จริงเหรอ... ที่คนเราสามารถเกิดใหม่ได้ด้วยแฟชั่น กับความช่วยเหลือดีๆ จากสไตลลิชสุดฮอต!?
บทที่สาม
หนีเสือปะจระเข้
<Rattikarn’s part>
‘เธอไม่อยากลองเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองบ้างเหรอ?’
‘เอาไปคิดดูอีกทีเถอะนะ’
‘เมื่อกี้ที่บอกว่าอยากเปลี่ยนชีวิตตัวเองนะ โกหกสินะ’
‘โกหกสินะ’
‘โกหกสินะ’
“พอๆ!!” ฉันพูดกับตัวเองดังๆเพื่อกลบเสียงที่แว่วเข้ามาในหัวนี่ขนาดเหตุการณ์เมื่อกี้มันผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้วแต่ฉันยังคิดเรื่องที่ยัยหน้าสวยคนนั้นพูดไม่เลิกเลยแฮะ…
หลังจากที่ยัยหน้าหวานนิรนามนั่นทิ้งให้ฉันยืนอึ้งอยู่คนเดียวบนดาดฟ้าสักพักฉันก็ตัดสินใจกลับมาบ้านเพราะเพิ่งนึกได้ว่าคนขับรถมาถึงแล้วไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือร้าย ที่เรื่องของยัยนั่นครอบงำสมองของฉันไปซะหมดจนฉันลืมเรื่องที่คิดจะฆ่าตัวตายไปเลย
อย่างเธอ... จะไปเข้าใจอะไรฉันกัน ไม่รู้สักหน่อยว่าฉันต้องเจอกับอะไรมาบ้าง
ฉันคิดโต้ตอบผู้หญิงคนนั้นในใจ และหันไปมองกระดาษใบสมัครที่ ‘ใครบางคนยัดเยียดมาให้’ ในกระเป๋านักเรียนตัวเอง
ฉันหยิบมันออกมาดูพลางถอนหายใจจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมยัยนั่นถึงอยากให้ฉันลงประกวดนักหนาหรือว่า... มีใครสั่งให้มาแกล้งฉันกันนะ?
“กลับมาแล้วเหรอจ้ะ หนูรัต” ก่อนที่ความคิดจะเตลิดไปไกลมากกว่านี้ เสียงป้าแจ๋วแม่บ้านของคุณยายก็เอ่ยทักขึ้น ฉันจึงหันไปทักทายเธอพร้อมฝืนยิ้มอย่างทุกๆวัน
“สวัสดีค่ะป้าแจ๋ว… ว่าแต่วันนี้คุณยายเป็นยังไงบ้างคะ?” ฉันรีบถามต่อ พร้อมกับก้มหน้าไปด้วยเนื่องจากกลัวป้าแจ๋วจะสังเกตเห็นดวงตาที่แดงก่ำของฉัน
“วันนี้คุณยายไม่ดื้อเลยค่ะแถมดูเหมือนความจำของท่านจะดีขึ้นนิดนึงด้วยไม่เชื่อหนูรัตลองไปหาท่านดูสิคะ” ป้าแจ๋วกล่าวยิ้มๆทำให้หัวใจที่เหี่ยวเฉาของฉันเบิกบานขึ้นเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่นทันที
บ้านของฉันตกแต่งเป็นสไตล์โมเดิรน์ และมีขนาดที่ไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่เล็กจนเกินไปด้วยฐานะปานกลางค่อนไปทางดีทำให้แม่มีความสามารถมากพอที่จะจ้างแม่บ้านสองสามคนส่วนสมาชิกในครอบครัวจริงๆ ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ก็มีแค่แม่ (ที่ไม่ค่อยกลับมาบ้านเท่าไหร่) ยาย และตัวฉันเท่านั้น
ส่วนคุณพ่อน่ะเหรอ... เอาเป็นว่า ท่านไม่ค่อยมีเวลามาหาฉันกับแม่มากนัก จนเหมือนครอบครัวฉันมีเหลือแค่นี้มากกว่า
คุณยายของฉันเป็นอัลไซเมอร์(โรคความจำเสื่อม)ทำให้บางวันท่านก็จำเรื่องราวต่างๆ ได้ แต่บางวันก็จำไม่ได้ เหมือนกับว่าความจำของท่านจะแวบเข้ามาในหัวเป็นบางจังหวะเท่านั้นอย่างบางทีท่านยังจำฉันกับคุณแม่ไม่ได้ด้วยซ้ำแต่นั่นก็ยังไม่เป็นปัญหาเท่าเวลาที่ท่านลืมเรื่องพื้นฐานเช่นการใช้ช้อนซ้อมกินข้าว…สาเหตุนี้เองที่ทำให้คุณแม่ต้องจ้างแม่บ้านพิเศษเพื่อคอยดูแลยายอย่างใกล้ชิด
เมื่อเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นฉันก็เห็นคุณยายกำลังดูทีวีอยู่ ท่านหันมาเมื่อรู้ว่ามีคนเข้าห้องฉันจึงรีบยกมือไหว้สวัสดีท่าน ก่อนจะเดินเข้าไปหา
“หนูกลับบ้านมาแล้วนะคะ คุณยาย” ทั้งๆที่ฉันก็พูดประโยคนี้เป็นประจำเวลากลับมาบ้าน แต่วันนี้เสียงกลับตื้อกว่าทุกวัน กว่าจะรู้ตัวอีกที ฉันก็รู้สึกแสบจมูกไปหมดแล้ว
“โห หลานยาย โตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย มาให้ยายกอดหน่อยสิ” ยายฉันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
ฉันเบิกตาด้วยความแปลกใจระคนดีใจปกติยายจะจำฉันไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำแต่วันนี้ท่านกลับมองฉันด้วยแววตาที่ไม่ได้ใช้มองคนแปลกหน้าเหมือนเคยซึ่งทำให้ฉันยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะวางกระเป๋าลงและโน้มตัวลงไปในอ้อมกอดของท่าน
ถ้าวันนี้ฉันโดดตึกไปแล้ว ฉันคงไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มนี่ และคงไม่มีทางได้ยินเสียงท่านเรียกชื่อแบบนี้อีกแน่ๆ …
เมื่อคิดได้อย่างนั้นน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมาด้วยความเจ็บใจในความอ่อนแอของตัวเองฉันฟุบหน้าลงไปในอ้อมแขนของท่าน เพื่อไม่ให้ท่านเห็นน้ำตา ฉันนี่มัน… โง่ที่สุดเลยเกือบจะหนีเอาตัวรอดคนเดียวแล้วทิ้งยายไว้เบื้องหลังได้ยังไงกัน…
ดีจริงๆ... ที่ยังไม่ตาย…
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฉันทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยใจกว่าการบ้านที่ดองไว้จะเสร็จก็ตั้งสี่ทุ่มแน่ะ… รู้แบบนี้น่าจะทำตั้งแต่เย็นแล้ว
ด้วยความที่ไม่คิดว่าตัวเองจะยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ฉันจึงไม่ได้ทำการบ้านที่ต้องส่งพรุ่งนี้ (แต่ปกติฉันเป็นคนมีความรับผิดชอบนะ!)
เฮ้อ… วันพรุ่งนี้จะเอายังไงกับชีวิตดีละเนี่ย… ฉันคิดพลางถอนหายใจถึงตอนนี้จะไม่คิดสั้นแล้วแต่ฉันเชื่อว่าอีกสักพักความคิดในแง่ลบต้องกลับมาอีกแน่ จะทำยังไงดีนะให้ความคิดแย่ๆ พวกนี้หายไปให้หมด
ระหว่างที่คิดอย่างเบื่อหน่ายสายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นกระดาษใบสมัครที่ฉันถือมันติดขึ้นมาพร้อมกับกองการบ้านของตัวเองฉันหยิบมันมาดูก่อนจะคิดถึงคำพูดของสาวหน้าสวยคนนั้น
‘เมื่อกี้ที่บอกว่าอยากเปลี่ยนชีวิตตัวเองนะ โกหกสินะ’
“ไม่” ฉันพึมพำขึ้นมาเบาๆ ราวกับต้องการย้อนเวลากลับไป เพื่อตอบคำถามของเธอคนนั้น “...ไม่ได้โกหก....”
ฉันเม้มปากด้วยความอึดอัดใจ พลางขมวดคิ้วแน่น คำว่า ‘โกหก’ ที่ผู้หญิงคนนั้นใช้กล่าวหายังคงดังกึกก้องอยู่ในสมอง
ฉันจ้องสองฝ่ามือของตัวเองในขณะที่ชั่งใจ… ฉันอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองจริงๆ นะ แต่มันจะเป็นไปได้ด้วยเหรอ… ที่คนอย่างฉันจะเปลี่ยนแปลงมันได้
จะเปลี่ยนแปลง… โดยไม่หนีความตายได้จริงๆ น่ะเหรอ
‘เปลี่ยนได้สิ! ฉันจะเปลี่ยนมันให้เธอเอง’
เป็นอีกครั้งที่คำพูดของเธอดังขึ้นมาในหัว ทว่าคราวนี้ไม่ใช่เพื่อตอกย้ำให้ฉันรู้สึกแย่
แต่มันราวกับว่า... เธอกำลังจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับฉัน
ทั้งที่ฉันยอมแพ้ให้กับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้แล้วแท้ๆไม่ว่าจะเป็นความรักจากครอบครัว… การเป็นที่ยอมรับในสังคม … และความรู้สึกผิดบาปที่มีต่อ ‘คนๆ นั้น’ ...แต่ทำไมแค่เธอพูดมาเพียงประโยคเดียว ในใจลึกๆ ของฉันกลับ… เชื่อเธอไปซะแล้วล่ะ?
นัยน์ตาสีดำสนิทของฉันย้อนกลับไปมองใบสมัครที่ช่องคำตอบยังว่างเปล่าอยู่…
จะลองเติมคำตอบลงไปดีมั้ยนะ?
วันต่อมา
ไม่! ไม่! ฉันไม่น่ากรอกใบสมัครนี่เลย ให้ตายเหอะ
ฉันคิดอย่างหงุดหงิด พร้อมกับกำมือตัวเองแรงๆ เพื่อระบายอารมณ์เมื่อคืนหลังจากชั่งใจอยู่นาน แต่ท้ายที่สุดฉันก็ตัดสินใจกรอกชื่อลงใบสมัครที่ผู้หญิงคนนั้นให้มาแต่นั่นกลับเป็นการตัดสินใจแย่ที่สุดที่ฉันทำ นั่นก็เพราะ…
“ตายละ นึกว่าใบสมัครของใคร คิดว่าคนกรอกจะเริ่ดกว่านี้ซะอีกที่ไหนได้…เหอะ” ผู้หญิงท่าทางแรงๆ ตรงหน้าเหน็บอย่างน่าหมั่นไส้ก่อนจะเอ่ยต่อ “...ดันเป็นยัยแม่มดนี่เอง”
...เพราะคนพวกนี้ยังไงล่ะ!!
เมื่อเช้าฉันถือใบสมัครเข้าโรงเรียนเพื่อจะมาตามหายัยหน้าสวยคนนั้นแต่ดันพลาดทำมันหล่น ก่อนที่จะได้เก็บมันขึ้นมา‘ผู้หวังดี’ คนหนึ่งก็เก็บขึ้นมาให้ซะก่อน
หึ หาน้องสาวป้าเธอรึไง…ฉันคิดพลางหันไปยังคนตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเพราะความรักสงบของตัวเอง ใช่ว่านี่เป็นครั้งแรกซะหน่อย ที่มีคนเรียกฉันว่า ‘แม่มด’คนประเภทนี้ ถ้าไม่โต้ตอบอะไร เดี๋ยวก็เลิกกัดไปเองล่ะนะ
“เอาคืนมาได้มั้ย… เอ่อ แอนนี่?” ฉันพูดขึ้นมา พร้อมกับเมินคนที่เพิ่งดูถูกฉันไป คนที่เหน็บฉันเมื่อกี้น่ะ เป็นแค่ ‘ลูกสมุน’ เท่านั้นแหละ แต่คนที่เป็นหัวโจกจริงๆ ยืนอยู่ข้างหลังยัยสองคนนี้ต่างหาก“พวกเราก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันนะ อย่ามีเรื่องกันเลยดีกว่า…”
ถึงแม้ฉันจะเป็นคนมนุษย์สัมพันธ์แย่ขนาดไหนแต่ก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้จักแอนนี่แน่นอน เนื่องจากแอนนี่ทั้งสวยและเป็นถึงลูกสาวครูใหญ่ของโรงเรียนนี้ เธอจึงได้รับการละเว้นโทษหนักเสมอแม้ว่าพรรคพวกของเธอจะก่อวีรกรรมสุดเหวี่ยงสักแค่ไหนก็ตาม
ที่ฉันกล้ายืนยันว่าพวกเราไม่เคยมีเรื่องกันก็เพราะแอนนี่เป็นคนมีอีโก้สูง เธอไม่เคยมีเรื่องเอง และมักจะใช้ ‘ลูกสมุน’ ทั้งสองของเธอรังแกคนที่ขัดหูขัดตาเสมอแต่ฉันเป็นประเภทที่ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ มากกว่าเลยไม่มีทางที่จะไปทำอะไรขัดใจเธอได้แน่ๆ
“นี่แกเมินฉันรึไงย่ะ!” ลูกสมุนคนแรกของแอนนี่ตะคอกใส่หน้าฉันอย่างโมโหตามมาด้วยเสียงของลูกสมุนเบอร์สองที่พูดขัดขึ้นมา
“อย่าเอาอารมณ์มาเสียกับคนแบบนี้เลย ลูซี่ คิกๆ” ลูกสมุนคนที่สองหันไปขำกับลูกสมุนเบอร์หนึ่ง ที่ฉันเดาว่าน่าจะชื่อลูซี่ก่อนจะแสยะยิ้มใส่ฉัน “จะบอกอะไรให้นะ… ที่เธอจะลงประกวดเนี่ยก็เป็นการท้าทายแอนนี่แล้ว!”
“ใช่ คิดจะแข่งกับแอนนี่ของพวกเรารึไง?” ลูซี่เอ่ยต่อดังๆ แต่เสียงก็ถูกกลืนไปในอากาศ เมื่อแอนนี่ขำออกมาเบาๆ
“ไม่เอาน่า ลูซี่ แคลร์” แอนนี่ปรามลูกสมุนทั้งสองของเธอก่อนจะปรายตาเหยียดหยามมาที่ฉันทั้งรอยยิ้ม “คนอย่างนี้นะฉันไม่นับเป็นคู่ต่อสู้หรอกนะ”
อึก...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหน้าฉันในตอนนี้คงแดงไปด้วยความอับอายที่โดนดูถูกฉันก้มหน้าและกัดริมฝีปากตัวเองอย่างเจ็บใจที่ไม่กล้าแม้แต่จะโต้ตอบก็เพราะ… ฉันรู้อยู่แก่ใจดีว่าที่แอนนี่พูดมา… เป็นความจริงทั้งหมดเลย
ฉันหันไปมองหน้าคนที่เป็น ‘หัวโจก’ ก่อนจะรู้ซึ้งถึงความ ‘ต่างระดับ’ ของพวกเรา แอนนี่มีผมยาวสีชาและนัยน์ตาสีน้ำผึ้งที่ดูฮ็อตและเซ็กซี่สุดๆ ผิวของเธอเป็นสีน้ำนมสุขภาพดีซึ่งแตกต่างจากฉันที่ซีดเหมือนศพ รูปร่างของเธอสมส่วน มีส่วนโค้งเว้าชัดเจนทำให้ฉันเดาได้ไม่ยากเลยว่า เธอต้องเป็นตัวเต็งของการแข่งขันครั้งนี้แน่ๆ
ช่างไม่เจียมตัวจริงๆ… ยัยรัตติกาล
กริ๊งง
เสียงกริ่งเข้าเรียนดังขึ้นทำให้สองลูกสมุนหันกลับไปมองแอนนี่อย่างลังเลแอนนี่โบกมือเป็นเชิงให้พวกนั้นเดินเข้าห้องเรียนไปก่อนพร้อมกับหยิบใบสมัครของฉันจากลูซี่มาด้วย
ถึงพวกลูกสมุนของแอนนี่จะดูขัดใจที่ไม่ถูกใช้งานต่อแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ก่อนจะเดินไปกับนักเรียนคนอื่นๆ เข้าห้องเรียนไปตรงโถงทางเดินจึงเหลือเพียงแค่แอนนี่ที่ยังยืนยิ้มหวานอยู่ตรงหน้าฉันเท่านั้น
“ขอโทษที่เพื่อนฉันเสียมารยาทนะ” ริมฝีปากอวบอิ่มของแอนนี่กรีดยิ้ม ก่อนจะยื่นใบสมัครมาให้ฉัน “อ่ะ คืน”
ยังไม่ทันที่ฉันจะรับใบสมัครจากคนตรงหน้าเธอกลับจงใจปล่อยให้มันปลิวลงพื้นไปซะก่อนฉันมองหน้าเธอพลางข่มใจพยายามไม่ให้อารมณ์มาควบคุมสติแม้ว่ายัยมารตรงหน้าจะน่าหมั่นไส้สักแค่ไหนก็ตาม
“โอ๊ะ! คงเก็บเองได้นะ” เธอแกล้งเอียงคอเล็กน้อยพลางหัวเราะเสียงใส ก่อนจะยื่นหน้ามากระซิบข้างหูฉันเบาๆ “โทษทีที่ทำหล่นนะ ว่าแต่… เธอชื่ออะไรนะ? จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ”
แอนนี่ถอยออกมา ก่อนจะเดินเข้าห้องเรียนไปอย่างสบายอารมณ์ทิ้งให้ฉันยืนเจ็บใจอยู่คนเดียวกับความน่าหมั่นไส้ของผู้หญิงคนเมื่อกี้
จริงๆ แล้วฉันจะเมินคำพูดเหยียดหยามเมื่อครู่ไปก็ได้แต่มือของฉันกลับขยำกระดาษใบสมัครที่ตัวเองนั่งกรอกเมื่อคืนอย่างเย็นชาก่อนจะโยนมันทิ้งไปที่ถังขยะใกล้ๆ ด้วยอารมณ์ที่ว่างเปล่าฉันยังไม่ต้องการสร้างศัตรูอย่างแอนนี่ตอนนี้หรอกนะ… ยังไงซะประกวดไปก็คงไม่ได้อะไรอยู่แล้ว
เปลี่ยนแปลงตัวเองอะไรกัน… แค่นี้ก็ชัดแล้วว่าฉันมันห่วยแค่ไหน
สุดท้าย… ฉันก็โกหกอย่างที่ยัยนางฟ้านั่นพูดไว้จริงๆ ด้วย
ตอนเย็น
หลังเลิกเรียนฉันเดินออกมาจากห้องเรียนอย่างเซ็งๆเมื่อหนึ่งวันหมดไปอย่างน่าเบื่อหน่ายเหมือนเดิมตอนนี้ฉันยืนอยู่ตรงหน้าตึกเรียนเพื่อรอให้คนขับรถมารับพลางมองไปรอบๆ ตัวอย่างไม่มีอะไรทำ
ทุกคนต่างจับกลุ่มเดินออกจากโรงเรียนด้วยกันอย่างสนุกสนานไม่ก็นั่งคุยเล่นกันขณะที่รอผู้ปกครองมารับ ซึ่งไม่ว่าจะเห็นสักกี่ครั้งมันก็เป็นภาพที่บาดใจฉันอยู่เสมอที่ตัวเองไม่มีคนให้นั่งคุยด้วยก่อนกลับบ้านเหมือนคนอื่นๆ
เอาน่า… ตัดสินใจแล้วไม่ใช่รึไง ว่าจะอยู่คนเดียวน่ะ
ฉันเตือนตัวเองเพื่อย้ำถึงสาเหตุที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวแบบนี้ก่อนจะถอนหายใจอย่างปลงๆ ยังไงซะ..คนอย่างฉันก็เหมาะที่สุดแล้วที่จะอยู่คนเดียว ...ฉันจะได้ไม่ต้องไปทำร้ายใครอีก…
ขณะที่ตกอยู่ในภวังค์ของความคิด เสียงที่ลอยมาในอากาศก็ฉุกสติของฉันให้กลับมาอยู่กับที่ทันที
“Thank you Mr.Chris, for guiding me around the school (ขอบคุณครับอาจารย์คริส ที่พาผมเดินชมรอบๆ โรงเรียน)”
“It’s not a problem at all. So... you’ll be starting school tomorrow at the fashion department right? (ไม่ใช่ปัญหาเลยซักนิดถ้างั้น… พรุ่งนี้เธอก็มาเริ่มเรียนที่แผนกแฟชั่นแล้วใช่มั้ย?)”
“Yes (ใช่ครับ)”
เสียงโต้ตอบของอาจารย์ประจำชั้นของฉัน กับผู้ชายคนหนึ่งดังเข้ามาเรื่อยๆ ตรงซ้ายมือ
เสียงนั่นมัน… ใช่เขาหรือเปล่านะ?
ฉันสูดหายใจเข้าเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคย ก่อนจะตัดสินใจรวบรวมความกล้าหันไปดูชายหนุ่มคนนั้น
เป็นไปไม่ได้…
ดวงตาสีดำสนิทของฉันเบิกโพลงด้วยความตกใจอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองนักเรียนใหม่ที่เดินมากับครูประจำชั้นคนนั้นใส่ชุดไปรเวท ทำให้ดูโดดเด่นขึ้นมาถนัดตา เขามีดวงตาสีเฮเซลที่เปล่งประกายเหมือนอัญมณีผมสีน้ำตาลอ่อนของเขาทอแสงเมื่อต้องกับแสงอาทิตย์ในยามเย็นจนเหมือนไฟที่กำลังลุกโชนอย่างร้อนแรง แต่รอยยิ้มขี้เล่นของเขาก็ช่วยบ่งบอกชัดเจนถึงความอัธยาศัยดีที่เขาพร้อมมอบให้กับทุกคน
เดาได้ไม่ยากเลยว่า ผู้หญิงกี่คนต่อกี่คนแล้ว ที่ถูกกระชากหัวใจไปด้วยรอยยิ้มนั่น…
และนั่นรวมไปถึง… ฉันคนนี้ด้วย
“Then see you later, Leon (งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะลีออน)” มิสเตอร์คริสโบกมือลา ก่อนที่จะเดินเข้าตึกไป แต่ดูเหมือนว่าฉันจะจ้องลีออนนานเกินไปหน่อย จนเขาสังเกตเห็นสายตาของฉัน...และการมีตัวตนของฉันเข้า
ฉันรีบเรียกสติตัวเองกลับมาก่อนจะหันหลังเดินเข้าตึกเรียนไปอย่างรีบร้อน ทว่าเสียงเรียกของเขาก็ทำให้ขาที่กำลังจะก้าวเข้าตึกเรียนชะงักลง
“รัตติกาล นั่น...เธอจริงๆ เหรอ!?” เสียงของลีออนดังขึ้นอย่างดีใจ พร้อมๆ กับก้าวใกล้เข้ามาเรื่อยๆอย่างตื่นเต้น
ในวินาทีนั้น ฉันเดาใจตัวเองไม่ออกเลย ว่าหัวใจกำลังเรียกร้องหาเขา หรือต้องการหนีกันแน่
ฉันหันไปสบตาเขาเข้าอย่างจังด้วยความบังเอิญแววตาของเขาฉายความดีใจอย่างชัดเจน แต่เมื่อสังเกตดีๆ ฉันก็พบกับ… ความรู้สึกผิดที่ปนอยู่ในนัยน์ตาสีเฮเซลนั่นด้วย
คนที่ต้องรู้สึกผิด… คือฉันต่างหาก
ก่อนที่เขาจะก้าวเข้ามาใกล้ตัวฉันมากกว่านี้ฉันรีบหันหน้าหนีและวิ่งกลับเข้าไปยังตึกเรียนตัวเองอีกครั้งทันทีอย่างไม่คิดชีวิต
“อ้าว เดี๋ยวสิทำไมต้องหนีฉันด้วยล่ะ!” ลีออนพูดขึ้นอย่างสับสน แต่ก็ยังไม่วายวิ่งตามฉันมาติดๆ ถึงเขาจะวิ่งเร็วแต่ไม่มีทางที่เขาจะรู้เส้นทางดีไปกว่าคนที่เรียนที่นี่มาเป็นปีอย่างฉันแน่นอน
ไม่รอช้าฉันวิ่งขึ้นไปยังบันไดอีกฝั่งเพื่อให้เขาตามฉันไม่ทันและเข้าไปหลบมุมของชั้นสอง ซึ่งมีบรรดาตู้ล็อกเกอร์บังอยู่
เมื่อหลบได้เพียงชั่วครู่ ร่างของฉันก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทั้งตัว เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามเข้ามาติดๆ
“รัต… เธออกมาคุยกับฉัน… ได้มั้ย…?” เสียงลีออนอ่อนแรงทั้งๆ ที่เขาเพิ่งวิ่งไม่นาน… ฉันรู้ดีว่าเขาอยากพบและคุยกับ ‘เพื่อนเก่า’ อย่างฉันแค่ไหน… แต่ตอนนี้ฉันไม่พร้อมเลยซักนิด
จริงอยู่ที่ใจลึกๆ แล้ว ฉันโหยหาเขามากกว่าอะไรทั้งหมด แต่ฉันไม่สามารถแบกหน้าไปเจอเขาได้อีกแล้ว เพราะถ้าหากฉันหลุดปากพูด ‘เรื่องนั้น’ ไปละก็…
แค่คิด… หัวใจของฉันก็สั่นไหวไปด้วยความหวาดกลัวฉันส่ายหน้าพลางยืนยันกับตัวเองอย่างหนักแน่น ว่าความลับนี้จะไม่มีวันให้เขารู้เด็ดขาด!!
ว่าแต่… ตอนนี้เขายังไม่เจอฉันก็จริง… แต่คงต้องรีบหาห้องซ่อนซะแล้วสิ แต่จะทำยังงั้นได้ยังไงกันล่ะ ในเมื่อ… ห้องแถวนี้ล็อกหมดแล้วนี่หน่า!?
ฉันหันไปมองซ้ายขวาอย่างตื่นตระหนก และแล้วก็พบกับห้องด้านข้างที่ยังเปิดไฟสว่างอยู่
มือขาวซีดของฉันลองหมุนลูกบิดเบาๆและผลปรากฏคือมันไม่ได้ล็อก! ฉันรีบดันประตูเข้าไปอย่างโล่งอกก่อนจะปิดเบาๆ เพื่อไม่ให้ลีออนได้ยิน
ทว่ายังไม่ทันที่ฉันจะได้ทำอะไรมากกว่านั้นมือหนาของใครบางคนก็วางทาบมาที่ไหล่ของฉันเสียก่อนฉันตัวแข็งด้วยความตกใจได้ไม่นานหัวสมองของฉันก็เริ่มคิดคำพูดดีๆในการโต้ตอบคนข้างหลังทันที
เมื่อหันหน้าไปเผชิญกับเจ้าของมือบนไหล่ ฉันก็ต้องกลั้นหายใจอยู่นานหลายวินาทีเพราะผู้ชายที่อยู่ข้างหลังฉันคนนี้ สะกดสติฉันได้อย่างไม่น่าเชื่อไม่ใช่เพราะใบหน้าที่สวยหวานเกินเพศของเขาหรือดวงตากลมโตสีฟ้าสดใสที่เข้ากันได้ดีกับผมสีช็อกโกแลตเข้มนั่นเพียงอย่างเดียวหากแต่เป็นความคุ้นเคยที่บรรยายไม่ถูก ราวกับว่าพวกเราเคยพบกันที่ไหนมาก่อน
“เฮ้ยๆ นี่ห้องสภานักเรียน คนนอกห้ามเข้า” เสียงรำคาญปนหงุดหงิดดุดันซะจนดึงฉันหลุดมาจากความเพ้อฝันเมื่อครู่ จู่ๆ ดวงตาสีท้องฟ้าของชายหนุ่มคนนั้นก็ค่อยๆ เบิกขึ้นเมื่อเห็นฉัน ก่อนเขาจะฉีกยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้น
“เธอนี่เอง! สรุปยังไง เธอจะเข้าประกวดซินเดอเรลล่าใช่ม่ะ?”
‘เธอนี่เอง’ งั้นเหรอ
ฉันพยายามครุ่นคิดในใจ
ถึงจะคุ้นหน้ามากก็จริง แต่ฉันยังไม่เคยคุยกับเขาแน่ๆ แล้วไหงเขาถึงพูดเหมือนรู้จักฉันอย่างนั้นล่ะ
“... คือฉันไม่ได้มาประกวดหรอกค่ะ” แม้จะงงอยู่มากว่าผู้ชายหน้าสวยตรงหน้าถามถึงการประกวดทำไมแต่ก็ตัดสินใจตอบตามความจริงไปในที่สุด
ก็ขยำใบสมัครไปแล้วนี่หน่า… ว่าแต่ทำไมพักนี้มีแต่คนชวนประกวดเยอะจัง ฉันสวยขนาดนั้นเลยรึไง?
“เอ้าแล้วเธอเข้ามาในนี้ทำไมอ่ะ ออกไปเลย! ไม่ลงก็อย่ามาให้ความหวังสิฟ่ะ” เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเอ่ยอย่างไม่พอใจ ก่อนจะดันฉันไปทางประตูห้อง
“ม… ไม่ได้นะ!” ฉันร้องเสียงหลงเมื่อรู้ว่าเขากำลังจะผลักฉันลงเหวเพื่อไปเผชิญหน้ากับลีออน ยังงั้นก็ฆ่าฉันให้ตายเลยเหอะ!
“อะไรอีกล่ะเนี่ย-” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มปริศนาจะได้กล่าวจบนัยน์ตาของเขาก็ฉายแววความสงสัยในตัวฉันก่อนจะเงียบลงและเงี่ยหูฟังที่ประตู
เสียงเรียกชื่อฉันจากลีออนดังแว่วขึ้นมาให้ได้ยินคนตรงหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย จู่ๆ ก็แสยะยิ้มร้ายกาจก่อนจะปรายตามามองฉันราวลูกไก่ในกำมือ
“อ๋อ เข้าใจล่ะ~” เขายิ้มอย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงยียวน“เธอกำลังหนีหมอนั่นอยู่สินะ”
ฉึก! คำพูดเขาแทงใจดำฉันเข้าอย่างจัง หมอนี่… จะรู้ดีเกินไปแล้วนะ!!
ยังไม่ทันที่ฉันจะได้เอ่ยค้านอะไร เจ้าของดวงตาสีฟ้าสดก็ยกนิ้วมาจุ๊ปากด้วยท่าทางกวนๆ
“ไม่ต้องเถียงหรอกนะ สีหน้าเธอมันฟ้องหมดแล้วล่ะ ที่รัก” เขาขยิบตาทีหนึ่งก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ “ฉันจะเปิดประตูรับ‘แขกใหม่ดี’ มั้ยนะ?”
ฉันจ้องตาเขาเขม็งแทนคำตอบ “...ถึงฉันจะบอกว่าไม่ นายก็คงเปิดอยู่ดีใช่มั้ยล่ะ”
“ฮ่าา ถูกต้อง” เขาหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงเจ้าเล่ห์ “แต่ฉันมีข้อเสนอให้นะ~”
“...”
“ถ้าเธอยอมตกลงประกวดละก็… ฉันจะหาทางกันหมอนั่นไม่ให้เข้ามายุ่งกับเธออีกเด็ดขาด แต่ถ้าเธอปฏิเสธ... ก็รู้ๆ กันอยู่เนอะ ว่าจะเป็นยังไง~”
ฉันกัดฟันกรอดด้วยความรู้สึกจนตรอก นี่มันคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบชัดๆ เลย เอาเปรียบกันชะมัด
“ฉัน-”
คำพูดของฉันขาดหายไปเมื่อประตูเบื้องหน้าของเราถูกเปิดออกซะก่อน และตามมาด้วย… แขกไม่ได้รับเชิญที่ฉันไม่อยากเจอที่สุด…
“รัต… เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ”
ลีออนมองมาที่ฉันอย่างคาดหวัง ก่อนจะเหลือบสายตามองผู้ชายข้างกายฉันอย่างเคลือบแคลง และในวินาทีนั้น กว่าจะรู้ตัวอีกที ฉันก็ได้คำตอบให้กับคนข้างๆ..
คำตอบ...ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตฉันไปตลอดกาล
“...ฉันตกลง”
| | | |
สวัสดีค่า blue_umbrella กลับมาแล้วนะคะ >0< อย่าพึ่งเบื่อหน้ากันเด้อออ 5555+
ตอนนี้มีการเพิ่มตัวละครมาสองตัวจ้า นั่นคือแอนนี่กับลีออนนั่นเองงง หวังว่าทุกคนจะเอ็นดูพวกนางนะ 555+ จริงๆ พวกนางทั้งสองจะมามีบทบาทในการทำให้นางเอกและพระเอกร้าวฉานนี่ล่ะ -..- แต่เดี๋ยวบทหน้าจะมีตัวละครอื่นๆ มาช่วยคู่พระ-นางแน่นอนน
มาติดตามกันต่อว่ารัตติกาลจะรู้เมื่อไหร่ว่าธนูเป็นแม่สาวผมบลอนด์คนนั้นนะคะ XD
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณพี่เจ้าหญิงผู้เลอโฉมที่มาให้คำแนะนำในบทที่แล้วนะคะ พี่เทียนที่คอยช่วยเหลือน้องรหัสไม่เอาอ่าวคนนี้เสมอ T_T พี่สร้อยที่เป็นคนแนะนำให้ประกวดตั้งแต่ปีก่อน และถึงแม้จะยุ่ง แต่ก็คอยสนับสนุนเสมอ (ถึงจะไม่ค่อยมีเวลามาอ่านให้ก็เถอะ -3-) เพื่อนๆ ที่มาประกวดด้วยกัน โดยเฉพาะ เตยกับทราย แต้งกิ้วนะ คอยให้กำลังใจเราตลอดเลย :D และสุดท้าย ขอขอบคุณนักอ่านทุกคนสำหรับคะแนนโหวตและคอมเม้นนะคะ ^_^
ความเห็นที่ปักหมุด-
#3
(จากตอนที่ 3)
2017-01-30 00:57:52
สวัสดีค่าา มาเจอกันอีกแล้วในตอนนี้ ขอเม้นสั้นนิดนึงนะเนื่องจากไม่มีเวลา เดี๋ยวจิต้องไปขึ้นเครื่องแล้ว 5555 ตอนนี้บรรยายดีขึ้นกว่าสองตอนที่แล้วมากค่ะ เนื้อเรื่องก็เริ่มดำเนินไปเรื่อยๆ แล้ว มีตัวละครใหม่เข้ามา ทำได้ดีขึ้นค่ะ ขอให้พัฒนาให้ดีขึ้นต่อไปนะคะ สู้ๆ ค่า แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ อยากรู้แล้วจะเป็นยังไงต่อไป~
#3
-
-
- 1
-
#1
tasu3113
(จากตอนที่ 3)
2017-01-26 20:54:49
ว้าวว รัตติกาลตอบตกลงแล้ว โอ๊ยยอยากได้หนุ่มหล่อคนนั้น
#1
-
-
-
#2
Macramé
(จากตอนที่ 3)
2017-01-27 17:09:31
ธนูนิสัยไม่ดีง่าาา ลีออนนี่ก็ขี้ตื๊อจังเลย

#2
-
-
-
#3
(จากตอนที่ 3)
2017-01-30 00:57:52
สวัสดีค่าา มาเจอกันอีกแล้วในตอนนี้ ขอเม้นสั้นนิดนึงนะเนื่องจากไม่มีเวลา เดี๋ยวจิต้องไปขึ้นเครื่องแล้ว 5555 ตอนนี้บรรยายดีขึ้นกว่าสองตอนที่แล้วมากค่ะ เนื้อเรื่องก็เริ่มดำเนินไปเรื่อยๆ แล้ว มีตัวละครใหม่เข้ามา ทำได้ดีขึ้นค่ะ ขอให้พัฒนาให้ดีขึ้นต่อไปนะคะ สู้ๆ ค่า แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ อยากรู้แล้วจะเป็นยังไงต่อไป~
#3
-
-
- 1
-
3 ความคิดเห็น
เกลียดยัยแอนนี่กรี๊ด ยอมไม่ได้น้ารัตติกาลยังงี้เราต้องสวยกว่าให้ด้าย สู้ๆนะแกกกกกก
ตอนหน้าธนูต้องแกล้งรัตอีกแน่เลย ชิมิล้า 5555555555
รอติดตามจ้า
แสดงความคิดเห็น