ความฝันของฉันต้องแตกดับ...เมื่อคนที่เฝ้าฝันหามาตลอด 8 ปี พอเจอตัวจริงกลับตรงข้ามกับสิ่งที่คิดแบบสุดๆ แล้วฉันจะทำยังไงต่อไปดีเนี่ยยยย!! ไอ้นี่มันตัวปลอม นี่มันเสิ่นเจิ้นชัดๆ =[]=!
6
เขาคนนั้น...
“ได้เจอกันสักทีนะ...น้องมุก”
ฉันตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป ตัวเย็นวาบเหงื่อไหลโซมกาย เสียงกระซิบ...ที่ออกมาจากปากคนที่กอดฉันอยู่ทำใจกระตุกวูบ สมองกำลังประมวลหาเหตุผลอื่นมาอธิบายประโยคนั้น แม้ในใจจะมีเพียงคำตอบเดียวไม่เปลี่ยนแปลง ผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็น...
คนที่ฉันคิดมาตลอด
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ตั้งแต่ที่นายเห็นฉันนี่ไง -O-“
“อย่ามากวน -_-“
“ว้ายยย! อย่าทำหน้าเครียดสิคะที่รักกก Y” เจ้าของคำพูดผละออกจากอ้อมกอดแล้วเอื้อมมือไปควงแขนพี่ชูก้าร์ที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังฉันอีกที ท่าทางและบทสนทนาของทั้งคู่ดูสนิทสนมคุ้นเคยกันดีจนข้อสงสัยฉันยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก
ที่รัก...?
“ปล่อย”
“ม่ายยย =3= ไม่ได้เจอกันตั้งอาทิตย์หนึ่ง คิดถึงจะแย่”
“รำคาญ“
พี่ชูก้าร์ตั้งท่าเหมือนจะสะบัดพี่คนสวยออกแต่ฉันที่มองทั้งสองคนอยู่เงียบๆ มาได้สักพักชิงถามขึ้นมาก่อน
“พี่เป็นใครเหรอคะ?”
“เออตายจริง -O- ลืมแนะนำตัวไปเลย” เธอปล่อยพี่ชูก้าร์แล้วหันมาหาฉันอย่างเอาจริงเอาจัง ก่อนที่ใบหน้าสวยจะคลี่ยิ้มใจดี มือเรียวยกขึ้นมาวางทาบบนศีรษะฉันด้วยความเอ็นดู ความอบอุ่นบางกระแสแล่นวาบเข้ามาในความรู้สึก ฉันเงยหน้ามองเธออย่างพินิจพิจารณาในหัวเต็มไปด้วยคำถาม “พี่ชื่อชิโซนะ ^^”
“พี่ชิโซ...!?”
“ใช่แล้วววว! พี่เป็นเพื่อนสนิทของชูก้าร์น่ะ”
“ศัตรูต่างหาก” พี่ชูก้าร์รีบเถียงกลับพร้อมกับสะบัดมือพี่ชิโซที่เริ่มกลับไปเกาะแกะแขนตัวเองออก
“งั้นเป็นคู่หมั้นก็ได้”
“ก็แค่อดีต -_-^”
“งั้นเป็นญาติ”
“ฉันไม่นับญาติกับคนอย่างเธอ ยัยทอม!”
“โอ๊ย เรื่องมากจังเลยชูกี้ -O- จะเป็นอะไร ยังไงฉันก็อยู่บ้านเดียวกับนายปะ”
“บอกว่าอย่าเรียกฉันแบบนั้น!”
“ก็เรียกชูกี้มาตั้งแต่เด็กแล้วยังไม่ชินอีกเหรอ”
“ฉันเกลียดเธอ!”
สายตาฉันจับจ้องทั้งสองคนที่ต่อล้อต่อเถียงกันไปมาทว่าไม่ได้มีท่าทีใส่อารมณ์กันแต่อย่างใด ดูแล้วเหมือนจะเป็นอะไรที่พวกเขาทำกันเป็นปกติมากกว่า กับพี่ชิโซ...ฉันสังเกตว่าพี่ชูก้าร์มีท่าทางผ่อนคลายและดูเป็นกันเองกับเธอมาก แม้ปากจะบอกว่าเกลียดแต่สายตากลับดูสนิทสนมและไว้วางใจ
“ว้ายยย! เถียงแพ้!!”
พี่ชิโซแลบลิ้นทำหน้าเยาะเย้ยใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างยินดีเมื่อทำให้เขาหัวเสียได้สำเร็จ ก่อนจะหันมองตามมือฉันที่จับชายเสื้อเธอไว้ กระตุกเรียกเธอด้วยสีหน้าเหม่อลอยจนคนตรงหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“มีอะไรรึเปล่าน้องมุก”
“พี่ชิโซอยู่บ้านนี้เหรอคะ”
“ช่ายยย~ ทำไมเหรอ”
“แล้วพี่...รู้จักชื่อมุกได้ยังไงคะ”
“อะ...เอ่อ -O-;”
“ถ้างั้นที่พี่บอกว่า ‘เจอกันสักทีนะ...น้องมุก’ แล้วเข้ามากอดหนูเมื่อกี้หมายความว่าไงคะ”
“=O=; ก็...ก็คืองี้...”
ถึงแม้ฉันจะถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้นอย่างต่อเนื่องและอีกฝ่ายก็ทำท่าตะกุกตะกักยิ้มแห้งเหมือนจนมุมแต่แววตาที่กลับดูไม่ได้กดดันกับสถานการณ์ตอนนี้ของพี่ชิโซทำให้ฉันแปลกใจ ราวกับว่าเธอไม่ซีเรียสอะไรถ้าหากฉันต้องการจะรู้ในสิ่งที่ฉันพูดไป
“พี่ชิโซรู้จักพี่น้ำตาลหรือเปล่าคะ?”
“...”
“พี่น้ำตาลที่ส่งจดหมายให้มุกมาตลอดแปดปี...คือพี่รู้จักเขาไหมคะ?”
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ฉันถามคำถามเหล่านั้นออกไป...รุกไล่ถามอย่างที่ใจอยากอย่างต่อเนื่อง อาจเพราะฉันแอบตัดสินไปแล้วว่าพี่ชิโซต้องเป็นพี่น้ำตาลแน่ๆ ยิ่งมาเจอพี่ชิโซตัวจริงที่ท่าทางใจดีแถมมองฉันด้วยสายตาเอ็นดูราวกับรู้จักกันมานานแบบนั้น ใจมันเลยยืนยันว่าต้องเป็นเธอคนนี้แน่ๆ ที่ตามหามานาน และไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องอ้อมค้อมหรือเสียเวลายืดเยื้อไปกับสิ่งที่อยากถามมาตลอด
“...”
“...” เธอเงียบไปและเอาแต่จ้องมองฉันนิ่งๆ ไม่ได้มีท่าทีตกใจหรือตื่นตระหนกราวกับรู้อยู่แล้วว่าฉันจะถามมันออกมา สายตาคู่นั้นดูเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง ส่วนฉันก็จ้องมองเธอกลับอย่างไม่ละสายตาเพื่อรอคอยคำตอบ
“น้องมุก...”
แววตาที่ติดจะล้อเล่นในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง เธอระบายยิ้มบางเบาบนใบหน้า สองมือจับตรึงไหล่ฉันไว้แล้วค้อมตัวลงมาจนสายตาเราอยู่ระดับเดียวกัน ดวงตากลมโตสวยเป็นประกายเหลือบไปมองพี่ชูก้าร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เล็กน้อยในขณะที่คนถูกมองยืนกอดอกมองเราทั้งคู่อยู่ก่อนนานแล้วราวกับว่าเขากำลังสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ เหมือนต้องการดูว่าพี่ชิโซจะรับมือกับฉันยังไง พอเห็นว่าเขาไม่พูดอะไรพี่ชิโซก็เบนสายตากลับมาจ้องฉันอีกที
“เรื่องบางเรื่องเราก็ต้องรอ...”
“....”
“เมื่อเวลานั้นมาถึงทุกอย่างที่มุกอยากรู้...มุกก็จะได้รู้ J”
“แต่มุกไม่เข้าใจ...” ฉันขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความสงสัย
“เดี๋ยวอีกไม่นานมุกก็จะเข้าใจ เชื่อพี่สิ”
................
พี่ชิโซไปแล้ว -_-
หลังจากทิ้งท้ายไว้แบบนั้นแล้วเลี่ยงตัวไปคุยกับพี่ชูก้าร์นิดหน่อยจึงรีบขอตัวกลับไป เนื่องจากช่วงนี้เจ้าตัวกำลังยุ่งอยู่กับงานโปรเจกต์ของตัวเองทำให้ต้องออกเดินไปทางสำรวจหาข้อมูลที่ต่างจังหวัดบ่อยๆ วันนี้ก็เช่นกัน(เหมือนที่เพิ่งกลับจากอังกฤษก็เพราะไปหาข้อมูลมา) เธอบอกว่าวันนี้แค่แวะมาคุยธุระกับชูก้าร์เฉยๆ อาทิตย์หน้าถึงจะกลับมานอนบ้านจริงๆ
นั่นแหละด้วยประการทั้งปวงทำให้ฉันไม่มีโอกาสได้เซ้าซี้อะไรอีก สุดท้ายก็ได้แต่มานั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆ ด้วยตัวเอง ในหัวกำลังเรียงลำดับภาพและข้อมูลที่ได้ในหลายวันที่ผ่านมา ตอนนี้ฉันมั่นใจมากกว่าครึ่งว่าพี่ชิโซที่แสดงออกว่ารู้เรื่องทุกอย่างดีแบบนั้นจะต้องเป็นพี่น้ำตาลที่ฉันตามหาแน่ๆ แต่ก็มีบางอย่างที่ยังคงค้างคาอยู่ว่ามีเหตุผลอะไรที่พวกเขาทั้งคู่ต้องทำเหมือนไม่อยากให้ฉันรู้ตอนนี้...
เพราะอะไรกัน
ฉันได้แต่วนเวียนอยู่ในคำถาม จมอยู่ในห้วงความคิดซ้ำไปซ้ำมาแบบนั้นแต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้
#หลายชั่วโมงผ่านไป...
หลังจากพิมพ์รายงานให้พี่ชูก้าร์เสร็จฉันก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกครั้งตั้งใจว่าจะออกไปสูดอากาศออกกำลังกายที่สวนสาธารณะหน้าหมู่บ้านที่เห็นหลายรอบแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไป ไหนๆ ก็ว่างแล้วแถมวันนี้ยังมีแต่เรื่องให้คิดทั้งวันฉันเลยอยากไปพักผ่อนดูบ้าง
“คุณมุก”
“อ้าว พี่แววว่าไงคะ”
ขณะที่กำลังจะออกจากบ้าน พี่แววก็เดินสวนกลับเข้ามาในมือถือตะกร้าจ่ายตลาดเต็มไปหมด ฉันหยุดฝีเท้าลงแล้วหันกลับไปส่งยิ้มให้พี่แววที่เดินเข้ามาหาฉันด้วยสีหน้าเหมือนมีคำถาม
“พี่จะมาคุยกับคุณมุกเรื่องผ้าอนามัย--“
“อ้อ มุกเห็นแล้วค่ะที่พี่แววแขวนไว้หน้าประตูห้องนอนมุก”
“หะ...?”
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยเป็นธุระไปซื้อให้ แถมมุกดันรีบเกินเลยลืมบอกพี่ว่าต้องการแบบไหน ลำบากพี่แววซื้อมาซะทุกแบบทุกยี่ห้อเลย ถุงใหญ่ขนาดนั้นมุกน่าจะใช้ได้ยันรุ่นหลานได้เลยนะนั่น =O= ฮ่าๆ แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะ”
“อ่า...ค่ะ”
“เมื่อกี้พี่แววจะพูดอะไรรึเปล่าคะ” ฉันถามกลับไปเมื่อเห็นสีหน้าอึกอักของอีกฝ่าย
“มะ...ไม่มีอะไรค่ะ” เธอรีบปฏิเสธพร้อมกับส่งยิ้มให้เหมือนเคย
“งั้นมุกขอตัวไปออกกำลังกายที่สวนหน้าหมู่บ้านนะคะ”
ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็มาถึงสวนสาธารณะหน้าหมู่บ้าน มันเป็นสวนสาธารณะขนาดกลางที่ร่มรื่นเชียวชอุ่มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ แสงแดดสีส้มยามเย็นอาบไล้ไปทั่วบริเวณแต่อุณหภูมิรอบกายกลับเย็นสบายจากสายลมอ่อนที่พัดโชยมาอย่างต่อเนื่องชวนให้ทิ้งตัวบนสนามใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อพักผ่อน
แหมะ!
ฉันล้มตัวลงนั่งทันทีจากตอนแรกที่ตั้งใจจะมาออกกำลังกายแต่พอเจอบรรยากาศตรงหน้าเลยเผลอหลับตาลงสูดอากาศบริสุทธิ์อัดเข้าปอดเพื่อผ่อนคลายตัวเอง ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับสายลม วางเรื่องวุ่นและความรู้สึกยุ่งเหยิงในหลายวันที่ผ่านมาลง
ปั่ก!
“อ๊ะ อย่าไป”
“หืม...”
ปิดเปลือกตาลงได้ไม่ถึงสิบวินาที ความเด้งดึ๋งบางอย่างก็กลิ้งมากระแทกขาฉันที่นั่งชันเข่าอยู่ พอลืมตาขึ้นมาถึงเห็นว่าเป็นลูกบอลพลาสติกลายการ์ตูนน่ารัก ก่อนจะตามมาด้วยเจ้าของร่างเล็กที่วิ่งต้วมเตี้ยมตามเจ้าสิ่งนี้มาด้วยใบหน้าจิ้มลิ้ม
“ของหนูเหรอครับ?”
ฉันเก็บลูกบอลขึ้นมาถือไว้แล้วส่งยิ้มเอ็นดูให้น้องตัวน้อย เดาจากสายตาน่าจะอายุไม่เกินสี่ขวบ ร่างอวบผิวขาวจัดหน้าตาน่ารักออกแนวญี่ปุ่นกับแก้มยุ้ยขาวอมชมพูนั่นทำให้ฉันหมันเขี้ยวและเผลอยื่นมือไปจิ้มเล่นอย่างห้ามใจไม่อยู่
“ใช่” เด็กน้อยหันหน้าหนีมือฉันทันที ก่อนจะตีหน้ายุ่งใส่ฉันเหมือนไม่พอใจเล็กๆ หยิ่งซะด้วย คิกๆ
“น่ารักจัง หนูชื่ออะไรครับ”
ฉันส่งยิ้มแล้วชวนน้องคุยเพื่อยื้อเวลาเล็กน้อย คือฉันชอบเด็กมากเวลาเจอเด็กทีไรชอบหมั่นเขี้ยวแล้วก็อดที่จะเข้าไปเล่นด้วยไม่ได้ทุกที ดูมือเล็กๆ ที่ยื่นมือมาขอบอลจากฉันนั่นสิ น่ารักจัง ฮือออ TwT
“ผมชื่อยูตะ =^=” เด็กน้อยตัวขาวตอบพลางยกมือน้อยขึ้นกอดอกวางมาด ท่าทางที่ทำเป็นเลียนแบบผู้ใหญ่นั่นทำให้ฉันหลุดขำออกมาด้วยความเอ็นดูอย่างไม่ถือสาแม้อีกฝ่ายจะทำเสียงแข็งห้วนใส่ ก็ดูปากน้อยๆ ที่บึนเชิดขึ้นนั่นสิ
งุ้ยยย >w< น่ารักกกก
“ยูตะรู้ไหมเวลาผู้ใหญ่ให้ของต้องทำยังไงก่อน”
“แต่ลูกบอลนั้นมันของผมนะ” คิ้วน้อยๆ ขมวดเข้าหากันแล้วมองฉันกลับอย่างเอาเรื่อง ท่าทางแสบน่าดู ฟังจากคำพูดคำจาบวกกับท่าทีดื้อแพ่งนั่นสิ เห็นแล้วอยากจับฟัดชะมัด =3=
“ไม่ใช่สิ ก็พี่เก็บได้แล้วจะคืนให้ หนูรับของจากผู้ใหญ่ก็ต้องขอบคุณครับนะรู้ไหม”
“แต่มันเป็นของผม---“
“ถ้างั้นพี่ก็ไม่คืนให้หรอก โห่ อยู่ดีๆ ก็เตะลูกบอลมาโดนเขา ขอโทษสักคำก็ไม่มี พอเก็บลูกบอลให้ก็ไม่ขอบคุณอีก ทำไมใจร้ายจังน้า เด็กดื้อแบบนี้ไม่คืนลูกบอลให้ดีกว่า =.=”
“ขอบคุณ...ก็ได้“ ยูตะยอมพูดออกมาในที่สุดเมื่อเห็นว่าฉันจะไม่ยอมคืนลูกบอลให้จริงๆ
“เก่งมาก” ฉันยีหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูแล้วมองเจ้าตัวเล็กที่กอดลูกบอลนั้นไว้แน่นหลังจากฉันส่งให้
“แล้วพี่มาที่นี่คนเดียวเหรอ”
“ใช่จ้ะ พี่มาคนเดียว ^^”
“ถ้าพี่มาคนเดียวแล้วลุงหน้าตาน่ากลัวที่ยืนอยู่ข้างหลังนั่นใครงะ -O-“
หลังจากที่สายตาไล่มองไปตามมือเด็กน้อยที่ชี้ข้ามไหล่ฉันไปยังด้านหลังก็ต้องผงะไปเมื่อพบเงาร่างสูงใหญ่ดูคุ้นตาที่นั่งยองๆ ซ้อนไหล่ฉันอยู่พร้อมยื่นหน้ามามองยูตะด้วยสีหน้าถมึงทึง
เฮ้ย มาได้ไง =[]=!!
“เรียกใครลุง แล้วแกหาว่าใครน่ากลัว ไอ้เด็กเตี้ย!” พี่ชูก้าร์โวยวายเสียงดังจนฉันและน้องสะดุ้งไปตามๆ กัน ให้ตาย...เขาเป็นบ้าอะไรของเขาเนี่ย แค่โดนเด็กว่าแค่นี้ต้องอารมณ์เสียด้วยเรอะ -_- ประสาทชัดๆ
“พี่ชูก้าร์! อย่าทำน้องนะ”
“ไม่เตี้ยนะ!!”
“ตัวเท่าลูกหมาริอาจมาทำซ่า เดี๋ยวเตะกลิ้งเลยนี่ -_-“
“ลุงใจร้าย!!”
พอน้องเบะปากเหมือนจะร้องให้ฉันเลยรีบคว้าตัวน้องเข้ามากอดไว้อย่างปกป้องพร้อมกับตวัดตาหันไปมองคนใจร้ายด้วยสายตาตำหนิ
“พี่เป็นบ้าอะไร แล้วตามมุกมาทำไม”
“เปล่าตาม”
“ถ้างั้นมาอยู่นี่ได้ไง”
“เดินมา”
เออจ้ะ -_-!! ฉันถอนหายใจทิ้ง เลิกสนใจคนกวนประสาทก่อนจะหันไปคุยกับน้องยูตะต่อ
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะเด็กดี ลุงนิสัยไม่ดีไม่ต้องไปยุ่งหรอกเนอะ ว่าแต่แม่หนูไปไหนครับเดี๋ยวพี่เดินไปส่ง”
“ไปทำธุระ แม่บอกให้ผมรออยู่ในนี้”
“อ่อ -O- งั้น...หนูอยากกินไอติมนู่นไหม” ฉันชี้ไปยังรถขายไอศกรีมที่จอดอยู่ตรงทางเข้าสวนสาธารณะแล้วฉีกยิ้มใจดีให้เด็กน้อยในอ้อมกอด ซึ่งพอเจ้าตัวน้อยเห็นรถไอติมก็ดวงตาเป็นประกายวูบวาบดีใจทันทีพร้อมพยักหน้ารัวๆ
“งั้นหนูรอตรงนี้นะ เดี๋ยวพี่วิ่งไปซื้อแปบหนึ่ง”
ฉันวางน้องลงนั่งแล้ววิ่งตรงไปยังรถขายไอติมทันที ตอนแรกตั้งใจว่าจะให้พี่ชูก้าร์มาซื้อให้แต่ก็เก็บพับความคิดนั้นไป ตลกสิ้นดี อย่างเขาน่ะเหรอจะทำให้ =_= ทำไมฉันถึงคิดอะไรบ้าบอแบบนั้นไปได้นะ
ระหว่างยืนรอคนขายตักไอติมฉันก็เหลียวหลังไปมองตรงจุดที่สองคนนั้นยืนอยู่แล้วเห็นว่าพี่ชูก้าร์คุยอะไรบางอย่างกับเด็กน้อยอยู่ท่าทางเป็นปกติไม่ได้จะแกล้งน้องแต่อย่างใดฉันจึงวางใจ ประจวบเหมาะกับมีสายเรียกเข้าโทรศัพท์พอดีฉันถึงหันเหความสนใจไปทางอื่น
“ว่าไงสีเทียน”
[ยัยมุกกก! คิดถึงมาก เห็นแกเช็คอินที่ Z Park แกอยู่กรุงเทพฯ เหรอ]
ฉันกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์หลังจากพบว่าเป็นสีเทียนเพื่อนสนิทสมัยมัธยมฯ ที่สอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ จึงย้ายมาเรียนที่นี่ เราไม่ได้เจอกันนานมาก
“ช่ายยย มาทำธุระน่ะ อยู่สามวีค”
[โอ๊ยๆๆ มาเจอกันเดี๋ยวนี้ยัยตัวแสบ เพื่อนคิดถึงจะแย่]
“นี่ค่ะ” ฉันรับไอติมมาถือไว้แล้วส่งเงินให้คนขาย ก่อนจะตอบเพื่อน “ได้ๆ แต่เดี๋ยวดูวันว่างก่อนแล้วนัดอีกที”
[ได้เลย ว่าแต่ตอนนี้แกทำอะไรอยู่]
“กำลังจะ---“
เอี๊ยดดดด!
แงงงงง!!!
“อ้าวแม่หนู เดี๋ยว!”
คุณลุงคนขายตะโกนร้องเรียกฉันที่สับเท้าวิ่งกลับไปยังจุดที่จากมาอย่างเร่งรีบหลังจากได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมและเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังแว่วมา เมื่อถึงจุดเกิดเหตุฉันพบว่าน้องยูตะเด็กน้อยจอมแสบบัดนี้ลงไปนั่งร้องไห้อยู่บนพื้นถนนเล็กๆ ตรงกลางสวนที่เป็นทางสำหรับปั่นจักรยาน ใบหน้าจิ้มลิ้มเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ฝ่ามือน้อยกุมหัวเข่าตัวเองที่มีรอบแผลถลอกและรอยเลือดไว้ ขณะที่ผู้ชายตัวสูงเอาแต่มองน้องร้องไห้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขายืนนิ่งอยู่กับที่ไม่แสดงปฏิกิริยาใดต่อเหตุการณ์ตรงหน้า
“พี่ทำอะไรน้องน่ะ!!”
“...”
“ฮือๆๆ” ฉันรีบวิ่งเข้าไปกอดปลอบเด็กน้อยที่ยืนร้องไห้จ้าเรียกหาแม่จนหน้าดำหน้าแดง แล้วมองเขาอย่างคาดโทษ พี่ชูก้าร์ยังคงไม่ขยับไปไหน สายตาเขาเอาแต่จับจ้องออกไปยังพื้นถนนที่มีลูกบอลพลาสติกกลิ้งอยู่อย่างเหม่อลอยเหมือนคนสติหลุด
“ฉัน...” คนร่างสูงล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกำไว้แน่นพร้อมมองน้องยูตะด้วยท่าทีลังเล นัยน์ตาคมกริบที่เคยมีแต่ความสงบนิ่งสั่นไหว
“ยูตะ!!”
ร่างท้วมของหญิงวัยกลางคนพุ่งเข้ามาอุ้มน้องยูตะไว้แนบอก เธอตวัดสายตามองเราสองคนทันทีหลังจากสำรวจเห็นแผลบนตัวน้อง ยิ่งเห็นพี่ชูก้าร์มีท่าทางแปลกๆ และก้มหน้าเหมือนสำนึกผิดเธอยิ่งจับจ้องเหมือนเตรียมเอาเรื่อง ฉันที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบพูดก่อน
“แม่จ๋า TOT แงงง!”
“ใครทำอะไรลูกฉัน!”
“หนูว่าน่าจะเป็นอุบัติเหตุมากกว่าค่ะ น้องร้องใหญ่แล้วหนูว่าคุณแม่รีบพาน้องไปทำแผลก่อนดีไหมคะ” ฉันมองน้องที่ร้องไห้จ้าอย่างสงสาร แม้แผลที่เข่าและข้อศอกจะไม่ได้ใหญ่อะไรมากแต่ด้วยความเป็นเด็กฉันเชื่อว่าน้องคงตกใจถึงฉันจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็เถอะ
“ก็ได้ โอ๋ๆ ไม่ร้องนะลูก”
“เดี๋ยวค่ะคุณแม่ นี่เบอร์ติดต่อหนูค่ะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็ติดต่อหนูได้นะคะ เมื่อกี้หนูอยู่กับน้องแล้วมัวแต่ไปซื้อของไม่ทันระวังปล่อยให้น้องรอแถวนี้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ”
แม่น้องยูตะเหลือบมองหน้าฉันที่ยื่นกระดาษจดเบอร์โทรให้แล้วรับไปลวกๆ ก่อนจะรีบอุ้มน้องเดินไป พอสองแม่ลูกเดินลับตาฉันก็หันมาเคลียร์กับพี่ชูก้าร์ต่อทันที
“พี่มัวทำอะไรอยู่ทำไมปล่อยให้น้องเป็นแบบนั้น มันเกิดอะไรขึ้น”
“...”
“พี่ดูท่าไม่ชอบเด็ก หรือต้องการจะกวนประสาทมุกอะไรก็แล้วแต่ แต่มุกว่ามันควรมีขอบเขตไหม เห็นอยู่แท้ๆ ว่าน้องล้มลงตรงหน้าพี่ยังจะใจดำยืนนิ่งเฉยอยู่อีก ใจร้ายไปหรือเปล่า เฮ้ เดี๋ยว!!”
พูดยังไม่ทันจบอีกฝ่ายก็หมุนตัวเดินหนีไปอย่างไม่ใยดี ไม่ว่าฉันจะตะโกนไล่หลังเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหันกลับมา สุดท้ายฉันก็ได้แต่ยืนหัวเสียอยู่คนเดียว
“ฮึ่ย! ไอ้คนใจดำ!”
..................
#ตกเย็น
หลังจากกลับมาบ้านฉันเลือกที่จะเมินพี่ชูก้าร์ที่นั่งรอทานข้าวอยู่บนโต๊ะอาหาร(ตอนหลังเขาให้ฉันกลับมาร่วมโต๊ะตามคำสั่งลุงพงศ์) แล้วปิดประตูเข้าห้องนอนอย่างอารมณ์ไม่ดีแทน ฉันไม่อยากเห็นหน้าคนใจร้ายแบบนั้นหรอก ถึงจะไม่เข้าใจนิสัยและการกระทำหลายๆ อย่างของเขา แต่เหตุการณ์และการกระทำวันนี้มันสุดทน ฉันเลยพูดไม่ค่อยดีกับเขานิดหน่อยในตอนที่เขาชวนกินข้าวเย็น ที่แปลกคือเขาไม่ได้ทำท่าไม่พอใจหลังจากฉันทำแบบนั้นใส่ กลับกันเขาได้แต่ทำหน้าสงบกว่าที่เคยเป็นแล้วนั่งเหม่อลอยทานข้าวคนเดียวเงียบๆ
เขาเป็นอะไรของเขากันนะ
นั่นคือคำถามที่ฉันเฝ้าคิดตลอดเย็น จนกระทั่งช่วงค่ำๆ มีเบอร์แปลกโทรเข้ามาปรากฏว่าเป็นแม่ของน้องยูตะที่โทรมาบอกว่าน้องยูตะสบายดีไม่ได้เป็นอะไร น้องหลับไปแล้ว และคุณแม่ขอโทษที่เกรี้ยวกราดใส่โดยก่อนวางสายไปคุณแม่ได้ฝากขอโทษพี่ชูก้าร์ด้วย เพราะก่อนน้องยูตะจะหลับไปน้องเล่าให้ฟังว่าแท้ที่จริงแล้วตอนที่ฉันไปซื้อไอติมแล้วน้องอยู่กับพี่ชูก้าร์สองคน บังเอิญมีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับฝ่าทางจักรยานเข้ามาด้วยความเร็วแล้วพี่ชูก้าร์ก็เข้ามาดึงน้องให้หลบได้ทัน แต่น้องหกล้มเป็นแผลบวกกับความตกใจจึงเอาแต่ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวเลยไม่ได้พูดอะไรออกมาตอนนั้น
ฉันเข้าใจผิด...
“ยัยงี่เง่าเอ้ย!”
ฉันยกมือขึ้นเขกหัวตัวเองเมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเองเอาแต่ด่าเขาโดยไม่ฟังหรือสังเกตอะไรก่อนเลย ทำไมเป็นคนแบบนี้นะ ฉันมองไปยังกลอนประตูที่อยู่ตรงหน้า ถูกต้องแล้วตอนนี้ฉันพาตัวเองมายืนอยู่หน้าห้องพี่ชูก้าร์ ตั้งใจจะมาขอโทษเขาทว่ากลับยืนลังเลมาได้สิบนาทีแล้ว
“เปิดเข้าไปสิยัยมุก!”
พอด่าตัวเองจบฉันก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติจากนั้นก็ลงมือเคาะบานประตูนั้นสองสามทีทว่าไม่มีเสียงตอบรับ เมื่อลองเคาะใหม่ก็ยังคงเงียบ ฉันเลยได้แต่ถอนหายใจ ความคิดหนึ่งในหัวก็รู้สึกโล่งใจแต่อีกความคิดหนึ่งคือมันคาราคาซัง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้สามทุ่มแล้ว ถ้าเขาไม่หลับก็คงออกไปสังสรรค์กับเพื่อนข้างนอกแหละ
จ๊อกกก~
ฉันตัดสินใจหมุนตัวหันหลังกลับเพื่อเดินลงไปด้านล่างหลังจากที่เสียงกระเพาะและลำไส้คำรามประท้วงเนื่องจากไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เที่ยง ฉันติดนิสัยเสียไปแล้วคือถ้าวันไหนทะเลาะกับพี่ชูก้าร์ฉันก็จะประท้วงไม่ยอมกินข้าวเย็น ไม่ยอมร่วมโต๊ะด้วยเพราะไม่อยากเห็นหน้า อีกส่วนหนึ่งอาจเพราะรู้ว่าพี่แววมักจะเตรียมอาหารเก็บไว้ให้ รอฉันลงมากินรอบดึกเสมอ -.,-
“หิวจัง พี่แววมีอะไรให้กินนะ”
ฉันพึมพำพร้อมกับลูบท้องไปด้วย มือหนึ่งยกมือถือขึ้นมาดูเวลาจึงเห็นว่าวันนี้ฉันลงมาหาอะไรกินเร็วกว่าทุกที เพราะปกติฉันมักจะลงมาสักห้าทุ่มเที่ยงคืนเสมอ แต่วันนี้ไม่ไหวจริงๆ อาจจะเพราะเครียดด้วยทำให้หิวจนแสบท้องไปหมด
“พี่แววขึ้นไปเถอะ เดี๋ยวตรงนี้ผมจัดการเอง”
“งั้นเดี๋ยวแววเขียนโน้ตเตรียมไว้ให้เหมือนเดิมนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
...?
อะไรกันน่ะ...ฉันชะลอฝีเท้าลงเมื่อเดินใกล้ถึงห้องครัวหลังจากได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกัน ถึงแม้เสียงนั้นจะไม่ได้ดังอะไรแต่ฉันกลับได้ยินชัดเต็มสองหู เสียงนั้นมัน...
เสียงพี่ชูก้าร์กับพี่แววนี่!!
[...โปรดติดตามตอนต่อไป...]
----------------------------------------
TALK;
เนื่องจากหนูไม่แน่ใจว่าวีคนี้เป็นวีคสุดท้ายที่จะได้คอมเม้นหรือเปล่า
เลยขออนุญาตรบกวนถามพี่อายสำหรับเรื่องที่อยากรู้และพี่อายยังไม่เคยบอกนะคะ
(แต่ถ้าพี่อายยุ่งก็ข้ามได้ค่า TOT)
1. อยากทราบจุดบอดที่ต้องปรับปรุง/หรือเพิ่มเติมของเรื่องอะค่ะ
2. ส่วนของการบรรยายจุดที่ต้องปรับปรุง
สุดท้ายนี้ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ TwT
สำหรับคำแนะนำและคอมเม้นที่ผ่านมาทั้งพี่อายแล้วก็พี่ชุบ ขอบคุณมากเลยค่า
....
ในตอนนี้รู้สึกตัวเองน่าจะบกพร่องไปหลายอย่างเลย =_=;; ขออภัยมานะที่นี้ด้วยค่ะ
มันลุ้นนะรู้ไหมมม
ไอ้เด็กยูตะนี่ก็กวนประสาทซะจริง นึกว่าร่างชูก้าร์ในวัยเด็ก -.-
วีคหน้าก็ตอนสุดท้ายแล้ว สู้ๆนะเทอออ (ปาดน้ำตา)
ยัยมุกบ้า พี่ชูการ์ของชั้นออกจะใจดี เธออคติเกินไปละ
ชูการ์จ๋ามาหาน้องมิลค์เร็ว โอ๋ๆนะ ข้าวเขิ้วยัยมุกไม่ต้องไปสนใจหรอกปล่อยให้หิวไปนั่นแหละหมั่นไส้
บอกก่อนว่าจริงๆ แล้วน้องทำได้ดีขึ้นทุกวีคเลยค่ะ แก้ตามที่พี่บอกด้วย ดีใจมากๆ 555 แต่ถ้าถามว่าจุดบอดอยู่ตรงไหนก็สามารถบอกได้ เผื่อจะเอากลับไปแก้ตอนแรกๆ ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยนะคะ
คือบางจุดน้องใส่เรื่องที่ไม่จำเป็นเข้ามาเยอะเกินไป ทำให้เรื่องเดินช้าเพราะมีน้ำเข้ามาเยอะค่ะ แก้ได้ด้วยการวางพลอตล่วงหน้าในแต่ละตอน เขียนไว้เลยว่าจะให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งอยากให้คิดเผื่อไว้ด้วยว่า เราจะเปิดปมอะไรในบทนี้ เพื่อจะลากโยงไปยังตอนต่อไป ง่ายๆ คือหาเหตุผลให้แต่ละฉากว่า เราเขียนฉากนี้มาทำไม ฉากนี้จะทำให้เกิดอะไรขึ้นต่อไป เพื่อให้เรื่องเดินแบบเป็นกราฟชี้ขึ้นค่ะ ถ้าโลเกชั่นเรามีน้อย (อย่างเรื่องของน้องที่ส่วนใหญ่เน้นฉากในบ้าน) มันก็มีโอกาสที่เรื่องของเราจะวนอยู่กับที่ได้ง่าย ดังนั้นต้องคิดฉากเพื่อทำให้เนื้อเรื่องเดินไปข้างหน้าทุกตอนค่ะ และฉากก็ไม่ควรซ้ำกันบ่อย เพราะจะทำให้เรื่องน่าเบื่อได้ง่ายค่ะ
สำหรับจุดอ่อนในเรื่องของการบรรยายก็คือ บางจุดเร่งจังหวะเกินไป ทำให้อ่านแล้วเหนื่อย (อาจเพราะนางเอกมีคาแรกเตอร์ติดโวยวายนิดๆ ด้วย) การตัดตอนเปลี่ยนฉากก็ยังทำได้ไม่สมูทพอ แต่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรค่ะ แก้ได้ง่ายๆ ด้วยการรีไรต์และอ่านทวนหลายๆ ครั้งนะคะ (และต้องฝึกด้วยการอ่านและเขียนเยอะๆๆๆ เยอะมากๆ เพราะจุดนี้ก็เคยเป็นปัญหาของพี่เหมือนกัน ฝึกมาตั้งสิบปีแน่ะ ขนาดฝึกมาสิบปีแล้วก็ยังต้องฝึกฝนอยู่เรื่อยๆ เลยค่ะ ไม่งั้นมือก็ฝืดเหมือนกัน)
สู้ๆ นะคะ ตอนต่อไปมีของอะไรจัดมาให้เต็มเลยนะคะ เอาแบบให้คนอ่านกรี๊ดเลย ^^ พี่เองก็รออ่านอยู่น้า อ่านมาทุกวีคแอบผูกพัน ไว้เจอกันในงานประกาศรางวัลนะคะ