My Dear

[JLS11] Cool Kids เขียนรักครั้งใหม่ ขอกลายเป็นสาวป็อป!

ถ้าเปรียบเขาเป็นท้องฟ้า ฉันคนนี้ก็คงเป็นแค่หัวมันฝรั่ง T^T แต่นางฟ้าก็คงเห็นใจฉันอยู่บ้างล่ะน้า ถึงได้ดลใจให้เพื่อน(เคย)สนิทมาเสนอตัวช่วย แต่ไปๆ มาๆ ทำไมกามเทพของฉัน...ดันกลายเป็นเกย์ไปได้ล่ะเนี่ย!!!

0%
VOTE
ตอนก่อนหน้า

ตอนที่ 7/7 :: People Show Their True Feelings When They're Drunk

7

People Show Their True Feelings When They're Drunk

ผู้คนจะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาเมื่อพวกเขาเมา


            Monika’s House

            20.01 P.M.

              เสียงเพลงดังกระหึ่มตั้งแต่เรายังไม่ทันก้าวขาเข้าไปในบ้านหลังใหญ่อลังการของโมนิก้าที่ควรค่าแก่การเรียกว่าคฤหาสน์ซะมากกว่า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนเราเข้าไปเสียงนั่นจะเสี่ยงต่อการทำลายระบบประสาทการได้ยินของฉันขนาดไหน

              ฉันเดินอย่างรู้สึกประหม่านิดหน่อย แต่ก็อุ่นใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่ามีเอเดนเดินไปข้างๆ ด้วยกัน ผู้คนในงานบ้างคุยกับเพื่อน บ้างเต้นตามจังหวะเพลง ฉันพยายามสอดส่องสายตามองหาชายผมแพลตตินั่มบลอนด์เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าชวนฝันแต่ก็ว่างเปล่า ก่อนที่จะพลันไปเห็นว่าโมนิก้ากับเจฟฟ์กำลังเดินมาพร้อมกันโดยมีฝ่ายชายโอบเอวไว้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของอยู่ข้างๆ

              “ฮายยย~ มีอามอนยกแก้วในมือทักทายฉันด้วยน้ำเสียงสดใส แต่ทว่าตั้งใจเมินเอเดนที่ยืนอยู่ข้างฉันเหมือนเขาเป็นแค่ฝุ่นผงที่ลอยตามอากาศซะงั้น =_=;;

              “ไฮโมนิก้า ไฮนะเจฟฟ์ฉันยิ้มทักทายทั้งสองคน

              “ว้าว! ฉันบอกแล้วว่าเธอต้องดูดีแน่ๆ ตอนใส่ชุดนี้เธอผละออกจากแฟนหนุ่มแล้วจับฉันหมุนตัวดูรอบทิศทาง

              “ไม่ค่อยชินยังไงไม่รู้ มันหวิวๆ อ่ะฉันว่าแล้วเอามือจับท้องตรงที่เสื้อครอปปาดไหล่สีดำคลุมไม่ถึง ถึงแม้จะมีกางเกงเอวสูงขายาวสีเดียวกันจะช่วยปิดสะดือให้หายอายได้นิดนึงแล้วก็เถอะ แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ ฉันชอบชุดนี้มากเลย

              แน่นอนว่าชุดนี้ฉันไม่ได้เป็นคนซื้อมา ราคาขนาดนี้ฉันเอาไปใช้ได้เป็นเดือนเลยมั้ง ต้องขอบคุณโมนิก้าสำหรับการเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ ยกชุดนี้ให้ฉันทั้งๆ ที่เธอพึ่งเคยใส่ไปได้แค่ครั้งเดียว ฉันพยายามปฏิเสธเธอแล้วนะแต่มอนอยากให้ฉันใส่ชุดนี้มางานปาร์ตี้บ้านเธอมาก ฉันก็เลยต้องยอม ไหนๆ ก็ของฟรีนี่เนอะ (ไม่ค่อยเห็นแก่ของฟรีเลยจริงๆ นะ -.,-)

              “ไว้ฉันจะเอามาให้อีกนะ มีที่พึ่งเคยใส่ครั้งเดียวอีกเป็นร้อยๆ ตัวแน่ะ

              ฉันว่าเธอคงจะหมายถึงเป็น ‘ร้อยๆแบบร้อยกว่าตัวจริงๆ นั่นล่ะ ก็คนบ้านรวยนี่นะ

              “ไม่เป็นไรหรอก ฉันเกรงใจน่ะ ^^;”

              “เกรงใจอะไรกัน เรื่องแค่นี้เองเธอยิ้มหวานแล้วหันไปบอกแฟนหนุ่มว่าให้ไปที่อื่นก่อนได้เลย เจฟฟ์ยิ้มให้ฉันทีนึงก่อนจะเดินไป มอนจึงเดินมาโอบไหล่ฉันอย่างสนิทสนมโดยเบียดกึ่งกลางระหว่างฉันกับเอเดนจนเขาต้องก้าวถอยหลังออกไป เห็นได้ชัดว่าเอเดนมองแรงมาก แต่ดูเหมือนมอนจะไม่ยี่ระสักนิด ฉันมีคนจะแนะนำให้เธอรู้จักเยอะเลย มาเถอะ

              ฉันถูกโมนิก้าลากไปมาทั่วงานเลย ถึงแม้จะรู้สึกประหม่าแค่ไหนแต่ฉันก็แสร้งทำทีว่าเป็นคนมั่นใจในตัวเองออกไปแม้ที่จริงจะไม่ได้รู้สึกมั่นใจซักนิด เอเดนเป็นคนแนะนำเทคนิคนี้ให้ฉัน เขาบอกว่าให้ฉันทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนวันนึงฉันก็จะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ซึ่งฉันคิดว่ามันเป็นวิธีที่เยี่ยมดีนะ เพราะตอนนี้ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนมั่นใจในตัวเองขึ้นมานิดนึงแล้วล่ะ *^*

              แต่เปล่าหรอก คิดไปคิดมามันอาจจะเป็นผลจากฤทธิ์แอลกอฮอล์อันน้อยนิดที่ฉันเผลอดื่มไปแบบไม่รู้ตัวเพราะมันผสมอยู่ในบลูฮาวายก็ได้ ฉันรู้สึกมึนหัวนิดหน่อยแล้วนะเนี่ย @_@ แต่อย่างน้อยเอเดนก็มาด้วย ยังไงก็คงอุ่นใจได้บ้างว่าจะมีคนไปส่งฉันที่บ้านแน่ๆ

             หลังโมนิก้าแยกไปกับโซอี้แล้ว ฉันจึงเดินมาหาเอเดนและพากันกินอาหารในงานซะจนอิ่ม ก่อนจะปลีกตัวมานั่งหลบมุมบนโซฟาในบ้านกันเงียบๆ สองคน

              ที่จริงจะพูดว่า ‘เงียบๆก็ไม่ได้หรอก เสียงเพลงจากข้างนอกดังเข้ามาข้างในไม่ต่างกันเลย โชคดีที่กลุ่มคนซึ่งอยู่ในนี้กำลังนั่งล้อมวงเล่น Truth or Dare กันอยู่แบบเสียงไม่ดังมาก ฉันก็เลยรู้สึกสบายหูขึ้นมานิดนึง

              ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มครึ่งแล้ว…ฉันง่วงนอนมากจนอยากจะกลับบ้าน ส่วนพี่แอชเชอร์ก็ยังไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่เลย บอกฉันทีว่าเขาไม่ได้เกิดเปลี่ยนใจกะทันหันไม่มาไปแล้วน่ะ Y_Y

              “ทำไมเธอถึงชอบพี่แอชเชอร์?” ระหว่างนั่งเงียบๆ กันมาเกือบสิบนาทีเอเดนก็ถามขึ้นมา ฉันจึงหันไปทำหน้าสงสัยใส่เขาที่จู่ๆ ก็ถาม แค่อยากรู้อีกฝ่ายไหวไหล่

              “ไม่รู้สิอืมมม~” ฉันยกบลูฮาวายขึ้นจิบระหว่างนึกไปด้วย เพราะเขาพิเศษล่ะมั้งฉันยิ้มเขินๆ พูดถึงพี่แอชเชอร์ทีไรฉันก็เป็นแบบนี้ตลอดแหละ -///- เขาเป็นคนที่ทำให้หัวใจฉันเต้นรัวตลอด เป็นคนที่แค่นึกถึงก็หวั่นไหว วันไหนได้เจอก็รู้สึกอิ่มใจไปทั้งวัน...เพราะแบบนั้นล่ะมั้ง ฉันถึงได้มั่นใจว่าฉันชอบเขา

              เอเดนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ฉันเดาความรู้สึกไม่ออก “เธอดูจะชอบพี่เขามากเลยนะ

              “มากกว่าชอบ...แต่ไม่ถึงกับรักฉันพูดตามความรู้สึกจริงๆ ของตัวเอง ฉันไม่กล้าจะพูดเต็มปากหรอกว่า รักเขา เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย… “บางทีฉันก็ไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกไปมากกว่านี้เลย

              ฉันตัดพ้อขึ้นมาซะอย่างงั้น แถมรู้สึกอยากพูดนู่นพูดนี่มากกว่าปกติอย่างบอกไม่ถูก

              “ในความรู้สึกฉัน พี่แอชเชอร์เป็นคนที่ไกลเกินจะสัมผัส เขาสมบูรณ์แบบไปหมด แต่ฉันไม่...ไม่มีอะไรที่พอจะดูเหมาะกับเขาเลย แล้วฉันก็ชอบรู้สึกว่าตัวเองไม่มีทางจะเป็นคนพิเศษของใครได้แบบที่พี่แอชเชอร์พิเศษสำหรับฉัน

              ฉันไม่ได้รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลหรืออะไร เหมือนที่พูดไปแค่บ่นๆ ให้เอเดนฟังเท่านั้น รู้ตัวอีกทีก็ร่ายไปยาวแบบไม่รู้ตัวซะแล้ว

              “ไม่จริงหรอก

              “...”

              “เธอพิเศษสำหรับฉันไงมีอาเขาพูดพร้อมระบายยิ้มบางๆ และแววตาที่ดูอบอุ่น

              และนั่นทำเอาฉันสตันไปหลายวินาทีเลย...

              “นายน่ารักจัง (.///.)จู่ๆ ฉันก็พูดออกมาซะอย่างนั้น พูดแบบที่ไม่ทันคิดอะไรเลยด้วย

              “Thanks. (ขอบใจ)

              ฉันไม่รู้ว่าเขาทำหน้ายังไงตอนเอ่ยเพราะกำลังหันหน้าหนีแสร้งทำเป็นจิบบลูฮาวายอยู่ ไม่ใช่อะไรหรอก เขินที่จู่ๆ ตัวเองก็ไปชมเขาว่าน่ารักเนี่ยแหละ แงงง T////T บ้าบอจริงๆ เลยมีอา ระบบประสาทส่วนที่ทำหน้าที่คิดปิดไปแล้วรึไงเนี่ย

              “ได้ข่าวแม่เธอบอกห้ามดื่มแอลกอฮอล์ แต่ฉันเห็นเธอดื่มบลูฮาวายไม่หยุดเลยนะ -_-^” เขาว่าฉันทั้งๆ ที่ในมือตัวเองก็ถืออยู่ ใช่ซี้~ ก็แม่เขา (ไม่น่าจะ) ว่านี่

              “มอนบอกว่ามันผสมแค่นิดเดียว

              “แต่คออ่อนแบบเธอดื่มไปเยอะๆ ก็มีสิทธิ์เมานะ

              พอได้รับคำเตือนและสายตาเชิงบังคับจากเอเดนฉันก็เลยวางแก้วลงกับพื้น แล้วจึงค่อยๆ เอนตัวพิงลงบนโซฟาอย่างไม่กลัวว่าผมลอนที่แม่ทำมาให้จะเสียทรง เสียงเพลงยังคงดังแต่หูฉันเริ่มจะชินแล้ว หนังตาก็เริ่มรู้สึกหนัก ผลข้างเคียงจากการนอนเที่ยงคืนแต่โดนปลุกให้ตื่นตั้งแต่แปดโมงอย่างไม่ต้องสงสัย

              ฉันค่อยๆ เอนหัวไปวางบนไหล่เอเดนแบบเนียนๆ เพราะเมื่อยคอเหลือเกิน พอเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไรฉันก็ยิ่งได้ใจใหญ่ซบต่อยาวเลย กำลังเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับเต็มที แต่ทว่าทำนองเพลงคุ้นหูที่ดังขึ้นก็ทำให้ตาฉันสว่างขึ้นมานิดหน่อย

              “เพลงนี้เพลงโปรดฉันฉันพูดโดยที่ยังคงซบไหล่เขา เสียงอันมีเอกลักษณ์ของ ดังขึ้นมา ทำเอาฉันต้องหลับตาพริ้มเพื่อฟัง Lean On ให้ได้อรรถรสมากที่สุด

 

Do you recall, not long ago

ยังจำได้รึเปล่า เมื่อไม่นานมานี้

We would walk on the sidewalk

เราสองคนเคยเดินไปตามทางเท้า

Innocent, remember?

ความไร้เดียงสา ยังจำได้มั้ย?

All we did was care for each other

ทั้งหมดที่พวกเราเคยทำคือการดูแลกันและกัน

 

              ฉันรักเพลงนี้...รักทำนองติดหู เสียงใสกิ๊งของนักร้อง และเนื้อเพลงที่ลึกซึ้งจนสัมผัสหัวใจฉันเข้าเต็มๆ

              เขาว่ากันว่าแต่ละคนตีความหมายแต่ละเพลงไปแตกต่างกัน เพลงนี้บางคนอาจจะชอบแค่ทำนอง บางคนอาจฟังแล้วนึกถึงคนรัก แต่ฉันกลับฟังแล้วนึกถึงเพื่อน…

             หน้าเอเดนกับแคโรไลน์ลอยมาทุกครั้งที่ฉันได้ยินเพลงนี้แบบไม่มีเหตุผล ต้องมีใครหาว่าฉันบ้าแน่ถ้าฉันบอกว่าฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกเหงา...แต่บางเวลามันเป็นแบบนั้นจริงๆ

              ฉันหันหน้าเข้าหาแขนเสื้อเอเดนแล้วสูดดมกลิ่นน้ำหอมผสมกลิ่นเฉพาะตัวของเขาแบบที่ชอบทำกับหนังสือเวลาซื้อใหม่ แค่เพื่อให้ฉันแน่ใจว่าตอนนี้ฉันอยู่กับเอเดนจริงๆ ไม่ได้แค่ฝันไป...

              เขาจะเคยรู้มั้ยบ้างมั้ยว่าตั้งแต่วันที่เราแยกกัน...ฉันก็คิดถึงเขามาตลอดเลย

              คิดถึงมากจริงๆ

              แล้วเขาจะเคยรู้สึกแบบเดียวกันบ้างมั้ยนะ…?

 

But the night was warm

แต่คืนนั้นน่ะมันช่างอบอุ่น

We were bold and young

พวกเรายังเด็กและกล้าหาญ

All around the wind blows

สิ่งรอบตัวน่ะถูกลมพัดปลิวไปหมดแล้ว

We would only hold on to let go

เราก็แค่รักษาไว้เพื่อที่จะปล่อยไปเท่านั้นแหละ

             

              ...ความเปลี่ยนแปลงนี่มันน่ากลัวชะมัดเลย

              ฉันผละหน้าจากแขนเสื้อของคนตัวหอมแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองคล้ายจะส่งสายตาสื่อความหมายจากเพลงที่กำลังฟังส่งไปถึงเขา ก่อนจะพบว่าเอเดนกำลังมองฉันอยู่ก่อนแล้ว

              ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองรึเปล่า...แต่ความรู้สึกฉันมันบอกว่าเอเดนเข้าใจ

              เราจ้องตากันอยู่อย่างนั้น น่าแปลกที่ฉันทำได้ เพราะโดยปกติ การจ้องตาใครสักคนเกินสิบวินาทีเป็นเรื่องที่ทำยากมากสำหรับฉัน

              จนถึงครึ่งเพลงเราก็ยังคงค้างอยู่อย่างเดิม...จู่ๆ ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าหน้าเราสองคนกำลังเขยิบหากันกันอย่างช้าๆ ริมฝีปากสีชมพูธรรมชาติที่ใกล้เข้ามาในระยะสายตาทำให้หัวใจฉันเต้นตึกตักเร็วขึ้น ฉันจะไม่เถียงเขาอีกแล้วล่ะถ้าเขาจะบอกว่าปากตัวเองเซ็กซี่น่ะ…

              ฉันเคลิ้มจนเกือบจะหลับตา แต่ทันใดนั้นก็ราวกับวิญญาณกลับเข้าร่าง ฉันรีบก้มหน้าลงไปซบแขนเขาอย่างเดิมพร้อมสูดหายใจเรียกสติเพราะทำอะไรไม่ถูก

ตึกตักตึกตักๆๆๆ!!!

              เลือดสูบฉีดไปทั่วหน้าจนร้อนผ่าวไปหมด พระเจ้า...ให้ตาย...เมื่อกี้ฉันต้องคิดไปเองแน่ๆ ที่จริงเขาไม่ได้ก้มหน้าลงมาแต่อาจจะเป็นฉันเองที่เขยิบหน้าเข้าไปหารึเปล่า หรือยังไง? งงไปหมดแล้ว ฮืออออออ

              ฉันบ้าไปแล้วจริงๆ ใช่มั้ยถึงได้หวั่นไหวกับผู้ชายที่สนิทกันมาแต่เด็กแถมยังไม่ได้ชอบผู้หญิงอย่างเอเดนเนี่ย T/////T

              “โอ้โห! โลกกลมหรือพรหมลิขิตบันดาลล่ะเนี่ยเสียงของชายแปลกหน้าคนหนึ่งดังขัดจังหวะขึ้น ฉันค่อยๆ ผละตัวจากเอเดนแล้วถ่างตาที่เหมือนจะหลับมองไปยังผู้มาใหม่ ร่างสูงในชุดดูดีและผมที่เซ็ตเป็นทรง ฉันจำได้โดยอัตโนมัติจากการไปเสิร์ชชื่อเมื่อวันก่อนว่าเขาคืออีตา เอซ แฮมป์ตัน คนที่คิดโปรเจ็คต์บ้าๆ บอๆ นั่นขึ้นมา โหวๆ ควงสาวมางานปาร์ตี้งี้ยัยชาร์ล็อตต์ไม่ดุหรอเอเดน

              เอิ่ม…ฉันมีความรู้สึกว่าหมอนี่มีกลิ่นอายความน่าตบอ่ะ

              เอเดนกรอกตาวนใส่เขาสักสามรอบได้ และนั่นดูเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายมีความสุขมาก จากที่แอบส่องๆ มาในโซเชี่ยล ฉันพอจะสรุปได้ว่าเอซมีผู้จัดการคนเดียวกับเอเดน แถมยังเป็นรุ่นพี่ซีเนียร์[1]ที่โคตรกวนประสาทและขี้แกล้ง (ชาแนลยูทูบเขามีพวกคลิปแกล้งคนหรือท้ากันทำนู่นนั่นไรงี้เต็มไปหมด) ซึ่งนั่นไม่ใช่คนประเภทที่ฉันจะคุยได้รู้เรื่องสักเท่าไหร่

              “ฉันบอกนายเก้าสิบล้านรอบแล้วว่าฉันกับชาร์ล็อตต์เป็นแค่เพื่อนกัน มีอาก็เหมือนกันสงสารเอเดน ชอบผู้ชายแต่โดนแซวว่าชอบชาร์ล็อตต์เฉย เขาจะขนลุกอะไรงี้มั้ยนะ =.,=

              “มีอา?” เขาหรี่ตาลงมองฉันแล้วยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ มีอา เดียร์รึเปล่านะ…?”

              “เงียบปากไปเลย ฉันเล่าให้เธอฟังหมดแล้ว

              “ว้า~ หมดสนุกเลยสิเนี่ย นึกว่าจะได้ความลับมาต่อรองอะไรซะแล้ว :P” การแก่กว่าสองปีไม่ได้ทำให้เอซดูน่านับถือเลยจริงๆ -_-;; “ฉันเอซนะมีอา แต่เดาว่าเธอคงรู้จักฉันอยู่แล้วล่ะ เพราะฉันน่ะฮอตโคตร

              “...เหรอ -O-”

              “ฮ่าๆๆๆเอเดนหัวเราะใส่หน้าเอซที่หุบยิ้มลงอย่างขัดใจกับคำพูดฉัน แล้วนี่มาได้ไง หรือปวดฉี่เห็นบ้านนี้จัดปาร์ตี้พอดีเลยเนียนมาแอบเข้าห้องน้ำ

              “เออใช่ เดี๋ยวไปเข้าแป๊บเขาก็ทำท่าจะเดินไป ก่อนจะหมุนกลับมาในประโยคหลัง จะบ้าเรอะ! น้องโมนิก้าคนสวยเชิญฉันมาต่างหากเฟ้ย

              ช้าไปอีกนิดฉันเชื่อแล้วอ่ะ จริงๆ เขาก็ตลกดีเนอะ ฮ่าๆๆ

              “อยู่คนละโรงเรียนก็ยังอุตส่าห์ไปตี้ซี้มาเนอะไม่แน่ใจว่าประโยคนี้ตั้งใจแซะใครกันแน่ระหว่างเอซกับมอน เป็นไปได้ว่าทั้งคู่ =_= วงจรเพื่อนกว้างขวางกว่าเอเดนก็โมนิก้าแล้วล่ะ ไม่เชื่อดูจากจำนวนประชากรที่มาปาร์ตี้สิ เออ แล้วนี่นายเห็นพี่แอชเชอร์บ้างมั้ย?”

              “แอชเชอร์ เบ็นสันคนที่เกือบหล่อเท่าฉันป่ะช่างกล้า -_- “เห็นเมื่อกี้เถียงอะไรกับเพื่อนอยู่ไม่รู้ เหมือนเพื่อนติดแฟนไม่สนใจตัวเองอะไรงั้นล่ะมั้ง พอดีโดนจับได้ว่าแอบมองเลยต้องเดินหนีเพื่อความเนียนตรงประโยคหลังเขาพูดพร้อมหย่อนตัวลงนั่งข้างฉันซะใกล้ราวกับสนิทกันมาแรมปี ซึ่ง...เอาเถอะ

              เพื่อนที่ว่านั่นต้องเป็นพี่ริชาร์ดอย่างไม่ต้องเดา แต่ว่าทะเลาะกันเรื่องแค่นั้น? ปกติผู้ชายไม่น่าจะหยุมหยิมเรื่องพวกนี้นี่นา...หรือพี่แอชเชอร์จะน้อยใจที่เพื่อนๆ มีแฟนกันหมด?

              ตอนเปิดเทอมแรกมันมีเรื่องเกิดขึ้นในกลุ่ม 4 คนของพี่แอช เล่าแบบสรุปที่สุดคือพี่ซัลลี่กับพี่เจสซีคบเป็นแฟนกับพี่เลิฟยูและพี่นิวเยียร์ที่พึ่งย้ายมาจากไทย ตอนนั้นพี่มิแอนน์ก็โกรธพี่ริชาร์ดอยู่ ไปๆ มาๆ พี่ยูก็เลิกกับพี่ซัลมาคบพี่แอช (ฉันใจสลายมากตอนนั้น) แล้วก็เลิกพี่แอชไปคบพี่ซัลใหม่

              นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนจนพี่ริชาร์ดง้อพี่มิแอนน์สำเร็จกลับมาคบกันใหม่แล้ว ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าพี่แอชเชอร์น่ะลืมพี่ยูได้จริงๆ มั้ย แต่กลุ่มเขาก็ดูสมัครสมานกันดี ฉันเลยคิด (เข้าข้าง) ตัวเองว่าเขาคงลืมและทำใจได้แล้ว

              “เฮ้ แล้วใจคอพวกนายจะนั่งอยู่บนโซฟาเฉยๆ แบบนี้ไปตลอดรึไง นี่มันปาร์ตี้นะ!ว่าแล้วเอซก็ลุกขึ้นมาเหมือนพึ่งนึกได้ว่าเข้ามาในนี้เพื่อทำอะไร มาเล่นจริงหรือท้ากันดีกว่า มาๆ

              “ไม่ล่ะ ฉันกับเอเดนว่าจะออกไปหาอะไรกินกันหน่อยฉันลุกขึ้นเตรียมลากเพื่อนรักออกไปหาพี่แอชเชอร์ แต่โลกดันก็เล่นตลกเมื่อร่างสูงที่เราพึ่งพูดถึงเดินเข้ามาพร้อมช็อคโกแลตมิลค์เชคที่ใกล้หมด

              “อ้าวมีอา เอเดนพอหันมาสบตาฉันพอดีพี่แอชเชอร์ก็เอ่ยทักเราสองคน ถึงปากเขาจะพยายามยิ้มแต่ตาเขาไม่ยิ้มไปด้วยเท่าไหร่ ฉันสัมผัสได้ว่าเขากำลังโกรธใครสักคนอยู่

              “เฮ้ๆ นายคือแอชเชอร์ เบ็นสันใช่มั้ยฉันยังไม่ได้ตอบอะไรเขาเอซก็แทรกขึ้นมา ก่อนจะเดินไปหาพี่แอชเชอร์แล้วยื่นมือไปตรงหน้าเขาอย่างเฟรนด์ลี่ ฉันเอซนะ เดาว่านายคงรู้จักฉันอยู่แล้ว

              “...ไม่ฉันกำลังจะร้อง ว้ายๆสมน้ำหน้าเขาในใจอยู่แล้วเชียว แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อพี่แอชเปลี่ยนสีหน้ามาเป็นยิ้มตลกๆ “Just kidding น่า ฉันติดตามอินสตาแกรมกับยูทูบชาแนลนายอยู่ ทำไมจะไม่รู้จัก

              “เออว่ะ ฮ่าๆเอซเปลี่ยนจากสีหน้าเจื่อนๆ มาเป็นหัวเราะร่าแล้วกำหมัดไปชกตรงอกพี่แอชเบาๆ จากนั้นทั้งสองคนก็เชคแฮนด์กัน ฉันก็ตามไอจีนายมานานแล้วเว้ยน้องชาย รู้จักกันอย่างเป็นทางการซะทีนะ

              มีความอึ้ง...ทั้งในความโลกกลมและความสุดยอดเฟรนด์ลี่ของเอซ -O-^

              “ถ้านายว่างมาเล่นจริงหรือท้ากันมั้ย ฉันกำลังจะเข้าไปร่วมวงกับพวกเขาพอดีเลยเอซพยักเพยิดหน้าไปทางวงที่เริ่มกว้างเพราะมีคนเยอะขึ้นกว่าตอนเริ่มเล่นใหม่ๆ มาก

              “เอาสิพี่แอชรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะหันมาหาฉันกับเอเดน แล้วเธอสองคนจะเล่นรึเปล่า?”

              “เล่นค่ะคำตอบเปลี่ยนเสมอเมื่อเปลี่ยนคนถาม ฮิๆ >_<

              การเล่น Truth or Dare ดำเนินไปอย่างน่าติดตามแม้ฉันจะไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรนอกจากนั่งมองก็ตาม แต่เพราะคนที่นั่งอยู่ฝั่งขวาของฉันคือพี่แอชเชอร์ ดังนั้นหัวใจฉันจึงเต้นเหมือนลุ้นระทึกอะไรอยู่ตลอดเวลา (.///.)

              แล้วเรื่องก็น่าตื่นเต้นขึ้นนิดนึงเมื่อผู้หญิงในวงคนหนึ่งหมุนขวดมาโดนเอเดนที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายของฉัน เขาเลือก Truth อย่างไม่ลังเล และนั่นทำให้อีตาเอซที่นั่งถัดไปจากพี่แอชส่งเสียงโห่ออกมา

              “ใจๆ หน่อยเอเดน เลือกจริงงี้ก็ไม่มันดิ

              “ได้ข่าวนายไม่ได้เป็นคนหมุนโดนฉัน -*-

              “ฉันไม่รู้จะถามอะไรเขาดีอ่ะหญิงสาวผมสีควันบุหรี่ไหวไหล่ แน่ล่ะ เธอไม่รู้จักเอเดนเป็นการส่วนตัวนี่

              “งั้นฉันขอถามแทนเธอได้มั้ยเจดเจดพยักหน้า เอซจึงจัดการยิงคำถามใส่เอเดนทันที นายชอบชาร์ล็อตต์เพื่อนสนิทนายใช่หรือไม่เอเดน?”

              ฉันรู้สึกดีใจมากที่เขาไม่โดนถามว่า ‘เป็นเกย์รึเปล่า?’ ดังนั้นคำถามนี้จึงตอบง่ายมาก

              “ไม่ ฉันกับชาร์ล็อตต์เป็นแค่เพื่อนกัน

              “ใช่เหร้อออเอซยังไม่ยอมแพ้ เกมนี้ห้ามโกหกนะพวก

              “ใช่เอเดนตอบอย่างไม่สะทกสะท้านพร้อมเอื้อมหยิบขวดตรงกลางวง ตาฉันหมุนขวดแล้ว

              และ… แจ็กพ็อตแตก! เอเดนหมุนไปโดนอีตาพี่เอซล่ะ ฮ่าๆๆ

              “ฉันเลือกท้า พอดีเป็นคนแมนๆ เว้ย ฮ่าๆ

              เอเดนยิ้มเจ้าเล่ห์ ฉันรู้เลยว่าเขาต้องคิดอะไรแผลงๆ ในหัวแน่ๆ “ดี งั้นด้วยความเคารพรักนะครับคุณพี่เอซ...ฉันขอท้าให้นายไปเต้นบัลเล่ต์บนเวที!”

              เอซหน้าเจื่อนไปครู่หนึ่งก่อนจะคืนกลับเป็นปกติภายในเวลาอันสั้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่กลัวเลยสักนิดแถมยังไหวไหล่และเบ้ปากประกอบ “แค่นี้เอง โคตรเด็กเลยว่ะ

              คนทั้งวงลุกตามเอซไปที่หน้าเวที เขาเดินขึ้นไปบนเวทีแบบไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วจัดการเต้นบัลเล่ต์แบบแปลกๆ ที่ดูยังไงก็ห่างไกลจากคำว่าบัลเล่ต์ เหมือนจะเป็นท่าที่คิดมาเองใหม่หมดเลยซะด้วย ประเด็นคือเขาก็เต้นแบบเต็มที่ไม่มีกั๊ก เล่นเอาดีเจบนเวทีถึงกับช็อคไปเลย คนทั้งงานนี่ไม่ต้องพูดถึง ขำกันน้ำตาจะไหลพร้อมหยิบโทรศัพท์มาถ่ายวิดีโอเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันถ้วนหน้า

              จริงๆ ก็สงสารนะ แต่ตลกมากกว่าอ่ะ ละครสัตว์ครั้งล่าสุดที่ฉันไปดูนี่เทียบไม่ติดเลยนะ ฮ่าๆๆๆ

              “อย่าให้ดวงนายตกบ้างนะเอเดน เสร็จฉันแน่เอซพูดอย่างอาฆาตแค้นตอนทุกคนมานั่งรวมเป็นวงกลมกันเรียบร้อย ว่าแล้วเขาก็จัดการหมุนขวดทันทีอย่างไม่รอช้า

              สันหลังฉันเสียววาบขึ้นมาเมื่อขวดหมุนลงช้าลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะตอนที่มันมาหยุดอยู่ที่คนก่อนถึงเอเดน ขนของฉันก็ลุกซู่ไปทั้งตัว...

              ก็ใครนั่งอยู่ฝั่งขวาของเขาล่ะ...ฉันนี่ไง!!!

              “จริงหรือท้าดีล่ะมีอา?” เอซยิ้มอย่างมีเลศนัย ทำเอาฉันแทบจะร้องไห้ TOT

              “จะ…” ฉันเกือบจะพูดออกไปว่า จริงแต่เมื่อหันมาสบตาพี่แอชเชอร์ก็ต้องกลืนคำนั้นลงคอไป ใครจะไปรู้ล่ะ เกิดเขาถามว่าฉันชอบใครฉันก็ตายพอดีสิ งั้นคงต้อง… “ท้าละกัน

              เสียงโห่ฮิ้วตามมาหลังฉันกัดฟันตอบไป เอซยิ้มอย่างพอใจเหมือนมีแผนอยู่ในใจ และทันทีที่เขาเอ่ยคำท้า ฉันก็ตกใจจนแทบหงายหลัง!

              “ฉันขอท้าให้เธอจูบใครก็ได้ในวงนี้ที่ชื่อชึ้นด้วยตัว A :)”

              “!!!”

              “จะบ้ารึไง ท้าอะไรแบบนี้วะเอซ!ระหว่างที่ฉันยังตะลึงงึงงันนั้น เอเดนก็ออกตัวให้อย่างไว ฮือออ ก็ชื่อเขาน่ะเขียนว่า ‘Aydan’ ไงล่ะ! ท้าอย่างอื่นเหอะ

              “ไม่ว่ะเขาไม่สนใจคำร้องของเอเดนก่อนจะหันไปถามคนรอบวงว่ามีใครชื่อขึ้นด้วยตัวเอบ้าง

              และแจ็กพ็อตแตกกว่านี้มีอีกมั้ย! ในวงมีแค่ 3 คนเท่านั้นที่ชื่อชึ้นด้วยเอ นั่นคือ Aydan,Ace และ Asher

              โอ้หลั่นล้า ฉันจะร้องไห้ TTOTT

              “แต่ฉันยังไม่เคยมีจูบแรกเลยนะ เปลี่ยนคำท้าเถอะนะเอซในที่สุดฉันก็ต้องใช้ไม้อ่อนยอมขอร้องเขาแต่โดยดี พร้อมทั้งพยายามทำหน้าน่าเห็นใจเผื่อเขาจะยอม

              “ไม่มีก็จะได้มีซะไงว่าแล้วก็เอามือมาตบหลังฉันแปะๆ จูบฉันได้นะฉันไม่ถือ อนุญาตให้นำความฟินไปเล่าต่อได้ไม่หวงด้วย J

              กรี๊ดดดด เกลียดอีตาพี่เอซที่สุดเลยฮือออออ!!!

              สุดท้ายฉันก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงจะบอกว่าเกมนี้จบแค่ในห้องนี้ก็เถอะ แต่มันจะไม่คิดอะไรเลยได้จริงๆ เหรอ T^T

              ทั้งสามคนมานั่งเรียงกัน เรียงจากซ้ายไปขวาคือ พี่เอซ พี่แอชเชอร์ แล้วก็เอเดน ทุกคนเงียบมากเหมือนลุ้นว่าฉันจะจูบใครระหว่างเพื่อนสนิท นายแบบสุดฮอต หรืออีตาบ้าคนท้า ฉันรู้สึกกดดันจนเหงื่อออกไปหมดทั้งที่แอร์โคตรหนาว ต่อให้สามคนนี้หลับตาอยู่ก็เถอะ แต่แค่คิดว่าต้องไปประทับปากกับใครสักคนในนี้ฉันก็เขินจนตัวจะละลายแล้ว

              “เฮ้ น้องเขาอาจจะอยากจูบนายก็ได้นะแอชทั้งที่หลับตาอยู่แต่เอซก็ยังมีหน้ามาออกความเห็นอีก (รู้ทันจริง)

              “พี่ไม่ซีเรียสนะมีอา ถือว่าเป็นเกมสนุกๆยิ้มแบบเซ็กซี่แบบนั้นทำมาย~ พี่แอชเชอร์ก็ดันไปคล้อยตามไอพี่บ้านั่นอีก

              เอเดนนิ่งเงียบไม่พูดอะไรเลย เขาดูเหมือนคนกำลังนั่งสมาธิยังไงอย่างงั้น เป็นเพราะกลัวจะโดนฉันจูบรึเปล่านะ? -.,-

              โอเค งั้นตัดเอเดนทิ้งไปดีกว่า เขาคงไม่อยากจูบกับผู้หญิงหรอก และเราก็เป็นเพื่อนสนิทกันแต่เด็กแล้วด้วย ถ้าจูบกันคงจั๊กจี้น่าดู ส่วนอีตาพี่เอซ...หึย ไม่เอาอ่ะ ทำไมฉันต้องจูบกับคนท้าด้วยล่ะ เขาก็ได้ใจพอดีน่ะสิ

              งั้นก็เหลือแต่พี่แอชเชอร์...คนที่ฉันอยากจูบแทบคลั่งตั้งแต่วันแรกที่เจอ (.///.) เฮ้อ...เอาน่า ก็แค่เกม ฉันก็แค่เสียจูบแรกให้คนที่ชอบ (และอาจเป็นอนาคตแฟน คิๆ) ดังนั้นจากตัวเลือกทั้งสามคนแล้ว...พี่แอชเชอร์น่าจะเป็นช้อยส์ที่ดีที่สุด

              “เหงือกฉันแห้งแล้วมีอา เธอกำลังทำพิลาทิส[2]อยู่รึเปล่าเนี่ย” เอซเร่งฉันอย่างประชดประชันจนฉันล่ะอยากจะลองเอาเท้าตัวเองไปให้เขาจูบแล้วหลอกว่าเป็นปากซะจริงๆ เล้ย -_-*

              “อือๆ จะจูบเดี๋ยวนี้ล่ะ

              สาม สอง หนึ่ง...ฮึบ!

              ฉันนั่งคุกเข่า สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกลั้นไว้พร้อมหลับตา จากนั้นก็ค่อยๆ เขยิบตัวและใบหน้าเข้าไปใกล้พี่แอชเชอร์ขึ้นเรื่อยๆ...ทีละนิด...ทีละนิด...อย่างเชื่องช้า…กระทั่งใกล้จนริมฝีปากเราเกือบจะแตะกัน

ฉันตัดสินใจค้างท่านั้นไว้ครู่หนึ่งเพราะรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นเร็วมากจนเหมือนจะระเบิดอยู่แล้ว แต่ทว่าเพียงนิดเดียวก่อนฉันจะได้สัมผัสริมฝีปากที่เฝ้าใฝ่หามาเนิ่นนาน แรงดึงจากใครบางคนก็ทำให้ฉันถลาเข้าไปในอ้อมอกของเขา เสียง โว้ว ดังขึ้นมารอบตัวพร้อมกับริมฝีปากหนาที่ถูกทาบลงมาประกบกับริมฝีปากของฉัน ความร้อนจากจุมพิตของอีกฝ่ายแล่นไปทั่วประสาทสัมผัส แม้จะเป็นเพียงการประทับริมฝีปากลงมาเฉยๆ แต่มันก็หวานละมุนจนสามารถทำให้ฉันไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัว

              ฉันหอบเหนื่อยเมื่อผละออกมาจากคนตรงข้ามเพราะเผลอกลั้นหายใจเอาไว้นาน และเมื่อลืมตามองเจ้าของริมฝีปากร้อนรุ่มนั่น ฉันก็ช็อคจนแทบจะเป็นลม!

              “เอเดน!!? O//////O”

              ฉันสับสนมึนงงจนหัวหมุนไปหมด ถ้าเจ้าของจูบนั่นเป็นเอซฉันก็คงโกรธที่เขาทำให้ฉันไม่ได้จูบกับคนที่ชอบ แต่พอเห็นว่าเป็นเอเดนฉันก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องทำสีหน้าหรือแสดงออกไปยังไง ความรู้สึกฉันมันสับสนไปหมด

              เขามาจูบฉันทำไมเนี่ยยย!?!

              “ไปเถอะปล่อยให้ฉันตาโตทำอะไรไม่ถูกได้เพียงครู่เดียว เอเดนก็จับข้อมือฉันลุกเดินออกมาจากวงอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมาถึงหน้าบ้าน

              “อะ...เอเดน นาย...นายฉันติดอ่างไปหมด เหมือนมีอะไรมากมายจะพูดแต่ก็ไม่รู้จะพูดออกไปยังไง หน้ายังร้อนผ่าวไปหมดแถมริมฝีปากก็ยังรู้สึกอุ่นๆ อยู่เลย

              เอเดนเลียริมฝีปากตัวเองอย่างคิดหนักแล้วมองไปทางอื่นครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามองหน้าฉันพร้อมพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ

              “มันจำเป็น

              “ยังไง?” ฉันขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

              “มัน…” เอเดนอึกอัก ทำให้ฉันยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ ถ้าเธอเลือกจูบพี่แอชเชอร์ เขาก็อาจจะรู้ก็ได้ว่าเธอชอบไง หรือไม่เอซก็อาจจะเอามาเป็นข้อต่อรองนั่นนี่ ไม่ก็คนในวงเอาไปเล่าข้างนอกเธอก็อาจจะโดนคนไม่ชอบ คือมัน...หลายๆ อย่าง

              “...” ฉันไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี ในหัวยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อเท่าไหร่ นี่เขาพูดงงหรือฉันไม่เข้าใจเองนะ

              “ไปหาอะไรกินกันเถอะ ฉันเริ่มหิวอีกแล้วล่ะ

              พอพูดจบเอเดนก็เดินนำฉันเข้าบ้านไป ราวกับว่าห้านาทีก่อนหน้านี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น...

              เอเดนเดินหายไปไหนก็ไม่รู้หลังเดินเข้าไปในบ้าน ส่วนฉันก็พยายามสงบจิตสงบใจเดินหาอะไรกินแถวโซนอาหาร เอาจริงๆ แล้วนี่ก็เป็นปาร์ตี้ที่สนุกดีเหมือนกัน มีคนนู้นคนนี้เดินมาชวนฉันคุยเยอะแยะเลย โลกจะต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าวันนี้มีอา เดียร์คุยกับคนแปลกหน้ามากกว่าสิบคน

              เอิ่ม...แต่อย่าบันทึกเรื่องฉันเสียจูบแรกให้เพื่อนสนิทไปเลยนะได้โปรด T///T ยังคงรู้สึกมึนงงและสับสนในชีวิตมาก เอเดนน่าจะเมานิดๆ เพราะฤทธิ์บลูฮาวายแน่ๆ ถึงได้คว้าฉันไปจูบแบบนั้น แถมจนตอนนี้ฉันก็ยังหาเขาไม่เจอเลยอ่ะ คืนนี้ฉันจะมีคนขับรถพาไปส่งบ้านใช่มั้ยตอบที

              ระหว่างตระเวนชิมอาหาร ฉันก็โดนพาจับพลัดจับผลูมายืนอยู่กับกลุ่มเพื่อนกลุ่มหนึ่งของโมนิก้าแบบงงๆ ซึ่งตอนนี้ทุกคนกำลังร่วมกันอภิปรายถกเถียงกันในหัวข้อ ‘หนุ่มฮอตแห่งมารีนไฮอยู่

              “ฉันว่าเจฟฟ์แฟนมอนก็ใช้ได้เลยนะ โดยเฉพาะตอนถอดเสื้อเนี่ยนะ...อื้อหืมสาวผิวแทนคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเหมือนกำลังมโนภาพอยู่ =.,= ถ้ามอนมาได้ยินฉันรู้เลยว่าเธอจะไม่หึง แต่จะยิ้มกริ่มเชิดหน้าอย่างผู้ชนะตามสไตล์ราชินีผึ้ง

              “แต่เขากล้ามเยอะไปอ่ะ ฉันชอบคนหุ่นนายแบบมากกว่าสาวสวยอีกคนแทรกขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วย

              “ถ้าหุ่นนายแบบก็ต้องนี่เลย แอชเชอร์ เบ็นสัน หล่อสุดและดังสุดในมารีนละมั้งสาวผมบรูเน็ตต์แทรกขึ้น ฉันหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินชื่อคนที่แอบชอบ แต่ก็ต้องตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่องเพื่อความเนียน

              “เขาหล่อจริง แต่ฉันชอบผู้ชายเล่นดนดรีแบบเจสซีเพื่อนเขามากกว่า

              “โดนยัยสาวเอเชียจองไปแล้วนี่ อดแล้วจ้ะจีจี้

              “ฮือออ ผู้หญิงเอเชียสองคนนั้นนี่มีอะไรดีนะ ทำไมได้ไปทั้งเจสซีทั้งซัลลี่เลยอ่ะ T^T” ผู้หญิงที่ชื่อจีจี้โอดครวญ

              “ดีนะที่ยัยคนชื่อแปลกๆ ว่าเลิฟยูอะไรนั่นคบกับพี่แอชแค่แป๊บเดียว ไม่งั้นฉันคงจะเหม็นหน้าไปอีกนาน เนอะมีอาเนอะสาวคนหนึ่งในกลุ่มหันหน้ามาถามความเห็นหลังเห็นฉันยืนเงียบมานาน ฉันเลยต้องเออออไปด้วยถึงแม้จริงๆ จะคิดว่าพี่ยูเธอน่ารักดีก็เถอะ

              “อืม ช่าย

              “ถ้าใครได้เป็นแฟนเขานี่ต้องโชคดีสุดๆ ไปเลยว่ามะ ทั้งเรียนดี มีงานทำ พี่สาวสวย บ้านรวย เพอร์เฟ็คต์แมนสุดๆ อ่ะ ดูชีวิตมีความสุขจนฉันนึกไม่ออกเลยนะว่าในชีวิตเขาจะมีเรื่องอะไรให้เศร้าบ้าง

              “โดนผู้หญิงทิ้งไงจีจี้ตอบประโยคคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบของสาวผิวแทน

              “นอกจากยัยเลิฟยูก็ไม่มีใครโง่ยอมทิ้งแอชเชอร์ได้ลงหรอก สติเสียไปแล้วล่ะแบบนั้นฉันเห็นด้วยกับสาวผมบรูเน็ตต์สุดๆ

              “แต่ฉันได้ข่าวว่าพี่เขาแอบกิ๊กกั๊กกับสาวผิวสีกระดาษคนหนึ่งอยู่นี่ เห็นเขาเล่ากันว่าเคยมางานปาร์ตี้วันฮาโลวีนที่โรงเรียนเราเมื่อปีที่แล้วครั้งนึง จากนั้นก็ไม่มีใครเคยเห็นเธออีกสาวอีกคนออกความเห็น ฉันที่ไม่ได้ไปงานฮาโลวีนโรงเรียนและไม่เคยได้ยินข่าวนี้มาก่อนจึงหูผึ่งอย่างแรง

              “คนนะยะไม่ใช่ผี ถ้ากิ๊กกั๊กกันจริงป่านนี้คงมีใครแอบถ่ายภาพมาลงเว็บโรงเรียนละ ฉันว่าแค่ข่าวลือโคมลอยเท่านั้นแหละ

              “ฉันก็ว่างั้น สายสอดโรงเรียนเราหูตาเป็นสับปะรดจะตายไป ถ้าเป็นเรื่องจริงไม่มีทางที่เราจะไม่รู้หรอก

              “ใช่ๆและทุกคนในกลุ่มก็ต่างพร้อมใจกันพยักหน้าเห็นด้วย

              หลังร่วมอภิปรายได้สักพักฉันก็แยกตัวออกมาเดินเล่นรอบบ้านโมนิก้า (เพราะพวกเธอเริ่มคุยถึงใครก็ไม่รู้ที่ฉันไม่เห็นจะเคยได้ยินชื่อ) ถึงแม้บริเวณโดยรอบมันจะกว้างขวางมากแต่ยังไงซะก็คงไม่ซับซ้อนถึงขนาดทำให้ฉันหลงทางแบบมารีนไฮสกูลอย่างแน่นอน ว่าแล้วฉันก็เดินสำรวจดูต้นไม้ใบไม้ไปเรื่อยประหนึ่งว่ากำลังเดินอยู่ในสวนสาธารณะ

              ขณะที่กำลังจะเดินกลับเข้าไปในงานนั้นเอง ฉันก็เห็นเงาของใครบางคนที่ห่างจากระยะสายตาไปไม่ไกลนัก ใจฉันเต้นตุ๊มต่อมกลัวจะได้เจออะไรที่ไม่ควรเจอ แต่ทว่าเมื่อเพ่งสายตามองไปดีๆ แล้ว ร่างสูงนั้นกลับคุ้นตาแถมยังมีเส้นผมสีแพลตตินั่มบลอนด์เด่นมาแต่ไกลอีกต่างหาก ถ้าฉันไม่ได้หลอนไปเอง นั่นคงต้องเป็นพี่แอชเชอร์อย่างไม่ต้องสงสัย

              แต่มาทำอะไรแถวนี้คนเดียวนะ? ดูจากท่าเดินแบบนั้นแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่พี่แอชเชอร์เลย...เขาคงกำลังเมามากอยู่แน่ๆ

              น่าเป็นห่วงจัง ตามไปดูหน่อยดีกว่า...

              ฉันแอบเดินตามร่างสูงมาเงียบๆ จนกระทั่งพี่แอชเชอร์มาหยุดลงตรงพื้นสนามหญ้าส่วนด้านหลังของบ้านที่ห่างไกลจากผู้คนและเสียงเพลง เขาปล่อยตัวลงนั่งอย่างโซซัดโซเซราวกับเหมือนจะหงายท้องลงไปจนฉันแทบจะวิ่งเข้าไปรับ แต่ก็ยังสามารถประคองตัวให้นั่งได้ ก่อนจะยกขาทั้งสองข้างขึ้นมากอดเอาไว้ แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า...มองแล้วก็มอง...มองอยู่อย่างนั้น

              ไม่รู้เพราะอะไร แต่ฉันรู้สึกได้ว่าพี่แอชเชอร์กำลังเศร้า…

              “ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียวล่ะคะรู้ตัวอีกทีฉันก็เสนอหน้าไปนั่งข้างพี่แอชเชอร์ซะแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่ แค่เหมือนว่า...ไม่อยากให้เขาโดดเดี่ยวล่ะมั้ง

              พี่แอชเชอร์ค่อยๆ หันหน้ามามองฉันช้าๆ แล้วฉันก็ตกใจกับใบหน้าของเขา...ไม่ใช่เพราะฉันทักผิดคนหรือเขาไม่ใช่คนแบบที่ฉันกลัว

              แต่เพราะน้ำสีใสที่ไหลออกมาจากดวงตาสีฟ้าสีสดของเขาต่างหาก

              ...พี่แอชเชอร์กำลังร้องไห้

              “มันเป็นเพราะอะไรงั้นเหรอ...จู่ๆ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีการปูเรื่องมาก่อน แถมน้ำหูน้ำตาเขาก็ไหลออกมาไม่หยุดอีกต่างหาก ภาพที่เห็นทำให้ฉันรู้สึกจุกที่คอแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก

              “พี่แอชเชอร์…”

              “ฉันไม่เข้าใจจริงๆไม่เข้าใจว่าทำไมพี่แอชสะอื้นไม่หยุด เขาพยายามที่จะหยุดมัน แต่ฉันก็รู้ดีว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

              ปกติน้ำตาของพี่แอชเชอร์ไม่น่าไหลง่ายแบบนี้ ฉันรู้ดีว่าคนอย่างเขาจะกลั้นจนหยดสุดท้าย คงเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แน่นอนที่ทำให้เขาควบคุมมันไม่อยู่

              แต่ต่อให้เมาแค่ไหน ถ้าไม่มีเรื่องอะไรในใจก็คงไม่ร้องหรอก

              คนอย่างพี่แอชเชอร์มีอะไรให้ต้องเศร้าขนาดนี้เชียวเหรอ...

              “ใจเย็นๆ นะคะฉันยื่นมือไปแตะแขนของเขาเบาๆ หวังอยากให้น้ำตาของอีกฝ่ายหยุดไหล เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดไปด้วยอย่างบอกไม่ถูก

              “เธอคิดอะไรอยู่กันแน่ มาแล้วก็ไปแบบนี้คนรอมันเจ็บปวดนะเกลล่าพี่แอชเชอร์เริ่มหยุดสะอื้นแล้วหันมาคุยกับฉันด้วยชื่อของใครบางคนที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน

              ใครคือเกลล่า?

              “ฉันมีอาค่ะไม่ใช่…” ประโยคที่เหลือของฉันกระเด้งหลุดออกไปจากความคิดทันทีเมื่อร่างสูงโถมกอดใส่

              เขากอดฉัน...พี่แอชเชอร์...อ้อมกอดที่ฉันหวังจะได้รับสักครั้งในชีวิต

              ตอนนี้เขาได้ให้ฉันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

              ฉันเอามือลูบๆ หลังหวังจะให้เขาหายสะอื้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเข้าใจว่าฉันคือมีอาหรือผู้หญิงคนนั้นที่เขาเรียกว่าเกลล่ากันแน่ แต่ที่ฉันรู้ตอนนี้คือน้ำหอมที่พี่แอชใช้หอมมาก อ้อมกอดแข็งแรงของเขากำลังโอบอุ้มหัวใจของฉันไว้ทั้งดวงจนฉันเหมือนจะลอยออกไปในอากาศยังไงอย่างงั้นเลย

              แต่โชคดีที่เขากอดฉันเอาไว้ ฉันก็เลยได้ลอยเข้าไปในอ้อมอกของเขาแทน

              ถ้าได้กอดเขาแบบนี้ทุกวันก็คงดีเนอะ U///U

              โอเค แต่ตอนนี้พี่เขาดราม่าอยู่ ฉันต้องปลอบไม่ใช่ฟิน

              “อย่าร้องไห้เลยนะคะ ฉันเห็นแล้วจะร้องตามยังไงไม่รู้คิดอะไรไม่ออกอ่ะ T^T ฉันปลอบคนไม่เก่งนี่นาทำไงได้ เพราะงั้นก็เลยพูดสิ่งที่คิดไปซะแบบนั้นเลยนั่นแหละ

              พี่แอชเชอร์ปล่อยให้ฉันกอบโกยอ้อมกอดอบอุ่นได้เพียงชั่วครู่ เขาก็กลืนสะอื้นลงคอได้สำเร็จ ง่ายดายกว่าที่ฉันเคยพยายามทำมาก ร่างสูงผละฉันออกและมองเข้ามาในดวงตาของฉันด้วยสายตาที่บอกไม่ถูก มันเป็นสายตาที่ทำให้ฉันรู้สึกร้อนๆ ไปทั่วใบหน้าแม้ว่ามันจะไม่มีอะไรเลยก็ตาม

              เอ่อ...แต่ตอนนี้คิดว่ามีแล้วล่ะ!? O///o

              จู่ๆ ฝ่ามือหนาของพี่แอชเชอร์ก็วางแปะลงบนแก้มซ้ายของฉันซะเฉยๆ ทันใดนั้นหัวใจของฉันก็รัวกลองชุดแบบที่เร็วกว่ามารีนไฮสกูลมาร์ชชิ่งแบนด์จะสามารถทำได้ซะอีก

             ตอนนี้ใบหน้าของฉันกำลังแข่งกันเพิ่มอุณหภูมิความร้อนกับมือของอีกฝ่ายอยู่ ซึ่งผลค่อนข้างเป็นเอกฉันท์ว่าฉันชนะเลิศ ฉันพยายามที่จะไม่คิดไปไกลก่อนอะไรๆ จะเกิดขึ้นจริง แต่ทว่าพี่แอชเชอร์ไม่ได้แค่จะจับหน้าฉันเล่นหรือถามว่าใช้รองพื้นแบรนด์อะไรแบบที่ฉันกำลังบอกตัวเอง

              เปลือกตาของเขาเลื่อนลงมาปิดดวงตาสีสวยคู่นั้น หัวสมองของฉันที่เรียนจบปริญญาเอกด้านการจินตนาภาพศาสตร์กำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง ฉันพยายามบอกตัวเองว่าไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ๆๆ มันไม่มีทางเป็นแบบนั้น พี่แอชเชอร์ไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นกับฉันหรอก

              ตะ...แต่ทำไมจมูกสวยได้รูปของเขาถึงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เลยล่ะเนี่ย ไหนจะการหลับตาพริ้มแบบนั้น องศาการเอียงหน้าแบบนั้น แล้วก็การประคองใบหน้าฉันให้เงยขึ้นมานิดๆ แบบนั้น...

              “พี่แอช…” ฉันเรียกชื่อเขาเสียงเบาราวกับไม่มีแรงจะเปล่งออกมา เพราะร่างกายกำลังอ่อนยวบยาบเหมือนมาร์ชเมลโลว์ที่โดนไฟลน

              ไม่มีเสียงใดๆ ตอบรับ นอกจากริมฝีปากสีชมพูสดที่เขยิบเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แล้วก็ลมหายใจของอีกฝ่ายที่อุ่นมากขึ้น มากขึ้น...แล้วก็มากขึ้น

              พี่แอชเชอร์กำลังจะจูบฉันจริงๆ หรือฉันกำลังฝัน...

              โอเคตั้งสติ นี่ไม่ใช่ฝัน! เขากำลังจะจูบฉันจริงๆ และฉันกำลังยืนอยู่กึ่งกลางของทางแยกระหว่าง ให้เขาจูบเลยสิ เธอชอบเขามากไม่ใช่หรอ กับ เขากำลังจะจูบเธอเพราะคิดว่าเธอคือยัยเกลล่าอะไรนั่น ไม่ได้จูบเพราะอยากจูบสักหน่อย ซึ่งเป็นช้อยส์แค่สองข้อที่ทำให้ฉันสติแตกมากเพราะไม่รู้จะเลือกอะไรดี!

              โอพระเจ้าช่วย...

              แล้วฉันควรจะทำยังไงกับชีวิตดีเนี่ย!!?

 

Talk with Mydear J

              สวัสดีค่าาา~ ^^ วีคนี้วีคที่เจ็ดแล้วใช่มั้ยคะ หรือเราเข้าใจอะไรผิด ทำไมเหมือนพึ่งลงตอนสองเมื่อวานเลยอ่ะ 5555555

              ตอนแรกรู้สึกว่าเป็นการแข่งขันที่ยาวนานมาก แต่เอาเข้าจริงก็ผ่านไปเร็วมาก ฮือออ เหมือนสามปีในม.ต้นเลย ตอนแรกรู้สึกว่ากว่าจะจบม.สามนี่โคตรนาน แต่วันนี้...วันสอบวันสุดท้าย อวสานมัธยมต้นแล้วซะแล้ว T___T #ดราม่าทำไม แงงง

              ก็ในเมื่อเป็นตอนสุดท้ายที่จะได้ลงและเขียนทอล์คแล้วเนอะ เพราะงั้นจะพูดทุกอย่างที่อยากพูด (ไม่ใช่อะไร กลัวไม่มีโอกาสได้พูดค่ะ555) อาจจะยาวไปนิด แต่ให้โอกาสคนอยากพูดหน่อยนะคะ ฮาาา

              ก่อนอื่นอยากพูดเรื่องที่มาของพล็อตอีกที พล็อตนี้อย่างที่บอกไว้ตอนที่แล้วนั่นแหละว่าแรกเริ่มมาจาก Aidan Alexander ค่ะ คือปกติก็ชอบดาราหรือนักร้องที่อายุมากกว่าตัวเองหลายปี (อย่าง Dane DeHaan งี้ รักมาก555 ตอนนี้ภรรยาเขาตั้งท้องอยู่ กำลังจะเป็นคุณพ่อแล้ว *-*) พอมาติดตามคนที่อายุไล่เลี่ยกันมันก็เลยทำให้เกิดความรู้สึกว่า เอ๊ะ! เขาแก่กว่าเราแค่ปีกว่าเอง แต่ทำไมดูคูลจัง หาเงินเองด้วยอ่ะ ไปเที่ยวนู่นเที่ยวนี่กับเพื่อน ขับรถก็เป็น อย่าง Amanda Steele เพื่อนเขางี้ โห เป็นเมคอัพกูรู สวยและรวยมาก แต่งตัวอะไรก็ดูดีไปหมด เครื่องสำอางก็เยอะจนใช้ได้เกินสิบปี ยิ่งพอเห็น Alex Lange (จริงๆ รู้จักอเล็กซ์ทำให้เรารู้จักเอเดน แต่กลายเป็นนี่รักเอเดนมากกว่านาง ฮาาา) ที่แก่กว่าตัวเองแค่สามเดือนก็เลยยิ่งคิดเข้าไปใหญ่ แบบอเล็กซ์บ้านรวยจัง อเล็กซ์รู้จักคนดังๆ คนนั้นคนนี้เต็มไปหมด อเล็กซ์บินไปประเทศนู้นนี้ แถมอเล็กซ์ยังมีแฟนโคตรน่ารักอีก (Bailee Madison คนนี้น่ารักสุดๆ ตอนแรกทั้งอเล็กซ์ทั้งไบลี่ก็เป็นเพื่อนเอเดนนะ จู่ๆ ไปเป็นแฟนกันได้ไงไม่รู้555) มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าทำเขาดูชีวิตดีกันจัง คูลอ่ะ เท่สุดๆ ตรงนี้ก็เหมือนเป็นความรู้สึกลอยๆ ขึ้นมา จนกระทั่งวันหนึ่งตอนนั่งอยู่ในรถ เปิดเพลง Cool Kids ของ Echosmith ฟัง แล้วด้วยความที่ตัวเองเป็นคนคิดพล็อตได้จากเพลงบ่อยๆ อยู่แล้ว และนั่นแหละค่ะ มันก็ตู้มมม! เกิดเป็นพล็อตนี้ขึ้นมา~~~

              ช่วงที่กำลังลงรายละเอียดพล็อตก็เริ่มนึกไปถึงเรื่องเพื่อนๆ ของเอเดนอีกนั่นแหละ เขาเคยสนิทกับ Bea Miller แล้วก็ Amanda Steele มากกกกกก สนิทแบบสนิทจริงๆ แต่พอมารู้ว่าตอนนี้ไม่ได้สนิทแบบนั้นแล้วก็เลยทำให้เราใจหายอ่ะ คือบางทีมันอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาของคนดังล่ะมั้ง (นี่เคยตั้งกระทู้ถามแล้วมีคนตอบมาแบบนั้น คงจะจริง…) แต่เราอินบอกไม่ถูก เหมือนว่าคนที่เราเคยสนิทที่สุด ณ ช่วงเวลาหนึ่ง พอรู้ตัวอีกทีอาจจะไม่สนิทกันแล้วก็ได้ คราวนี้ก็เลยสงสัยไปหลายอย่างเลย สงสัยว่าทำไมเขาถึงเลิกสนิทกัน ทะเลาะกันหรือแค่จางหายเพราะเวลาที่ผ่านไป แล้วเอเดนเคยคิดถึงเบียกับแมนดี้มั้ย แบบ...อยากกลับไปสนิทอีกที อยากให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม แล้วตอนนี้เขาไม่สนิทกันในระดับไหนแล้ว เจอหน้ายังทักอยู่มั้ย หรือแทบเหมือนคนไม่รู้จักกันแล้ว...

              นี่ก็ดราม่าไปเรื่อย เรื่องจริงอาจจะไม่เศร้าขนาดนี้ 55555

              ก็นั่นแหละค่ะ บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองเซนซิทีฟดีจัง เรื่องชาวบ้านก็ยังอุษส่าห์ไปอิน ถถถ =w= แหม แต่อย่างน้อยก็ได้มาเป็นพล็อตเลยเนอะ ฮา พอได้ความรู้สึกตรงนั้นมาเราก็นึกถึงความน่ากลัวของ ความเปลี่ยนแปลงเรารู้สึกเหมือนกับว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่ถาวรซักอย่าง ทำไมวันนี้เป็นแบบหนึ่งแล้วพรุ่งนี้ถึงกลายเป็นอีกแบบไปได้คิดแล้วก็น่ากลัวจัง คนที่บอกว่าจะไม่ลืมเราลืมเราไปกี่คนแล้วก็ไม่รู้ แล้วเวลาที่เราเหงาหรือเศร้า มีใครบ้างที่เราพึ่งพิงได้ คนที่บอกว่าจะอยู่ด้วยกันจะยังยืนอยู่ข้างๆ กันมั้ยในตอนที่เราต้องการกอดใครซักคน?

              ก็หยิบเอาความรู้สึกตรงนี้มาผสมกับความที่อยากเขียนความสัมพันธ์ของคนสองคนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก (อินกับความสัมพันธ์แบบนี้มากไม่รู้ทำไม ;w;) ปั่นๆ รวมกัน ผสมหลายๆ อย่างที่ควรจะมีให้กลมกล่อม บรรจงใส่หัวใจเข้าไปในแต่ละตัวละครที่สร้างขึ้นมา ปรับนู่นเปลี่ยนนี่อยู่สักพักจนลงตัว จนในที่สุดก็เอามาส่งนักเขียนหน้าใสจนติดหนึ่งในยี่สิบอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ

              ในที่สุดก็ได้เล่า รู้สึกโล่ง 55555 (เพ้อกินบรรทัดมากไปแล้วใช่มั้ย ขอโทษค่ะ555) ดีใจมากที่ความทุ่มเทแบบสุดตัวไม่เสียเปล่า ที่จริงก็แอบกลัวว่าจะไม่ติดนะ ระหว่างรอเลยเขียนไปจนครึ่งเรื่องละ ปัจจุบันก็ยังค้างอยู่เท่าเดิมเพราะเอาเวลามาแก้เจ็ดตอนที่มีเนี่ยแหละค่ะ ฮาาา นี่พยายามยึดหลัก Do anything with confidence and it becomes cool. ตามที่อะแมนด้าบอกไว้อยู่ เพราะงั้นไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็จะถือว่าตัวเองทำเต็มที่เท่าที่ความสามารถในตอนนี้มีแล้ว ถ้าดีพอก็จะได้พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่ก็ต้องพัฒนาต่อไปอยู่ดี (พูดอะไรไม่รู้ วกวนมาก55555) ไม่ว่าผลครั้งนี้จะเป็นยังไง ก็จะพยายามสตรองไว้และไม่ถอดใจนะคะ T^T <<< คือคิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดไว้ในหัวแล้วค่ะ โฮกกกก

              สุดท้ายนี้ต้องขอบคุณทุกคนที่มีส่วนช่วยเหลือในการประกวดครั้งนี้จริงๆ ค่ะ ทั้งครอบครัวแล้วก็เพื่อนๆ โดยเฉพาะทั้งสิบคนที่น่าจะรู้นะว่าหมายถึงใครบ้าง (กลุ่มมี 11 คน นี่ก็ได้เป็น JLS11 ไง ลัคกี้นัมเบอร์มากค่ะเพื่อนๆ 55555) ขอบคุณบุ้ม เต๋า บุ๋น โจ และหลายๆ คนในห้อง8 แล้วก็เพื่อนห้อง7มากมาย ขอบคุณพี่พอร์ช Porshenocchio พี่รหัสที่น่ารัก แล้วก็พี่มิ้นต์ YOURDEAR ด้วย~ >< ขอบคุณพี่สร้อย Laceyy ดีใจที่ได้รู้จักพี่นะคะ ขอบคุณที่คอยเป็นกำลังใจให้ตลอด ขอบคุณรีดเดอร์ในนิยายเรื่องก่อนโดยเฉพาะคนนั้นที่เมนต์ให้บ่อยๆ เป็นกำลังใจที่ดีมากจนทำให้เราอยู่มาถึงตรงนี้จริงๆ นะคะ แล้วก็ขอบคุณพี่พลอย ปารีณาที่ติ่งเอเดนและทำให้หนูรู้สึกไม่โดดเดี่ยวในการติ่ง (หมายเหตุ:หนูก็จำไม่ได้แล้วค่ะว่าหนูรู้จักชื่อจริงพี่ได้ไง555) ขอบคุณพี่พลอย ขวัญแก้วที่เป็นกำลังใจให้ พี่น่ารักมั่กกก หนูอยากตามพี่ไปอยู่เมกามากค่ะฮือออ ขอบคุณพี่แอนนี่ พี่น่ารักหนูก็เลยอยากขอบคุณค่ะ555 ขอบคุณ Aidan Alexander อีกรอบด้วยนะ นอกจากพล็อตนิยายแล้วก็เรื่องอื่นด้วย เช่นทำให้กลับมาฟิตอิ้ง (หลังล้มเลิกโครงการไปช่วงม.1 =.,=) ขอบคุณที่สร้างความสุขและรอยยิ้มผ่านทางวีดีโอ วันหนึ่งก็หวังว่าเราจะได้เจอกันเนอะ ขอบคุณ Amanda Steele จริงๆ แล้วแมนดี้ก็เป็นแรงบรรดาลใจให้นี่หลายอย่างนะ ชอบความคิดบวกและคำแนะนำดีๆ แมนดี้เป็นผู้หญิงสวยที่ทัศนะคติดีอ่ะ แอบมีเธอเป็นทีนควีนและไอดอลนะ ฮิๆ แล้วก็นานาสารพัดคูลคิดส์ในชีวิตจริงอย่างพวกเพื่อนๆ ของเอเดนนั่นแหละ แอบเอานู่นนี่มาใส่เยอะเลย 5555 ขอบคุณวง Echosmith สำหรับเพลง Cool Kids ด้วย ถ้าไม่มีเพลงนั้นก็อาจจะไม่มีนิยายเรื่องนี้ (จริงๆ ต้องขอบคุณพี่ที่ชื่อวสาที่เอาเพลงนี้มาทำคลิปHBDให้เพื่อน แล้วเพื่อนเราก็ไปฟังแล้วมาแนะนำให้ไปฟังด้วย #พรหมลิขิตแน่เลยค่ะ555) ขอบคุณทุกคนที่ว่ามาจริงๆ ค่ะ ♥♥♥

              และแน่นอนว่าต้องขอบคุณกรรมการทุกคนด้วยค่ะ ทั้งสี่คนเลย~ ทั้งพี่อาย พี่ลูกชุบ พี่อติน พี่เอม <3 โดยเฉพาะพี่อายที่คอมเมนต์ให้ทุกอาทิตย์ หนูกดรีเฟรชวันละสิบรอบเลยนะคะ 55555 ขอบคุณที่ทำให้เห็นข้อผิดพลาดจนนำไปปรับปรุงกับผลงานให้ดีขึ้น ขอบคุณมากมายจริงๆ ค่ะ >< รวมทั้งทุกๆ คนที่เข้าประกวดด้วยนะคะ ดีใจมากที่ได้มาร่วมการประกวดครั้งนี้ด้วยกัน (ถึงจะไม่ค่อยได้คุยกับใครเลยก็ตาม ;___;)

              นอกจากจะเป็นตอนที่ยาวมากแล้ว ยังมีทอล์คที่ยาวบรมด้วย ถถถถ อาจจะดูไร้สาระไปนิด (อืม...ที่จริงอาจจะไม่นิด #แล้ววงเล็บจะเยอะไปไหน) แต่ก็อยากพิมพ์มากมาย รู้สึกว่าถ้าไม่ได้บอกหมดนี่จะค้างคาใจ55555

              รักทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้เลยค่ะ ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่ถ้ามีโอกาสก็หวังว่าทุกคนจะได้อ่าน ‘Cool Kids เขียนรักครั้งใหม่ ขอกลายเป็นสาวป็อป!ในฉบับรูปเล่มกันนะคะ :)





[1] นักเรียนชั้นปีสุดท้ายในไฮสกูล เทียบเท่ากับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของไทย

[2] พิลาทิส (Pilates) รูปแบบการออกกำลังกายรูปแบบหนึ่ง ไม่ใช้กำลังแต่ใช้หลักในการหายใจ คล้ายๆ กับโยคะ


Cool Kids เขียนรักครั้งใหม่ ขอกลายเป็นสาวป็อป!

ผู้แต่ง :: My Dear

5 ความคิดเห็น

  • 1
  1. #1 CPrae (จากตอนที่ 7)
    2017-02-24 22:56:05
    ไรต์ชอบเพลงเหมือนๆนี่เลยอ่ะ ชอบ lean on เหมือนกันค่ะ แถมตอนอ่านชื่อเรื่องครั้งแรกก็นึกถึงเพลงของ echosmith เลยด้วย555

    สู้ๆนะคะ อยากให้ได้ตีพิมพ์จริงๆ
    #1
  2. #2 (จากตอนที่ 7)
    2017-02-27 15:05:33
    ตกใจตอนเห็นชื่อตัวเองในช่วงท้าย ดีใจที่ได้เป็นกำลังใจให้น้องเน้ออ รู้จักน้องจากเรื่องก่อนที่เขียน แล้วตอนนั้นพี่อ่านติดมากก พอคุยกับคนเขียนช่วงแรกๆ รู้สึกว่าเฮ้ย นางน่ารักเลยติดตามมาเรื่อย ขอให้ประสบความสำเร็จน้า เป็นกำลังใจให้ต่อไปปป
    #2
  3. #3 (จากตอนที่ 7)
    2017-02-28 00:56:59
    อาทิตย์สุดท้ายแล้วเลยตั้งใจจะคอมเม้นให้ครบทุกคน อาจจะมาไม่บ่อยทุกอาทิตย์แต่ก็จะมาอาทิตย์สุดท้ายแล้วกันเนอะ

    พี่เข้าใจแล้วว่าทำไมเรื่องออกมาเป็นรูปแบบนี้เพราะเรามีคนจริงๆ อยู่เบื้องหลังความชอบนี่เอง จริงๆ ประเด็นพวก youtubers อะไรนี่น่าสนใจนะ เพราะยังไม่ค่อยมีคนเอามาเขียน แต่เราก็ต้องท่องไว้เสมอด้วยว่านี่มันคือหนังสือนิยายที่เราต้องให้รายละเอียดตัวละคร และต้องสร้างตัวละครขึ้นมาอย่างมีจุดประสงค์ไม่ใช่แค่สร้างมาเพราะอยากจะทาบกับคนจริงๆ ที่เราชอบ พี่ว่าหลักๆ ของเรื่องนี้ในแง่ตัวละคร ตัวละครมันเฟ้อมากเกินไป และบุคลิกก็ซ้ำๆ กัน เหมือนจริงๆ ประโยคสามสี่ประโยคใช้คนเดียวกันพูดก็ได้ แต่แตกออกมาเป็นหลายตัว บางทีอ่านแล้วก็ต้องย้อนกลับไปอ่านใหม่ว่าตกลงใครพูด

    พี่ชอบเส้นเรื่องของเอเดนนะ น่าสนใจนะ ถ้าเกิดกระชับมันขึ้นมาและเอามานำเสนอได้เร็วกว่านี้อาจจะทำให้เรื่องน่าติดตามมากกว่า (ในแง่ของการแข่งขันที่ต้องงัดพลอตเด็ดๆ มาแข่งกันรายอาทิตย์น่ะนะ) ส่วนตัวพี่ยังไม่เกทว่านางเอกชอบอะไรแอชเชอร์ขนาดนั้น รวมๆ แล้วน่าจะเพราะหล่อและเท่มากกว่า 555555555 จริงๆ น่าจะจบกับเอเดนป่ะ นี่เดา 5555555 แล้วก็เรื่องความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนพี่ว่าเรายังตีโจทย์ไม่แตก เหมือนมันยังไม่เพื๊อนเพื่อนกันแบบที่เราบอกว่าอยากเขียน ซึ่งพวกนี้มันต้องใส่รายละเอียดลงไปจุกจิก ไม่ใช่แค่พูดถึง เล่าถึงก็ได้ มันต้องมีไดอะลอคอื่นๆ ประกอบแล้วก็เคมีตัวละครก็สำคัญ จริงๆ เรื่องความสมเหตุสมผลของเรื่องนี้ยังมีจุดโหว่จุกจิก แต่ไม่มีอะไรร้ายแรง รวมๆ แล้วพี่ว่าเราหลงทางไปกับการใส่รายละเอียดตัวละครที่ไม่สำคัญจนทำให้เรื่องไม่ค่อยเดินหน้าไปทางไหน

    คำบรรยายโดยรวมพี่ว่าดีนะ ตอนนี้อ่านง่ายขึ้นมาก เหมือนกระชับขึ้น ไม่เวิ่นเหมือนช่วงแรกๆ เป็นพัฒนาการที่ดีเลย ไดอะลอคเป็นธรรมชาติ อันนี้เราได้เปรียบคนอื่นเพราะในโครงการยังมีอีกหลายคนที่บทสนทนาทำได้ไม่ดี จุดนี้รวมๆ พี่ว่าเราต้องโฟกัสที่พลอตของเราเนี่ยล่ะ ว่ามันเป๋ ให้ความสำคัญผิดจุด จะดึงกลับมาที่แกนเรื่องได้ยังไง

    อย่าตกใจนะ พิมพ์ยาวหน่อยเพราะไม่ค่อยได้คอมเม้นต์ไง 555555 ยังไงงานประกาศรางวัลถ้าไปก็เจอกันนะคะ
    #3
  4. #4 Mydear :) (จากตอนที่ 7)
    2017-02-28 10:27:05
    ขอบคุณคอมเมนต์จากพี่ลูกชุบมากเลยค่ะ ยาวสะใจดีมากกก รู้สึกเห็นอะไรที่เผลอมองข้ามไปหลายอย่างเลยค่ะ
    จริงๆ ก็พอจะรู้เรื่องความเวิ่นเว้อ มันเยอะไปจริงๆนั่นแหละค่ะ พยายามแก้ตลอด (ตัวเองเป็นเวิ่นเว้อค่ะ ยอมรับ T_T) เห็นด้วยกับที่พี่บอกมาหลายอย่างแล้วก็พอจะรู้ตัวด้วยค่ะบางอัน อย่างเช่นความเฟ้อของตัวละคร 5555 (แต่บางตัวเขาแอบมีความสำคัญกับปมกลางเรื่องนะคะ) จะเก็บนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้นแน่นอนค่ะ ><
    แต่หนูมาขอปฏิเสธเรื่องเอาเอเดนมาทาบกับเอเดนนะคะ T^T กลัวคนเข้าใจผิดตรงนี้มาตลอดเพราะใช้ชื่อเดียวกันแล้วก็ได้อินสไปร์จากเขา จริงๆ พยายามสร้างเอเดน แอดเลอร์มาให้เป็นคนอีกคนหนึ่งที่มีตัวตนของตัวเองและก็แยกสองคนนี้ออกได้ชัดเจน อาจจะเป็นเพราะหนูยังเขียนแอดเลอร์ได้ไม่กลมพอแต่ยังไงก็จะพยายามปรับปรุงนะคะ แต่ยังไงก็ขอปฏิเสธขาดใจว่าเขาสองคนไม่เหมือนกันจริงๆน้า รู้สึกติดใจแค่ส่วนนี้ นอกนั้นจะพยายามทำตามพี่บอกนะคะ ขอบคุณพี่ชุบมากจริงๆ ค่ะ <3
    #4
  5. #5 saxpiyawat (จากตอนที่ 7)
    2017-03-05 21:47:51
    น่าเบื่อมาก gg
    #5
  • 1

แสดงความคิดเห็น