ความฝันของฉันต้องแตกดับ...เมื่อคนที่เฝ้าฝันหามาตลอด 8 ปี พอเจอตัวจริงกลับตรงข้ามกับสิ่งที่คิดแบบสุดๆ แล้วฉันจะทำยังไงต่อไปดีเนี่ยยยย!! ไอ้นี่มันตัวปลอม นี่มันเสิ่นเจิ้นชัดๆ =[]=!
5
เธอคนนั้น...
กริ๊งงงงงง!!!
ระหว่างที่ฉันนอนหลับพริ้มอย่างแสนสบายบนเตียงแสนสุขในห้องนอนใหม่ที่ฉันได้รับอภินันทนาการจากคุณลุงพงศ์พ่อของพี่ชูก้าร์ให้ย้ายขึ้นมาห้องชั้นบนแทนที่จะมุดอยู่ในห้องใต้บันไดนั่น ตอนนั้นเองนาฬิกาปลุกบนหัวเตียงก็แผดเสียงร้องขึ้นมาจนฉันตกใจรีบควานหาเพื่อปิดมัน
ทว่า…
ซ่า!!
ฉันกลับคว้าได้ถังใบเล็กซึ่งมีน้ำบรรจุอยู่จนล้น มันมาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย! และเมื่อมือปัดไปโดนมันก็หกราดลงมาบนหัวทำให้ฉันเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งหน้ามุ่ยอย่างอารมณ์เสียแบบตอนนี้ไง!!
“โอ๊ยยย นี่มันอะไรกันเนี่ย >O<!”
“ตื่นได้สักทีนะยัยดำ -_-”
“พี่!!”
ฉันร้องเสียงหลงเหมือนเห็นผี...อันที่จริงไอ้พี่บ้านี่ก็น่ากลัวกว่าเยอะ =_= เอาเป็นว่าพอลืมตาลุกขึ้นมาด้วยสภาพเปียกโชก ฉันก็พบมนุษย์หน้าตาดีนั่งไขว้ห้างอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงเท้าคางมองมาด้วยสายตาแปลกประหลาด ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นสีหน้ายุ่งเหยิงปนโมโหของฉัน
หนอย...นี่ว่างมากใช่ไหมถึงมาแกล้งฉันได้แต่เช้า -_-^
“ฝีมือพี่งั้นเหรอ ทำบ้าอะไร!”
“ปลุกเธอไง”
“แล้วต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ป่ะ! ปลุกดีๆ ไม่เป็นรึไง นี่มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ!!”
โอ๊ย แม่อยากจะกรี๊ดพร้อมกระโดดสกายคิกใส่หน้าหล่อๆ นั่นให้หายแค้น มันใช่เรื่องไหมที่ต้องมาเปียกไปเพราะความต้องการกวนโอ๊ยบ้าๆ ของเขาเนี่ย!
“แป๊บหนึ่ง...” เขายกมือเป็นเชิงบอกฉันที่กำลังโวยวายตั้งท่าจะกินหัวเขาให้หุบปาก ก่อนจะกดอะไรบางอย่างในโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่แล้วหันหน้าจอมาทางนี้
[ลูกพ่อออออ!!]
ตายโหง!
ใบหน้าเหี่ยวสมวัย เอ๊ย! ใบหน้าอบอุ่นแสนใจดีที่คุ้นเคยของพ่อโชว์หราเต็มหน้าจอโทรศัพท์ของอีกฝ่าย ฉันผงะอย่างไม่ทันตั้งตัวก่อนจะพยายามตั้งหลักแล้วส่งยิ้มแห้งแล้งไปให้พ่อโดยไม่วายแอบถลึงตาใส่คนหลังโทรศัพท์ด้วย
เขาทำบ้าอะไรของเขาเนี่ย! เฟซไทม์หาพ่อฉันเพื่อ!?
“สะ...สวัสดีค่ะพ่อ มีอะไรหรือเปล่าคะ ^^;;”
[ -_- นี่ยังไม่ตื่นอีกเหรอลูก... ]
จากสีหน้าเบิกบานยิ้มแย้มจนผิวหน้าเหี่ยวย่นกลายเป็นเรียบตึงในเสี้ยววินาทีหลังจากเห็นสภาพหัวฟูเพิ่งตื่นนอนของฉัน พ่อถามสวนกลับมาพร้อมมองด้วยสายตาตำหนิ ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิมเมื่อสังเกตเห็นความเปียกซกบนตัวฉัน [แล้วทำไมตัวเปียกแบบนั้น]
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พอดีแมวมันทำน้ำหกใส่” พูดจบฉันก็หันไปถลึงตาให้คนหลังกล้องที่กำลังเหยียดยิ้มใส่อย่างยียวน
[แล้วทำไมตื่นสายแบบนี้ล่ะลูก นี่มันเที่ยงแล้วนะ หนูไปอยู่บ้านเขาแล้วจะมาตื่นสายขนาดนี้ได้ยังไง มุกลืมแล้วเหรอว่าพ่อส่งมุกไปทำไม มุกต้องดูแลพี่เขา... บลาๆๆ แบะๆๆ]
อ้าว =_= กลายเป็นตื่นมาก็โดนเทศน์ยาวรับเช้าวันใหม่ซะงั้น พ่อสวดยับอยู่ร่วมสิบกว่านาที ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งเงียบฟังจนหน้าแห้ง นานจนพี่ชูก้าร์ที่ถือโทรศัพท์ไว้ในมือตอนแรกเปลี่ยนมาโยนให้ฉันถือแทนด้วยความเมื่อยอะคิดดู
[เข้าใจไหม]
“เข้าใจค่ะ” ฉันรับคำอย่างห่อเหี่ยวก่อนจะกลับมายิ้มร่าอีกครั้งเมื่อนึกอะไรดีๆ ออกหลังจากปรายตาไปยังไอ้คนที่นั่งไขว่ห้างตรงหน้าแล้วกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างเหนือกว่า “แต่พ่อรู้สาเหตุไหมคะ ว่าทำไมมุกถึงได้ตื่นสายแบบนี้ทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!”
หึๆ คิดจะเล่นงานฉันเหรอ นอกจากฟ้องพ่อของเขาแล้ว ฉันจะฟ้องพ่อตัวเองด้วยเฟ้ย! โทษฐานที่ไอ้บ้านั่นหลอกฉันไปเสี่ยงตายเมื่อคืน เสร็จฉันแน่!!
[รู้...]
“เห็นไหม ก็มุกจะบอกว่า... ฮะ เดี๋ยวก่อน =[]= พ่อบอกว่าไงนะคะ” ฉันย้อนถามเสียงแหลม
[พ่อบอกว่ารู้]
“ระ...รู้ว่าไงคะ?”
[พี่เขาโทรมาหาพ่อตั้งแต่เช้าแล้ว เพื่อขอโทษที่พาหนูออกไปเถลไถลเมื่อคืน]
ฉันตวัดสายตามองคนต้นเรื่องทันที ก็แปลกใจอยู่ว่าหมอนั่นยิ้มอะไรนักหนาที่แท้ก็วางแผนทุกอย่างไว้เสร็จสรรพแล้วนี่เอง ที่เหลือก็แค่รอฉันตื่นมาเซอร์ไพรส์กับเรื่องบ้าบอคอแตกนี่!! ให้ตายดับ...เขาแก้แค้นฉันที่โทรไปฟ้องพ่อเขาครั้งก่อนแน่นอน คราวนี้ไอ้บ้านี่ก็เลยโทรฟ้องพ่อฉันนี่ไง โธ่เว้ย!!
“ถ้างั้นพ่อก็น่าจะเข้าข้างมุกแล้วก็ด่าเขาสิคะ”
[พี่เขาขอโทษพ่อแล้วไง แต่ลูกต่างหากที่ต้องโดนดุ มีอย่างที่ไหนนอนดึกตื่นสายบ้านคนอื่นแบบนี้ นี่ต้องให้พ่อว่าเราอีกรอบไหม]
“เอ้าพ่อ! ก็ดูหมอนั่นสิคะ กว่าจะพาหนูกลับถึงบ้านก็ล่อไปตีสองแล้ว แล้วทำไมหนูต้องโดนด่าอยู่คนเดียวอะ ไม่ยุติธรรมเลย!!”
[มันไม่เกี่ยวเลยนะมุก พี่เขาก็กลับมาพร้อมกัน ขนาดเป็นเจ้าของบ้านเขายังตื่นตั้งแต่เช้าโทรมาคุยมาขอโทษพ่อเสร็จสรรพ แล้วหนูเป็นคนอาศัย เป็นแขก ทำไมทำตัวแบบนี้ พ่อเคยสอนมุกว่ายังไง...อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดายปั้นวัวปั้นควายให้ลูกหลานท่านเล่นนะลูก]
โอ้โห ฉันล่ะอยากจะบอกพ่อเหลือเกินว่าช่วงหลายวันก่อนฉันทำหนักยิ่งกว่าปั้นวัวปั้นควายอีกค่า คือทำงานเยี่ยงวัวเยี่ยงควายให้หมอนี่ด้วยซ้ำ!!
“เข้าใจแล้วค่ะพ่อ หนูผิดเองทั้งหมดหนูขอโทษ”
ฉันรีบตัดบทเพราะรู้ว่าหากเถียงไปพ่อจะร่ายยาวไม่จบในวันนี้แน่ ยอมๆ ไปเถอะเดี๋ยวพ่อก็เงียบเอง อีกอย่างฉันอยากไปเข้าห้องน้ำจะแย่ น้ำที่มันราดหัวเมื่อกี้มันเริ่มซึมลึกเปียกไปถึงกางเกงในแล้วเนี่ย =_= โอ๊ย
[ดี แล้วหนูก็อย่ามัวเอาแต่เที่ยวเล่นจนลืมดูแลพี่เขาล่ะ ช่วยอะไรได้ก็ทำให้หมด พี่เขาป่วยอยู่นะลูก]
ป่วยทางจิตน่ะสิพ่อ =_=
“ค่า มีอะไรให้อิชั้นรับใช้ก็บอกนะคะคุณชายยยย!”
ฉันพูดประชดเสียงสูงแล้วหันกล้องที่มีหน้าพ่ออยู่ในนั้นไปทางเขา อยากรู้ว่าเขาจะเล่นละครบทไหนใส่พ่อฉันต่อไง เขาจ้องหน้าจออยู่สักพักก็เริ่มขมวดคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววยับยู่ยี่ ก่อนที่มือใหญ่จะยกมือกุมช่องท้องตัวเองไว้และพูดเสียงเบาว่า
“ปวดท้องจัง...”
ความตอแหลมันลงตับเหรอพี่ =_=
ฉันอยากถามแต่ไม่ได้พูดออกไป เพราะกลัวพ่อจะรีบบินกลับมาแพ่นกบาลแยกซะก่อน โทษฐานที่ไปพูดกับคุณหนูสุดที่รักของพ่อแบบนั้น
[เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณหนู ให้ผมโทรตามหมอไหม หรือว่ายังไง O_O!!]
น้ำเสียงพ่อดูตื่นตระหนกมากผิดกับฉันที่ได้แต่กลอกตามองบนเบะปากแรงลับหลังกล้อง ที่แท้ก็เล่นบทสำออยนี่เอง เพิ่งเคยได้เห็นมารยาผู้ชายที่เขาว่าร้ายกาจกว่าผู้หญิงของจริงก็วันนี้แหละ
"ไม่เป็นไรหรอกครับ พอดีเดี๋ยวผมต้องไปพิมพ์รายงานสรุปโปรเจกต์จบนิดหน่อยน่ะครับ”
[รายงานอะไรคุณชาย ให้ยัยมุกพิมพ์แทนได้ไหม!!] พ่อรีบอาสาอย่างกระตือรือร้น
เดี๋ยวนะพ่อ =___= ทำไมโยนขี้มาให้หนูแบบนี้ล่ะ
“อันที่จริง...” เขาเอียงคอมองบนทำหน้าเหมือนกำลังคิด แล้วก็หันมามองฉันด้วยสีหน้าแบบยังไงอะ ดูสุภาพนุ่มละมุนขัดกับนิสัยจริงของเขามาก! “มันก็ได้แหละครับ แต่ว่าจะเป็นการรบกวนน้องมุกมากไปหรือเปล่า...”
ท้ายประโยคเขาพูดด้วยน้ำเสียงเบาลง ตีหน้าแสร้งรู้สึกผิดสายตาเต็มไปด้วยความเกรงใจทั้งที่ไม่ใช่!! เห็นแล้ว อยากจะไปเหมาสตรอเบอร์รี่ทั้งไร่มาปาใส่หน้า!! ซึ่งแน่นอน...ไม่ต้องเห็นสีหน้าตาแก่ในโทรศัพท์ฉันก็รู้ได้ในทันทีเลยว่า...
[มุก ทำให้พี่เขาหน่อยสิลูก!]
“พ่อคะ นั่นมันงานของเขาแล้วมุกจะไปทำถูกใจถูกต้องได้ยังไงล่ะคะ -O-“ ฉันรีบบอกปัดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่พ่อจะตอบกลับมาไอ้หน้าหล่อมันก็รีบพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน!
“ที่จริงเนื้อหาในรายงานผมเขียนรายละเอียดใส่กระดาษไว้หมดแล้วครับ จะเหลือก็แค่พิมพ์...”
[มุก...]
พ่อเรียกชื่อฉันเสียงเข้ม ดูจริงจังขนาดนั้นฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้วล่ะ -___- ได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรมแปลงร่างเป็นอีเย็นภาค 2 ไปโดยปริยาย
“ได้ค่ะพ่อ หนูจะช่วยพี่เขาเองค่ะ -_-^”
[ขอบใจนะลูก ว่าแต่รายงานนี่เยอะไหมคุณหนู]
“ไม่ครับ แค่ 50 หน้าเวิร์ดเอง”
แล้วถ้าเยอะของแกนี่ไม่ห้าร้อยหน้าเลยเหรออีกลูต้า!! โอ๊ยยย! อยากพ่นไฟเว้ย!
แล้วไอ้คุณชายคุณหนูของพ่อก็คว้าโทรศัพท์กลับคืนพร้อมเดินไปคุยกับพ่อฉันต่ออีกนิดหน่อย จากนั้นก็วางสายแล้วเดินวกกลับมาหาฉันอีกรอบ
“ไปอาบน้ำ เสร็จแล้วก็มาเจอฉันที่ห้องหนังสือ -_-“
“ค่ะ!!”
“ค่ะแล้วนั่งอยู่ทำไม ลุกสิ”
หมอนั่นเร่งเร้าพร้อมส่งสายตารำคาญมาให้ ฉันจึงตีหน้าหงุดหงิดกลับไปพลางสะบัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วขยับลุกลงจากเตียง ทว่าทันทีที่ฉันลุกขึ้นมานั่งข้างเตียงแล้วตั้งท่าหย่อนเท้าวางบนพื้นนั้น...
จ๋อม!
-___-^ นี่มัน...
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามอดกลั้นพร้อมกับค่อยๆ ยกเท้าตัวเองขึ้นมาช้าๆ มองดูขากางเกงที่เปียกน้ำซึมลามขึ้นมาครึ่งขาด้วยความเจ็บใจ เหตุเพราะตอนที่ฉันลุกมานั่งข้างเตียงแล้วห้อยขาจะทิ้งเท้าวางบนพื้นแต่มันกลับเหยียบไม่ถึงพื้นเพราะมีใครบางคนเอาถังน้ำขนาดใหญ่มาวางอยู่ข้างเตียงตรงตำแหน่งเดียวกับที่ฉันลุก ราวกับคิดมาแล้วสิบแปดตลบว่าฉันจะต้องหย่อนขาลงตรงนี้ ทำให้ขามันจุ่มลงไปในถังน้ำที่ว่านั่นพอดิบพอดี
เสียงหัวเราะในลำคอจากคนร้ายดังขึ้น เขามองฉันอย่างสะใจแล้วหยัดกายยืนขึ้นเต็มความสูงทำทีเป็นเดินอย่างไม่สะทกสะท้านไปยังประตูห้องเตรียมจะหนี เมื่อเห็นว่าฉันเริ่มหายใจหอบถี่ สองมือกำหมัดแน่น เส้นเลือดในขมับสองข้างเต้นตุบๆ เหมือนจะระเบิด...และใช่!
ฉันกำลังจะระเบิด!!
“เซอร์ไพรส์ J“
“ฉันจะฆ่าแก ไอ้พี่บ้า! กรี๊ดดดด!!!”
.....................
“ใจดำ!!”
“ดีกว่าคนตัวดำนะ”
ไม่เกี่ยวโว้ย! ฉันแยกเขี้ยวใส่เขาแล้วยกมือขึ้นมากอดอกจ้องหน้าเขาอย่างไม่ยอมเช่นกัน คือหลังจากที่ฉันไล่ตีกับพี่ชูก้าร์อยู่นานทว่าก็วิ่งตามไม่ทัน(เขาวิ่งเร็วมาก ดูขายาวๆ นั่นสิ!) สุดท้ายฉันเลยได้แต่ปลงตก แยกย้ายไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วมาเจอเขาตามนัดที่ห้องหนังสือ
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าคนดวงซวยอย่างฉันมันเกิดอาเพส ฉันมีประจำเดือนแล้วผ้าอนามัยดันหมดเหลือแผ่นสุดท้าย เลยต้องแบกหน้ามาขอร้องไอ้คนใจดำว่าจะขอออกไปซื้อของใช้ส่วนตัวก่อนแล้วจะกลับมาช่วยงานอย่างแน่นอนไม่อิดออด ทว่าก็อย่างที่เห็น ไอ้บ้านี่มันกวนประสาทฉันไม่เลิกแล้วทำตัวเป็นเด็กๆ ด้วยการยกมือปิดหูทำเป็นไม่รับรู้ ก่อนจะผลักให้ฉันนั่งลงไปบนโต๊ะทำงานแล้วเปิดคอมฯ ให้เสร็จสรรพ
“พี่! พูดไม่รู้เรื่องรึไง มุกจำเป็นต้องออกไปซื้อจริงๆ นะ”
“ไม่ต้องมาอ้าง เธอจะแอบอู้ฉันรู้”
“มันเป็นของสำคัญมากนะ พี่เข้าใจไหม”
สำคัญจริงๆ นะโว้ย!! ใจคอจะให้ฉันไปขุดหากาบมะพร้าวมาใช้แทนเลยไหม!
“ไม่เข้าใจ ของอะไรของเธอนักหนา”
“ก็ของ...ของสำคัญของผู้หญิงไงพี่...” พูดไปก็รู้สึกกระดากอาย ทำไมฉันต้องมาขออนุญาตผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ไปซื้อผ้าอนามัยด้วยเนี่ย ไร้สาระที่สุด! “...วันนั้นของเดือนน่ะ โอ๊ย T///T”
ทางด้านพี่ชูก้าร์พอได้ยินสิ่งที่ฉันขอเขาก็นิ่งเงียบไป ไม่รู้ว่าอึ้งหรืออะไรแต่สีหน้าท่าทางของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงทำให้ฉันเดาใจไม่ออก
“...”
“เข้าใจแล้วใช่ไหม ทีนี้มุกไปได้หรือยัง”
“อืม...”
“อืม...นี่คือไปได้แล้วใช่ป่ะ”
“อืม...ไม่”
แล้วจะอืมหาพระแสงของ้าวอะไรล่ะโว้ย เดี๋ยวแม่กระโดดถีบขาคู่ใส่เลยนี่ >O<!!
“พี่! นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะเว้ย เรื่องฉุกเฉินน่ะเข้าใจไหม”
“เธอก็...”
Rrrrr!
“ครับ...”
อีกฝ่ายกดรับโทรศัพท์พร้อมกรอกเสียงลงไปในสายทันทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทำให้ปากที่กำลังพูดของฉันชะงักไป หมอนั่นโบกมือเป็นเชิงไล่ ก่อนที่ตัวเองจะหมุนตัวเดินคุยโทรศัพท์ออกนอกห้องไปทิ้งให้ฉันยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความเซ็ง
“ผมกำลังไปครับอา...”
ปัง!
ฉันต้องไปทำบุญสะเดาะเคราะห์สักหน่อยแล้วล่ะ ดูท่าปีนี้จะชงว่ะ เวลาพูดเรื่องสำคัญทีไรต้องมีมารมาขัดคอหอยทุกที สุดท้ายก็ได้แต่ก้มหน้าปลงตก ในเมื่อออกไปไหนไม่ได้จนกว่างานจะเสร็จเลยตัดสินใจวิ่งลงไปหาพี่แววเพื่อวานให้ช่วยไปซื้อผ้าอนามัยให้ทีถ้าเธอออกไปจ่ายตลาดซึ่งพี่แววก็ตกลงไม่ได้ขัดข้องอะไร ฉันเลยกลับขึ้นมาพิมพ์รายงานให้ไอ้บ้านั่นอย่างสงบสุข....
เหรอ?
ด้วยความที่ห้องหนังสือมันอยู่ถัดจากห้องแห่งความลับหรือก็คือห้องพี่ชูก้าร์ ห้องเพียงห้องเดียวที่ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป มันก็เหมือนน้ำมันใกล้ไฟอะ อยู่ใกล้แค่เอื้อมแบบนี้มันก็นะ...
นั่นแหละ คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าตอนนี้ฉันย่องมายืนอยู่หน้าห้องพี่ชูก้าร์เรียบร้อยแล้ว...
อันที่จริง...มือฉันจับอยู่ที่ประตูลูกบิดแล้วด้วยซ้ำ แฮ่ =.,=!
สายตาสอดส่ายสำรวจไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าปลอดคนฉันจึงออกแรงหมุนลูกบิดเพื่อเปิดเข้าไป ใจหนึ่งตอนแรกคิดว่าบางทีเขาอาจจะล็อคห้อง...
แอ๊ดดดด~
“อ้าวเฮ้ย เปิดได้เฉยเลย”
ถ้าเขาหวงห้องขนาดนั้นตอนแรกฉันนึกว่าเขาจะล็อคห้องล่ามโซ่เอาไว้ซะอีก แต่นี่กลับเปิดเข้ามาได้อย่างง่ายได้คืออะไร? หรือว่าความจริงแล้วมันไม่มีอะไร เขาเพียงแค่กวนประสาทฉันเล่น?
เอาจริงๆ นะ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบปีนี่เป็นครั้งแรกที่อยากเข้าไปสาระแนในห้องนอนของผู้ชายคนอื่นนอกจากพ่อได้มากขนาดนี้ =_= แต่เชื่อเหอะ! ถ้าเขาไม่ทำตัวเป็นปริศนาแถมยังเหมือนคอยปกปิดเบาะแสของพี่น้ำตาลตัวจริงแบบนั้น ฉันจะอยากเข้าห้องเขาทำซากอะไร!
“คุณมุก! มาทำอะไรในนี้คะ”
“อ่า...-O-;”
ฉันอึ้งรับประทานไปเลยหลังหันไปเห็นว่าหน้าห้องมีพี่แม่บ้านถือไม้ปัดขนไก่คนหนึ่งยืนอยู่ อ้อ...ที่แท้มันไม่ได้ล็อคก็เพราะพี่แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดนี่เอง ก็ว่าอยู่...ว่าแต่แล้วฉันจะแก้ตัวยังไงดีให้ดูสวยล่ะ =-=;
“มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“คือพอดีว่า...พี่ชูก้าร์ให้มุกมาหาของอะค่ะ -O-“
โบราณมากกกก~ นังมุก! แกหาข้อแก้ตัวได้ดีที่สุดแค่นี้ใช่ม้ายยย!!
“เอ่อ...มุกมา...” ฉันสอดส่ายสายตาไปทั่วห้อง สมองกำลังประมวลด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อหาคำตอบ “มาเอาโน๊ตบุ๊คของพี่ชูก้าร์ไปทำรายงานให้ค่ะ พอดีไฟล์ข้อมูลอยู่ในนี้ แหะๆๆ ^^;;” ฉันชี้มือชี้ไม้ไปยังโน้ตบุ๊คที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงแล้วฉีกยิ้มแสดงความบริสุทธิ์ใจ(ที่ไม่มีจริง)
“อ๋อ” พี่แม่บ้านร้องขึ้นมาคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงเหมือนจะเข้าใจแต่ใบหน้ายังคงเคลือบแคลงอยู่เล็กน้อย เธอยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนเหมือนรอให้ฉันออกไป เอิ่ม...ไม่ได้การล่ะ
“ที่จริง...พี่ชูก้าร์ให้มุกมาหาเอกสารด้วยนิดหน่อยค่ะ ยังไงถ้ามุกเสร็จธุระแล้วเดี๋ยวมุกไปเรียกพี่นะคะ ตอนนี้พี่ไปพักก่อนก็ได้ค่ะ ^^”
ฉันฉีกยิ้มกว้างพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไม่แสดงพิรุธใดๆ อีกฝ่ายมองฉันอย่างลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าแล้วยิ้มให้ฉันก่อนจะเดินออกไปแต่โดยดี
ทางสะดวก!
จากนั้นฉันก็ไล่หาตรวจค้นทุกสิ่งทุกอย่างในห้องอย่างเร่งรีบและแนบเนียนที่สุด พยายามไม่เคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยนตำแหน่งวางของแม้แต่ชิ้นเดียว ไม่งั้น...ขืนเขากลับมาแล้วเจออะไรผิดแปลกไปฉันต้องโดนหมายหัวก่อนแน่ ก็คนน่ากลัวแบบหมอนั่นคงจำได้แม้กระทั่งมุมหรือองศาการวางของเป็นแน่
แต่จนแล้วจนรอดฉันก็ไม่เจออะไรสักอย่าง!
เอาจริงๆ ตั้งแต่ก้าวเข้าห้องนอนแสนรักแสนหวงของเขามาฉันก็ยังไม่เจออะไรผิดแปลกไปสักอย่าง มันยิ่งน่าสงสัย...ไม่อย่างนั้นทำไมเขาต้องหวงห้องนี้นักหนาล่ะ มันต้องมีอะไรสิ อะไรสักอย่างที่เขากลัวคน(อย่างฉัน)เห็น
ทุกซอกทุกมุมของห้องที่ฉันคิดว่าอาจมีอะไรซ่อนอยู่เช่น ตู้เสื้อผ้า ลิ้นชัก หลังกรอบรูป ใต้หมอน ใต้เตียงฉันสำรวจหมดแต่ก็อย่างที่บอกว่าไม่พบอะไร
ตุบ!!
ฉันทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงของพี่ชูก้าร์อย่างหมดแรง อาจจะเพราะฉันมีประจำเดือนด้วยจึงรู้สึกเพลียๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่ก็น่าเจ็บใจชะมัด ฉันรู้สึกได้ว่ายังไงพี่ชูก้าร์ก็ต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับจดหมายหรือไม่ก็พี่น้ำตาลตัวจริงแน่ๆ เพียงแต่ฉันไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอะไร เขากลั่นแกล้งฉัน พยายามขับไล่ไสส่งทุกทาง แต่บางทีกลับยื่นมือเข้ามาช่วยฉันยามคับขัน ไม่ก็เฝ้ามองฉันอยู่ตลอด ฉันไม่เข้าใจคนย้อนแย้งแบบเขาเลยสักนิด ไหนจะท่าทางแปลกๆ ที่สนามแข่งเมื่อคืนอีก เขาเป็นคนยังไงกันแน่นะ มีอะไรในใจและกำลังคิดอะไรอยู่
“พี่เป็นคนยังไงกันแน่”
ฉันพึมพำอย่างเหนื่อยใจแล้วคว้าเอาหมอนหนุนบนเตียงมาตั้งใจจะเอามากอดก่ายให้หายเมื่อย แต่เพราะฉันเอื้อมหยิบมันมาด้วยแรงเหวี่ยงเลยทำให้บางสิ่งบางอย่างในปลอกหมอนนั้นปลิวตกลงบนพื้นห่างจากฉันไปหลายก้าว
“อะไรกัน”
ฉันลุกจากเตียงเดินไปเก็บของสิ่งนั้นขึ้นมาแล้วจึงพบว่ามันเป็นรูปถ่ายเก่าๆ ใบหนึ่ง ภายในรูปนั้นปรากฏภาพเด็กชายและเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูในวัยไม่น่าจะเกินสองขวบ ทั้งคู่ดูตัวเล็กมากๆ และยืนจับมือหันหน้าไปหัวเราะให้กันอย่างร่าเริง รอยยิ้มแสนสดใสนั้นทำให้คนมองรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
หรือว่า...นี่คือรูปพี่ชูก้าร์กับพี่ชิโซ!?
เขาเป็นพี่น้องกันเหรอ? หรือว่าญาติ? จะต้องเป็นอะไรบางอย่างที่สำคัญกับพี่ชูก้าร์แน่ๆ ไม่งั้นคงไม่ถึงขนาดเก็บรูปไว้ใต้หมอนแบบนี้...
“มาทำอะไร”
เสียงเข้มๆ ที่ดังขึ้นใกล้ตัวทำให้ฉันสะดุ้งโหยงรีบหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงตามสัญชาตญาณ รูปในมือหล่นปลิวไปอยู่แทบเท้าเขาพอดีอย่างตลกร้าย
“พะ...พี่กลับมาไวจังเนอะ ^^;; ไปธุระเสร็จแล้วเหรอคะ”
“ฉันกลับมาเอาของ แต่ไม่คิดว่าจะมาเจอ...”
คงเป็นเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับภาพถ่ายนั่น เอาแต่เพ่งสมองไปคิดเกี่ยวกับมันอยู่ทำให้ฉันไม่ทันรู้สึกตัวว่าเขามาอยู่ตรงหน้าแล้ว คนตัวสูงปรายตามองรูปที่หล่นอยู่ปลายเท้าด้วยสีหน้าเย็นชาก่อนจะก้มลงไปเก็บขึ้นมา จากนั้นสายตาดุดันของเขาตวัดมาทางนี้ทันที
“เธอจะทำอะไรกันแน่”
ฉันถดถอยหลังโดยอัตโนมัติเพื่อหลีกหนีท่าทางคุกคามของอีกฝ่าย พี่ชูก้าร์เดินต้อนฉันมาเรื่อยๆ แววตาที่ไม่หลงเหลือแววล้อเล่นใดๆ สีหน้าเอาจริงเอาจังกว่าทุกทีทำให้ฉันอดตกใจไม่ได้ ปกติฉันไม่ใช่คนขี้ขลาด เพียงแต่ว่ารอบนี้ฉันผิดเต็มๆ ที่แอบเข้าห้องเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต ฉันไม่มีข้อแก้ตัวอื่นใด ถ้าเขาจะโกรธมันก็ไม่แปลก -__-;
“พี่...จะ ใจเย็นๆ ก่อน”
“เธอต้องการอะไร”
ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับพี่น้ำตาลยังไงล่ะ บอกไปเป็นร้อยรอบพันรอบแล้วเนี่ย =_= ฉันอยากตะโกนใส่หน้าเขาแบบนี้เพียงแต่ว่าฉันมีสติมากพอที่จะรู้ว่าไม่ควรไปแหย่หรือเติมฟืนเป็นเชื้อไฟให้กับคนกำลังโกรธ เอาจริงๆ ฉันไม่เคยเห็นเขาทำสีหน้าน่ากลัวขนาดนี้มาก่อนเลยนะตั้งแต่เจอกันมา
ตุบ!
ฉันถอยหลังมาจนขาชนขอบเตียงและเมื่อเขาโน้มหน้ามาใกล้เรื่อยๆ อย่างไม่ลดละทำให้ฉันเผลอเอนตัวหลบจนสุดท้ายก็ล้มลงไปนอนแผ่หราอยู่บนเตียงโดยมีคนตัวใหญ่โถมกายมาคร่อมทับไว้อีกทีหนึ่ง
เฮ้ย! นี่มันชักจะไม่โอเคแล้วนะ -_-^
“พี่! ถอยออกไปเลยนะ”
“ทำไม? กลัวเหรอ...” เขาเหยียดยิ้มเท้าแขนยันตัวกับเตียงคร่อมไหล่ฉันไว้ “ทีกล้าเข้ามาในห้องฉันยังไม่กลัวเลย”
“ยอมแล้ว มุกขอโทษ!”
ฉันรีบละล่ำละลักพูดออกไปอย่างหวาดกลัวเมื่อความร้อนจากลมหายใจของอีกฝ่ายเป่ารดใบหน้า กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำหอมผู้ชายบนตัวเขาโชยเข้าจมูก สีหน้าเย็นชา ท่าทางดุดัน...ดูคุกคามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขากำลังขู่ให้ฉันกลัว
“เธอกล้ามากนะ” อีกฝ่ายกดตรึงข้อมือฉันไว้แล้วขยับเข้ามาใกล้จนปลายจมูกโด่งเฉียดผ่านข้างแก้ม
“มุก...มุกก็แค่อยากรู้เรื่องพี่น้ำตาล ในเมื่อพี่ไม่ยอมบอก มุกก็เลยต้องหาเองและมุกจะไม่หยุดจนกว่า...!!”
“เลิกตามหาคนในจดหมายงี่เง่านั่นสักที!!” พี่ชูก้าร์ตวาดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ก่อนที่ความขุ่นเคืองจะถูกแทนที่ด้วยสีหน้าตกใจราวกับเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกมา ในจังหวะนั้นเองจากที่ทำเป็นขลาดกลัวจนตัวสั่น...ฉันหันกลับไปประจันหน้ากับอีกฝ่ายโดยที่เขาไม่ได้ตั้งตัว มองเขาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปจนพี่ชูก้าร์ผงะไปเล็กน้อย
“พี่รู้เรื่องจดหมายมาตลอดใช่ไหม พี่รู้อยู่แล้วเพราะมุกไม่เคยพูดถึงเรื่องจดหมายให้พี่ฟังมาก่อน”
“...”
“พี่รู้ว่าพี่น้ำตาลตัวจริงในจดหมายเป็นใครใช่ไหมคะ!!”
เป็นฉันบ้างที่ถามเขากลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ท่าทางจริงจังของฉันทำให้คราวนี้เขาผละออกไปยืนอยู่ปลายเตียงล้วงกระเป๋ามองหน้าฉันนิ่งๆ
“ฉันจะรู้หรือไม่รู้ มันก็ไม่เกี่ยวกับเธอ” เขาบอกปัดด้วยคำพูดเดิมๆ ที่ฉันฟังมาหลายสิบรอบจนเบื่อแล้วเบือนหน้าหนีเหมือนไม่สนใจแต่ฉันไม่ยอม
“มันเกี่ยวค่ะ! เพราะมุกอยากเจอเขา และมุกก็รู้ด้วยว่าพี่ต้องรู้จักกับพี่น้ำตาลตัวจริงแน่ๆ แล้วพี่ก็พยายามปิดบังเพราะเหตุผลบางอย่าง แต่พี่หลอกมุกไม่ได้หรอก ของทุกอย่างถูกส่งมาจากที่นี่! อีกอย่างพี่ก็บอกเองว่าพี่ไม่ใช่พี่น้ำตาลคนนั้นงั้นแสดงว่าก็ต้องเป็นคนที่อยู่บ้านหลังนี้ หรือสนิทกับพี่มากๆ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีใครอื่นนอกจากพี่ชิโซใช่ไหมคะ!?”
ฉันหอบหายใจหลังจากร่ายยาวจบในม้วนเดียว คราวนี้ฉันไม่ได้ใส่อารมณ์เหมือนครั้งก่อน แต่ฉันพยายามพูดให้ทุกอย่างที่คิดออกไปเพื่อต้องการจับพิรุธเขา
“ฉันไม่บอก”
เขาเดินหนีและมันทำให้ฉันรีบสาวเท้าตามไปดักหน้าเขาอย่างไม่ยอมลดละ
“บอกเหตุผลมุกมาสิคะ...ว่าทำไมมุกถึงรู้ไม่ได้”
“เรื่องบางเรื่องน่ะ.....รู้แค่เท่าที่เขาอยากให้รู้ก็พอ”
“มุกไม่เข้าใจ...”
“ออกไปซะ”
ปัง!
ประตูปิดลงเสียงดังหลังจากที่เขาดันหลังฉันให้ออกมาจากห้องได้ ฉันยืนนิ่งพิงบานประตูอยู่เพียงชั่วครู่หนึ่ง ในสมองวนเวียนไปด้วยคำพูดสุดท้ายของพี่ชูก้าร์เมื่อครู่
‘เรื่องบางเรื่องน่ะ.....รู้แค่เท่าที่เขาอยากให้รู้ก็พอ’
รู้เท่าที่เขาอยากให้รู้งั้นเหรอ...
เหอะ! พูดอะไรไร้สาระไปได้ ฉันเฝ้ารอที่จะได้เจอพี่น้ำตาลมาถึงแปดปี...แปดปีมันไม่ใช่เวลาสั้นๆ เลยนะ กับบางคนแค่รอคอยของบางอย่างที่อยากได้เพียงไม่กี่วันยังรู้สึกกระวนกระวายจนแทบอยู่ไม่ได้ แต่กับฉัน...สำหรับฉันแล้วพี่น้ำตาลในจดหมายคือบุคคลในฝันที่ฉันรอคอยมาตลอด คนๆ นั้นที่เป็นทั้งพี่ ทั้งเพื่อน และเป็นเหมือนครอบครัวของฉัน คนที่สำคัญแบบนั้นน่ะ...
ฉันไม่มีทางล้มเลิกความตั้งใจในการตามหาเขาเพียงเพราะคำพูดของใครก็ไม่รู้หรอกนะ ไม่ว่ามันจะยากยังไงฉันก็ไม่หวั่นและสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าต้องเจอพี่น้ำตาลให้ได้!!
พรึ่บ!
หลังจากที่เดินห่างออกมาจากห้องพี่ชูก้าร์พอสมควร ฉันจึงค่อยๆ หยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะยกมันขึ้นมาดูให้ชัดๆ อีกที ริมฝีปากบิดยิ้มอย่างผู้ชนะ หึๆ
รูปถ่ายใบนั้นน่ะ
ฉันแอบหยิบมันติดมือมาได้ตอนอีกฝ่ายกำลังเผลอไง!
“ยัยขี้ขโมย!!”
แต่ยังหัวเราะไม่ทันสุด =_= เสียงดังราวกับสายฟ้าฟาดไล่ตามหลังฉันมาพร้อมกับคนร่างสูงที่เปิดประตูห้องออกมาจ้องฉันด้วยสายตากดดัน ทำไมรู้ตัวไวกว่าที่คิดเนี่ย เอาจริงๆ มันน่ากลัวแต่ฉันก็อดขำไม่ได้ ท่าทางเหมือนหัวเสียเพราะถูกฉันลูบคมเข้าให้แบบนั้นน่ะ คงรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าเลยสินะ ก๊ากกก! รู้จักฉันน้อยไปซะแล้ว ที่ยอมเปลืองเนื้อเปลืองตัวทำเป็นกลัวเมื่อกี้ก็เพื่อให้เขาเผลอเท่านั้นแหละ คิดเหรอว่าแค่นั้นจะหยุดฉันได้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“หยุดให้โง่สิ”
ฉันพึมพำพลางหัวเราะไปด้วยแล้วติดสปีดใส่เท้าออกวิ่งทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งท่าวิ่งตามมาด้วยท่าทางน่ากลัวอย่างกับซอมบี้ในหนังเรื่อง Train to Busan
พลั่ก!!
“โอ๊ย!”
“อูยยย~”
เพราะมัวแต่หันไปมองคู่กรณีทำให้ฉันลืมมองทาง พอวิ่งลงบันไดมาได้ก็ตั้งใจจะพุ่งออกไปยังประตูหน้าบ้านแต่ทว่ากลับชนเข้าให้อย่างจังกับใครบางคนซะก่อน แต่เนื่องจากฉันเบรกทันมันจึงไม่ได้แรงอะไรมากอีกฝ่ายแค่เซถอยหลังไปสองสามก้าว แต่เพราะเธอร้องโอดโอยฉันถึงรีบเข้าไปดู
“ขอโทษค่ะ เป็นอะไรรึเปล่าคะ”
“ไม่เป็นไรๆ ว่าแต่เธอเป็นใครเหรอ -O-”
ฉันเงยหน้ามองคนตรงหน้า เธอเป็นผู้หญิงที่ตัวสูงราวๆ 170 เซนฯ ขึ้น ผิวขาวสวยราวกับหิมะ ผมยาวดำขลับถึงกลางหลัง ริมฝีปากแดงฉ่ำรับโครงหน้าสวยที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางขับให้ความสวยเด่นชัดขึ้นไปอีก รูปรางสมส่วนดูทะมัดทะแมง ในชุดเสื้อยืดพอดีตัวสีขาวขับเน้นทรวดทรวงกับกางเกงยีนส์ขายาวรัดรูปอวดเรียวขาสวย ทุกอย่างของผู้หญิงคนนี้ช่างดูดีและเพอร์เฟ็คจนความดีงามนั้นประกายกระแทกตาฉันให้ตกตะลึงไปชั่วครู่
“ยัยนั่น...คือมุก”
เสียงนุ่มทุ้มของพี่ชูก้าร์ดังขึ้นทำให้ฉันเหลียวหลังไปมองจึงเห็นว่าเขาหยุดวิ่งไล่ฉันแล้ว คนหน้าหล่อค่อยๆ เดินลงบันไดมาด้วยท่าทางวางมาดเหมือนปกติ สายตาคมกริบนั้นจ้องมองมายังเราสองคนด้วยแววตาที่ฉันอ่านไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไร เพียงแต่ฉันรู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่แววตากวนประสาทเหมือนปกติ
“มุกงั้นเหรอ?”
ความสนใจของฉันถูกลากกลับมายังคนตรงหน้าอีกครั้ง และก่อนที่จะได้เอ่ยอะไรกลับไป อ้อมกอดนุ่มนิ่มกับกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนกายของอีกฝ่ายก็โอบรัดฉันไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว ตามมาด้วยเสียงพึมพำเบาๆ ที่เหมือนเจ้าหล่อนตั้งใจจะพูดกับตัวเองคนเดียวเพียงแต่ฉันกลับได้ยินมันด้วย
“ได้เจอกันสักทีนะ...น้องมุก”
[....โปรดติดตามตอนต่อไป...]
------------------------------------------------------
++TALK WITH ME++
วนเวียนมาถึงสัปดาห์ที่ห้าแล้วนะคะ
เป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่รู้สึกขอบคุณทุกคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและช่วยเหลือ
ขอบคุณเว็บเด็กดี แจ่มใส และคณะกรรมการทุกท่านเช่นเคยค่ะ
วีคนี้เป็นวีคที่ชุลมุนมาก ส่วนตัวตอนนี้อยู่เชียงรายค่ะ ขึ้นมารับปริญญา =.,=
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านนะคะ หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ
สัญญาจะนำคอมเม้น คำแนะนำติชมไปปรับปรุงแก้ไขยังตอนต่อๆ ไปให้ดีขึ้นนะคะ
*** อยากถามพี่อายเรื่องการตัดฉากค่ะ ส่วนตัวมีปัญหากับการเปลี่ยนฉาก
มันเหมือนอยู่ดีๆ ก็ตัดฟีลไปเลย อยากได้คำแนะนิดหนึ่งอ่ะค่ะพี่อาย T^T ขอบคุณนะคะ
ImNice.
ซึ่งการตัดฉากเนี่ยเป็นอะไรที่ยากพอสมควร เพราะเราต้องกะ timing จังหวะของเรื่องเอง สามารถตัดจบแบบค้างคาได้ถ้าเราแน่ใจว่า เดี๋ยวเราจะมาคลายปมนี้ทีหลัง คือเหมือนเป็นการทิ้งปมเอาไว้ให้อยากอ่านต่อ แล้วพอขึ้นบทใหม่ ก็อาจจะมีเกริ่นถึงเหตุการณ์ในตอนที่แล้วบ้าง คือไม่ใช่เล่าย้อน แต่ให้นางเอกมีคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าสักนิด เช่น... (ตัวอย่างเหตุการณ์เฉยๆ นะคะ ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่หนูเขียนน้า)
ฉันรื้อค้นอย่างรีบเร่งแข่งกับเวลาก่อนที่พี่ชูก้าร์จะกลับเข้ามาถึง ในวินาทีที่กำลังจะถอดใจนั้นเอง สายตาของฉันก็มองเห็นบางอย่างนอนนิ่งอยู่ใต้เตียงที่มีฝุ่นเกาะหนาเตอะเหมือนไม่มีใครเข้าไปยุ่งอะไรตรงนั้นมานานแล้ว
หลังจากเอื้อมมือเข้าไปจนสุดแขน สิ่งที่หยิบติดมือออกมาได้ก็ทำให้ฉันตกใจจนพูดอะไรไม่ออก...
ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าที่จริงแล้วพี่ชูก้าร์ก็คือคนคนนั้น...
ฉันตกตะลึงกับของที่พบอยู่สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน จึงรีบโยนมันกลับเข้าไปที่เดิมก่อนจะวิ่งออกมาจากห้องแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถึงแม้หัวใจจะยังเต้นรัวแรงด้วยความช็อกอยู่ก็ตามที
....
เย็นวันนั้น
มื้ออาหารของเราเงียบสงบกว่าที่เคย พี่ชูก้าร์ในวันนี้ดูนิ่งเสียจนผิดสังเกต ซึ่งก็ดีเพราะตัวฉันเองก็ยังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง คิดถึงเรื่องของที่เจอใต้เตียงพี่เขาวนไปวนมาไม่รู้จบ...
(เหตุการณ์คุยกันบนโต๊ะอาหาร)
(นางเอกหลุดปากเรื่องของที่อยู่ใต้เตียง)
(ชูก้าร์และนางเอกยืนประจันหน้ามองตากันแบบไม่มีใครยอมใคร)
เป็นต้นนะคะ
นอกจากนี้ยังสามารถตัดจบฉากที่ยืดเยื้อไม่จำเป็นได้ แบบตรงไหนที่เราสามารถยกยอดไปบรรยายรวบในตอนต่อไปได้ เราก้สามารถยกยอดไปได้นะคะ เช่น นางเอกไปทำความสะอาดห้องไหนสักห้องละทำตุ๊กตาพัง พยายามจะซ่อม ไม่จำเป็นต้องบรรยายตอนซ่อมก้ได้ถ้ามันไม่จำเป็น แต่สามารถตัดตอน แล้วข้ามไปเล่าแบบอีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง ความพยายามของฉันไม่เป็นผลสำเร้จเลยแม้แต่น้อย อะไรแบบนี้ได้ค่ะ
สู้ๆ นะคะ ^^ เป็นกำลังใจให้เสมอจ้า