มนุษย์ของขวัญ

[JLS01] STATUS สถานะรัก ป่วนหัวใจยัยเพื่อนสนิท

เพราะอาการเมาของเพื่อนสนิท ทำให้เผลอบอกเธอว่า'ชอบ'ไป ทำให้ความสัมพันธ์ของคำว่า'เพื่อน'เริ่มไม่เหมือนเดิมแล้วล่ะ ......นิยายธรรมดาๆ ที่อ่านแล้วจะอยากมีเพื่อนสนิท :)

0%
VOTE
ตอนก่อนหน้า

ตอนที่ 7/7 :: STATUS7

                                                              STATUS 7

"ผู้ชายและผู้หญิงนั้นสามารถเป็นเพียงแค่เพื่อนกันได้
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง พวกเขาจะตกหลุมรักกันและกัน
อาจเพียงแค่ชั่วคราว อาจเป็นเวลาที่ผิด 
อาจสายเกินไป หรืออาจตราบชั่วนิรันดร์"
“A guy and a girl can be just friends, but at one point or another, they will fall for each other...Maybe temporarily, maybe at the wrong time, maybe too late, or maybe forever”

_______________________________________________________________________________
เดฟ แมตธิวส์ แบนด์ (Dave Matthews Band)

         

         

 

 

 

ตุ้บ!!

 

          ฉันก้มลงไปหยิบกองเอกสารที่ตกลงบนพื้น ระหว่างที่ฉันกำลังวิ่งอย่างเร่งรีบเพื่อให้ไปทันรถเมล์ที่จอดอยู่ ก็วันนี้ฉันดันดวงซวยสุดๆน่ะซิ ที่ดันลืมกุญแจของตัวเองไว้ในส่วนไหนของบ้านก็ไม่รู้  พอหมดปัญญาที่จะหามัน ฉันก็เลยหอบข้าวของ ทั้งกระเป๋า ทั้งกองเอกสาร วิ่งไปขึ้นพี่วินมอเตอไซค์ ให้ขับไปส่ง แต่ความซวยยังไม่หยุดแค่นั้นนะคะ เพราะพี่วินมอเตอไซค์ดันเบรกแตกซะงั้นนี่ อยากจิร้อง T^T ทำให้ฉันเสียเวลาร่วม 5 นาทีในการรอโบกมอเตอไซค์คันต่อไป  แต่ดันไม่มีใครคิดจะจอดรับฉันเลย แต่ละคันขับผ่านฉันไปอย่างไม่ไยดี ราวกับฉันเป็นอากาศธาตุ ฉันเสียใจมากนะรู้ไหมพี่วิน TOT

 

          ใช่ซิ....ก็ฉันมันเกิดมาตัวเล็กนี่นา

 

          คราวนี้ พอหมดหนทางใดที่จะพาร่างของตัวเองไปให้ถึงที่ทำงานเร็วที่สุด ฉันก็เห็นโอกาสสุดท้ายของฉันนั่นก็คือ

         

รถเมล์นรก หมวยยกล้อ......ที่มีดีกรีความเร็ว  แรง ทะลุนรกยิ่งกว่าพี่ดอมใน FAST and Furious ทั้งเจ็ดภาคเสียอีก

         

เอาวะ....ยังไงโอกาสก็มาถึงแล้ว ฉันจะไม่ยอมปล่อยมันไปเด็ดขาด เป็นไงเป็นกัน!!!!

         

ปึก!!

         

ตุ้บ!!

         

แต่ไม่ทันจะวิ่งไปถึงเป้าหมาย ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของฉันก็ออกตัวเคลื่อนไปข้างหน้า  ขับผ่านไปจากจุดโฟกัสสายตาของฉันอย่างรวดเร็ว ทิ้งฉันให้เผชิญบุคคลนิรนามที่ดันมายืนขวางฉัน ทำให้ฉันชนแล้วทั้งกองเอกสาร และกระเป๋าก็กระจายไปตามพื้นอย่างไร้ทิศทาง

         

อาเมน....ถ้าจะซวยมากมายขนาดนี้นะ ขุดหลุมฝังกลบฉันไปเลยเหอะ

         

ฉันก้มลงไปเก็บกองเอกสาร และของที่หล่นออกมาจากระเป๋า โดยไม่ได้คิดจะสนใจเลยว่าฉันชนใคร และในระหว่างที่ฉันกำลังกุลีกุจอเก็บของอยู่นั้น ฉันก็เห็นมือใครบางคนก้มลงมาช่วยฉันเก็บของ จังหวะนั้นเอง...ฉันจึงได้เงยหน้าขึ้นมามอง

         

ทีชา

         

ฉันมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก และก็ไม่เข้าใจตัวเองอีกว่า....ทำไมฉันต้องใจเต้นแรงด้วย 

         

คนตรงหน้าของฉันเก็บของที่หล่นกระจายอยู่บนพื้น สีหน้าแววตานิ่งไร้อารมณ์ ทำให้ฉันเดาไม่ออกเลยว่าคนตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่

         

เราคิดกับแกแค่เพื่อน

         

ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นก็ฉายวนซ้ำมาอีกครั้ง และตั้งแต่วันนั้นฉันก็คอยหลบหน้าคนที่ฉันเรียกว่าเพื่อนสนิทมาตลอด โดยไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำแบบนั้นทำไม ฉันแค่รู้สึกว่า.....ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิม

         

เรื่องทั้งหมดนี้....มันเป็นความผิดของฉันเอง

         

 

 

“ แกจะหลบหน้าเราแบบนี้อีกนานมั้ย “ ทียื่นกองเอกสารในมือทั้งหมดมาให้ฉัน และในจังหวะนั้นเองที่ทีเงยหน้าขึ้นมา ฉันที่จ้องหน้าเขาอยู่ก็ดันบังเอิญสบตาเข้า  แววตาของทีดูนิ่ง....ราวกับไร้ความรู้สึก

         

มันทำให้ใจของฉันรู้สึกแช่แข็งไปชั่วขณะ

         

นี่ฉันทำอะไรลงไปนะ....ฉันเป็นคนที่ข้ามกำแพงไปถามหาความลับของเพื่อนสนิทตัวเอง ฉันเองที่ทำลายสถานะที่เป็นอยู่ของเรา  และฉันเองที่คอยหนีทีมาตลอด ทั้งๆที่ทีพยายามเข้าหาฉัน ทั้งๆที่เขาพยาบามจะทำให้มันเหมือนเดิม แต่ฉันกลับไม่รู้สึกเหมือนเดิม

         

ฉันรับเอกสารจากคนตรงหน้า ก่อนจะลุกขึ้นยืน พร้อมกับกระชับกองเอกสารนั้นไว้แน่น

         

“ เอ่อ....คือฉัน....ฉันต้องรีบไปทำงานน่ะ “ ฉันว่าพร้อมกับเดินผ่านคนตัวสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันไป

         

หมับ

         

แต่ไม่ทันที่ฉันจะก้าวไปได้ถึงไหน คนตัวสูงก็จับแขนฉันไว้ แล้วดึงกลับมาที่เดิม

         

“ เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันนะแตงกวา “  ทีพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้ม ดูน่าเกรงขาม ซึ่งฉันไม่เคยเห็นทีในอารมณ์แบบนี้มาก่อน

         

“ คะ...เคลียร์อะไร “  ฉันพูดด้วยน้ำเสียงติดขัด ก้มมองลงต่ำ ไม่กล้าแม้จะไปสบตาคนตรงหน้า ใจของฉันเต้นเร็วมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวหรือเปล่า

         

“ แกจะหลบหน้าเราไปถึงไหน “

         

“ ฉันเปล่านะ “

         

“ แกเข้ามาป่วนสมองเรา....เรา....ทนไม่ไหวอีกแล้ว “  ประโยคหลังทีพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลง มันทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงสิ้นหวัง

         

ฉันที่ก้มมองลงบนพื้น เงยหน้าขึ้นมาสบตาคนตรงหน้า แววตาที่สิ้นหวังนั้นจ้องมองมาที่ฉัน ฉันได้แต่มองแววตานั้นนิ่ง ไร้การโต้ตอบ แต่รู้สึกเจ็บราวกับมีเข็มนับพันทิ่มแทงลงมา

         

 

“ เรารักแก “ น้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของคนตรงหน้า  แล้วนั่นยิ่งทำให้ใจของฉันรู้สึกปวดร้าวมากไปกว่าเดิม คนตรงหน้าโน้มตัวลงมาประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของฉัน  รสสัมผัสอันนุ่มนวลที่แฝงไปด้วยความปวดร้าว  สิ้นหวัง ฉันตอบรับรสจูบนั้น  ราวกับถ้ามันจะสามารถสมานแผลให้กับเจ้าของริมฝีปากอันนุ่มนวลนี้ได้

         

เอี๊ยดดดดดดดด

         

ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมา  เมื่ออยู่ๆร่างของฉันได้ถูกกระแทกกับเบาะข้างหน้าด้วยแรงเฉื่อยมหาศาล จากการเบรกรถของรถเมล์สายนรก

         

.....ฝันหรือนี่

         

ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นว่ารอบตัวมืดสนิท ทุกคนทยอยลงกันจนจะหมดคันรถแล้ว ฉันสะพายกระเป๋าแล้วรีบเดินลงออกไปทันที  ขืนไม่รีบลงมีหวังรถเมล์ขับต่อไป นี่ต้องมีการนั่งวนกันยาว

         

เฮ้อออ....แต่เอาจริงๆนะ ฝันเมื่อกี้ดูเหมือนจริงมาก นี่คิดมากไปหรือเปล่าถึงเอาเก็บมาฝันได้จริงจังขนาดนี้  หรือไม่ก็เมื่อเช้าคงพึ่งผ่านเหตุการณ์รอดตายจากการแข่งกับเวลามากเกินไป เลยเก็บไปฝันผูกกันเป็นเนื้อเรื่องเชียว

         

ฉันเดินสาธยายบ่นนู่นนี่ในใจ จนเดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านตัวเองพอดี ฉันหันไปมองบ้านที่อยู่ข้างๆ เห็นมีไฟส่องสว่างมาจากห้องข้างบน....ซึ่งมันก็คือห้องของไอ้ทีนั่นแหละ

         

ปานนี้หมอนี่กำลังทำอะไรอยู่นะ

         

แอ๊ดดด

         

=_=;;

         

O_O

         

เอาแล้วไง....ยืนจ้องห้องเขาเพลินเกินไป  จนเจ้าของห้องเขาเปิดหน้าต่างออกมาพอดี แถมไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจทำให้เจ้าของห้องต้องบังเอิญมองมาทางฉัน แล้วสบตากันพอดีด้วยเนี่ย แถมอีตาเจ้าของห้องยังไม่ใส่เสื้ออีก  อย่างนี้เจ้าของห้องก็รู้ว่าฉันแอบมองอยู่แน่ๆ ฮือออออ

         

แต่จะว่าไป.......หุ่นดีเหมือนกันนะ

         

ฉันรีบหลบสายตา แล้วรีบควาญหากุญแจในกระเป๋าไขประตูบ้านเข้าไปอย่างเร่งรีบ  ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าแบบนี้  อยากบอกนะว่าฉันเขินไอ้ทีอ่ะ ไม่จริงๆๆๆๆๆ

         

ทั้งๆที่ฉันบอกไปเองว่าคิดกับทีแค่เพื่อน แต่ก็ไม่รู้ทำไมอาการประหลาดๆที่เกิดขึ้นกับฉันตอนนี้มันส่อไปในทางแอบรักคนข้างบ้านเลยวะคะ แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่อยากยอมรับว่าชอบหมอนั่นหรอกนะ มันผิดวิสัยคนที่เคยเป็นเพื่อนรักเพื่อนยากกันมาก่อนอ่ะ อยู่ๆจะให้เปลี่ยนมาเป็น....เอ็งกูรักมึงว่ะ....แบบนั้นฉันคงรับไม่ได้จริงๆ มันผิดผีและรู้สึกประหลาดมากที่สุดถึงที่สุด

         

ฉันว่านะ....มันอาจจะเป็นอาการของคนที่โสดมานาน พอรู้ว่ามีคนชอบก็คงจะรู้สึกประหม่า เดี๋ยวมันก็คงหายไปตามกาลเวลา....ล่ะมั้ง

         

 

จะข่มตา  แต่ฉันเองไม่อาจจะข่มใจ  ยังคงคิดถึงแต่เธออยู่เรื่อยไป  เรื่อยไป

 

ฉันรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋า ที่วางอยู่บนโซฟาตรงห้องรับแขก พอดูเบอร์ที่โชว์ขึ้นมา....แตงโม....เพื่อนสนิทสมัยมัธยมของฉัน ก็รีบกดรับสายทันที

 

“ แกรรรรรรรรรรรรรร “ เสียงปลายสายกรอกเสียงที่แหลมปี๊ดจนขี้หูออกมาเต้นระบำ

 

“ อะไรดลใจให้โทรมาคะ “

 

“ คือว่าๆๆๆๆ “

 

“ ว่าอะไรก็พูดมา แต่ถ้ามายืมตังตัดสายทิ้งทันที “ ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ เมื่อคนปลายสายมันแต่ลีลาจีบปากจีบคออยู่นั่นแหละ

 

STOP!!!  ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อยแกรรรรรร คือมันมีนัดกลุ่มกันอ่ะ ไปกินเลี้ยงกันที่ร้านเจ๊หมวยเจ้าเดิมอ่ะ “

 

“ อ่อ....วันไหนล่ะ เพราะฉันเริ่มทำงานแล้ว คงมีเวลาน้อยอ่ะ “

 

“ อาทิตย์นี้อ่ะ โอเคไหมคะเพิ่ลลลล “

 

“ อ่าๆ ถ้าอาทิตย์ก็โอเคนะ “

 

“ งั้นก็คอนเฟิร์มนะยะ ห้ามเบี้ยวนัดนะ ไม่งั้นมีงอล “

 

“ จ้าๆ “

 

ฉันเอาโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเหมือนเดิม ด้วยความรู้สึกเพลียในใจเหลือเกิน กับการจีบปากจีบออกเสียงภาษาไทยที่เขาพูดกันง่ายๆให้มันยากกว่าเดิม ไม่รู้ว่าพูดแบบนั้นแล้วไม่เหนื่อยบ้างหรือไง

 

แต่ถึงยังไง ตอนนี้ฉันก็ขอไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อนซะหน่อยดีกว่า ตอนนี้รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียมากเหลือเกิน เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ  อากาศก็ร้อนจนร่างกายต้องการทะเลไม่พอ นี่ร่างกายต้องการขั้วโลกเหนือแหละค่ะ (ก็อปเขามา)

 

 

วันอาทิตย์ผ่านมาไวราวกับโกหก

 

 

 

@ร้านเจ๊หมวย

ฉันเดินเข้ามาร้านเจ๊หมวย ตามเวลานัดของยัยแตงโม นั่นก็คือ....สี่ทุ่ม นัดมาเวลานี้รู้เลยว่าไม่ได้มากินเลี้ยงใสๆ เอาแค่พออิ่มแน่นอน มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น

         

ฉันเดินเข้ามาจนเกือบจะถึงหลังร้าน แต่ก็ยังไม่เห็นโต๊ะของเพื่อนตัวเอง ยืนเอ๋อๆพยายามกวาดสายตามองอยู่ได้สักพัก จนเห็นกลุ่มเพื่อนประมาณ 8-9 คนโบกมือหย็อยๆเรียก จึงได้รู้ว่านั่งอยู่ตรงไหนกัน ฉันรีบเดินตรงไปทางกลุ่มเพื่อนแล้วโบกมือทักทายทันที

         

เอาล่ะค่ะ.....ปฏิบัติการเมาท์กระจายสไตล์ย้อนวัยได้เริ่มต้นขึ้นแล้วจ้า!!

        

“ ไม่ได้เจอกันตั้งนานอ้วนขึ้นไหมเนี่ย ไอ้แตงงงงง “  ไอ้กั้ง ปากหมาที่สุดประจำแกงค์ทักทายฉันด้วยประโยคที่ฟังแล้วชวนกระโดดถีบมากชะมัด ถ้าไม่ติดว่าฉันใส่กระโปรงแล้วอายุก็เลยวัยมาในระดับหนึ่งแล้ว ไอ้หมอนี่ไม่มีทางรอดแน่ๆ -*-

         

“ อ้วนขึ้นบ้านแป๊ะแกดิ ฉันน้ำหนักลดไปสองโลเว้ยยย “ ฉันตอบกลับพร้อมโขกกะโหลกมันไปทีหนึ่ง

         

“ นี่ยัยแตงกวาเดี๋ยวนี้ร้ายนักนะ “ ยัยแป้ง หน่วยสืบราชการลับประจำกลุ่ม ถ้าคุณอยากเกาะทันกระแสข่าว หรืออยากจะรู้เรื่องซุบซิบในรั้วโรงเรียนอย่างรวดเร็ว ไม่ให้เอาท์ ยัยนี่เลยตัวแพร่ข่าวชั้นดี

         

“ ร้ายอะไรวะ “  ฉันตอบไปด้วยสีหน้างุนงงกับสิ่งที่ยัยแป้งเกริ่นออกมาเป็นที่สุด

         

“ ช่ายยย อย่างที่ยัยแป้งบอกน่ะแหละว่าแกมันร้าย ฉันเห็นนะว่าแกไปถ่ายโฆษณาอ่ะ  คิๆ“  ยัยน้ำหวานขาเมาท์ประจำกลุ่มอีกคน พูดแล้วก็ไปหัวเราะคิกคักกันสองกับยัยแป้ง

         

ส่วนฉันน่ะเหรอ....พอได้ยินคีย์เวิร์ดคำว่าโฆษณาสมองก็ประมวลผลถึงอดีตกาลครั้งหนึ่งที่แสนเลวร้าย จากการโดนผู้กำกับสุดเงี๊ยบ (ศัพท์ใหม่ของฉันเอง มาจากคำว่า เนี๊ยบ+งี่เง่า )  ดุด่าราวกับฉันเต็มใจมาทำงานแบบนั้นซะอย่างนั้นแหละ T_T

        

“ ช่างมันเหอะแก ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก “ ฉันว่าพลางจิ้มยำลูกชิ้นที่อยู่ตรงหน้าเข้าปากด้วยความหิว....คือเล็งมันตั้งนานล่ะ กะว่าจะกินมันก่อนเป็นอันดับแรกเลย ฮ่าๆ

         

“ โฆษณาอะไรวะ “ ไอ้เป้งตัวสอใส่เกือกประจำกลุ่ม เป็นคู่ชงกับยัยแป้ง ( สาเหตุการชงมาจากชื่อมันออกเสียงคล้ายๆกัน กลุ่มนี้ดูมีตรรกะดีนะ=_=  )

        

“ ก็โฆษณานี้ไง “ ยัยแตงโม ศูนย์รวมจิตใจประจำกลุ่ม ทำไมฉันถึงบอกแบบนั้นเหรอ คือ....คิดฉายาไม่ออกอ่ะ แต่ยัยนี่มันเป็นพวกที่จะคอยเตรียมการ  จัดการสถานที่ เวลา และคอยรวมกลุ่มเพื่อนเวลาจะมีกินเลี้ยงกันที่ไหน

         

แล้วพอไอ้เป้งถามแบบนั้น ยังแตงโมก็ได้ยื่นโทรศัพท์ซึ่งมีคลิปโฆษณาของฉันในยูทูปออกมากลางโต๊ะอาหาร ทำให้ทุกคนในกลุ่มทั้งที่ฉันเอ่ยถึง และไม่ได้เอ่ยถึงต่างชะโงกหน้าสุมหัวกันดูคลิปโฆษณานั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นขั้นสุด

         

ฮืออออ......จะเอาออกมาแฉกลางโต๊ะอาหารกันทำไมวะคะ

         

ไม่รอช้า ฉันรีบตะครุบโทรศัพท์ที่วางอยู่ทันที ใครมันจะอยากให้เพื่อนดูอะไรแบบนี้กันล่ะ มันน่าอายมากนะ แถมฉันยังถ่ายโฌฆษณากับไอ้ทีอีก มีหวังโดนล้อแน่ๆอ่ะ เพราะในกลุ่มนี้ส่วนมากก็รู้จักไอ้ทีกันหมด เพราะรู้จักกันตั้งแต่มอต้น

         

“ ฉันไม่ให้พวกแกดูหรอก “ ฉันว่าพร้อมกับชูโทรศัพท์ขึ้นสูงๆ เพื่อหลบหนีฝูงซอมบี้กระหายเหยื่อที่ต่างจู่โจมจะมาแย่งโทรศัพท์เครื่องนี้ไป

         

แต่ทว่า....

         

หมับ

         

 

 

กลับมีใครบางคนมาแย่งโทรศัพท์ในมือของฉันไป ฉันกลับทุกคนที่เหลือหันไปมองทางเดียวกัน ก็เห็นว่าบุคคลผู้นั้นก็คือ....ไอ้ที ในเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมสองเม็ด  กางเกงยีนส์ ขาเดฟสีดำ  และสวมแว่นกันแดดสีชา keep look เหมือนเดิม

         

“ อ่าวไอ้ที “ ไอ้แดง เพื่อนอีกคนในกลุ่มเป็นคนเริ่มพูดคนแรก หลังจากที่บรรยากาศรอบโต๊ะเงียบมาได้สักพัก หลังจากการปรากฏตัวของใครบางคน 

         

“ ไงไอ้แดง “ ไอ้ทียกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะถอดแว่นกันแดดออกมาเสียบเสื้อเชิ้ต ไอ้ทีลงมานั่งข้างๆฉัน ที่นั่งอยู่ริมขอบโต๊ะ

 

เห้ยไม่ได้เจอกันนาน เอ็งหล่อขึ้นปะวะ “ ไอ้เป้งว่า

 

“ จริงงง ทีนี่หล่อขึ้นจริงๆอ่ะแกรรร “ ยัยแตงโมว่า และทุกคนในกลุ่มต่างก็พยักหน้าพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้คาดหมาย  ทำให้ฉันรู้สึกหมั่นไส้คนข้างๆตงิดๆ  แต่...รู้สึกประหม่ามากกว่า ฮืออ

 

“ ฮ่าๆ ไม่ขนาดนั้นมั้ง เห็นทุกคนอยากดูโฆษณาที่ยัยแตงไปเล่น “  ไอ้ทีพูดพร้อมยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ นู่น มองไปที่จอตรงนั้นดิ กำลังฉายอยู่พอดีเลย “ ไอ้ทีพยักเพยิดให้ทุกคนในกลุ่มหันไปทางที่มาหน้าจอโปรเจ็กเตอร์อันใหญ่ยักษ์ ที่ตอนฉันเข้ามาเขายังถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลลีกไหนสักลีกอยู่ แต่ตอนนี้ดันกลายมีหน้าฉันเด่นหลาอยู่ในจอทีวีซะอย่างนั้น

 

โฆษณาดำเนินมาได้สักหน่อยล่ะ เป็นฉากที่ฉันกำลังจะไปกัดคอไอ้ที แต่ดันได้กลิ่นน้ำหอมมาเบี่ยงเบนความสนใจพอดี ทำให้แวมไพรสาวโน้มตัวลงมาสูดดมกลิ่นน้ำหอม แลดูโรคจิตนิดๆ แล้วก็.....

 

จูบ....ใช่ฉากจูบ ฮือออ รู้สึกพังที่สุด ถึงที่สุด ฉันได้แต่จ้องโฆษณานั้นด้วยใจที่เต้นรัวและเร็ว ความรู้สึกร้อนผ่าวปรากฎขึ้นที่แก้มของฉันทันที ฉันรู้สึกราวกับหัวใจของฉันกำลังทำงานหนักในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย มันรู้สึกหวิวๆไปหมด เขินมากกก อายมากกก อยากจะกรีดร้อง ยิ่งคนในโฆษณานั่งอยู่ข้างๆนี่ด้วย แถมตั้งแต่วันนั้นที่เราไม่ได้คุยกันเลย เพราะฉันเอาแต่หลบหน้า ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกพังอย่างมากที่สุด อยากจะมีผ้าคลุมล่องหน คลุมตัวเอง แล้ววิ่งหนีออกไปจากร้านชะมัด

 

“ ในโฆษณานั้นมัน....อย่าบอกนะว่า “ ยัยแป้งพูดขึ้น พร้อมกับหันหลังมาชี้หน้าไอ้ที ด้วยสีหน้าอึ้งกับโฆษณาที่พึ่งฉายเมื่อสักครู่  รวมถึงทุกคนในกลุ่มก็หันมามองหน้าไอ้ทีด้วยสีหน้าที่ไม่ต่างจากยัยแป้งเช่นกัน

 

“ อ่าฮะ “ ไอ้ทีว่าพร้อมกับยกยิ้มเล็กน้อย “ คือ.....เพื่อนเรามาล่ะ เดี๋ยวขอตัวก่อนนะ “ พูดเสร็จไอ้ทีก็ลุกขึ้นเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนของมันที่พึ่งเดินเข้ามาในร้าน ซึ่งดูอย่างกับกลุ่มดาราเซเลบ อิมพอร์ตมาจากฮอลลีวู้ดอย่างไงอย่างงั้น  คือทุกคนในร้านต่างมองกัน ผู้หญิงก็มองผู้ชายในกลุ่ม ส่วนผู้ชายก็มองผู้หญิงในกลุ่ม แต่ละคนแต่งตัวจัดจ้านมากทั้งหญิงชาย  แถมยังหน้าตาดีดูมีความอินเตอร์มากๆอีก บางคนนี่น่าจะลูกครึ่งเพราะหน้าฝรั่งมาเลยอ่ะ  ดูแล้วกลุ่มเพื่อนที่มันรู้จักตอนไปเรียนอเมริกา นี่ต่างจากฉันมากเลยนะ

 

เราสองคนไม่ใช่เด็กกะโปโลเหมือนสมัยก่อนแล้ว......โลกของฉันกับทีตอนนี้มันดูต่างกันมากเกินไป  มากเกินฉันเอื้อมไปไม่ถึงอีกแล้ว

 

ทำไมแกถึงได้มาชอบผู้หญิงธรรมดาๆแบบฉันนั้น....ทั้งๆที่รอบกายแกมีแต่คนที่ต่างจากฉันล้อมรอบมากมาย

 

สักวันนึง.....แกก็จะเบื่อฉันไปเอง  มันเป็นเพราะความใกล้ชิดกันล่ะมั้ง  แกถึงคิดว่าแกชอบฉัน เราห่างกันไปตั้งหลายปี ไม่ได้ติดต่อกันตั้งนาน  อะไรๆในตัวเราก็น่าจะเปลี่ยนกันไปมากมาย  แกมีสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ เจอคนใหม่ๆ 

 

เราควรจะนิยามความสัมพันธ์ของเราสองคนในฐานะเพื่อนดีกว่า ถึงแม้ตอนนี้ฉันไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าเราจะเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเดิม

 

“ เฮ้ยพวกแก ฉันขอออกไปสูดอากาศก่อนนะ “ ฉันว่าพร้อมกับสะพายกระเป๋า ก่อนจะลุกขึ้นยืน  เพราะอยู่ๆก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก อยากจะไปตากลมเย็นๆสักพัก

 

“ แหนะๆ เขินจนต้องออกไปข้างนอกเลยเหรอจ๊ะ “ ยัยน้ำหวานพูดแซวฉัน ส่วนฉันก็ได้แต่โบกไม้โบกมือ แล้วเดินออกไปนอกร้าน

 

 

“ เป็นอะไรคะเพื่อน ฉันที่กำลังยืนตากลมอยู่หน้าระเบียงหันไปมองทางต้นเสียงของคนที่อยู่ข้างๆ ก็เห็นว่าเป็นยัยแป้งทีกำลังยืนเท้าระเบียงอยู่ข้างๆฉัน

 

“ ไม่ได้เป็นอะไรนี่ “

 

“ ไม่เชื่ออ่ะ ฉันเห็นว่าแกดูแปลกๆ เหมือนมีอะไร ไหนเล่าซิ “

 

ก็... ฉันสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อย ก่อนจะเรียบเรียงคำพูดในหัวออกมาให้เพื่อนสนิทของฉันอีกคนฟัง ทีบอกว่าชอบฉัน

 

อ่าฮ้ะ

 

แต่ทีมันเป็นเพื่อนสนิท

 

แล้วแกรู้สึกยังไงกับทีล่ะ

 

ฉันไม่รู้เหมือนกัน

 

ถ้าแกไม่ได้ชอบก็ปฏิเสธทีไปสิ

 

ปฏิเสธไปแล้วล่ะ

 

อ่าฮะ  

 

ไม่รู้ดิ มันก็ไม่เชิงว่าไม่ได้ชอบ แค่...ไม่รู้ว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่

 

จริงๆฉันว่าแกรู้

 

ฉันหันไปมองเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายหันมามองทางฉันเหมือนกัน ก่อนจะส่งยิ้มบางๆมาให้

 “ ...

 

แกจำตอนมอปลายได้มั้ยที่ฉันเคยบอกว่าชอบไอ้แดงอ่ะ

 

อ่อ จำได้

 

ฉันตัดสินใจไปบอกมันตอนวันจบมอหก “

 

“ ฮะ!! จริงดิ ทำไมแกไม่เคยเล่าให้ฉันฟังเลย

 

ก็ตอนแรกกะว่าจะเก็บเป็นความลับน่ะ ฮ่าๆ

 

แต่ตอนนี้แดงมันมีแฟนแล้วนี่ ....แถมกำลังจะหมั้นกันแล้วด้วย...ประโยคหลังฉันได้แต่พูดในใจ

 

ใช่...แกรู้มั้ยตอนนั้นแดงบอกกับฉันว่า มันก็เคยชอบฉันเหมือนกัน

 

...

 

แต่ก็แค่เคยน่ะ

 

แล้วแกโอเคมั้ย

 

ฉันเข้าใจน่ะ บางอย่างถ้าจังหวะเวลามันไม่ตรงกัน ก็คือไม่ใช่...เพราะฉะนั้นถ้าแกรู้สึกอะไรอยู่ในใจลึกๆ แกก็ไม่ควรเก็บมันไว้นะ ยัยแป้งว่าก่อนจะส่งยิ้มบางมาให้ฉันอีกครั้ง  เดี๋ยวไปก่อนล่ะ ปานนี้พวกนั้นเผาเราสองคนจนเกรียมหมดแล้วมั้ง ฮ่าๆ

 

ฉันยืนให้ลมเย็นๆพัดผ่านร่างของฉันไปอย่างช้าๆ  หวังว่าสายลมนั้นจะสามารถปลดปล่อยความคิดและอารมณ์ที่ช่างน่าสับสนออกไป ก่อนจะสูดลมหายใจเข้า แล้วเดินกลับเข้าไปในร้านอีกครั้งหนึ่ง

 

แต่ไม่ทันได้ตั้งตัว....

 

กึก!

 

ฉันหยุดชะงักฝีเท้าลง เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ความรู้สึกปวดร้าวในจิตใจเหมือนกับในฝันตอนนั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ต่างกันตรงเหตุการณ์ไม่เหมือนกับที่ฉันฝัน

 

ภาพตรงหน้า....เป็นภาพที่ทีกำลังยืนจูบกับผู้หญิงคนหนึ่ง  ซึ่งถ้าฉันจำไม่ผิดเป็นคนในกลุ่มเพื่อนของทีที่เดินเข้ามาเมื่อกี้ ผู้หญิงคนนี้ใส่เสื้อสายเดี่ยวสีดำ กางเกงยีนส์ขาสั้นขาดๆ ปล่อยผมสีบลอนด์ยาวสยาย  มองแค่ด้านข้างใบหน้าของเธอก็ยังสวยคมมาก จมูกโด่ง ตาคม หน้าตาลูกครึ่ง ผิวสีขาวที่ดูเปล่งปลั่งออกมา

 

โลกของเรามันต่างกันเกินไป.......ฉันไม่สามารถกล้าแม้จะยอมรับความรู้สึกของฉันเองเลยว่า.......

 

ฉันตกหลุมรักแก....ทีชา

 

 

 

 

T-CHA Part

 

เรามักเห็นคุณค่าต่อความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง  เมื่อวันเวลาไม่สามารถหยิบยื่นโอกาสให้เราได้อีกครั้ง

         

 

หลังจากที่ผมเข้าไปพูดคุยกับกลุ่มเพื่อนของผมที่เดินเข้ามาใหม่สักพัก ผมก็ขอตัวแยกออกมานอกร้าน เพราะผมรู้สึกไม่ค่อยมีสมาธิสักเท่าไหร่เลย มันน่าบังเอิญจริงๆนะ ที่มากินเลี้ยงกับเพื่อน แล้วดันมาเจอผู้หญิงที่ผมชอบอีก  ผมเอาแต่คอยแอบมองเธอ   พอนึกถึงตอนที่ตัวเองไปนั่งข้างๆแตงกวาเมื่อกี้ ระหว่างดูโฆษณา ผมแอบสังเกตเห็นเธอหน้าแดงนิดๆด้วย คิดแล้วผมก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผู้หญิงคนนี้มีอิทธิพลกับใจของผมมาก

‘ เรารู้สึกกับแกมากเกินไป ‘

 

มีอิทธิพลกับผมมาก....มากจนกระทั่ง เหตุการณ์ในวันนั้นยังคอยวนเวียนหลอกผมไปมา ไม่เคยเลือนหายออกไปจากหัวสมองของผมเลยสักครั้ง ผมพยายามที่จะเข้าหาแตงกวา อยากให้ความสัมพันธ์ของเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม ถึงแม้ผมจะไม่เคยรู้สึกกับเธอเหมือนเดิม  แต่ดูเหมือนว่า แตงกวาจะเอาแต่ตีตัวออกห่างผม  จนผมก็จนปัญญาไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

 

แอ๊ดดด

        

=_=;;

        

O_O

        

“ ตะ...”

        

ฟิ้วววว

        

 

 

จะมีเพียงก็แต่คืนนั้น ที่บังเอิญผมเปิดหน้าต่างออกมาแล้วเห็นแตงกวายืนจ้องห้องของผมอยู่พอดี ถึงได้รู้ว่าแตงกวายังคงสนใจผมอยู่บ้าง แต่พอผมจะเรียกชื่อเธอ เธอก็เอาแต่ลุกลี้ลุกลนไขกุญแจแล้วหายตัวเข้าบ้านไปซะอย่างนั้น

         

ไม่ชอบแบบนี้เลย.....เหมือนโดนผลักไสให้ออกห่างอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่ผมรักเธอมาก อยากอยู่ใกล้ๆมากไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม ทำไมอะไรหลายๆอย่างถึงยากนักนะ คิดแล้วก็อารมณ์เสียชะมัด  สมัยอยู่อเมริกาผมบอกชอบผู้หญิงคนไหน ขอใครเป็นแฟนก็มักไม่เคยผิดหวังเลย ถึงผมจะแค่ชอบฉาบฉวยไม่ได้จริงจังกับใครเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้พอบอกความรู้สึกที่แท้จริงไป กับอกหักแบบไม่ได้ตั้งใจซะอย่างนั้น  

         

เราแพ้ให้แกทุกทางจริงๆ........แตงกวา

         

“ ออกมาทำอะไรคนเดียวที “  เอ็มม่า เพื่อนอีกคนในกลุ่มของผมเดินเข้ามา ระหว่างที่ผมกำลังยืนคิดอะไรหลายๆอย่างอยู่คนเดียว เอ็มม่าเป็นลูกครึ่งอเมริกา รู้จักกันสมัยที่ผมเรียนอยู่มหาลัยที่อเมริกาตอนปีสอง

         

 

“ รู้สึกอยากอยู่คนเดียวสักพักน่ะ “ ผมว่า ยังคงยืนพิงระเบียงปล่อยให้ลมเย็นลอยผ่านไป

         

“ งั้นเหรอ “ เอ็มม่าว่า ก่อนจะเดินมายืนพิงระเบียงเหมือนกันกับผม

         

“ ผู้หญิงคนนั้น ใช่คนที่ทีเคยบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทของทีใช่มั้ย “ เอ็มม่าถามขึ้น ผู้หญิงที่เอ็มม่าพูดถึงก็คือแตงกวา  เพราะสมัยตอนผมเรียนที่อเมริกา เวลามีเรื่องพูดคุยอะไร ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงมักจะชอบเล่าเรื่องตลกๆที่ผมเคยทำร่วมกับแตงกว่าเสมอ จนเพื่อนทุกคนในกลุ่มรู้จักแตงกวากันหมดล่ะ ฮ่าๆ

         

อย่างที่บอก ว่าความทรงจำที่ผมทำร่วมกับแตงกวามีเกินกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ในพื้นที่สมองของผม

         

“ ก็ใช่แหละ ว่าแต่เธอเคยเห็นแตงกวามาก่อนเหรอ “ ผมถาม เพราะถึงผมจะชอบเล่าเรื่องของแตงกวาให้เพื่อนในกลุ่มผมฟัง แต่ผมก็ไม่เคยให้เพื่อนดูรูปแตงกวามาก่อนเลย

         

“ ครั้งหนึ่งนะ เลยเดาว่าน่าจะใช่ “

         

“...” ผมยืนนิ่ง มองหน้าเธอเชิงหาคำตอบ

         

“ ก็.....ในไดอารี่ของนาย “

         

ผมรู้สึกเคืองนิดๆเมื่อได้ยินคำว่าไดอารี่จากปากของเธอ  เพราะนั่นเป็นสิ่งสำคัญมากของผม แล้วผมก็ไม่อยากให้ใครได้มาแตะต้องหรือเปิดอ่านสิ่งที่ผมเขียนเลยสักนิด

         

“ ตอนไหน “ ผมถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  ที่พยายามกดความรู้สึกโมโหภายในจิตใจให้มากที่สุด

         

“ ก็ตอนอยู่อเมริกา ตอนนั้นหลังจากที่เราสองคนนอนด้วยกัน แล้วบังเอิญฉันเห็นหนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งวางอยู่ เลยลองเปิดอ่านดู “  โอเค....ผมกับเอ็มม่าเคยนอนด้วยกันจริงๆ เพราะตอนนั้นเราสองคนเมามาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เธอจะถือวิสาสะมาละลาบละล้วงของส่วนตัวของผม ต่อให้ตอนนั้นเป็นคนที่ผมคบอยู่ก็ไม่มีสิทธิ์

         

“ ทีชอบเพื่อนสนิทของตัวเองใช่ไหม  ถึงไม่เคยคิดจริงใจกับใครเลยสักครั้ง “ เอ็มม่าถามผมที่ตอนนี้ยืนนิ่งไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากผมเลย

         

“ ... “ ผมยังคงเงียบไม่ตอบคำถามของเธอ

         

“ แต่เราชอบนาย ชอบมานานแล้วด้วย “ เอ็มม่าพูด เมื่อเห็นผมยังคงนิ่งเงียบอยู่แบบนั้น  ซึ่งนั่นผมก็รู้มาตลอดว่าเธอชอบผมมาตั้งนานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ชอบเธอ ความจริงผมไม่เคยชอบผู้หญิงคนไหนจริงจังเลย แล้วถ้าหากผมจะคบเธอแค่ผ่านๆ เหมือนคนอื่นๆที่ผ่านมาก็ได้ แต่ผมก็ไม่อยากทำแบบนั้น เพราะผมยังคงอยากเป็นเพื่อนกับเธออยู่ คืนนั้นที่ผมพลาดไป ผมยังรู้สึกผิดอยู่เลย ผมพยายามปฏิเสธเธออย่างอ้อมๆมาตลอด  ทุกครั้งที่เธอพยายามเข้าหาผม

         

“ ฉันไม่ได้ชอบเธอ “  สิ้นคำพูดของผม คนตรงหน้าก็ตรงเข้ามารวบคอผมดึงผมไปจูบ แต่มันไม่ทำให้ผมรู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย แตกต่างจากตอนที่ผมจูบกับแตงกวา ถึงแม้จะเป็นการแสดง แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมรู้สึกประหม่ามาก

         

ถึงแม้ตอนนี้.....ผมยังคงคิดถึงเธออยู่เลย

         

กึก!

         

พลั่ก!

         

ผมรีบพลักตัวคนตรงหน้าออกไปจากผมทันที เมื่อผมบังเอิญเห็นแตงกวาหยุดยืนมองเหตุการณ์อยู่ แตงกวาหันหลังกลับแล้วเดินออกไปทันที  ผมเตรียมจะวิ่งไปหาเธอ แต่เอ็มม่ายังคงจับข้อมือของผมไว้แน่น มันทำให้ผมหัวเสียมากๆ

         

“ รู้ไหม ทำไมฉันถึงไม่ยอมคบกับเธอ เพราะฉันอยากมีเธอเป็นเพื่อนอยู่ไง แต่ถ้าการกระทำของเธอในวันนี้ ทำให้ฉันต้องเสียคนที่ฉันรักไปตลอดชีวิต เธอจะไม่มีทางที่แม้จะเป็นเพื่อนของฉันอีกต่อไป จำไว้ “ ผมว่าก่อนจะสะบัดมือที่รัดกุมนั้นออกไปอย่างไม่ไยดี

         

ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว.......ผมขอแค่ได้แตงกวาของผมกลับคืนมาก็พอ.....แค่นั้นจะได้ไหม

         

ผมวิ่งออกไป เห็นแตงกวากำลังขึ้นรถของเธอ ผมจึงรีบวิ่งไปเปิดประตูฝั่งคนขับแล้วขึ้นไปนั่งทันที ก่อนที่เธอจะขับรถออกไป ยังไงผมก็ต้องเคลียเรื่องนี้ให้ได้

         

“ ขึ้นมาทำไม “ แตงกวาพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น.......นี่เธอร้องไห้อย่างนั้นเหรอ

         

“ คือเรื่องเมื่อกี้ “

         

“ แกไม่ต้องพูดอะไรหรอก มันไม่สำคัญอะไรสักหน่อย “ แตงกวาว่า ผมแอบเห็นน้ำตาหยดลงบนตักเธอ เธอเอาแต่ก้มหน้า กำมือไว้แน่น ไม่ยอมแม้จะเงยหน้ามามองผมเลย

         

“ คนนั้นเขาเป็นเพื่อนเราแตงกวา “

         

“...”

         

“ เขามาบอกชอบเรา แล้วมาจูบเราเอง “

         

“...”

 

“ แต่คนที่เรารักมีเพียงแค่แกนะ.......แตงกวา “

 

“ พอเหอะ........แกหยุดพูดแบบนั้นจะได้ไหม  มันทำให้ฉัน.........มันทำให้ฉันจะบ้าอยู่แล้ว  ฉันไม่อยากรู้สึกอะไรกับแกเลยที วันนั้นฉันไม่น่าจะถามแกแบบนั้นไปเลย มันเป็นความผิดของฉันเอง  เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้หรอก  โลกของเรามันต่างกันเกินไป........ฉันกลัว “

 

“ แกกลัวอะไรแตงกวา “

 

“ ฉันกลัว.........ฉันกลัวการตกหลุมรัก ฉันกลัวถ้าฉันรักแกแล้ว ฉันจะผิดหวัง ฉันไม่อยากเชื่อความรักพวกนั้นเลย แล้วถ้าหากยิ่งเป็นแกแล้วล่ะก็ ฉันกลัว......ที่จะสูญเสียแกไปตลอดกาล แต่ฉันก็ไม่อาจจะมองแกแล้วรู้สึกเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ทุกครั้งที่ฉันมองหน้าแก ทุกครั้งที่ฉันอยู่ใกล้แก ทุกครั้งที่แกสัมผัสตัวฉัน มันทำให้ฉันประหม่าอย่างบอกไม่ถูก  นี่เป็นสิ่งที่ฉันควรจะรู้สึกกับคนที่ฉันเรียกว่าเพื่อนสนิทอย่างนั้นเหรอ “

 

“ ... “ ผมได้แต่นิ่งมองคนที่ผมรักพลั่งพรูความรู้สึกในใจของเธอออกมา น้ำตายังคงไหลอาบแก้มของเธออย่างไม่หยุดหย่อน แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวผมเองถึงยังคงได้แต่นั่งนิ่ง ไม่ทำอะไรสักอย่าง เหมือนจิตใจของผมปวดร้าวอย่างมาก ที่เห็นคนที่ผมรักร้องไห้แบบนั้น 

 

“ แต่.....แต่ถึงอย่างนั้น  เรื่องของเราก็เป็นไปไม่ได้จริงๆ ฉันเคยผิดหวังกับความรักมาครั้งหนึ่ง  แถมพ่อแม่ของฉันยังหย่ากันอีก  ฉันไม่กล้าแม้แต่จะตกหลุมรักใครอีกเลย  ยิ่งเป็นแกที่มีแต่คนมากมายรายล้อม......ฉันยิ่งไม่กล้าจะยอมรับความรู้สึกของตัวเองเลยสักนิด “

 

ผมเข้าใจในสิ่งที่เธอพูด  นั่นก็เป็นเพราะรุ่นพี่ที่เคยเข้ามาจีบเธอสมัยที่เธออยู่มอปลาย เธอชอบพี่คนนั้นตั้งหลายปี รอวันที่พี่เขาจะขอเป็นแฟน แต่สุดท้ายเขากลับไปคบกับคนอื่น ส่วนพ่อกับแม่ของแตงกวา ตอนผมรู้ข่าวผมก็ยังตกใจอยู่เหมือนกัน

 

เพราะอย่างนั้นสินะ.........เธอถึงปฏิเสธผม  ยิ่งมาเห็นเหตุการณ์แบบนี้อีก........ผมรู้สึกผิดกับเธอจริงๆ

 

“ แตงกวา “  ผมพูดขึ้น  ก่อนจะจับไหล่ที่สั่นเทาของเธอ ความรู้สึกที่เหมือนถูกกรีดแบบนี้ มันรู้สึกเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่เห็นคนที่ผมรักต้องร้องไห้

 

“ ฉันอยากกลับบ้าน........ลงไปได้ไหมที “ แต่แตงกวาก็ยังคงฏิเสธผม......อีกครั้ง  ผมควรจะทำยังไงดี

 

“ แล้วเราควรจะทำยังไงแตงกวา  แกกลัวที่จะตกหลุมรัก แล้วเราล่ะ.......เราที่ตกหลุมรักแกมาหลายปี เราที่พยายามตัดใจจากแก เราที่ยอมทุกอย่างไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ยอมทุกอย่าง.......ขอให้เราได้อยู่ใกล้แก แต่แกกลับผลักไสเราตลอด  แกจะให้ราทำยังไงแตงกวา  “ ผมว่า น้ำตาไหลอาบแก้มของผมโดยไม่ตั้งใจ ผมไม่ได้ตั้งใจจะแสดงความอ่อนแอออกมา แต่ตอนนี้ผมไม่ไหวแล้ว......ผมรู้สึกอ่อนแอมากจริงๆ

 

“ ลงไปเถอะนะที.....ฉันขอ “ แตงกวายังคงเน้นย้ำประโยคเดิม  ซึ่งนั่นทำให้จิตใจของผมหมดเรี่ยวแรง พ่ายแพ้ต่อทุกสิ่ง ผมไม่อาจจะทำอะไรได้อีกต่อไป ผมยอมปล่อยมือจากไหล่ของแตงกวา แล้วลงมาจากรถโดยดี

 

 

ผมมองรถของแตงกวาที่ขับออกไป  โดยที่ผมไม่สามารถแม้แต่จะฉุดรั้งเธอไว้ได้เลย สิ่งที่ผมทำได้ ก็เพียงแต่ยืนร้องไห้อยู่อย่างนั้น ผู้หญิงคนนี้มีอิทธิพลต่อใจผมมากจริงๆ เหมือนกับว่าผมจะสามารถเข้าใกล้เธอได้อีกนิดแล้ว.......แต่ก็ไม่เลย กำแพงของเธอช่างสูงชันมาก เกินกว่าเรี่ยวแรงของผมที่มีอยู่ตอนนี้จะสามารถปีนก้าวข้ามไป

 

เรารักแก.....แตงกวา

 

ผมควรจะทำยังไงดี.......ผมรู้สึกเจ็บเหลือเกิน

 

 

 

 

 

 

น้ำตาของฉันยังคงไหลอาบแก้มไม่หยุด โดยที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองร้องไห้ทำไม.......ไม่สิ จริงๆแล้วฉันเข้าใจต่างหาก แต่ฉันแค่ไม่อยากยอมรับมัน ฉันร้องไห้เพราะฉันเสียใจ ที่คนที่ฉันรู้สึกรักไปจูบกับผู้หญิงคนอื่น ทั้งๆที่ฉันเป็นคนบอกกับเขาไปเองว่าคิดแค่เพื่อน แต่ความจริงตัวฉันเองที่ไม่ยอมรับความรู้สึกลึกๆภายในใจฉัน

 

ว่าฉันคิดกับอีกฝ่าย....มากกว่าเพื่อน....ไปแล้ว

 

เพราะฉันรู้ว่าถ้าหากเราสองคนสานสัมพันธ์กันต่อไป มันเสี่ยงเกินไป กับโลกที่ต่างกันของเราสองคน ถ้าเกิดในอนาคตมันไม่สวยงามอย่างที่คิดล่ะ ถ้าทุกอย่างมันจบลง ความสัมพันธ์ของเราสองคนจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันยอมที่จะอยู่ในสถานะเพื่อนสนิทต่อไปจะดีกว่า ใช่...มันควรจะเป็นแบบนั้น และเพื่อนสนิทไม่ควรจะมาร้องไห้ เพราะเพื่อนไปจูบกับผู้หญิงคนอื่นหรอกนะ ฉันพยายามเตือนตัวเอง แต่มันทนไม่ได้จริงๆ ฉันไม่สามารถหยุดความเจ็บปวดและน้ำตาของฉันที่เกิดขึ้นนี้ได้เลยจริงๆ

 

ฉันเสียใจ.....

 

ฉันมองไปยังกระจกหลัง เห็นทีที่กำลังยืนร้องไห้อยู่แบบนั้น  มันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกปวดร้าวภายในใจ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ขี้ขลาดเกินไปจริงๆ ภาพเหตุการณ์ที่ทียืนจูบกับผู้หญิงคนนั้นยังคงเป็นเข็มที่ทิ่มแทงลงบนใจของฉัน ฉันยังคงกลัว ถ้าหากจะให้เผชิญกับเหตุการณ์อะไรต่อจากนี้อีก  สิ่งที่ฉันจะทำได้ตอนนี้ก็เพียงแค่หนีปัญหาไปก็เท่านั้น

 

ตู้ม!!!!!

 

และนั่น........ก็ทำให้ฉันรู้ว่า ทุกอย่างมันสายไปแล้วจริงๆ

 

สิ่งสุดท้ายที่ฉันเห็นคือแสงสีขาวที่แผ่กระจายไปทุกทิศทาง

 

 

แตงกวาร้องไห้ทำไม

 

ฮึก แตงกวาฝันว่าทีโดนรถชน แตงกวากลัว.....กลัวว่าจะไม่ได้เจอหน้าทีอีก ฮืออออออ

 

มันเป็นแค่ความฝันเองนะ.....ทีก็ยังแข็งแรงดีอยู่นี่ไง

 

ฮือออออ ก็แตงกวากลัวนี่ แตงกวาอยากเป็นเพื่อนกับทีตลอด ฮึก อยากเล่นกับทีตลอด  ฮึก แตงกวากลัวที่จะเสียทีไป ฮืออออ

 

โอ๋ๆ ไม่ต้องร้องแล้วนะ ทีจะคอยอยู่ข้างๆแตงกวาตลอดไป ทีสัญญา

 

' สัญญานะที ว่าทีจะเป็นเพื่อนกับแตงกวาตลอดไป '

 

' อื้ม....ทีจะไม่ทิ้งแตงกวาไปไหนเด็ดขาด '

 

……ฉันรักแก.....ทีชา

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีค่า JLS01 ค่ะ ตอนนี้ตอนสุดท้ายแล้วดีใจๆ ต้องขอขอบคุณคอมเม้นของพี่ลูกชุบจริงๆ ที่ช่วยเกลาให้หนูมาตลอด การแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นอีกประสบการณ์ดีๆมากค่ะ ขอบคุณครณะกรรมการและโครงการอีกครั้งจริงๆค่ะ ที่ให้โอกาสหนู

ก็ตอนสุดท้ายแล้ว ถึงแม้เรื่องนี้อาจจะไม่ชนะ แต่ก็อยากให้คนที่อ่านมาถึงตอนเจ็ดได้เขาใจว่า อย่าใช้ชีวิตให้มันยุ่งยากซับซ้อนค่ะ รู้สึกอะไรกับใครก็พูดไปตรงๆถึงแม้ว่าผลอาจไม่ออกมาอย่างที่ใจหวัง ก็ดีกว่ามารู้ใจตัวเองตอนสายเกินไปนะคะ //น้ำเน่าไปอีกกก

 

 

 

 

 

 

 

 

 

         

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

        

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

JLS09 STATUS สถานะรัก ป่วนหัวใจยัยเพื่อนสนิท

ผู้แต่ง :: มนุษย์ของขวัญ

ความเห็นที่ปักหมุด
  1. #1 (จากตอนที่ 7)
    2017-02-27 14:48:38
    สวัสดีจ้า
    อาทิตย์สุดท้ายแล้วเนอะ เหมือนที่พี่บอกไปอ่ะว่าพัฒนาการเราดีมาก เรื่องาษาดีขึ้นเยอะมากกกกก บทสนทนาก็ดีขึ้นด้วย แต่สิ่งที่เราขาดคือการเรียงลำดับเรื่องให้พอดี เช่นการไล่ลำดับว่าเล่าอันไหนก่อนดีกว่ากัน เปิดตัวละครตอนไหนดี ซึ่งอันนี้มันอาศัยการเรียนรู้โดยการฝึกเขียน และอ่านเยอะๆ ก่อนเขียนเราร่างพลอตคร่าวๆ ไว้ก่อนก็จะช่วยนะ มันทำให้เรารู้ว่าเราควรจะหยิบจุดไหนของเรื่องขึ้นมาเล่าก่อน และจุดไหนควรมาทีหลัง พัฒนาการของเราดีมาก อันนี้อยากให้จำไว้เป็นกำลังใจเลย ลองไปอ่านบทแรกของตัวเองกับบทล่าสุดดิ มันต่างกันจริงๆ นะ เรื่องการลำดับเรื่องต้องไปฝึกฝน ที่พี่แนะนำไปทั้งหมดมันจะช่วยเราได้จริงๆ นะ อ่านเยอะๆ แล้วก็ลองร่างพลอตก่อน เราจะได้รู้ว่าอันไหนเล่าก่อนแล้วสนุกกว่า 

    เป็นกำลังใจให้นะคะ ถ้าเกิดมางานประกาศผลหน้าใสก็เจอกันน้า
    #1

1 ความคิดเห็น

  • 1
  1. #1 (จากตอนที่ 7)
    2017-02-27 14:48:38
    สวัสดีจ้า
    อาทิตย์สุดท้ายแล้วเนอะ เหมือนที่พี่บอกไปอ่ะว่าพัฒนาการเราดีมาก เรื่องาษาดีขึ้นเยอะมากกกกก บทสนทนาก็ดีขึ้นด้วย แต่สิ่งที่เราขาดคือการเรียงลำดับเรื่องให้พอดี เช่นการไล่ลำดับว่าเล่าอันไหนก่อนดีกว่ากัน เปิดตัวละครตอนไหนดี ซึ่งอันนี้มันอาศัยการเรียนรู้โดยการฝึกเขียน และอ่านเยอะๆ ก่อนเขียนเราร่างพลอตคร่าวๆ ไว้ก่อนก็จะช่วยนะ มันทำให้เรารู้ว่าเราควรจะหยิบจุดไหนของเรื่องขึ้นมาเล่าก่อน และจุดไหนควรมาทีหลัง พัฒนาการของเราดีมาก อันนี้อยากให้จำไว้เป็นกำลังใจเลย ลองไปอ่านบทแรกของตัวเองกับบทล่าสุดดิ มันต่างกันจริงๆ นะ เรื่องการลำดับเรื่องต้องไปฝึกฝน ที่พี่แนะนำไปทั้งหมดมันจะช่วยเราได้จริงๆ นะ อ่านเยอะๆ แล้วก็ลองร่างพลอตก่อน เราจะได้รู้ว่าอันไหนเล่าก่อนแล้วสนุกกว่า 

    เป็นกำลังใจให้นะคะ ถ้าเกิดมางานประกาศผลหน้าใสก็เจอกันน้า
    #1
  • 1

แสดงความคิดเห็น