“ สถานที่ที่เรียกว่าห้องสมุดที่ที่ไม่คิดว่าจะมีความรักของสองคนจะเกิดขึ้นได้...แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว” “ลูกหมี” จะได้เจอกับหนุ่มรุ่นน้องอารมณ์ดี “คลาสสิค” พบวิธีการจีบแสนละลายใจไปพร้อมๆกันได้แล้วค่ะ
ตอนที่ 3
โลกมันกลม มันไม่ได้แบน
Part: ลูกหมี
ฉันดูสิ่งที่เขียนไว้ในกระดาษโน้ตที่เขาเอาซ่อนไว้ในหนังสือแต่ละเล่ม มันเป็นพวกหนังสือนิยายต่างประเทศ ไม่ทราบว่าเขาว่าง หรืออยากได้เบอร์ของฉันขนาดนั้นเลยเหรอ ? แต่ที่น่าขำไปกว่านั้นคือฉันดันยอมบ้าจี้เล่นหาหนังสือเหมือนเด็กน้อยกับเขาด้วยน่ะสิ!!
“หมอนี่ซ่อนไว้กี่เล่มกันเนี่ย” ฉันเปิดหนังสือเล่มที่คาดว่าจะเป็นเล่มสุดท้าย แต่มันก็ไม่ใช่เล่มสุดท้าย ! เพราะมันมีกระดาษโน้ตแนบอยู่ด้วย
ลืมสังเกตไปเลยว่าลายมือของหมอนี่สวยดีแฮะ นั่นไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย! จริง ๆ เลขหนังสือที่ถูกเขียนไว้คุ้นตาฉันมาก
(เล่มสุดท้ายแล้วนะครับ 04563)
ก็จะไม่ให้คุ้นตาได้ยังไงกันในเมื่อนี่มันเป็นเลขหนังสือที่ฉันให้เขาตอนเจอกันครั้งแรก ดูท่าทางเขาจะฝังใจกับเลขหนังสือที่ฉันให้เขาแทนเบอร์น่าดู หนังสือเล่มนี้เป็นเทพนิยายเกี่ยวกับเจ้าชายและเจ้าหญิงที่เชื่อในพรหมลิขิต เป็นเล่มโปรดของฉันเลยล่ะ มันเป็นหนังสือที่ฉันเองก็รู้จักที่อยู่มันดี
“อ้าว มันไม่ได้อยู่ที่ชั้น มีคนยืมไปแล้วเหรอ” ฉันไล่นิ้วดูชั้นหนังสือตรงหน้าก่อนจะสะดุ้งเมื่อเสียงทุ้มดังขึ้นในระยะใกล้ ฉันหันขวับไปสบตากับคลาสสิคที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับหนังสือเล่มสุดท้ายที่ฉันหา
“หาเล่มนี้อยู่เหรอครับ?” เขาถามทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบ แต่ฉันยังไม่ทันได้ตอบอะไร เขาก็พูดต่อ
“นี่พี่จำไม่ได้จริง ๆ เหรอ” คำถามแปลก ๆ ถูกถามออกมาจากเขา
“จำอะไร?”
“อ่านหนังสือจนความจำสั้นเลยเหรอครับ” หมอนี่ทำไมพูดจาแปลก ถามว่าหัวสมองฉันประมวลผลทันไหม ? ไม่...ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
“ช่างเถอะครับ” เขาตัดบท ฉันที่กำลังคิดอยู่ก็ถึงกับเอ๋อ ฉันเริ่มสงสัยนิดหน่อยว่าเขาเป็นคนติ๊งต๊องหรือเปล่า
“ทำตามข้อตกลงที่พี่ให้ไว้ด้วยนะครับ พี่สนใจสิ่งที่ผมทำให้จนจบ เพราะงั้นขอเบอร์ด้วยครับ” เขาทวงขึ้นมา แหม...อยากจะมาได้เบอร์ผู้หญิงอย่างฉันทำไมกันนักกันหนา ไม่ใช่ว่าฉันหยิ่งอะไรหรอกนะ แต่จู่ ๆ มาอยากได้เบอร์กันมันก็ชักจะยังไง ๆ อยู่
“มองหน้าเหมือนไม่อยากให้เลยนะครับ”
“เปล๊า...” ฉันบอกเสียงสูง จริง ๆ มีผู้ชายมาขอเบอร์มันก็ต้องฟินอยู่แล้วล่ะ แต่ฉันเป็นคนที่มีนิสัยปากอย่างใจอย่าง หรือเรียกง่าย ๆ ว่าพวกปากไม่ตรงกับใจ บวกกับประสบการณ์ความรักของฉันที่เคยโดนแฟนเก่าหลอก มันเลยทำให้ฉันเข็ดที่จะเข้าใกล้ผู้ชายที่มีท่าทางเหมือนคลาสสิคเป๊ะ
ผู้ชายมันไว้ใจไม่ได้ ! และฉันก็หวังว่าจะไม่หลงกลผู้ชายแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง
“ขอเบอร์ด้วยครับ” เขายังคงทวง จะเอาให้ได้ใช่ไหมเนี่ย!
“ยื่นหมูยื่นแมว ส่งกระเป๋าฉันคืนมาก่อนสิ ^^” ฉันแบมือขอกระเป๋าคืน เขามองเหมือนจะไม่ยอมคืน แต่สักพักก็ยอมยื่นคืนให้ฉันพร้อมกับกระดาษและปากกา
“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ พี่ก็เขียนเบอร์ให้ผมก็แล้วกัน” ฉันพยักหน้ารับอย่างเลี่ยงไม่ได้ ฉันจดเบอร์ลงกระดาษ แต่การให้เบอร์ของฉันมันก็ต้องมีหลักเทคนิคนิด ๆ
ฉันเขียนเสร็จก็ยื่นคืนให้เขาอย่างรวดเร็วและไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ถามอะไร ฉันก็วิ่งก็หนีออกไปจากตรงนี้ทันที ขืนยืนอยู่นานกว่านี้เขาก็รู้กันพอดีว่าฉันเขียนอะไรลงไปในกระดาษ ถามว่าฉันเขียนอะไรลงไปเหรอ ก็เขียนว่า
( 0XX-XXXXXX_ ตัวสุดท้ายเดาเอานะ :P )
สกิลการกวนระดับ 1 ของฉันใช้ได้เลยใช่ไหม >0< มันเป็นวิธีการพิสูจน์นิด ๆ หน่อย ๆ ของฉัน ที่อยากจะรู้ว่าเขาจะมีความพยายามในการโทรจริง ๆ รึเปล่า ถ้ามี เขาก็คงจะหาเบอร์ฉันเจอแน่นอน
เลิกเรียน
ฉันเดินเข้ามาในบ้านก็เจอแม่พอดี แม่กำลังดูซีรี่ย์โอปป้าเกาหลีอย่างสบายใจพร้อมกับขนมนมเนย แม่ของฉันมีความชิวจริง ๆ
“ลูกหมี มานี่หน่อย” แม่กวักมือเรียกเมื่อเห็นฉันกำลังจะย่องขึ้นไปบนห้อง
“สวัสดีค่ะแม่”
“นั่ง ๆ แม่มีเรื่องจะบอก” เวลาคนมาบอกกับเราว่า...มีเรื่องจะบอก... มันดูตื่นเต้นและกดดันในเวลาเดียวกัน ก็ให้อารมณ์เหมือนเขาจะบอกอะไรเรา เรื่องดีรึเปล่า?
“พรุ่งนี้ตอนเย็นลูกหมีว่างไหม...ไม่ว่างก็ต้องว่าง” แม่มีสกิลการกวนคล้ายฉันเลย ฉันรู้แล้วฉันได้ความกวนมาจากใคร คำพูดอย่างนี้บังคับฉันแน่นอน ฉันพยักหน้าหงึก ๆ
“ว่างค่ะ ว่างงง...=0=” ฉันลากเสียง
“แม่ว่าจะพาไปเยี่ยมทักทายเพื่อนของพ่อกับแม่สมัยมัธยมซะหน่อย พอดีเขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ จำได้รึเปล่าตอนเด็ก ๆ แม่เคยพาเราไปบ้านเขาอยู่นะ”
“หนูจะบอกว่าจำไม่ได้เลยค่ะ” ฉันทำหน้าเอ๋อ ปกติฉันมันเป็นคนความจำสั้นสุด ๆ เขาเรียกความจำปลาทอง =3=
“เด็กผู้ชายผิวขาวตัวเล็ก ๆ ลูกชายของเพื่อนพ่อกับแม่ คนที่ลูกหมีเคยไปปกป้องน้องเขาน่ะ แต่แม่ก็จำไม่ได้ว่าลูกเพื่อนแม่ชื่ออะไร แต่เห็นว่าปีนี้น่าจะโตเป็นหนุ่มแล้วนะ อยู่ปี 1” แม่ของฉันว่าออกมา ฉันคิดย้อนไปถึงสมัยเด็กก็พอจะนึกออกอยู่บ้าง
“อ๋อออ...เด็กผู้ชายหน้าตาน่ารัก ๆ ที่ถูกเด็กผู้ชายคนอื่นแกล้งอยู่ที่สนามเด็กเล่น แล้วหนูก็เข้าไปช่วยเขาใช่ไหมคะ”
“ใช่ แต่เราก็ไม่ได้เจอกับครอบครัวนั้นมาเกือบ 7 ปีแล้ว น่าจะจำกันไม่ได้แล้วล่ะ แม่ว่า” แม่บอก ฉันก็พยักหน้าเห็นด้วย ผ่านมานานขนาดนั้นฉันไม่มีทางจำได้แน่ เพราะขนาดคนที่ฉันไม่ได้เจอหรือไม่ได้คุยกันแค่หนึ่งเดือน ฉันยังลืมเลย ไม่ใช่ว่าลืมหมดนะแต่ฉันลืมพวกชื่อ บอกแล้วว่าฉันมันความจำสั้นแต่ถ้าเป็นเรื่องของหนังสือ แปลกที่ฉันกลับจำทุกบททุกตอนได้อย่างดี
ฉันตกลงกับแม่ว่าจะไปบ้านเพื่อนของแม่ แม่เลยยอมปล่อยฉันขึ้นไปบนห้องนอน นี่ถ้าฉันไม่ยอมไปด้วยมีหวังไม่ได้ขึ้นมาบนห้องแน่ ๆ ฉันกระโดดลงเตียงนุ่มด้วยความเหนื่อย ฉันหยิบตุ๊กตาตัวโปรดมากอดไว้ตามความเคยชิน
“ขี้เกียจอาบน้ำจังเลยอ่า...” ฉันบ่นแล้วพลิกตัวนอนตะแคงมองนาฬิกาที่หัวเตียง ยังไม่ดึกเท่าไหร่ ขออ่านนิยายสักเรื่องก่อนแล้วค่อยไปอาบดีกว่า
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะหยิบหนังสือ เสียงมือถือของฉันที่อยู่ในกระเป๋าก็ดังขึ้น
Rrrrrr
ฉันหยิบออกมาก็พบว่ามันเป็นเบอร์แปลก แต่ฉันก็ไม่ได้เอะใจอะไร
“สวัสดีค่ะ” ฉันกดรับสายตามปกติ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วกับเสียงทุ้มที่ดังกลับมาจากปลายสาย
(“นั่นใคร”) เสียงทุ้มดังกวนนิด ๆ โทรมาหาฉันแต่กลับมาถามว่า นั่นใคร สติดีรึเปล่า ?
“แล้วนั่นใครล่ะคะ” ถามกวนมาฉันก็ตอบกวนกลับไปสิ
(“หึหึ และแล้วผมก็เจอจนได้”) เสียงฝ่ายนั้นหัวเราะในลำคอ
(“น่ารักมากเลยนะครับ ที่กล้าให้เบอร์ผมไม่ครบแบบนี้”) พอเขาพูดประโยคนี้มาเท่านั้นแหละ ฉันก็รู้ทันทีเลยว่าคนที่ฉันกำลังคุยด้วยคือ คลาสสิค
“คลาสสิค”
(“ดีใจจังครับ พี่จำชื่อของผมได้ด้วย”)
“ชื่อของนายมันจำยากตรงไหนกันเหรอ” ฉันถามกลับก่อนจะชะงัก แล้วฉันจะไปคุยกับเขาต่อทำไมกันเล่า
(“ถ้าจำง่ายก็ช่วยจำไว้ให้ดีด้วยละกันนะครับ”)
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันก็ลืม ฉันจะวางแล้วนะ” ฉันกำลังวางสาย เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่ฉันต้องไปคุยกับเขา แต่ปลายสายก็ตะโกนออกมาก่อน
(“เดี๋ยวครับ! ทำไมรีบวางจัง ไม่คิดจะถามผมหน่อยเหรอว่าผมลองสุ่มหาเบอร์พี่กี่ครั้งกัน”)
“........”
(“ผมสุ่มเบอร์โทรพี่ไล่จากเลข 1 มาจนถึงเลข 9 ที่เป็นเบอร์จริง ๆ ของพี่ พี่รู้ไหมว่าผมไปเจออะไรมาบ้างในแต่ละสาย”)
“เจออะไรมาบ้างล่ะ?” ฉันถามด้วยความอยากรู้
(“เจอเบอร์ที่ไม่ใช่เบอร์พี่ไงครับ”) ไม่รู้ว่าเขามีเจตนากวนฉันรึเปล่า แต่คำพูดที่ออกมาจากปากเขาเข้าข่ายกวนประสาทคนอื่นชัด ๆ
“ตอนนี้นายก็เจอเบอร์ของฉันแล้ว ทีนี้ก็วางสายไปได้แล้ว” ฉันพยายามจะวางสายจากเขา
(“พี่เป็นโรคกลัวผู้ชายเหรอ”) คำถามที่ถามออกมาทำให้ฉันที่กำลังจะตัดสายของเขาทิ้งอย่างเสียมารยาทก็ชะงัก
“ห๊ะ”
(“ก็ดูท่าทางพี่กลัวผมยังไงไม่รู้ เลยอยากรู้ว่ากลัวผู้ชายเหรอ”) อยู่ดี ๆ ฉันก็ถูกหาว่าเป็นโรคกลัวผู้ชายซะงั้น เขาต้องมีความติ๊งต๊องอยู่ในตัวแน่ ๆ
“เปล่า ฉันไม่ได้กลัว”
(“จริงเหรอ”)
“จริง”
(“จริง ๆ ผมก็เป็นโรคนะ”) จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปสักพัก
“นายเป็นโรคอะไร” ฉันถามออกไปด้วยความอยากรู้
(“ผมเป็นโรคไม่กินผัก”)
“มีโรคนี้ด้วยเหรอ” คนอะไรกัน โตขนาดนี้แล้วยังไม่กินผักอีก
(“...ผักไหมที่จะริด ผิดไหมที่จะรัก...”) มุขนี้ตั้งแต่สมัยไหนแล้ว !! เป็นมุขที่ไม่น่าจะเขินแต่ฉันดันเขิน โอ๊ย ลูกหมีเธอจะมาหวั่นไหวคารมของเขาไม่ได้นะยะ!
“ไม่น่าเอามาเล่นเลยนะ มุขมันแป๊กมาก...” แป๊กกลางใจฉันเต็ม ๆ >-<
(“พี่ก็ต้องใช้ใจของพี่ฟังไงครับ ถึงจะเข้าใจมุขนี้อย่างลึกซึ้ง”) เขาว่าด้วยเสียงทุ้ม ๆ
“สงสัยฉันจะเป็นคนไม่มีหัวใจ เลยไม่เข้าใจลึกซึ้งกับมุขของนาย” ฉันว่าอย่างขำ ๆ แต่ก็แอบยิ้มออกมาคนเดียว แล้วนี่ฉันจะมานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คนเดียวทำไมเนี่ย !!
(“เขินมุขผมอยู่ใช่ไหม”)
“ใครเขิน?” ฉันตอบทันควัน
(“หึหึ พี่กำลังยิ้มอยู่ใช่ไหมครับ ผมรู้...ผมอยู่ข้างหลังพี่”) สิ้นเสียงของเขาฉันก็หันขวับไปมองข้างหลังอย่างลืมตัว เขาจะมาอยู่ข้างหลังฉันได้ยังไงกันเล่า นี่ก็บ้าจี้ไปกับเขาอีกแล้ว
“นายเป็นบ้ารึเปล่าเนี่ย” ฉันโวยวายแก้เขินกับตัวเองโดยการพาลใส่เขาแทน =0=
(“อย่าบอกนะว่าพี่หันไปดู โอ๊ย พี่บ้ากว่าผมอีก”) คลาสสิคหัวเราะดังมาก ไม่รู้หัวเราะอะไรกันนักกันหนา ฉันยังไม่ได้ทำอะไรให้มันดูน่าตลกเลยสักนิด หรือจริง ๆ ฉันทำตัวน่าตลกกันนะ =^=
“บางทีนายก็เส้นตื้นไปนะฉันว่า...นายมีอะไรจะพูดอีกไหม ฉันจะวางแล้ว” ฉันมองดูเวลาก็พบว่าฉันคุยกับเขามานานได้สักพักแล้ว ไหนบอกว่าไม่อยากคุยกับเขายังไงล่ะ หลวมตัวคุยกับเขาไปซะเพลิน
(“มีครับ แต่เอาไว้พูดวันอื่นก็ได้ เพราะเรายังมีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ...คืนนี้ฝันดีนะครับ พี่ลูกหมี”) เขาพูดทิ้งท้ายประโยคแปลก ๆ ไว้ก่อนจะวางสาย
ฉันสงสัยแต่ก็ไม่ได้เก็บคำพูดของเขามาคิดอะไรมาก
เช้าวันต่อมา
ฉันนั่งเอามือท้าวคางพร้อมกับหมุนปากกาเล่นระหว่างเรียนคาบภาษาศาสตร์
“ลูกหมี...ยัยลูกหมี” ฉันที่กำลังเหม่อก็หันไปหาตาลที่เรียกอยู่หลายรอบ
“ว่า?”
“เห็นเหม่อ เป็นอะไรรึเปล่า?” ที่ฉันเหม่อวันนี้ถามว่าคิดเรื่องอะไรอยู่ ก็เรื่องของคลาสสิคแหละ ฉันกำลังสงสัยว่าทำไมเขาถึงอยากเข้ามาป้วนเปี้ยนใกล้ ๆ ฉันนัก ฉันเลยเล่าเรื่องเมื่อวานให้ตาลฟัง เรื่องที่ฉันให้เบอร์กับคลาสสิคไป
“แสดงว่าน้องเขาก็สุ่มจนเจอเบอร์ลูกหมีเลยอ่ะดิ” พอฟังจบก็มีการตั้งประเด็นต่อ
“ใช่”
“น้องมีความพยายามสูง แล้วนี่เธอใจอ่อนให้น้องเขาบ้างรึยังล่ะ” ตาลถาม
“ใจอ่อนอะไร”
“ก็น้องเขามาจีบเธอชัวร์เลย” ตาลพูดอย่างมั่นใจ
“น้องเขาไม่ได้มาจีบฉันซะหน่อย” ฉันปฏิเสธ ตาลเลยยิ้มล้อ
“แหม นี่ไม่ได้จีบเล๊ยยย...ทั้งขอเบอร์ ทั้งโทรหาขนาดนี้”
“น้องคลาสสิคน่าจะดีกว่าคนที่เธอเคยเจอมานะ” ตาลบอกอย่างเข้าใจเพราะเธอเองก็รู้ว่าฉันเคยมีประสบการณ์ความรักแบบไหนมา
ฉันไม่ได้ตอบคำถามอะไรต่อ บทสนทนานั้นเลยจบลงแค่นั้น....
เลิกเรียน
วันนี้ตอนเลิกเรียนฉันไม่ได้แวะไปห้องสมุดเพราะฉันมีนัดกับแม่ ส่วนตาลก็ไปซ้อมกีฬาเหมือนเดิม
“กลับดี ๆ นะลูกหมีไว้เจอกันพรุ่งนี้” ตาลโบกมือบ๊ายบาย
“โอเค บ๊ายบายตาล” แล้วฉันก็เดินตรงกลับบ้านทันที
ฉันกับแม่นั่งรถมาไม่นานก็มาถึงบ้านเพื่อนพ่อกับแม่ของฉัน วันนี้พ่อไม่ได้มาด้วยกับพวกเราเพราะพ่อติดประชุมสัมมนา ฉันก็เลยได้มากับแม่สองคน
บ้านหลังใหญ่เหมือนคฤหาสน์ตรงหน้า บ่งบอกฐานะของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี ฉันกับแม่ถูกเชิญเข้าไปในบ้าน พอเข้ามาตรงห้องโถงใหญ่ก็เจอกับผู้หญิงที่วัยเท่า ๆ กันกับแม่ของฉัน ฉันยกมือไหว้
“สวัสดีจ๊ะ นี่ลูกสาวของนาราหรือเนี่ย อ๊ายยย โตเป็นสาวแล้ว” เพื่อนของแม่เรียกชื่อเล่นของแม่สมัยยังสาว ๆ
“ลูกสาวของฉันเอง ลูกหมีจ๊ะ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีเลย” แม่ของฉันว่า
“ใช่ หลายปีมาก ลูกหมีต้องจำน้าดาวกับน้าภานุไม่ได้แน่ ๆ เลย ตอนนั้นมาเที่ยวบ้านน้ายังตัวเล็กกว่าเอวน้าเลย แถมครอบครัวของเธอยังย้ายที่อยู่บ่อยด้วย กว่าฉันจะหาเจอ” น้าดาวพูดกับแม่ของฉัน
“ดูสิ โตเป็นสาวแล้วสวยน่ารักน่าเอ็นดูมาก หนูลูกหมี” น้าดาวชม ฉันเลยยกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ” ฉันยิ้มเขิน ก็เวลาโดนชมมันก็มีเขินเป็นธรรมดาแหละ >0<
“แล้วนี่ลูกชายของดาวไปไหนแล้วล่ะ” แม่ของฉันถาม แต่น้าดาวหันมาตอบกับฉันเหมือนอยากให้ฉันฟัง
“ลูกชายของน้ากลับมาตั้งแต่บ่ายแล้ว เห็นว่าไม่มีเรียนน่ะ ดูเหมือนเขาจะหลับตั้งแต่กลับมาแล้ว ไม่รู้ว่าหนูจะจำได้ไหม เด็กผู้ชายน่ารัก ๆ ตอนเด็ก ๆ โตเป็นหนุ่มแล้วนะจ๊ะ” น้าดาวพูดถึงลูกชายของตัวเองฉันยิ้มรับและไม่ได้ตอบอะไรเพราะฉันจำไม่ได้ แต่อยากจะถามว่า ลูกชายคุณน้าหล่อไหมคะ ><
“อ้อ! ลืมไปเลยว่าน้าทำต้มยำไก่ไว้ เดี๋ยวน้าเข้าไปดูในครัวก่อนนะจ๊ะ ตามสบายเลยนะ” น้าดาวพูดขึ้นอย่างนึกได้ ฉันเลยรีบอาสา
“หนูช่วยจัดโต๊ะอาหารให้นะคะ” ก่อนจะมีเสียงทุ้มที่ดังขึ้นคุ้นหูของฉันมาก
“แม่ ทำอะไรกินเย็นนี้อ่ะ หอมจัง...” ฉันเงยหน้าแล้วเบิกตากว้างเมื่อสายตาปะทะกับซิกแพคแน่น ๆ ที่มีหยดน้ำเกาะพราวอยู่บวกกับกางเกงบ็อกเซอร์ลายสไปเดอร์แมน
แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ผู้ชายตรงหน้าคือ คลาสสิค !!
เฮือก ! 0___0 ...สายตาของฉันเลื่อนไปยังซิกแพคของเขา ตัวของเขาขาวเนียนมาก ฉันเลือดกำเดาจะไหล !
มีอะไรบังเอิญกว่านี้ไหม?! ... เขาคือลูกชายของเพื่อนแม่ฉันก็แสดงว่าเขาคือ เด็กผู้ชายตัวเล็กคนนั้นที่แม่กับฉันเพิ่งพูดถึงไป แต่ไม่ยักจะมีเค้าโครงเหมือนกันเลย เด็กน้อยในวัยเด็กออกจะตัวเล็ก ๆ ที่ฉันจำได้ในความทรงจำ แต่ฉันจำรายละเอียดอย่างอื่นไม่ได้ ฉันจำได้ว่าเคยเล่นด้วยกันก็เท่านั้น
แต่ชายหนุ่มตรงหน้าตอนนี้ล่ำดีจริง ๆ เห็นเขาดูตัวผอมแต่ซิกแพคแน่นใช้ได้เลยอ่ะ เฮ้ย ไม่ใช่...ยัยลูกหมีจะไปจ้องทำไมเล่า
“ตาคลาสสิคทำไมลงมาชุดนี้ ไปใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวเลยนะ! มีแขกน่ะเห็นไหม” แม่ของคลาสสิคว่าขึ้นเมื่อเห็นเขาแต่งตัวไม่เรียบร้อย ก็สมควรแล้ว! เดี๋ยวเกิดมีคนหัวใจวายเพราะเห็นซิกแพคของเขาจะไม่แย่เหรอ ! -///-
“หึ ผมไม่ได้แก้ผ้าสักหน่อยนิครับ...ใช่ไหมครับ พี่ลูกหมี ^^” ใบหน้าหล่อยักคิ้วกวนอย่างยียวน
“คลาสสิคจำลูกหมีได้ด้วยเหรอจ๊ะ?” แม่ของฉันถามขึ้น ส่วนแม่ของเขาก็ยิ้ม
ฉันมองเขาที่ยืนโชว์ซิกแพคอย่างไม่อายอยู่ข้างหน้าฉัน เขากระตุกยิ้มมุมปากและไม่ได้ตอบคำถามของแม่ฉัน แต่กลับเดินเข้ามาหาฉัน ฉันผงะออกเล็กน้อยเมื่อเขาโน้มตัวมากระซิบข้างหูของฉัน ท่ามกลางแม่ ๆ ของเราที่มองอย่างงง ๆ และลุ้นแทน
“ผมบอกพี่แล้วใช่ไหมครับ ว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ...จำมันให้ได้สักทีสิครับ” ประโยคหลังเขาพูดเบาจนฉันเกือบไม่ได้ยิน เขาพูดถึงเรื่องจำอีกแล้ว ! ก็บอกว่าฉันจำอะไรไม่ค่อยได้
“ผมจะมาทวงเวลาที่หายไปเจ็ดปีคืนนะครับ” เขาพูดให้ได้ยินแค่สองคน ก่อนเขาจะเดินกลับขึ้นไปบนห้องของเขา ทิ้งให้ฉันอยู่กับประโยคที่ฉันไม่เข้าใจมันเลยสักนิด
เวลาที่หายไปอะไรของเขากัน ? ฉันไปเอาเวลาของเขามาตั้งแต่ตอนไหนกัน ? มีเรื่องอะไรที่ฉันลืมมันไปงั้นเหรอ... ฉันพยายามคิดแต่ก็ไม่สามารถคิดออกได้จริง ๆ
........................................................................................................................................................................................
รอติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ ^0^ ขอบคุณค่า


- ไดอะล็อคห้วนมาก จากตอนที่แล้วยังปรับได้ไม่สุดนะ มีแต่อะไรไม่สำคัญ ไม่ต้องเมนชั่นก็ได้ พอพูดมาแล้วมันทำให้เรื่องเกร่อมากขึ้น พี่ว่าเราเน้นในสิ่งที่อยากจะบอกดีกว่า แล้วก็โฟกัสแต่ตรงนั้น บางอย่างจุกจิกไม่ต้องใส่มาก็ได้จ้า
- เหตุผลตัวละครเริ่มชัดเจนขึ้นแต่ก็ยังไม่เคลียร์ หวังว่าจะได้เห็นในตอนต่อๆ ไปนะคะ
- เนื้อเรื่องยืดเยื้อ น้ำเยอะมาก ไม่เข้าประเด็นซะที จริงๆ พี่เข้าใจนะว่าอยากให้ตอนจบมาเฉลยว่าเป็นเพื่อนจากวัยเด็ก แต่จังหวะการเล่ามันมาผิดที่ผิดทางไปหน่อย สมมุติว่าเปิดมาตั้งแต่ฉากแรกเป็นฉากวัยเด็กแล้วก็วกเข้ามาปัจจุบัน อาจจะทำให้เรื่องมันลื่นไหลกว่านี้ นี่เหมือนเพิ่งคิดออกแล้วแปะมาอ่ะ แต่มันก็ยังมีทางกลับตัวนะ ค่อยๆ ไล่ตะเข็บเรื่องไป เป็นกำลังใจให้จ้า