ภารกิจของฉันคือตามหาคนที่ขโมยเอกสารลับ เขา...บุคคลปริศนาเป็นคนที่ขโมยเอกสารลับไปและเขาก็เป็นผู้กุมความลับของฉันด้วย นั่นทำให้ฉันยอมทำตามที่เขาสั่งทุกอย่าง เพราะเราทำสัญญาด้วยกัน...ความลับแลกความลับ
ตอนที่ 1/7 :: Got a secret. Can you keep it?
ตอนถัดไป
ความลับก็เป็นเหมือนเงาติดตามตัวเรา
มีแค่เราที่รู้...ว่ามันมีตัวตน
บทนำ
“หนูฝากข้อความไปตั้งหลายครั้ง ทำไมพึ่งโทรกลับคะ”
[แม่ไม่ค่อยว่างน่ะจ้ะ มีอะไรหรือเปล่า]
“หนูมีเรื่องจะบอกแม่ค่ะ…”
[แม่ก็มีเหมือน]
“งั้นแม่พูดก่อนเลยค่ะ”
[คือ…เดือนนี้แม่อาจจะไม่ได้กลับบ้านนะ พ่อเค้าก็ยังทำงานไม่เรียบร้อยดีเลย บริษัทที่นี่ก็มีปัญหานิดหน่อย แม่กับพ่อเลยต้องอยู่ก่อน คงกลับไปหาลูกไม่ได้]
“เหรอคะ…” ฉันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าตอนแรก เรื่องที่อยากจะบอกแม่ก็หายออกไปจากหัวสมองของฉันทันที มันถูกแทนที่ด้วยความน้อยใจ
แค่ฉันกับพ่อแม่แยกกันก็อยู่ก็มากเกินพอแล้ว แต่พ่อกับแม่ก็ยังหาเวลามาหาฉันแทบจะไม่ได้เลย ฉันรู้ว่างานของท่านก็สำคัญ แต่ฉันก็อยากมีช่วงเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัวบ้าง
[หวังว่าลูกจะเข้าใจเรานะ…มันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ] แม่ตอบกลับมาทันทีที่น้ำเสียงของฉันเปลี่ยนไป
“ค่ะ…หนูเข้าใจ” ต้องเข้าใจ…ต่างหากล่ะ
[ว่าแต่…ลูกมีอะไรจะบอกแม่เหรอ]
“หนูไม่รู้ว่ามันยังสำคัญสำหรับแม่อยู่มั้ย…”
[ลูกรัก…หนูคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของแม่เลยนะ]
“คือ…หนูสอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียนค่ะ” ฉันเงียบไปสักครู่ ก่อนจะเริ่มพูดต่อ “หนูอยากให้แม่มาประชุมผู้ปกครองนะคะ…”
[เอ่อ…ขอโทษจริงๆ นะลูกรัก แต่แม่ไปไม่ได้จริงๆ]
“ค่ะ หนูรู้ว่าแม่ไม่ได้มา…” …เป็นปีที่สาม
[แม่ขอโทษจริงๆ นะ แม่สัญญา…เดือนหน้าแม่จะหาเวลากลับไปหาลูกให้ได้] เดือนที่แล้วแม่ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน และสุดท้าย แม่ก็หาเวลากลับมาไม่ได้
“…” ฉันเงียบไป เพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรตอบอะไร ยังไงเดือนนี้แม่ก็คงกลับมาไม่ได้จริงๆ ฉันทำใจแล้ว
[แม่ต้องวางแล้ว…ยังมีงานรอแม่อยู่อีกเพียบเลย]
“ค่ะ…”
[ออทั่ม…] แม่เรียกฉันเบาๆ ก่อนจะเงียบไป
“คะ?”
[แม่ดีใจนะ ที่ลูกพยายามมากขนาดนี้ สู้ต่อไปล่ะ…แม่รักลูกมากนะ] แม่ตอบกลับมาด้วยคำพูดหวานหยดย้อยจนอาการงอนตุ๊บป่องของฉันหายไปทันที อย่างน้อยแม่ก็เข้าใจว่าฉันตั้งใจทำเพื่อแม่ขนาดไหน…
“ค่ะ…หนูก็”
[แม่ไปก่อนนะ…ตู้ดๆๆ]
“หนูก็รักแม่ค่ะ…”
ฉันยังพูดไม่ทันจบประโยค แต่แม่ก็ตัดสายไปซะก่อน ไม่รู้ว่าแม่จะได้ยินประโยคนั้นของฉันหรือเปล่า แต่แม่ก็คงรับรู้ได้ว่าฉันก็รักแม่มากๆ เหมือนกัน
เฮ้อ…แม่ไม่มาอีกแล้วสินะ
ฉันคงต้องชินกับเรื่องนี้ให้ได้เร็วๆ จะได้ไม่ต้องมานอยด์ว่าแม่จะมาหรือไม่มา ถึงแม้ว่าจะคิดถึงแม่กับพ่อมากแค่ไหน แต่เรื่องธุรกิจก็ยังสำคัญ พวกท่านทำเพื่อครอบครัว ฉันเลยไม่อยากจะทำตัวงี่เง่านัก
ฉันเก็บโทรศัพท์มือถือของตัวเองไว้ในกระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนโต๊ะ
ฉันรวบผมสีดำสนิทของตัวเองให้เป็นหางม้า ทำให้เห็นผมสีบลอนด์ทองที่ฉันไฮไลท์ไว้ด้านใน ฉันชอบผมสีบลอนด์ทอง แต่ฉันก็ไม่ได้ชอบมากขนาดที่จะทำทั้งหัว ฉันเลยเลือกที่จะไฮไลท์เบาๆ
ตอนนี้ฉันนั่งอยู่ในโรงอาหารขนาดใหญ่ของโรงเรียน วันนี้เป็นวันเปิดเทอมที่สองวันแรก และเป็นวันที่ฉันได้รู้ผลการเรียนของตัวเอง ฉันไม่ค่อยภูมิใจกับมันเท่าไหร่ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นที่หนึ่งแล้วก็ตาม
ฉันมีเหตุผลที่ไม่ควรจะภูมิใจกับมัน…
“แม่แกไม่มาอีกแล้วสินะ” ผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฉันพูดขึ้น เธอคือเพื่อนสนิทของฉัน เราอยู่กลุ่มเดียวกัน และเราเรียนห้องเดียวกัน
เธอชื่อว่าวันใหม่ เธอเป็นคนที่สวยมาก ผมสีดำสนิท ผิวขาวซีด นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนๆ จมูกโด่งมน ริมฝีปากบางเป็นรูปกระจับ แก้มอมชมพูตลอดเวลา แต่เธอเป็นคนนิ่งๆ ตึงๆ ไม่ค่อยพูด และยิ้มยากมาก -_-
“ก็เป็นแบบที่ได้ยินนั่นแหละ” ฉันตอบกลับไปนิ่งๆ
“บอกแล้วว่าไม่ต้องโทรไปหา”
“ก็ฉันอยากให้แม่รู้!”
“แล้วแกก็ต้องมานั่งน้อยใจที่แม่มาหาไม่ได้แบบนี้น่ะเหรอ?” วันใหม่ปิดหนังสือในมือของตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นมามองฉัน “แกเองก็ต้องเข้าใจพ่อกับแม่แกด้วยนะ เขาทำงานหนักขนาดนี้เพื่อใคร”
“รู้หน่า!” และวันใหม่ก็จะคอยสั่งสอนฉันแบบนี้ทุกครั้งที่ฉันงอนพ่อกับแม่
“ถ้ารู้ก็เลิกทำหน้าเป็นหมีหิวน้ำผึ้งสักที”
“-_-^” ฉันหันหันไปแยกเขี้ยวใส่วันใหม่ ที่บังอาจมาว่าฉันทำหน้าเหมือนหมีหิวน้ำผึ้ง -_-
ฉันเลิกสนใจวันใหม่ แล้วหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋าเพื่ออ่านรอเข้าเรียน เพราะฉันไม่ชอบอ่านหนังสือหนักๆ เวลาสอบ แต่ฉันจะใช้วิธีอ่านก่อนเข้าเรียน เวลาเรียนจะได้เข้าใจง่ายๆ ไม่งง และฉันก็จะอ่านทบทวนทุกครั้งหลังจากเรียนเสร็จแล้ว พอถึงเวลาสอบ ฉันก็ไม่ต้องอดหลับอดนอนอ่านหนังสือ
นี่แหละ…เคล็ดลับการเป็นนักเรียนอันดับหนึ่งของฉัน
ตึกๆๆ
“ออทั่ม!!!” เสียงฝีเท้าประมาณสองคู่ที่กำลังวิ่งมาทางนี้ พร้อมกับเสียงตะโกนเรียกชื่อฉันที่ดังมาจากทางเข้าโรงอาหาร
ฉันหันไปมองว่าใครที่เป็นคนเรียก และนั่นทำให้ฉันเห็นเพื่อนอีกสองคนในกลุ่มที่กำลังวิ่งตรงมาทางนี้ด้วยสีหน้าตื่นๆ คนแรกคือน้ำหอม ผู้หญิงผมสีบลอนด์ทอง ตัวเล็กน่ารัก เธอวิ่งมาหาฉันพร้อมกับซองสีน้ำตาลในมือ ส่วนอีกคนคือใบชา ผู้หญิงผมสีน้ำตาลแดง เธอกำลังวิ่งตามน้ำหอมมาเหมือนกัน
ปึง!
“แฮ่กๆ…เหนื่อยชะมัดเลย!!!” น้ำหอมวิ่งมาหยุดอยู่ที่โต๊ะตรงที่ฉันนั่งอยู่ ก่อนจะวางซองสีน้ำตาลที่ถือมาลงบนโต๊ะอย่างแรง พร้อมกับหอบเหนื่อย
ฉันมองซองสีน้ำตาลที่มีชื่อฉันอยู่หน้าซองด้วยความหวาดระแวง มันเป็นซองใส่เอกสารสีน้ำตาลธรรมดาๆ ฉันเคยได้ซองแบบนี้จากห้องปกครองเมื่อนานมาแล้ว มันมีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายอยู่ในซองนี้ แต่ฉันภาวนาให้มันเป็นเรื่องที่ดี
“แล้วจะวิ่งมาทำไมกันเล่า -_-” ฉันหันไปมองหน้าน้ำหอมพร้อมกับถามด้วยใบหน้านิ่งๆ
“ก็มันเรื่องสำคัญนี่!” น้ำหอมตอบพร้อมกับเขี่ยซองสีน้ำตาลมาให้ฉัน แล้วหันมาพูดต่อ “เปิดดูสิ”
“นี่มันซองอะไร?” วันใหม่เงยหน้าจากหนังสือของตัวเอง แล้วหันไปถามน้ำหอม
“จากปกครอง…ส่งตรงถึงออทั่ม” น้ำหอมตอบ
“แล้วทำไมถึงฝากมากับพวกแกล่ะ?”
“เพราะเมื่อเช้าฉันพาใบชาไปห้องปกครองมาน่ะสิ” น้ำหอมพูดพร้อมกับปรายตาไปมองใบชาที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“มีเรื่องอีกแล้วสินะ” ฉันพูดพร้อมกับหันไปมองใบชา
ฉันเลิกสนใจทุกคนที่อยู่รอบตัว และหันมาสนใจแค่จดหมายที่อยู่ตรงหน้า ขอให้เป็นเรื่องดีเถอะ…
แควกๆ~
ฉันค่อยๆ เปิดซองเอกสารออก ข้างในมีแค่กระดาษสีขาวใบเดียวโดดๆ ฉันหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมา และไล่สายตาอ่านไปทีละบรรทัด และนั่นก็ทำให้ฉันแทบจะเป็นลม =[]=!
‘เรียน นางสาวอรัญริน ชั้น ม.5/1
ด้วยความผิดที่มาโรงเรียนสายจำนวน 186 ครั้ง และมาช้ากว่ากำหนดจำนวน 34 ครั้ง ทำให้คณะกรรมการของโรงเรียน ลงความเห็นที่จะลงโทษตามกฎระเบียบดังนี้
นักเรียนจะต้องบำเพ็ญประโยชน์ตามที่ห้องสมุดของโรงเรียน เป็นระยะเวลา 2160 ชั่วโมง และจะต้องทำหน้าที่ให้เรียบร้อยก่อนจบภาคเรียนที่สอง
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ฝ่ายปกครอง’
1
10 ปีที่แล้ว
‘ฉันจะเริ่มนับแล้ว ไปซ่อนได้เลย’
‘ได้!/ได้สิ!’
เสียงของเด็กน้อยวัยเจ็ดขวบห้าคนขานรับพร้อมกัน ก่อนจะวิ่งกระจายกันไปคนละทิศละทาง มีเพียงเด็กหญิงตัวน้อยที่ยังไม่รู้หนทางของตัวเอง
เธอค่อยๆ ย่องออกจากจุดนั้น และตรงไปที่ห้องเก็บของขนาดเล็กที่อยู่ภายในโรงรถ ถ้าให้วิ่งไปหาที่อื่นคงจะไม่ทันแน่ๆ เธอเลยเลือกที่จะแอบอยู่ตรงนี้ ห้องนี้…
เด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ค่อยๆ ก้าวเข้าไปในห้องเก็บของ ก่อนจะค่อยผลักประตูให้ปิดลงอย่างเบามือ หารู้ไม่ว่านั่นอาจจะเป็นวันสุดท้าย…ที่เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเด็กหญิงทั่วไป
แกรก!
เสียงกลอนประตูถูกล็อคจากด้านนอก ทำให้เด็กหญิงสะดุ้งและรีบตรงเข้าไปที่ประตู ก่อนจะพยายามดึงประตูให้เปิดออก แต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิด มันไม่สามารถทำให้ประตูเปิดออกได้
‘แม่!!! แม่คะ…หนูติดอยู่ในนี้!!!’
ปังๆๆ
เด็กน้อยตะโกนเรียกผู้เป็นแม่จนสุดเสียง พร้อมกับทุบประตูให้เสียงดังที่สุด แต่ยิ่งทุบมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งเจ็บมือมากขึ้นเท่านั้น ในใจคิดเพียงว่า…ขอให้มีใครสักคนผ่านมาตรงนี้
‘ฮึก…แม่คะ…หนูกลัวจังเลยค่ะ’
ปัง!
ร่างเล็กๆ ของเด็กสาววัยเจ็ดขวบทรุดลงกับพื้น ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง เวลาล่วงเลยไปจนค่ำ ในห้องนี้มันทั้งมืดและหนาว ไม่มีใครตามหาเธอเลยเหรอ…แค่สักคน ก็ไม่?
@ปัจจุบัน
2160 ชั่วโมง? จะฆ่ากันหรือไง!!
ฉันยืนกอดแฟ้มเอกสารอยู่หน้าห้องสมุดพร้อมกับขาสองข้างที่กำลังสั่นระรัว -_-; ฉันไม่เคยเข้าห้องสมุดเลย ตั้งแต่เกิดจนโตมาขนาดนี้ ฉันไม่เคยย่างก้าวเข้าห้องสมุดเลยสักครั้งเดียว!
ฉันเรียนด้วยตัวเองมาตลอด อ่านหนังสือเอง อยากอ่านหนังสือเล่มไหนก็หาซื้อ เพราะฉันเกลียดห้องสมุดเข้าไส้เลยล่ะ -_- เพราะอะไรน่ะเหรอ?
‘เพราะฉันกลัวที่แคบ’
อ่านไม่ผิดหรอก ฉันกลัวที่แคบจริงๆ เพราะอุบัติเหตุตอนเด็กๆ ฉันจำฝั่งใจจนกลายเป็นอาการโฟเบียเล็กๆ ไปแล้ว ฉันไม่สามารถอยู่ในที่แคบขนาด 1x1 เมตรได้ ขนาดที่บ้านของฉันยังไม่มีตู้เสื้อผ้าเลย
ทว่า…ตอนนี้ฉันต้องมาอยู่ห้องสมุด T^T!!
ห้องสมุดที่โรงเรียนฉันมันก็ไม่ได้แคบอะไรมากมาย แต่ชั้นหนังสือแต่ล่ะชั้นมันค่อนข้างใกล้กัน ไม่ใช่แค่ที่โรงเรียนของฉันหรอก ห้องสมุดทุกที่นั่นแหละ ชั้นหนังสือจะอยู่ใกล้ๆ กัน อย่างมากก็ห่างกันแค่ 3-4 เมตร
จะให้คนที่ไม่เคยแม้แต่เหลียวแลห้องสมุดอย่างฉันไปบำเพ็ญประโยชน์ที่ห้องสมุดน่ะเหรอ…ฝันเถอะ!
“อัญริน!! เข้ามาสิ” เสียงแข็งกร้าวที่ดังมาจากในห้องสมุด ทำให้ฉันสะดุ้งและหันไปมองด้านใน เสียงปะกาศิตนี้เป็นเสียงของอาจารย์ห้องสมุด แน่นอนว่าอาจารย์เดินออกมาตามฉัน
“เอ่อ…อาจารย์คะ…หนู…” ฉันพูดออกไปอึกอัก เพราะฉันกำลังจะบอกว่าฉันกลัวที่แคบ แต่พอเห็นหน้าอาจารย์แล้ว ไม่เอาดีกว่า =_=
“อย่ามัวแต่โอ้เอ้!!!” อาจารย์ตะโกนทิ้งท้าย ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องสมุดทันที
เข้าก็ได้ฟ้ะ!
แอดดด~
ฉันค่อยๆ ผลักประตูเข้าไปด้านในห้องสมุด ก่อนจะเดินเข้าไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นเร็วมากจนฉันได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง ความกลัวที่ห้ามเอาไว้ก็พุ่งขึ้นทันทีที่มองเห็นชั้นหนังสือ ขอบตาร้อนผ่าว ใบหน้าแดงก่ำ น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ ค่อยๆ เอ่อล้นขอบตาออกมา และในที่สุด…มันก็ไหลออกมาหนึ่งหยด
ห้องสมุดขนาดใหญ่ของโรงเรียน พอเดินเข้ามาด้านใน ด้านขวาก็จะเป็นเคาน์เตอร์สำหรับยืมและคืนหนังสือ ด้านซ้ายมือจะมีโต๊ะคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ สำหรับคนที่ต้องการค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ต ส่วนตรงกลางจะมีโต๊ะอยู่มากกว่าสามสิบตัวตั้งอยู่ สำหรับเอาไว้นั่งอ่านหนังสือ และด้านในสุด…ชั้นหนังสือมากมายที่ตั้งเรียงกันอยู่มากมาย ห่างกันไม่ถึงเมตร คนสามารถยืนระหว่างชั้นหนังสือได้แค่คนเดียวเท่านั้น
สาเหตุของน้ำตาฉัน…
ฉันยกมือขึ้นปาดน้ำตา ก่อนจะสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ฉันหยุดความกลัวได้…แค่ฉันต้องไม่มองมัน พอคิดได้ดังนั้น ฉันก็รีบหันหน้าหนีชั้นหนังสือ แล้วหันหน้ากลับไปทางประตู แต่…
ผลัก!
เพราะฉันหันโดยไม่ได้มองว่ามีใครเปิดประตูเข้ามาหรือเปล่า ทำให้ฉันหันไปชนกับแผงอกของผู้ชายคนหนึ่งเข้าเต็มๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเขาก็โชยเข้าจมูกฉันทันที ฉันจึงค่อยๆ เงยหน้ามองเขา…
ไต้ฝุ่น?
ผู้ชายตัวสูงชะลูด ผมสีดำสนิท ผิวขาวเนียน ดวงตาเรียวยาว นัยน์ตาสีดำ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง เขาใส่เฮดโฟนพร้อมกับถือเอ็มพีสามไว้ในมือ เขาก้มหน้าลงมามองฉันเล็กน้อย เขาเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงในโรงเรียนกำลังพากันกรี๊ด ความจริงฉันก็ชอบเขานะ แต่ติดอยู่ตรงที่ว่า…เขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กของฉันไง -_-
ฉันกับเขาสนิทกันมาก เขาเคยเป็นเพื่อนที่อยู่บ้านข้างๆ กับฉันเมื่อประมาณสิบปีก่อนหน้านี้ เราเล่นด้วยกันทุกวัน แต่อยู่ดีๆ เขาก็ย้ายบ้านไปโดยไม่บอกฉันสักคำ หายไปเฉยๆ ถามใครก็ไม่มีใครรู้ ตอนนั้นฉันโกรธเขามากๆ ที่เขาไม่ยอมมาบอกลาฉันก่อนที่จะย้ายบ้านไป
“เอ่อ…ขอโทษนะ” พอเห็นว่าบรรยากาศมันเงียบๆ แปลกๆ ฉันจึงเรียกที่จะเป็นคนเปิดบทสนทนา
“รีบไปไหนเหรอ” เขาก้มหน้าลงมามองฉัน เขาถามออกมาพร้อมกับยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่ฉันได้เห็นรอยยิ้มเขาใกล้ขนาดนี้
เราเจอกันที่โรงเรียนแบบผ่านๆ ไม่เคยคุยกันเลยสักครั้ง ถึงแม้ว่าอยากจะลองทักเขาสักครั้งก็เถอะ แต่ฉันคิดว่าความสนิทใจของเราคงไม่เท่าตอนเด็กๆ แล้ว และตอนนี้เขาก็ไม่ใช่แค่เด็กอ้วนข้างบ้านของฉันอีกต่อไปแล้ว เขาคือไต้ฝุ่น…ผู้ชายที่ผู้หญิงกำลังพูดถึงอยู่ตอนนี้
“เปล่า…คือ ฉันพึ่งมาถึงน่ะ” ฉันตอบ
“ปกติแล้วเธอไม่เข้าห้องสมุดไม่ใช่เหรอ”
“นายรู้ได้ไง?” เขาสนใจฉันหรือเปล่านะ >O<!
“ก็ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว ไม่เคยเห็นเธอเข้ามาสักครั้งเลย” เขาพูดพร้อมกับเอียงคอมองอย่างสงสัย
จำไม่ได้แล้วว่าเมื่อสิบปีที่แล้วเขาเป็นคนยังไง หน้าตายังไง
แต่ตอนนี้เขา…โคตรน่ารักเลย
“เอ่อ…ฉันมาบำเพ็ญประโยชน์ -///-” ฉันตอบพร้อมกับก้มหน้างุด เพื่อหลบรอยยิ้มกระชากใจของเขา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้มีผู้หญิงตามกรี๊ด
“อ๋อ…เธอเองเหรอ มาสิ!”
หมับ!
“เอ่อ..=[]=”
ไม่พูดเปล่า เขาขยับตัวเข้ามามาจับข้อมือของฉัน ก่อนจะลากให้ฉันเดินตามเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ยืมและคืนหนังสือทางด้านขวา ฉันทำได้เพียงกำกอดแฟ้มเอกสารในมือของตัวเองเอาไว้แน่น ก่อนที่ฉันจะมือไม้อ่อนและทำแฟ้มหลุดมือไป
หลังจากที่ลากฉันเข้ามาข้างในแล้ว เขาก็กดไหล่ฉันให้นั่งลงบนเก้าอี้นวมที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ ก่อนจะเดินไปวางกระเป๋าสะพายของตัวเองที่โต๊ะด้านหลัง ก่อนจะมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ ฉัน
“หน้าที่ของเธอไม่มีอะไรมากเลย…แค่เอาหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะไปเก็บเข้าชั้นของมันให้เรียบร้อย” เขาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เธอจะมาตอนเลิกเรียนก็ได้นะ…เพื่อไม่ให้กระทบกับการเรียน ^^”
“เดี๋ยวนะ…”
“ว่าไง?”
ถ้าฉันฟังไม่ผิด…เขาให้คอยเก็บหนังสือเข้าชั้นให้เหมือนเดิม ก็หมายความว่าฉันต้องย่างก้าวเข้าไปในชั้นหนังสือพวกนั้นน่ะเหรอ? ไม่-ได้-เด็ด-ขาด!!!
“ไม่…ฉันไม่ทำ” ฉันหันไปพูดกับเขา พร้อมกับกำมือขวาของตัวเอาไว้แน่นๆ เพราะมันกำลังสั่นระรัวอยู่
“ทำไมล่ะ?”
‘ฉันกลัวที่แคบไง’
แน่นอนว่าฉันไม่ได้พูดแบบนั้นออกไป ไม่มีใครรู้เรื่องที่ฉันกลัวที่แคบ ยกเว้นเพื่อนๆ ในกลุ่มของฉัน และฉันก็ไม่ได้คิดจะเปล่าประกาศด้วย -_-
“ก็…ฉันไม่อยากทำน่ะ” ฉันตอบกลับไป
“แต่เธอจะไม่ผ่านนะ…” เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง
ขอร้อง…หยุดน่ารักสักที!
“ที่ฉันมาวันนี้ ฉันไม่ได้จะมาเริ่มบำเพ็ญประโยชน์หรืออะไรทั้งนั้น แต่ฉันอยากจะมาขอเปลี่ยนสถานที่บำเพ็ญประโยชน์”
“อ๋อ…มาขอที่นี่ไม่ได้นะ”
“อ้าว แล้วฉันต้องไปที่ไหนล่ะเนี่ย -_-”
“ความจริงแล้วคนที่กำหนดสถานที่บำเพ็ญประโยชน์ไม่ใช่ฝ่ายปกครองนะ แต่เป็นพวกสภาน่ะ เธอต้องไปหาพวกนั้น แต่…” ไต้ฝุ่นเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มพูดต่อ “พวกเขาอาจจะพูดจาไร้สาระนิดหน่อย ก็แล้วแต่เธอว่าฟังพวกเขาหรือเปล่า”
ฉันไม่ค่อยเข้าใจที่เขาพูดเลย =_=
“หมายความว่ายังไงเหรอ ไร้สาระน่ะ” ฉันถาม
“พวกเขากำลังทำเรื่องไร้สาระกันอยู่ และพวกเขาก็กำลังหาคนช่วย”
เรื่องไร้สาระ? หมายถึงทำครั้งเดียวก็จบหรือเปล่า ฉันชอบนะ จะได้ไม่ต้องมาห้องสมุดทุกๆ ตอนเย็นแบบนี้ ถ้ามันไร้สาระแต่ไม่ยืดเยื้อก็เอานะ -_-
“ฉันไม่ค่อยเข้าใจเลย” ฉันพูดออกไปพร้อมกับทำหน้าสงสัย
“เอาเป็นว่าถ้าเธอไปคุยกับพวกนั้น เธอก็จะรู้เองแหละ”
“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่?”
“เพราะฉันก็พึ่งปฏิเสธเขามาน่ะสิ…”
“งั้นเหรอ…ฉันว่าลองไปคุยกับเขาดีกว่า…” ฉันเริ่มหวั่นใจกับคำว่าไร้สาระของเขาแล้วสิ แต่ก็นะ…ไม่ลองไม่รู้ ฉันจึงหันไปพูดพร้อมกับยิ้มให้เขา “ไว้เจอกันใหม่นะ”
เขาไม่ได้ตอบอะไร เขาทำเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น ฉันจึงรีบเดินออกจากตรงนี้ทันที พอกันทีกับการนั่งระแวงชั้นหนังสือในห้องสมุด
ฉันเดินออกจากห้องสมุดและตรงไปที่ตึกหนึ่ง ที่อยู่ตรงข้ามกับห้องสมุดพอดี ตึกนี้เป็นตึกที่ฉันเรียน และเป็นตึกที่มีห้องสภาอยู่ด้วย
ตึกนี้เป็นตึกที่สวยที่สุดและใหญ่ที่สุด (ดูความลำเอียง -_-) มีทั้งหมดสี่ชั้น ชั้นหนึ่งจะเป็นของน้องม.4 ชั้นสองของม.5 ชั้นสามของม.6 และชั้นสี่เป็นของสภาทั้งหมด ทุกๆ ห้องจะมีล็อคเกอร์ตั้งอยู่หน้าห้องของตัวเอง ใครจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ แต่ฉันใช้ตลอด เพราะฉันขี้เกียจจัดตารางเรียนมาโรงเรียน -_-
แกรก~
ฉันแวะที่ชั้นสอง เพื่อเอาแฟ้มเอกสารนี้ไปเก็บที่ล็อคเกอร์ที่อยู่หน้าห้องเรียนของฉัน ฉันไขกุญแจที่ล็อคเกอร์ของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ เปิดออก
หวืดดด~
ทันทีที่ฉันเปิดล็อคเกอร์ ก็มีกระดาษอะไรบางอย่างร่วงออกมาจากด้านในล็อคเกอร์ของฉัน พอฉันก้มลงมองแล้วก็พบว่ามันเป็นซองจดหมายสีแดงเลือดหมู ขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่มาก ไม่มีลวดลายใดๆ ด้านหน้าเขียนชื่อเล่นของฉันชัดเจน ฉันจึงก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาดู
จดหมายบอกรักหรือไงกัน ซองสีแดงเชียว -_-
แควกๆ~
ฉันค่อยๆ เปิดจดหมายออกทีละนิด ด้านในเป็นกระดาษสีดำที่ถูกพับครึ่งเอาไว้ ด้วยความสงสัย ฉันจึงดึงกระดาษสีดำด้านในออกมาอ่านทันที
‘ออทั่ม
สวัสดีนักเรียนอันดับหนึ่ง เป็นอย่างไรบ้าง สำหรับตำแหน่งอันดับหนึ่งตอนนี้?
ขอแสดงความยินดีด้วยนะ…แล้วอย่าลืม เอาข้อสอบที่ขโมยมาไปคืนด้วยล่ะ
ผู้หวังดี’
นะ…นี่มันอะไรกัน! O_O
มะ…มีคนรู้?
ข้อความในจดหมายนั้นเหมือนว่าถูกพิมพ์จากในคอมพิวเตอร์ ด้วยตัวหนังสือสีขาว เพื่อไม่ให้จำลายมือได้สินะ ฉันรีบกำกระดาษแผ่นนั้นทันที ก่อนที่จะมีคนมาเห็น ก่อนจะหันไปมองซ้ายขวาอย่างระแวง นี่มันจดหมายประเภทไหนกันแน่ ขู่? หรือหวังดีจริงๆ
ก็อย่างที่บอก…ฉันไม่เคยภูมิใจกับการเป็นนักเรียนอันดับหนึ่งเลย นี่คือเหตุผลที่ฉันไม่ภูมิใจเลย
ฉันเรียนดีมาตลอด แต่ไม่เคยเป็นที่หนึ่งของโรงเรียนสักครั้ง เพราะความคิดโง่ๆ ที่ว่า…ถ้าเป็นที่หนึ่งแล้วพ่อแม่จะสนใจ มันทำให้ฉันตัดสินใจ ทำผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต…ฉันไม่เคยให้อภัยตัวเองในเรื่องนี้เลย แม้ว่าฉันจะรู้สึกผิดมากขนาดไหน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความผิดของฉันหายไป
แต่ฉันก็ไม่คิดว่าจะมีใครรู้…
นี่ฉันกำลังถูกขู่อยู่ใช่มั้ย?
แควกๆ~
ฉันฉีกกระดาษแผ่นนั้นจนมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะโยนเข้าไปในล็อคเกอร์ เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยว่ากัน ฉันมียังเรื่องที่ต้องไปทำอีกมากมาย ถ้าคนที่ส่งจดหมายมาไม่ได้มีหลักฐานอะไร…ก็คงทำอะไรฉันไม่ได้
13.00 น.
ปึง!
“ออทั่ม! เธอยังฟังฉันพูดอยู่หรือเปล่า?” เสียงตบโต๊ะพร้อมกับเสียงตะโกนทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์แล้วเงยหน้ามองผู้ชายตรงหน้าทันที
เพชร ประธานนักเรียน
เขาเป็นผู้ชายที่จัดว่าหน้าตาดีมากๆ แต่นิสัยเผด็จการกับนิสัยที่ไม่ค่อยยอมใครของเขามันไม่น่ารักเลย เขาเป็นเพื่อนของฉันตอนม.ต้น ฉันชอบแกล้งหมอนี่เป็นประจำแหละ แต่ใครจะรู้…ว่าโตมาจะหล่อขนาดนี้
“พูดใหม่สิ” เพราะฉันมัวแต่คิดถึงเรื่องจดหมายนั่น จนไม่ได้ฟังสิ่งที่เพชรกำลังพูดพล่ามอยู่
“ฉันพูดเป็นรอบที่สี่แล้วนะ!” เพชรตอบกลับ
“รอบที่สามต่างหาก…ไม่ใช่รอบที่สี่”
“-_-^” เขาแยกเขี้ยวใส่ฉัน ก่อนจะหันหลังไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วเอามาวางตรงหน้าฉัน “งานนี้แล้วกัน งานเดียว…งานเร่งด่วนด้วย”
ฉันมองกระดาษสีขาวที่วางอยู่ตรงหน้า เป็นกระดาษแบบเดียวกันกับที่ฉันได้จากห้องปกครอง จะต่างก็ตรงที่ว่า กระดาษแผ่นนี้มีลายน้ำสีแดงๆ ตัวใหญ่มาก…
‘TOP SECRET!’
“ไม่เอา!” พอเห็นลายน้ำนั้น ฉันก็รีบตอบกลับไปทันที ฉันจะไม่ขอยุ่งกับงานที่เป็นความลับอะไรแบบนี้เด็ดขาด ไม่อยากแบกรับความอึดอัดอะไรทั้งนั้น -_-
“เธอบอกไม่อยากทำในห้องสมุด…ฉันให้เธอไปล้างห้องน้ำ ก็ไม่เอา”
“แล้วใครมันจะยอมล้างห้องน้ำกันล่ะ -_-”
“เธอบอกไม่อยากได้งานยืดเยื้อ…ฉันให้เธอไปทำความสะอาดสระว่ายน้ำ ก็ไม่เอา” เขาพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมากอดอก “มาเป็นประธานแทนฉันไหมล่ะ ห๊ะ!!!!”
ฉันสะดุ้งไปนิดหน่อยที่เขาตะโกนใส่ ก่อนจะยกมือขึ้นมาเท้าคางบนโต๊ะเขา งานพวกนี้มันเหมาะสมกับฉันหรือไง ฉันหน้าเหมือนภารโรงเหรอ ให้แต่งานทำความสะอาดอยู่ได้! -_-
“ก็ฉันไม่ชอบทำความสะอาด!” ฉันตอบ
“ก็งานนี้แหละ! ไม่ยืดเยื้อ…ไม่ต้องทำความสะอาด ครั้งเดียวจบ!”
“ลองอธิบายมาสิ” ฉันตอบกลับพร้อมกับหรี่ตามองเขาอย่างจับผิด
“เอกสารสำคัญของโรงเรียนหายไป…ได้ยังไงก็ไม่รู้” เพชรพูดนิ่งๆ “เพราะมันเป็นเอกสารสำคัญมาก เราต้องหาให้เจอก่อนปิดภาคเรียนนี้”
นี่สินะ…งานที่ไต้ฝุ่นว่าน่ะ
ฉันว่ามันคงเป็นงานง่ายๆ มากเลยนะ ก็แค่เปิดกล้องวงจรปิดดูว่าใครเป็นคนขโมย ถ้ามองเห็นหน้าไม่ชัด สืบไม่นานเดี๋ยวก็รู้แล้วล่ะ
“เอกสารอะไร” ชอบถาม
“บอกไม่ได้…และห้ามอ่าน!” เพชรตอบกลับมาอย่างหนักแน่น
“แล้วฉันจะรู้ได้ไงว่าฉันเอาเอกสารมาให้นายถูกน่ะ?”
“ฉันจะเป็นคนให้คำตอบเธอเอง”
“ถ้าฉันรู้ว่าเอกสารนั่นคืออะไร ฉันก็จะรู้ว่าคนที่ขโมยไปมีแรงจูงใจอะไร และมันจะทำให้เราตามหาเอกสารได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม” ฉันพูดอย่างยืดยาวแบบฉบับคนฉลาด
“ไม่บอกอ่ะ -_-”
“ฉันก็ไม่ทำ!”
“งั้นก็ไปล้างห้องน้ำ จบ!”
ไม่จบเฟ้ย -_-! นี่เขากำลังถือไพ่เหนือกว่าฉันอยู่ใช่มั้ย ทำไมทางเลือกของฉันมันถึงได้ดูรันทดไปหมดแบบนี้…ฉันมีทางเลือกอื่นนอกจากล้างห้องน้ำมั้ยเนี่ย
“ก็ได้ๆ ทำก็ได้!” ในที่สุด ฉันก็พ่ายแพ้ต่อการล้างห้องน้ำ T^T!
“แน่ใจนะว่าจะไม่เปลี่ยนใจทีหลัง” เพชรหันมาถาม
“ไม่เปลี่ยนใจ…แต่ฉันขอรายละเอียดมากกว่านี้ได้มั้ย?”
“ได้สิ…เอกสารที่หายไป มีแผ่นเดียว หายไปเมื่อเทอมที่แล้ว”
เทอมที่แล้ว? ตอนนี้มันคงกลายเป็นกระดาษเช็ดก้นใครสักคนในห้องน้ำแน่ๆ -_-
“เรื่องแค่นี้ สบายมาก!”
“แล้วเจอกัน…ตอนที่เธอหาเอกสารนั่นเจอนะ” เพชรพูดพร้อมกับขยิบตาให้ฉัน ทำไมเขาดูมั่นใจในตัวของฉันจัง -_-
“ฉันไปก่อนนะ”
ฉันลุกหนีเขาทันที ก่อนจะเปิดประตูออกมาจากห้องของเขา
ฉันเดินลงบันไดมาที่ห้องเรียนของตัวเองที่ชั้นสอง ตอนนี้เพื่อนๆ กำลังทำแล็บกันอยู่ที่ตึกอื่น เหลืออีกประมาณห้านาที ถึงจะหมดคาบ ส่วนฉันก็ทำได้เพียงแค่นั่งรอเพื่อนกลับมาเรียนคาบต่อไป
ฉันเดินไปเปิดล็อคเกอร์ของตัวเอง เพื่อเอาหนังสือเรียนออกมารอเรียน พอยกหนังสือเคมีเล่มหนาขึ้น ก็ทำให้ฉันได้เห็นอะไรบางอย่าง…จดหมายสีแดง
ฉันรีบวางหนังสือเคมี ก่อนจะยื่นมือไปหยิบมันและเปิดอ่านทันที
‘ออทั่ม
แลกความลับกันไหม?
ฉันเป็นคนขโมยเอกกสารลับไปเอง
ผู้หวังดี’
นี่มันชักจะตลกเกินไปแล้วนะ…
รออ่านนะค้า

ชอบบุคคลิกนางเอกอ่ะ ดูเป็นคนนิ่งๆ แต่ไม่รู้จะนิ่งไหมนะ ฮ่า 😜
มาเจิมห้ายยยยย รอโหวต รอติดตามค่ะ สู้ๆ นะคะ
อยากอ่านตอนต่อไปซะแล้วสิ
สู้ๆ นะ
:)
เรื่องนี้ดูมีปมมม นางเอกเราก็มีมิติพอสมควรเลย ชอบการบรรยายช่วงดราม่านะคะ >w<
พระเอกก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กด้วย ขอให้เคมีพุ่งๆ เลยนะ สู้ๆ จ้า
วันนั้นหลอกถามกันหลายคนยังไม่ยอมบอกเลย