ความฝันของฉันต้องแตกดับ...เมื่อคนที่เฝ้าฝันหามาตลอด 8 ปี พอเจอตัวจริงกลับตรงข้ามกับสิ่งที่คิดแบบสุดๆ แล้วฉันจะทำยังไงต่อไปดีเนี่ยยยย!! ไอ้นี่มันตัวปลอม นี่มันเสิ่นเจิ้นชัดๆ =[]=!
ตอนที่ 1/7 :: อ้าวเฮ้ย! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา!?
ตอนถัดไป
บทนำ
“หนูเพิ่งมาถึง ไม่ต้องห่วงค่ะ อยู่หน้าบ้านแล้ว”
หลังจากตอบรับอีกสองสามคำแล้วจึงวางสายจากพ่อบังเกิดเกล้าไป ฉันเงยหน้ามองบ้านหลังใหญ่สูงเด่นเป็นสง่าตรงหน้าให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพจมานตอนก้าวเข้าสู่บ้านทรายดองครั้งแรก…
ตื่นเต้นเว้ย >_<!
“คุณมุกตามมาทางนี้เลยค่ะ”
“แล้วกระเป๋าล่ะคะ?”
“เดี๋ยวให้คนยกตามมาค่ะ ^^”
ฉันพยักหน้ารับรู้แล้วเดินตามพี่คนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นแม่บ้านเข้าไปด้านใน ส่วนคนยกกระเป๋าที่เธอพูดถึงเมื่อกี้คงจะหมายถึงคนขับรถที่ไปรับฉันมาจากสนามบินตั้งแต่เช้า โอ้โห! ต้องรวยเบอร์ไหนถามใจดูมีทั้งแม่บ้านและคนขับรถ แต่ดูจากขนาดบ้านแล้วก็คงรวยอื้ออยู่พอควร
หัวใจฉันเต้นระรัวในทุกย่างก้าวที่เดินไปรู้สึกเหมือนตัวเองขยับเข้าไปใกล้ความปรารถนาทีละนิด…ทีละนิด ความฝันฉันกำลังจะเป็นจริงในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
ฉันอยากเจอคนๆ นั้น…
พี่น้ำตาล…คนที่ฉันเฝ้ารอมาทั้งชีวิต
#แปดปีที่แล้ว…
‘มุก! ดูนี่สิลูก พี่น้ำตาลส่งของมาให้’
‘พี่น้ำตาล…ใครเหรอคะ?’
ฉันเอียงคอถามพ่อด้วยความสงสัย มองไปในมือพ่อที่ถือพัสดุกล่องใหญ่ไว้ในอ้อมอก ตอนนั้นฉันสิบขวบแล้ววันนั้นก็เป็นวันเกิดฉัน นอกจากนั้นมันยังเป็นวันแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นสายสัมพันธ์แบบไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอกับพี่น้ำตาล
‘พี่น้ำตาลไง หนูจำไม่ได้เหรอ ลูกของลุงพงศ์เจ้านายพ่อไง’
ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบขณะนั้นใจฉันไม่คิดอะไรแล้วด้วยความตื่นเต้นตามประสาเด็กๆ เวลาได้ของ ฉันได้แต่นั่งลุ้นอยู่บนเตียงพยาบาลด้วยความอยากรู้ว่าของในกล่องนั้นคืออะไร เนื่องจากเพิ่งประสบอุบัติเหตุจนกระดูกต้นขาหักเมื่อเดือนก่อนทำให้ฉันขยับเข้าไปใกล้ดั่งใจไม่ได้
‘ตุ๊กตาหมี! เอ๊ะ นี่อะไร…’
พ่อดึงตุ๊กตามีสีครีมตัวใหญ่ออกมาจากกล่องก่อนจะหยิบจดหมายสีแดงที่แนบมากับเจ้าหมีตัวนั้นมาด้วยแล้วยื่นให้ฉันทั้งสองอย่างด้วยรอยยิ้ม
‘อ่านดูสิลูก’
‘ถึงน้องมุก
แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู~ สุขสันต์วันเกิดน้องมุกเด็กดีของพี่ พี่ชื่อน้ำตาลนะเราเคยเจอกันแต่น้องอาจจะจำไม่ได้ แต่พี่อยากอวยพรให้น้องมุกมีความสุข สุขภาพแข็งแรงและเป็นเด็กน่ารักแบบนี้ตลอดไป พี่ขอให้น้องมุกเข้มแข็งและผ่านช่วงเวลาร้ายๆ ไปได้ พี่มีของขวัญมาให้ด้วยนะ หวังว่าน้องมุกจะชอบเป็นของที่มีหนึ่งเดียวในโลกเลย J ไว้เจอกันใหม่นะ
พี่น้ำตาล’
ด้วยความเป็นเด็กฉันจึงใช้เวลาอยู่พอสมควรในการอ่านจดหมายที่ไม่สั้นไม่ยาวนั้น เมื่ออ่านจบก็หันมาพิจารณาตุ๊กตาหมีในอ้อมกอดมันเป็นตุ๊กตาหมีหน้าตาน่ารักสีครีมตัวใหญ่ใส่ชุดกระโปรงลายสก็อตสีแดงที่ดูคุ้นตาฉันมาก บนปลอกคอสีดำมีป้ายเล็กๆ ติดอยู่
‘หมีมุก’
ฉันหัวเราะออกมาอย่างชอบใจแล้วเหลือบไปเห็นรูปใบเล็กที่แนบมาในซองจดหมาย…มันเป็นรูปเด็กผู้หญิงตัวเล็กใส่ชุดกระโปรงบานลายสก็อตสีแดงเหมือนหมีตัวนั้นไม่มีผิด…
รูปฉันเอง
ตุ๊กตาหมีตัวเดียวในโลก
ตอนเด็กๆ ฉันเป็นเด็กไม่ค่อยเข้าสังคม เพื่อนน้อย(มาก) ยิ่งตอนที่ประสบอุบัติเหตุทำให้ฉันต้องพักฟื้นอยู่หลายเดือนจนต้องหยุดเรียนและเข้าเรียนช้ากว่าเพื่อนๆ ไปหนึ่งปี ระหว่างที่อยู่อย่างเหงาๆ นั้นก็มีเพียงของขวัญและจดหมายของพี่น้ำตาลที่เหมือนเป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวของฉัน ดังนั้นฉันมักจะเฝ้ารอทุกเทศกาลว่าพี่น้ำตาลจะส่งของขวัญอะไรมาให้ จะเขียนจดหมายแบบไหนหาฉัน
แต่จดหมายที่ส่งมานั้นเป็นจดหมายแบบไม่ตอบกลับเพราะฉันเคยลองส่งจดหมายตอบกลับไป ทว่าเธอไม่ตอบกลับมาทันทีแต่จะรอให้ถึงวันเทศกาลถึงจะตอบข้อความทั้งหมดในจดหมายกลับมาพร้อมของขวัญ ตอนเด็กๆ ฉันเคยขอเธอไปในจดหมายว่าอยากเจอแต่พี่น้ำตาลปฏิเสธ…เธอบอกว่าเราจะได้เจอกันในสักวันหนึ่งเมื่อถึงเวลา
ถึงจะไม่เข้าใจในเหตุผลนักแต่ฉันก็เลือกที่จะรอ
จนวันนี้มาถึง…
“เอ่อ พี่คะ…พี่น้ำตาลอยู่ไหมคะ”
ระหว่างทางเดินฉันก็แอบถามพี่แม่บ้านเพื่อลดความประหม่า ฉันยังคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะทำหน้าแบบไหนดีเมื่อได้เจอพี่น้ำตาล จินตนาการไม่ถูกว่าเธอจะเป็นคนแบบไหนหน้าตายังไง(เอาจริงๆ ฉันไม่มีข้อมูลอะไรของพี่น้ำตาลเลยแม้แต่รูปถ่ายสักใบเธอก็ไม่ให้!) แต่ถ้าให้เดาเธอคงจะเป็นผู้หญิงตัวเล็กน่ารัก ท่าทางใจดี มีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่บนใบหน้าเสมอๆ
ฮือ! แค่นึกถึงฉันก็ทำตัวไม่ถูก
…ขาแข้งพันกันไปหมดแล้ว TwT!
“น้ำตาล? อ๋อ คุณชูก้าร์! เห็นเธอตั้งท่าจะออกไปไหนแต่เช้าแล้วนะคะ แต่ยังไม่ไปซักที…นั่นไงคะ!”
ฉันสะดุ้งตัวโยนรีบก้มหน้างุดเมื่อพี่แม่บ้านสะกิดให้ฉันหันไปมองบุคคลที่ฉันอยากเจอมาตลอดแต่มาตอนนี้กลับขลาดกลัวขึ้นมากะทันหัน จะว่ายังไงดี มันตื่นเต้นแล้วก็ประหม่าผสมปนเปกันไปหมด!
“ใครน่ะ”
หืม…!?
ถึงจะก้มหน้าฉันก็ได้ยินเสียงนั้นที่เหมือนหันมาคุยกับพี่แม่บ้านที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉัน เมื่อกี้พี่แม่บ้านบอกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้คือพี่น้ำตาลแต่ทำไม…
ทำไมพี่เขาเสียงแหบทุ้มแบบนั้นล่ะ!!
คือฉันไม่เคยได้ยินเสียงพี่น้ำตาลตัวจริงหรอกเราไม่เคยโทรคุยกัน แค่ส่งจดหมายหากันอย่างเดียวแต่ถึงจะไม่เคยได้ยินฉันก็มั่นใจว่าพี่น้ำตาลคนสวยของฉันไม่น่าจะเสียงทุ้มแบบนี้แน่ๆ!
ไม่สบายรึเปล่านะ…อาจจะเจ็บคอเสียงเลยเปลี่ยน
ฟึ่บ!
“…”
“เธอเป็นใคร?”
ฉันตัดสินใจเงยหน้ามองคนตรงหน้าตรงๆ แล้วก็มีอันต้องชะงักไป ความรู้สึกแรกเจอคือเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน ฉันไม่ได้ยินเสียงอื่นใด ณ ที่แห่งนี้อีก ทำไมพี่น้ำตาล…
ทำไมพี่น้ำตาลถึงเป็นผู้ชายไปได้!!
ไม่ใช่แน่ๆ!
“พี่เป็นใครคะ?”
“…”
“ละ…แล้วพี่น้ำตาลไปไหน”
เสียงแหบพร่าของฉันละล่ำละลักถามพลางกวาดตามองผู้ชายร่างสูงตรงหน้า เขามีใบหน้าดูดีมากจนดึงดูดให้คนที่เห็นเหลียวหลังมองได้ ผิวเนียนละเอียดขาวอมชมพูยิ่งกว่าพรีเซนเตอร์การ์นิเย่ทำให้ฉันถึงกับต้องก้มมองผิวตัวเองด้วยความละอาย -_- เรือนผมสีน้ำตาลสว่างซอยสั้นดูนุ่มมือ คิ้วหนาเลิกขึ้นข้างหนึ่ง สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วโน้มร่างสูงๆ นั่นลงมาใกล้จนใบหน้าเราอยู่ระดับเดียวกัน เขาเอียงหัวใช้สายตาคมกริบแฝงกลิ่นอายความดุดันหรี่มองพินิจพิจารณาฉันกลับ
“เธอพูดเรื่องอะไรวะ”
บอกตามตรงท่าทางเขาดูห่ามมากจนฉันผงะ
“มุกถามว่าพี่เป็นใคร”
“ก็เธอถามหา?”
“พะ…พี่น้ำตาล”
“อือ ฉันนี่แหละ…” เขาเดาะลิ้นสีหน้ากวนโอ๊ยแล้วยกนิ้วขึ้นชี้หน้าตัวเอง
“…!?”
“จริงๆ ชื่อชูก้าร์ แต่แม่เรียกน้ำตาล เธองงอะไร?”
อ้าวเฮ้ย! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า!!
บอกฉันทีสิว่านี่มันเรื่องเข้าใจผิดก๊านนนนนนนนนนนน!!!
1
ขี้ข้าไหมล่ะ
ตรู๊ดดด…
เพียงแค่ต่อสายโทรศัพท์ไปไม่กี่วินาทีคนปลายก็กดรับทันทีราวกับมีตาทิพย์รู้ว่าฉันจะโทรมา น้ำเสียงอ่อนของพ่อทำให้ฉันรู้ว่าเขาต้องรู้เรื่องทุกอย่างเป็นอย่างดีอยู่แล้ว!
“พ่อ!! พี่น้ำตาลที่ส่งของมาให้หนูตลอด ลูกเจ้านายพ่อเขาเป็นผู้ชายเหรอคะ!”
[ใช่สิ พ่อไม่เคยบอกเราเหรอ?]
ฉันถามประชดแต่คำตอบจากปลายสายทำให้ฉันชะงัก ฉันไม่ได้มีปัญหาว่าพี่น้ำตาลของฉันเป็นหญิงหรือชาย เพียงแต่ฉันก็เข้าใจของฉันมาตลอดว่าพี่เขาคือผู้หญิง ที่สำคัญไม่มีใครบอกฉันสักนิดว่าพี่น้ำตาลเป็นผู้ชาย อยู่ๆ ก็มาเจอผู้ชายห่ามๆ ที่ทำตัวน่ารังเกียจมาบอกว่าเป็นพี่น้ำตาลคนใจดีในจดหมาย
มันจะไม่ตลกไปหน่อยเหรอ ฉันไม่เชื่อ!
“ไม่เคย!!! พ่อทำแบบนี้ได้ไง พ่อส่งหนูมาอยู่กับไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ได้ยังไงกันคะ เขาไม่ใช่พี่น้ำตาลแน่ๆ”
[ไอ้บ้าที่ว่าก็ลูกเจ้านายพ่อไงลูก -_-;]
“หนูจะกลับบ้านค่ะ”
[กลับไม่ได้ รอก่อนไว้เสร็จงานที่ฮ่องกงพ่อจะรีบไปรับ]
“ไม่ค่ะพ่อ! หนูจะกลับเดี๋ยวนี้!!”
[มุกฟังพ่อนะ หนูยังกลับตอนนี้ไม่ได้ พ่อบอกบอสไปแล้วว่าหนูจะมาอยู่ช่วยดูแลพี่น้ำตาล แม่พี่เขายุ่ง ต้องมาช่วยดูงานทางนี้พอดี ไม่มีใครอยู่ดูแลพี่เขา หนูก็ช่วยๆ พ่อหน่อยนะลูก]
“พ่อคะตอนนี้หนูรู้สึกแย่มาก อีกอย่างเขาไม่ใช่เด็กสามขวบ โตเป็นควายขนาดนี้แล้วไม่ต้องให้ใครดูหรอกค่ะ!”
[พ่อขอโทษ…แต่หนูอย่าเพิ่งกลับได้ไหม จำได้ไหมว่าหนูสัญญาอะไรไว้]
“จะมาดูแลพี่น้ำตาลที่ป่วยอยู่…” ฉันตอบแล้วกลอกตามองบน “ถ้าหมอนั่นคือพี่น้ำตาลจริง หนูก็คงไม่ต้องดูแลแล้วล่ะค่ะพ่อ เขาดูไม่ป่วยสักนิดแถมยังดูถึกทนจนตั้งท่าหาเรื่องหนูได้ตั้งแต่แรกเจอ!”
[มุก…ไม่เกินสามอาทิตย์พ่อก็กลับแล้ว อดทนแปบเดียวเองแล้วนั่นพี่น้ำตาลเขาก็ใจดีกับหนูไม่ใช่เหรอ ไหนหนูบอกอยากเจอ]
“ก็ใช่! หนูอยากเจอพี่น้ำตาล แต่ต้องเป็นพี่น้ำตาลในจดหมายต่างหาก นี่ไม่ใช่! เขาแค่ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ที่ชื่อน้ำตาล!” ฉันแหวใส่ปลายสายด้วยความรู้สึกแย่เกินพิกัด ต่อให้ความจริงแล้วพี่น้ำตาลไม่ใช่ผู้หญิงแต่ก็ไม่มีทางเป็นไอ้บ้านั่นแน่ๆ ฉันมั่นใจ! แต่ดูเหมือนพ่อจะไม่ได้ฟังที่ฉันอธิบายไปเลย ท่านตัดบทและใช้น้ำเสียงอ้อนวอนกลับมา
[ยังไงก็เถอะ พ่อรับปากบอสไปแล้ว หนูช่วยพ่อได้ไหมลูก นะ…พ่อขอ]
พ่อขอ…
คำนั้นคำเดียวนี่แหละที่ทำให้ฉันต้องระเห็จเดินกลับเข้าบ้านหลังใหญ่นี่มายืนจ้องหน้ากับไอ้ตัวสูงผิวสวย(ยังจะชมเขาอีก)ที่ยังยืนอยู่ที่เดิมราวกับรู้ว่าฉันจะต้องกลับมา
“ตกลงเธอเป็นใคร”
“สวัสดีค่ะ ชื่อมุก”
ฉันยกมือไหว้ตามมารยาทเพราะดูจากทรงแล้วเขาน่าจะแก่กว่า เพราะไม่อยากพูดอะไรมากเลยแนะนำตัวไปแค่นั้นอีกอย่างก็อยากพิสูจน์ด้วยเรื่องง่ายๆ ฉันบอกไปแล้วว่าชื่อมุก ถ้าเขาเป็นพี่น้ำตาลตัวจริงล่ะก็…
“มุกไหนวะ?”
ถ้าเป็นพี่น้ำตาลตัวจริงเขาจะไม่ถามประโยคแบบนั้นออกมา -___-!!
“มุกลูกสาวคุณชัยเลขาลุงพงศ์ค่ะ”
“อ่อ…ขี้ข้า”
ปึ๊ด! หางคิ้วฉันกระตุกรู้สึกมือไม้เย็นและสั่นเหมือนอยากลั่นลงบนหัวใครสักป้าบ!!
“จะพูดอะไรระวังปากด้วยค่ะ อย่าลามปามถึงผู้ใหญ่…”
“ไม่ได้หมายถึงพ่อเธอ…หมายถึงเธอต่างหาก”
“…”
“ขี้ข้า…” หมอนั่นเว้นวรรคประโยคแล้วกวาดตามองฉันก่อนจะบิดยิ้มกวนประสาทออกมาที่มุมปาก “พ่อบอกแล้วว่าจะส่งคนมาดูแล…ก็ขี้ข้าป่ะ?”
พ่อแม่ไม่รักรึไงฟะ!! ทำไมต้องทำตัวเหมือนเด็กมีปัญหา คนสติดีที่ไหนเขาทำท่าทางนิสัยเสียกับคนที่เพิ่งรู้จักแบบนี้ ใจฉันนี่อยากโดดเข้าไปตะปบหน้าแล้วเขย่าหัวเรียกสติหมอนี่ให้หายบ้าแต่ด้วยคำว่าพ่อขอที่มีในหัวทำให้ฉันต้องสำรวมตัว อดทนเก็บความอัดอั้นไว้ในใจได้แต่พูดเสียงเรียบตอบกลับไป
“แล้วแต่พี่จะเรียกเลยค่ะ ตามแต่สมองจะคิดได้”
“หึ…”
“พี่คะ ห้องนอนหนูอยู่…อ๊ะ!”
ฉันเดินผ่านหน้าเขาไปอย่างไม่อยากสนใจเขาอีก แต่ขณะที่หันไปถามพี่แม่บ้านว่าห้องพักตัวเองอยู่ไหน! ฉันก็โดนแรงมหาศาลเกี่ยวดึงคอเสื้อฉันจากทางด้านหลังแล้วกระชากกลับไปหาเขาอย่างหยาบคาย!
ฉันว่านะไอ้บ้านี่ไม่ได้ป่วยกายหรอก แต่มันป่วยจิตต่างหาก!!
“เป็นบ้าอะไร!...คะ” ฉันจ้องเขาเขม็งตอนนี้ก็รู้สึกแย่พอแล้วยังจะมาเจอไอ้บ้านี่ทำตัวแย่ใส่ความโกรธฉันมันเลยพุ่งปรี๊ดยังดีที่ยั้งไว้ทันถึงได้เติมหางเสียงต่อท้าย ฮึ่ม! พ่อขอ…พ่อขอเว้ยยยยย!!
“จะไปไหน”
“ห้องนอนค่ะ จะเอาของไปเก็บ”
“แล้วใครบอกว่าห้องนอนเธออยู่ชั้นบน”
“อ่อ…อยู่ชั้นล่างเหรอคะ?” ฉันถามกลับแต่ไม่ได้คุยกับเขาฉันจงใจใช้สายตามองเลยข้ามหัวเขาไปเพื่อสนทนากับพี่แม่บ้านด้านหลังเขาอีกที แต่หมอนั่นไม่สะทกสะท้านเขาแค่นหัวเราะแล้วลากคอเสื้อฉันให้ตามเขาไปยังห้องหนึ่งตรงใต้บันได!!
อย่าบอกนะว่า…
“ห้องนี้ต่างหากที่ฉันจัดให้”
“…”
“ห้องขี้ข้าไง นอนแค่ห้องใต้บันไดก็หรูแล้วนะ ตามสบาย”
โครม!
แม่ทนไม่ไหวแล้วโว้ย!! พอไอ้โรคจิตพูดจบสติฉันก็จบตามไปด้วย ฉันถีบกระเป๋าเดินทางตัวเองให้พ้นทางก่อนจะกระโจนเข้าหาหมอนั่นหวังจะจิกหัวตะปบหน้ากระชากมาตบซ้ายตบขวาสักสองสามทีให้หายแค้น มันคงจะได้สาสมใจอีช้อยอยู่หรอกถ้าเขาไม่เบี่ยงตัวหลบทำให้เป้าหมายฉันพลาดไป เข้าใจหัวอกของหอกเวลามันโดนเขวี้ยงก็วันนี้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าวืดแน่ แต่มันหยุดไม่อยู่แล้วเข้าใจม้ายยย…
วืดดด~
พลั่ก!!
“โอ้ยยย!”
สงสัยล่ะสิว่าเสียงอะไร…มันจะเสียงอะไรล่ะถ้าไม่ใช่เสียงร่างฉันที่วืดจากการพุ่งหลาวเข้าไปหาหมอนั่นแล้วเกิดพลาดจากที่ต้องพุ่งใส่เขาเลยต้องกลายเป็นพุ่งใส่พื้นแทน
“ไม่โง่ทำไม่ได้”
ไอ้ประสาทไม่ดีไม่วายย่อตัวลงมานั่งมองฉันที่กองอยู่บนพื้นหรี่ตามองสภาพทุเรศทุรังของฉันด้วยแววตาเยาะเย้ยอยากจะด่ามันต่ออยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าเจ็บมาก
เลือดกลบปากเลย TOT!!
“ว้าย! คุณมุกเป็นอะไรไหมคะ”
พี่แม่บ้านกุลีกุจอเข้ามาสำรวจฉันด้วยความตื่นตระหนกทันที ฮือ! ไม่เป็นอะไรได้ไงคะพี่ นี่หน้าหนูแหกหมดแล้ววว T_T! เจ็บจนต้องร้องขอยาทำแผล
“หิวข้าว เตรียมอาหารหน่อยสิ ขออร่อยๆ นะ อยากกินเย้ยคนปากแตก”
ว่าแล้วหมอนั่นก็เดินล้วงกระเป๋าผิวปากอารมณ์ดีข้ามหัวฉันไป
ไอ้โรคจิต!!
ฉันหลับไปตอนไม่รู้…
หลังจากที่หน้าแหกปากแตกเจ็บแผลจนร้องซี๊ดฉันก็แบกหน้ากลับเข้าห้องใต้บันไดอันแสนแคบยิ่งกว่ารูหนู(แคบจริงๆ นะเปิดประตูมาก็เจอเตียงแล้วนอนได้เลย =_=)เพื่อขังตายอยู่ในห้องคนเดียวด้วยความรู้สึกอับอายจนอยากเอาหน้ากระแทกพื้นอีกรอบหากไม่กลัวเจ็บ
“มาได้ไง”
หลังจากขยี้ขี้ตาเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงฉันก็พบกล่องยาทำแผลวางไว้อยู่ข้างเตียง ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองหลับไประหว่างรอพี่แววไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาให้นี่ยังไม่ได้ทำแผลเลยนี่หว่า ทว่าพอลุกขึ้นไปส่องกระจกหวังจะทำแผลกลับกลายเป็นว่าพวกเลือดแห้งที่เคยกรังแถวมุมปากตอนนี้มันถูกแทนที่ด้วยรอยเหมือนโดนยาป้าย
อ้าว สงสัยพี่แววจะทนสมเพชฉันไม่ไหวเลยสงเคราะห์ทำแผลให้ด้วย
“คุณมุก…ตื่นแล้วเหรอคะ อาหารเย็นพอดีเลยค่ะ คุณชูก้าร์กำลังทานอยู่เลย”
“อ่อค่ะ”
ฉันเจอพี่แม่บ้านอีกคนหนึ่งทักทายเมื่อออกจากห้องมา ดีจังก่อนหลับยังอาหารเช้าอยู่เลยตื่นมาอีกทีก็เจออาหารเย็นเลย =_= ทำไมนอนนานขนาดนี้ ฉันเดินไปยังห้องอาหารด้วยหน้าแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่พอเห็นหน้าไอ้โรคจิตที่นั่งรออยู่ตรงโต๊ะอาหารกล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายมันก็กระตุกเหมือนพร้อมรบทันที!
“นอนนานซะนึกว่าตาย”
เอาจริงๆ ฉันก็แอบคิดเหมือนมันนะ -_-;
“พี่คะ ขอข้าวด้วยค่า”
ฉันเมินเสียงนกเสียงกาแล้วหันไปยิ้มหวานให้พี่แม่บ้าน
“ใครอนุญาตให้กิน”
“จะกิน”
แล้วฉันก็รีบจ้วงข้าวเข้าปากอย่างไม่แคร์เวิลด์ ฉันถือว่าข้าวมาอยู่ในจานฉันแล้วมันเป็นของฉันซะอย่างใครจะมาทำอะ…
เคร้ง!!
“ทำบ้าอะไร!”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ให้กิน”
หมอนั่น! ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเดินอ้อมมาประชิดตัวฉันอย่างไวแล้วดึงเอาจานข้าวที่ฉันกำลังจะตักเข้าปากเขวี้ยงทิ้งลงถังขยะด้านหลังไปหน้าตาเฉย!!
มันจำเป็นต้องทำกันขนาดนี้ไหม!
“ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ…”
ฉันเป็นฝ่ายลุกขึ้นบ้างเงยหน้าสบนัยน์ตาคมดุนั่นด้วยแววตาแข็งกร้าว ความผิดหวังและความอดทนทั้งหมดพังทลายลงมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลทะลัก ฉันทนไม่ไหวอีกแล้ว ความอดทนของคนมันมีขีดจำกัดยิ่งบวกกับคลื่นความผิดหวังก่อนหน้าที่ซัดเข้ามาทำให้ขีดความอดทนของฉันมันลดต่ำลงมากกว่าปกติ นี่เขาทำเกินไป
“ฉันทำผิดอะไรนักหนาเหรอ ก็แค่จะกินข้าว”
“…”
“นี่ฉันต้องลงไปกราบแทบเท้าพี่เพื่อขอข้าวกินเลยไหม…”
คนตรงหน้ามองฉันด้วยสายตาแบบไหนฉันก็ไม่รู้หรอกเพราะม่านน้ำตาเข้าปกคลุมการมองเห็นฉัน มันเป็นน้ำตาแห่งความคับแค้นใจฉันนิ่งเงียบแต่ตัวสั่นไปหมด พอเห็นเขาเลือกที่จะไม่ตอบโต้ฉันเลยหมุนตัววิ่งกลับเข้าห้องไป พอกันทีฉันเหนื่อยแล้ว!
แหมะ!
ความอุ่นร้อนวาบขึ้นที่ขอบตา ฉันยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาเหมือนเด็กๆ ไม่อยากปล่อยให้มันไหลอาบหน้าเหมือนคนอ่อนแอ ตั้งแต่เกิดมามีไม่กี่เรื่องที่ทำให้ฉันร้องไห้ได้ ฉันเชื่อว่าตัวเองเข้มแข็งมาตลอดก็จนวันนี้ วันที่เหมือนความหวังสลายไป กับคนที่เฝ้าเจอมาทั้งชีวิตพอมาอยู่ตรงหน้ากลับมีแค่ความว่างเปล่า เขาไม่ใช่พี่น้ำตาลในจดหมายนั่น ไม่มีทางเป็นพี่น้ำตาลคนนั้น
"ฮือ..."
ฉันสะอื้นหนักเลิกซับน้ำตาแล้วปล่อยให้มันไหลอย่างที่อยากเป็น วันนี้เป็นวันที่แย่สุดของฉัน แต่ฉันก็พยายามทำตามอย่างที่พ่อขอ พยายามอดทนทั้งๆ ที่รู้สึกอ่อนแรงจนแทบจะล้มทั้งยืนไปหลายรอบตั้งแต่เจอความจริง แต่ฉันก็ยังพยายามทำตัวเข้มแข็งต่อสู้กับไอ้บ้านั่นทั้งที่ใจบอบช้ำขนาดนี้ แล้วดูสิ…ดูหมอนั่นทำกับฉันอย่างกับไม่ใช่คน
แม้แต่ข้าวมันก็ไม่ให้กิน!
โมโหโว้ยยย!!
“เก็บให้หมดเลยนะพวกกับข้าวของกิน อย่าใส่ตู้ไว้ ยัยนั่นอาจแอบออกมากินตอนดึกก็ได้ใครจะไปรู้” น้ำตาฉันหยุดไหลโดยอัตโนมัติพอได้ยินเสียงไอ้พี่น้ำตาลที่เหมือนคุยกับใครสักคนด้านนอก เพราะห้องของฉันมันเป็นห้องใต้บันไดไงถ้าหมอนั่นมาพูดตรงบันไดฉันจะได้ยินก็ไม่แปลก
“ตะ…แต่ถ้าคุณมุกหิวล่ะคะ?”
“ช่างสิ! ฉันไม่ให้กิน”
ฉันพอจับใจความได้ว่าหมอนั่นให้เก็บของกินให้หมดเพราะกลัวฉันจะแอบออกไปกิน ความโรคจิตนี้ท่านได้แต่ใดมา ไอ้บ้านี่มันเป็นเจ้ากรรมนายเวรฉันตั้งแต่ชาติปางก่อนไหม ทำไมต้องจงเกลียดจงชังฉันขนาดนี้!
จ๊อกกกก~
เวลาผ่านไป…ฉันรอจนดึกตอนนี้ประมาณสี่ทุ่มได้ ท้องฉันเริ่มประท้วงหนัก มันคำรามเหมือนจะแหวกไส้ออกมาหาของยัด =_= ฉันหิวมาก ณ จุดนี้และตัดสินใจแล้วว่าจะแอบออกไปร้านมินิมาร์ทหน้าหมู่บ้าน เมื่อเช้าตอนนั่งรถเข้ามาฉันเห็นว่ามันมีเปิดอยู่ เงินก็มี มือตีนก็ไม่ง่อย แล้วจะรออะไรล่ะ!
ฟิ้ววว
แต่พอฉันเปิดประตูออกไปก็เจอแผ่นกระดาษโน้ตเล็กๆ ปลิวอยู่ใต้ประตูเหมือนมันโดนเสียบไว้แต่ฉันไม่เห็นพอเปิดประตูออกมันเลยปลิวมา
‘อาหารอยู่ในตู้กับข้าวนะคุณมุก อุ่นไมโครเวฟแล้วกินได้เลย J’
ต้องเป็นพี่แววเจ้าเก่าแน่ๆ หรือไม่ก็แม่บ้านสักคนในบ้าน คือทุกคนดูสงสารและใจดีกับฉันหมดยกเว้นไอ้โรคจิตนี่แหละ! ฉันอมยิ้มกับสิ่งดีๆ ที่ยังพอเกิดขึ้นให้ชื่นใจบ้างก่อนจะเดินผิวปากอารมณ์ดีเข้าห้องครัวไป
หลังมีอะไรตกถึงท้องฉันก็อารมณ์ดีขึ้น ใจเริ่มตระหนักได้แล้วว่ายังไงซะฉันก็ต้องอยู่ที่นี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันก็แค่สามสัปดาห์…ถือว่าทนได้ไม่มากไม่น้อยเกินไป ถ้าเป็นเรื่องที่พ่อถึงขนาดเอ่ยปากขอ ฉันว่ามันคงสำคัญกับพ่อมากเพราะตั้งแต่เกิดมาพ่อไม่เคยบังคับหรือขอร้องอะไรฉันจนกระทั่งเรื่องนี้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันยอมท่านไง
“เฮ้อออ~”
ฉันถอนหายใจยาวแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงสปริงหนานุ่มอย่างดี อันที่จริงพอเริ่มมีสติฉันก็เพิ่งเห็นว่าห้องใต้บันไดไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ถึงแม้มันจะแคบมาก แต่ห้องในนี้สะอาดมากจนเหมือนไม่ใช่ห้องเก็บของใต้บันไดทั่วไป เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างดูแพงและดีไปหมดไม่ว่าจะเตียงนอน ตู้ หรือแม้กระทั่งเครื่องปรับอากาศ!(ห้องแคบมากเลยมีของอยู่แค่นี้ -_-)
นี่ต้องรวยเบอร์ไหนถึงติดแอร์ในห้องใต้บันได =_=
กรุ๊งกริ๊ง~
ฉันหยิบพวงกุญแจสีทองรูปรถยนต์ขึ้นมาแกว่งเล่นแก้เบื่อ มันเป็นของขวัญวันเกิดจากพี่น้ำตาลเมื่อสามปีก่อน เพราะมันเล็กพกพาสะดวกฉันถึงได้เอามันติดตัวไปทุกที่เหมือนเป็นเครื่องรางนำโชคประจำตัว เวลารู้สึกแย่กับเรื่องต่างๆ ฉันจะหยิบมันขึ้นมามองและอธิษฐานในใจเพื่อปัดเป่าความทุกข์นั้นไปครั้งนี้ก็เช่นกัน
พี่น้ำตาลคะช่วยอวยพร…ให้มุกผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดีด้วยเถิด
พูดถึงพี่น้ำตาลแล้ว…ถึงไอ้คนใจร้ายนั่นจะไม่ใช่แต่ฉันก็รู้สึกว่าพี่น้ำตาลตัวจริงเป็นคนใกล้ตัวเขายังไงชอบกล คิดดูแล้วของทุกอย่างต่างถูกส่งมาจากที่นี่ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นพี่น้ำตาลต้องอยู่แถวนี้แน่ เพียงแต่ฉันคงต้องสืบหาแหละว่าเขาเป็นใคร
อย่างน้อยการติดอยู่ที่นี่จะต้องไม่สูญเปล่า!!
เอาล่ะ!
ต่อจากนี้ฉันจะอยู่ที่นี่เพื่อคำขอของพ่อ เพื่อการตามหาตัวพี่น้ำตาลตัวจริง และเพื่อแก้แค้นไอ้พี่น้ำตาลตัวปลอมนั่น! หน็อย!! วันนี้ฉันรู้สึกแย่หรอกนะถึงยอมอ่อนแอให้แกล้งได้ แต่หลังจากวันนี้จะได้เห็นดีกันแน่ หึๆ!
แรงมาแรงกลับ ไม่โกงโว้ย!!
#เช้าวันรุ่งขึ้น เวลา 06.30 น.
ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเผลอหลับไปตอนไหน จำได้ว่าเหมือนนอนสาปส่งไอ้โรคจิตอยู่ในใจแล้วภาพก็ตัดไปเลยแต่ฉันเป็นคนตื่นเช้าเป็นปกติ ไม่ว่าจะนอนกี่โมงฉันก็ตื่นเวลาประมาณหกโมงกว่าเสมอ
“ฮ้าวววว~”
ฉันลืมตาขึ้นมาแล้วบิดขี้เกียจเต็มสตรีม อดยอมรับไม่ได้จริงๆ ว่าเตียงนี่นอนโคตรสบาย
ปึก!
หื้อ? อะไรฟะ ฉันว่ามือตัวเองปัดไปโดนอะไรสักอย่างทางด้านหลังจะว่าแข็งก็ใช่ จะว่านุ่มก็ใช่อีก! มันเหมือนมีเส้นๆ…จะว่าไปก็เหมือน
เหมือนหัวคนนี่หว่า O_O!!
พรึ่บ!
ฉันกลั้นใจพลิกตะแคงตัวไปทางด้านหลังเพื่อดูให้ชัดเต็มสองตาว่าสิ่งที่สงสัยมันคืออะไร! แล้วก็เป๊ะจ้า…เต็มๆ สองลูกตานี้เลยจ้า =_=
“เฮ้ยยย! เข้ามาได้ไง!!”
“ตื่นแล้วเหรอ?”
ไอ้พี่ชูก้าร์หรือก็คือพี่น้ำตาลตัวปลอมยืนอยู่ข้างเตียงในลักษณะโน้มหน้าลงมาประชิดฉันที่นอนตาเบิกโพลงอยู่บนเตียง นอกจากจะทำท่าน่ากลัวเหมือนผีจูออนแล้วรอยยิ้มบิดเบี้ยวน่าเกลียดของเขายังทำให้ฉันขนลุกขนพองอีกด้วย นัยน์ตาคมนั้นส่อประกายแผนชั่วบางอย่างอยู่!
“จะ…จะทำอะไร!”
“มานี่”
ไม่ทันที่เสียงร้องฉันจะทันได้หลุดออกจากลำคอด้วยซ้ำไอ้ตัวสูงนี่ก็ช้อนตัวอุ้มฉันขึ้นแล้วพาเดินออกไปด้านนอกทันที เฮ้ย! มันจะพาฉันไปฆ่าหมกสวนรึเปล่า!
“ชะ…ช่วยด้วยยยย =[]=!!”
โปรดติดตามตอนต่อไป...
พี่น้ำตาลตัวปลอมจะพามุกไปไหน โอ้ยยยอยากอ่านตอนต่อไปแล้ว
สู้ๆน้าาตัวเองงง
สงสารมุกงะ รออ่านตอนต่อไปอยู่นะ
นางเอกนางน่าสงสารอ่ะ 555
ลุ้นๆๆไอยากอ่านตอนต่อไปแล้วววววว
แต่แกก็โหดไปจริงๆนะ
ชูการ์ทำฝันแตกสลายเลยยยย
ถ้าเราเป็นมุกก็คงเงิบ
แต่ถ้ามุกเกลียดพี่ชูการ์งั้นเราขอนะคึคึ