายังที่เดิมทันที แต่แว่นกันแดดที่สวมอยู่ทำให้มองเห็นยากชะมัด กว่าจะงมทางเดินกลับมาได้ก็เสียเวลาไปพักใหญ่ ทว่าไม่มีไมเคิลและกลุ่มรุ่นน้องยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว หรือว่าพวกเขาจะหนีฉันไปดูดอกไม้ไฟด้วยกันแล้วนะ

           ฟิ้ววว! ปัง!!

ดอกไม้ไฟชุดแรกถูกจุดขึ้น ผู้คนต่างฮือฮาและมองขึ้นไปพร้อมกันบนท้องฟ้า ฉันมองผ่านแว่นกันแดดสีดำนั้นก็พบดอกไม้ไฟหลากหลายลูกถูกจุดขึ้นมาอย่างตื่นตาตื่นใจ (แม้ตอนนี้จะเห็นเป็นแค่สีขาวดำก็เหอะ) ลมเย็นโชยเข้ามากระทบใบหน้า จนผ้าคลุมนั้นหลุดปลิวไปกับสายลมที่พัดผ่าน ฉันเผลอปล่อยแก้วน้ำทิ้งทันทีด้วยความตกใจก่อนจะรีบวิ่งไปคว้าผ้าคลุมเอ็มเอาไว้ ถ้าหายนี่ต้องโดนด่าแน่ๆ

ไม่ทัน...มันปลิวไปไกลแล้ว

ฉันสับเท้าวิ่งไปยังบริเวณเนินที่ลู่ลงไป ซึ่งไม่ค่อยมีคนนั่งตรงจุดนี้เท่าไหร่ มือข้างหนึ่งถอดแว่นกันแดดออกเพื่อให้มองเห็นทางสะดวกขึ้นจนกระทั่งผ้าคลุมนั้นปลิวไปหยุดลงตรงก่อนถึงทะเลสาบ

ฟู่ววว เกือบตกน้ำแหนะ

ฟิ้ว! ปัง!! ฟิ้วววววว! ปัง!!!

           ดอกไม้ไฟยังคงถูกจุดขึ้นเรื่อยๆ สร้างความสว่างไสวไปทั่วบริเวณ ฉันย่อตัวลงเพื่อหยิบผ้ากลับขึ้นมา แต่แล้วก็ดันมีมือปริศนาก้มลงมาหยิบผ้าคลุมผืนนั้นด้วยเช่นกัน เราสองคนลุกขึ้นยืนพร้อมกันอย่างช้าๆ ราวกับภาพสโลว์ ก่อนที่แสงจากดอกไม้ไฟจะทำให้ฉันเห็นใบหน้าของเขาชัดขึ้น

ไมเคิล!

ฉันรีบหันหลังให้อีกฝ่ายทันทีก่อนจะรีบหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาใส่ไว้ตามเดิมเพื่อปิดบังรอยหมึกบนใบหน้าที่ไม่อยากให้เขาเห็นมัน รอยหมึกพวกนี้มันคือความน่าสมเพชของคนที่ปกป้องตัวเองไม่ได้...

ไมเคิลเดินอ้อมมาหยุดลงตรงหน้าฉัน ดอกไม้ไฟจบไปแล้วชุดหนึ่ง ทำให้บรรยากาศรอบตัวตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง มีเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่สอดส่องลงมา ทำให้ฉันเห็นใบหน้าเขาเพียงแค่เลือนราง ทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่งราวกับโดนมนต์สะกดเมื่อมือหนานั้นเอื้อมมาถอดแว่นกันแดดบนใบหน้าฉันออกอย่างช้าๆ ก่อนจะประคองเข้าที่ข้างแก้ม

เธอ...โดนแกล้งมาใช่มั้ย

...

น้ำเสียงอบอุ่นถูกส่งออกมา ทำให้ฉันก้มหน้าหลุบตาลงทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันก่อนจะพยักหน้าลงช้าๆ ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยจากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

ทำไมไม่บอกฉันล่ะ

ฉันไม่อยากให้นายเห็นมัน

ถึงแม้ว่าแสงจันทร์ในตอนนี้จะไม่ได้ทำให้มองเห็นใบหน้าของฉันชัดมาก แต่ฉันก็ไม่อยากให้เขาเห็นมันอยู่ดี น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้จนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์ของตัวเอง

           “ต่อไปมีอะไรก็บอกฉันได้นะปลายนิ้วคลอเคลียอยู่ข้างแก้มเมื่อเห็นว่าหยาดน้ำตาเริ่มคลอเบ้า ฉันก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตานั้น ลมเย็นที่ปลิวเข้ามาปะทะไม่ได้ทำให้รู้สึกหนาวเลยสักนิด มันกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

ดอกไม้ไฟชุดสุดท้ายถูกจุดขึ้นมา แสงสว่างรอบกายชัดขึ้นอีกครั้ง ฉันรีบยกสองมือขึ้นปิดหน้าทันที ทว่าเขากลับปัดมันออก ทำให้ต้องเผลอมองการกระทำของคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ พลันสังเกตเห็นมุมปากนั้นกระตุกยิ้มขึ้นก่อนที่เขาจะโน้มตัวลงมาจนสัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่นที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา

           ฉันตกใจกับการกระทำของอีกฝ่ายจนเผลอปล่อยผ้าคลุมให้หลุดมือไป รู้สึกได้ถึงก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายกำลังเต้นแรงอย่างไม่สามารถควบคุมมันได้ สัมผัสแปลกใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความละมุน รสชาติหอมหวานราวกับได้ลิ้มรสขนมพุดดิ้งนั้นทำให้ฉันไม่สามารถต้านทานเขาได้เลย

รู้ตัวอีกที...แสงจากดอกไม้ไฟชุดสุดท้ายก็จบลงไปแล้ว

 

………………………………………………..

 

มีความสุขกันเหลือเกินนะ

เสียงปริศนาดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ฉันต้องหันไปมองด้วยความระแวงทันที ตอนนี้ไมเคิลกำลังพาฉันมายังร้านสะดวกซื้อยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ใกล้บริเวณสวนจัดงาน เพื่อซื้อที่เช็ดเครื่องสำอางมาลบรอยแพนด้าบนใบหน้าฉัน ทว่าดันกลับพบเจอคนที่ไม่อยากเจอเข้าให้ซะก่อน

ปีเตอร์

งั้นแสดงว่าที่เหมือนเห็นเขาในงานนั้น...ฉันไม่ได้ตาฝาด

นายต้องการอะไรไมเคิลเอ่ยขึ้นเสียงเรียบก่อนจะส่งแว่นกันแดดกลับมาให้ฉันสวมไว้ หลังจากที่แกล้งยึดมันไปแล้วให้ฉันเดินก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างเขาอย่างนั้นมาตลอดทาง

เห็นนายมีความสุขแล้วฉันรู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ ฮะๆๆเสียงหัวเราะนั้นราวกับคนโรคจิตทำให้ฉันต้องกระตุกมือไมเคิลเป็นเชิงบอกให้เราสองคนควรรีบออกไปจากตรงนี้

เสียงโทรศัพท์ปีเตอร์ดังขึ้น เขารีบกดรับก่อนที่จะสนทนากับคนในสายอย่างเคร่งเครียด ฉันไม่รู้ว่าบทสนทนานั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร แต่ชื่อที่ปีเตอร์เอ่ยออกมามันทำให้คนข้างๆ ฉันมีท่าทีเปลี่ยนไป แววตานั้นวูบไหวจนฉันอดสงสัยไม่ได้

เอลีน

เอลีนอีกแล้ว...คนที่โทรเข้าเบอร์ปีเตอร์วันนั้นนี่ เธอเป็นใครกันนะ?

นายรู้จักเอลีนด้วยเหรอ?”

หึหึ รู้จักเป็นอย่างดีเลยแหละ รู้อีกด้วยว่านายทำอะไรเอาไว้

ถ้าเป็นเรื่องนั้น...ฉันไม่ได้ตั้งใจ แต่ระหว่างฉันกับเอลีนมันจบลงไปแล้วไมเคิลตอบกลับเสียงเรียบ

“จบงั้นเหรอ?

“ฉันไม่ได้คิดจะจริงจังกับเธอตั้งแต่แรก”

นายรู้มั้ยว่า...ยัยนั่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตฉัน!!” ปีเตอร์เงียบไปก่อนจะพูดต่อ “ฉันอุตส่าห์เห็นว่าแต่ก่อนตอนนายคบกับเมล นายดูรักยัยนั่นมาก แต่ไม่คิดว่านายจะทำกับเอลีนแบบนี้ กลับเห็นว่าเธอเป็นแค่ของเล่น”

“ทำไมนายรู้ว่าฉันเคยคบกับเมล”

“ใครๆ ก็รู้เรื่องนายทั้งนั้นแหละ อย่าลืมสิว่าสมัยมัธยมนายดังจะตาย ถึงแม้เราจะไม่เคยคุยกันก็เถอะ” ปีเตอร์พ่นลมหายใจอย่างช้าๆ ราวกับว่าต้องการระบายความโกรธให้เบาลง เอลีนต้องเจ็บปวดเพราะนายมากแค่ไหน แต่นายกลับลอยหน้าลอยตาอย่างคนไม่รู้สึกผิด เหอะ คิดว่าคนอย่างฉันจะทนได้งั้นเหรอ?"

“...”

ฉันเห็นไมเคิลเงียบลงทันทีเมื่อคนตรงหน้าเอ่ยมันออกมา ทำให้ฉันที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่แล้วต้องมึนงงหนักเข้าไปอีกว่าเอลีนเป็นใคร?

นายเกือบทำให้เธอฆ่าตัวตาย!”

บรรยากาศรอบตัวดูเงียบลงทันทีจนน่ากลัว ไมเคิลสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลนั้นสั่นไหวจนฉันอดห่วงไม่ได้ อันที่จริง...ฉันก็ยังไม่ค่อยรู้จักไมเคิลเท่าไหร่ แต่ก็ไม่คิดว่าความฮอตของเขาจะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งอกหักจนเกือบฆ่าตัวตายได้

“นายเป็นอะไรกับเอลีน

น้องสาวฉันเอง

การ์ดใบสุดท้ายถูกหงายขึ้นแล้ว

ฉันจำได้ว่าปีเตอร์เคยพูดว่ามีน้องสาว (แท้ไม่แท้หรือเปล่า อันนี้ไม่รู้) แต่ฉันไม่เคยเจอเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ถ้าเอลีนคือสิ่งสำคัญของปีเตอร์ งั้นผู้หญิงในรูปที่น่าจะชื่อเมลอะไรนั่นก็ต้องเกี่ยวข้องกับของสำคัญไมเคิลที่เขาต้องการใช่มั้ย?

“ฉันขอโทษก็แล้วกัน”

“นายกล้าทำกับสิ่งสำคัญที่สุดของฉันได้ แล้ว...ถ้าฉันเห็นคนข้างๆ นายเป็นของเล่นบ้าง นายจะรู้สึกยังไงนะ”

ปีเตอร์แค่นยิ้มพลางเหล่มองมาที่ฉัน นัยน์ตาฉายแววร้ายกาจนั้นทำให้ฉันรีบขยับตัวไปหลบด้านหลังไมเคิลทันที มือสองข้างขยุ้มเข้าที่ชายเสื้อเขาอย่างวิตกกังวล โชคดีที่ใบหน้าฉันสวมแว่นกันแดดนี้ไว้ทำให้ปีเตอร์ไม่สามารถมองเห็นแววตาอันหวาดกลัวของฉันได้

“นี่มันเรื่องระหว่างฉันกับนาย ยัยนี่ไม่เกี่ยว...อย่ามายุ่งกับเธอเลย”

“หวงสินะ”

“เปล่า...”

“ถ้าไม่หวง งั้นฉันจะทำอะไรกับบิก้าก็ได้งั้นสิ”

“ก็บอกว่าอย่ามายุ่งไง!!” ไมเคิลตวาดขึ้น จนฉันเผลอสะดุ้งด้วยความตกใจ “อย่าได้คิดที่จะทำอะไรบิก้าเด็ดขาด เธอไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”

เขากำลังปกป้องฉันอยู่หรือเปล่า...     

ไหนปีเตอร์บอกให้ฉันไปเอาของสำคัญของไมเคิลไง ทำไมตอนนี้ถึงหันมาจ้องเล่นงานฉันแทนล่ะ

 

 


 >>> Talk with โพซิตรอน <<<

ฮัลโหลววว เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายแล้วจริงๆ สินะ แอบใจหายเล็กๆ ที่โครงการปีนี้กำลังจะจบลงไปอีกปีแล้ว

ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่ารู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการนักเขียนหน้าใสปี9 นี้ ต้องขอขอบคุณสำหรับโอกาสที่มอบให้นี้ คือดีใจมากจริงๆ เพราะอายุกำลังจะเกินแล้ว T^T ระหว่างทางถามว่ามีท้อมั้ย มันก็มีบ้างแหละ...แต่พอคิดว่าถ้าเราไม่ทำโอกาสนี้ให้ดีที่สุด แล้วจะไปรอโอกาสไหนอีก มันอาจจะไม่มีแล้วก็ได้ เท่านั้นแหละ...พลังพุ่งมาเลยจ้า

กราบขอบคุณคอมเม้นจากพี่ลูกชุบ กรรมการในทุกๆ วีค คอมเม้นที่ดุเดือด(จนต้องแอบหวั่นในทุกวันจันทร์ตอนตีห้า) คอยชี้แนะอย่างตรงจุด  มันช่วยทำให้เห็นจุดด้อยการเขียนของตัวเองที่ต้องนำไปพัฒนา แม้ว่าบางวีคหนูจะมึนๆ งงๆ ไหลตามน้ำไปบ้างอะไรบ้าง นิยายเรื่องนี้สาระก็ไม่ค่อยมี พยายามจะโปกฮาลงไปแต่บางมุกก็แป้ก บางทีเล่นเยอะเกินไปอีก T-T

หลังจากนี้คงนำประสบการณ์ คำแนะนำต่างๆ ที่ได้รับไปปรับพัฒนาการเขียนของตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม และจะตั้งใจเขียนมันต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ล้มเลิกความฝันนี้แน่นอน >O<

สุดท้ายแบบท้ายสุดจริงๆ คงต้องขอบคุณทุกกำลังใจ ทั้งครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนๆ พี่ๆ และคนรอบข้างที่คอยไถ่ถามตลอด คอยเป็นกำลังใจบอกให้สู้เวลาแอบท้อ

รวมทั้งเพื่อนๆ ในโครงการหน้าใส(ไร้สิว) นี้ด้วยจริงๆ ทั้งคอยชี้แนะ คอยถามว่าเสร็จหรือยัง ถึงไหนแล้ว ใกล้ส่งแล้ว ตามจิกกันทุกวินาที ฮ่าๆๆ พอท้อก็คอยส่งรูปผู้ชายเกาหลีมาเป็นกำลังใจให้อีก(ผิด) ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนเลยจริงๆ เลิ้บบบบ

ที่ขาดไม่ได้เลยคือนักอ่านทุกคน จะตั้งใจหรือหลงเข้ามายังไงก็ต้องขอบคุณจริงๆ ค่ะ คุณเป็นกำลังใจที่ดีสำหรับเราเลย<3 ทั้งคะแนนโหวตและคอมเม้นเบื้องหน้าเบื้องหลังที่มีให้แก่กัน นี่อาจจะไม่ใช่ผลงานที่ดีที่สุด แต่มันคือผลงานที่เราภูมิใจที่สุดเลย

ปล. จริงๆ อยากทอล์กสักสามหน้ากระดาษ แต่พอเถอะตอนนี้หิวข้าวมาก =_=

<3

ความเห็นที่ปักหมุด
  1. #2 (จากตอนที่ 7)
    2017-02-27 17:25:53
    อาทิตย์สุดท้ายแล้ววว เวลาผ่านไปไวจริงอ่ะ
    รวมๆ แล้วพี่ว่าเราพัฒนาขึ้นนะ จริงๆ ทุกคนพัฒนาหมดเลย ดีใจ 555555 ลองอ่านเทียบตอนนี้กับตอนแรกดิ คนละเรื่องกันเลย การจัดระเบียบคำดีขึ้น แต่เรื่องพลอตพี่ว่ามันยังอ่อนไปหน่อย เหมือนเอามุกคลาสสิคมายำรวมกันอ่ะ แฟนเก่า แฟนใหม่ แฟนเก่าของแฟนใหม่ แอบหลอกคบ บลาๆ จริงๆ พวกมุกนี้มันไม่ผิดหรอก แค่เวลาเอามาเล่ามันต้องมีอะไรที่ใหม่บ้าง แต่นี่เหมือนมุกเก่าๆ มาซัดรวบกันหมดเลย อย่างฉากตอนนี้จริงๆ ไม่จำเป็นต้องมีปีเตอร์ก็ได้ หรือจริงๆ ไม่ต้องใส่เรื่องเพื่อนซะยาวก็ได้ จริงๆ การเขียนเพื่อนอ่ะ ไม่จำเป็นต้องใส่เยอะถ้ามันไม่จำเป็นต่อเรื่อง แต่ใส่ให้มันสม่ำเสมอ มาทีละนิดๆ อะไรแบบนี้ก็ได้นะ เน้นอ่านเยอะๆ จะช่วยเราเรื่องการลำดับเรื่องมากๆ เลย เป็นกำลังใจให้น้า
    #2

2 ความคิดเห็น

  • 1
  1. #1 JOlly' M (จากตอนที่ 7)
    2017-02-25 23:15:00
    ตอนนี้อ่านเพลินดีอ่ะ ชอบฉากระหว่างบิก้ากับเอ็มอ่ะ ตลกดี 555555

    เกลียดฉากทำปากกาหลุดมือแล้วไปโดนบิว โดนแกล้งเลยลูก แล้วแฟชั่นยุคเก้าศูนย์คืออาร้ายยย แถไปได้นะ 555555

    แอบเศร้าตอนฉากที่ไมเคิลพูดถึงเมล คือสัมผัสได้เลยนะว่าเขารักเธออ่ะ แต่ดูยัยเมลทำดิ แย่มากกก หล่อนพลาดมากกกก บอกเลย //มาซบอกอุ่นๆ ทางนี้ มามะๆ -..-

    แต่ฉากดราม่านี่ถึงใจมาก ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงอ่ะ เฉลยหลังไมค์เลยได้ไหม // เดี๋ยวๆ 55555 แต่ก็พอเข้าใจความร้ายของอีปีเตอร์แล้วนะ ชุ้นไม่เกลียดเธอแล้วก็ได้ อยากอ่านต่อเลยว่านางจะแผลงฤทธิ์อะไรต่อออออ

    สุดท้ายอยากบอกว่า...

    จอลลี่เอ็มรักมินยุนกิมากๆ เลยค่ะ // โดนตบ 55555
    มาผิดจังหวะ แฮ่! จริงๆ จะบอกว่ารักพี่บ.นะ จุ๊บๆ ไว้ไปทริปกันใหม่ เปลี่ยนจากติ่งบ้างงงง อิๆ >3<
     
    #1
  2. #2 (จากตอนที่ 7)
    2017-02-27 17:25:53
    อาทิตย์สุดท้ายแล้ววว เวลาผ่านไปไวจริงอ่ะ
    รวมๆ แล้วพี่ว่าเราพัฒนาขึ้นนะ จริงๆ ทุกคนพัฒนาหมดเลย ดีใจ 555555 ลองอ่านเทียบตอนนี้กับตอนแรกดิ คนละเรื่องกันเลย การจัดระเบียบคำดีขึ้น แต่เรื่องพลอตพี่ว่ามันยังอ่อนไปหน่อย เหมือนเอามุกคลาสสิคมายำรวมกันอ่ะ แฟนเก่า แฟนใหม่ แฟนเก่าของแฟนใหม่ แอบหลอกคบ บลาๆ จริงๆ พวกมุกนี้มันไม่ผิดหรอก แค่เวลาเอามาเล่ามันต้องมีอะไรที่ใหม่บ้าง แต่นี่เหมือนมุกเก่าๆ มาซัดรวบกันหมดเลย อย่างฉากตอนนี้จริงๆ ไม่จำเป็นต้องมีปีเตอร์ก็ได้ หรือจริงๆ ไม่ต้องใส่เรื่องเพื่อนซะยาวก็ได้ จริงๆ การเขียนเพื่อนอ่ะ ไม่จำเป็นต้องใส่เยอะถ้ามันไม่จำเป็นต่อเรื่อง แต่ใส่ให้มันสม่ำเสมอ มาทีละนิดๆ อะไรแบบนี้ก็ได้นะ เน้นอ่านเยอะๆ จะช่วยเราเรื่องการลำดับเรื่องมากๆ เลย เป็นกำลังใจให้น้า
    #2
  • 1

แสดงความคิดเห็น