จริงเหรอ... ที่คนเราสามารถเกิดใหม่ได้ด้วยแฟชั่น กับความช่วยเหลือดีๆ จากสไตลลิชสุดฮอต!?
ตอนที่ 7/7 :: Not a Witch, but a Queen
บทที่เจ็ด
Witch Queen
2 years ago, at St. Louise-Charles
<Rattikarn’s part>
วันวาเลนไทน์
“แหมอิจฉาจัง ได้ช็อกโกแลตตั้งเยอะแน่ะ” ฉันพูดขึ้นอย่างหมั่นไส้ เมื่อเห็นลูกศรต้องถือถุงช็อกโกแลตใบใหญ่ในมือขณะเดินมาที่หน้าโรงเรียนพร้อมกับฉันและลีออน
“มันก็ไม่ดีขนาดนั้นหรอกนะ… ถ้าฉันกินหมดนี่ต้องอ้วนตายแน่ๆ เลย” ลูกศรถอนหายใจ ก่อนจะพูดต่อ “เธอก็ได้เยอะเหมือนกันนะ”
“ไม่เยอะเท่าเธอซะหน่อย” ฉันยักไหล่เบาๆ “แล้วอีกอย่าง ทิ้งไปมั่งก็ได้นั่นน่ะ ใครใช้ให้กินให้หมดกัน”
“เอ๋ แบบนั้นไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยเหรอ” ลูกศรหันมาทำหน้าค้อนเล็กน้อย “คนที่เอามาให้ฉันอุตส่าห์เอามาให้จากใจเลยนะ จะทิ้งแบบนั้นไม่ได้หรอก”
“เฮ้อ ตามใจๆ” ฉันถอนหายใจอย่างเอือมระอาในความใสซื่อของเพื่อนตัวดี
“ใครเขาจะไปใจร้ายแบบเธอกัน” ลีออนพูดขึ้นบ้าง
ฉันเหลือบตาไปมองหน้าเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็มีช็อกโกแลตที่อยากให้เขาเช่นกัน
แต่ใครจะไปกล้าให้ล่ะ…
ฉันเอื้อมมือหยิบกล่องช็อกโกแลตในกระเป๋าออกมาดู พลางกำมันเอาไว้แน่นก่อนจะตัดสินใจ...ไม่ให้จะดีกว่า
เป็นแบบนี้แหละดีแล้ว ลีออนคงไม่ได้ชอบฉันหรอก…
ทว่ายังไม่ทันที่ฉันจะได้ยัดมันเก็บในกระเป๋าเหมือนเดิม ลูกศรที่มองไม่เห็นทางเพราะถุงผ้าบัง ก็สะดุดล้ม ก่อนจะคว้าแขนข้างที่ฉันถือช็อกโกแลตเอาไว้ จนมันหลุดลงกับพื้นปนกับของในกระเป๋าที่กระจักกระจายไปหมด
“อ้ะ! ขอโทษนะรัต..!” ลูกศรลนลานพูดอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะก้มลงไปเก็บของพร้อมๆ กับฉัน
ฉันรีบมองหากล่องช็อกโกแลตของตัวเองอย่างร้อนรน ด้วยความกลัวว่าลีออนจะเห็นมันซะก่อน
แต่ดูเหมือนจะสายไปซะแล้ว เมื่อเจ้าของนัยน์ตาสีเฮเซลยื่นมือที่ถือกล่องช็อกโกแลตของฉันมาให้
“นี่...ของเธอเหรอ?”
ฉันกลืนน้ำลายด้วยความกดดัน ฉันหลบสายตาโดยการมองไปที่พื้นอย่างกระอักกระอวน
ก็บนกล่องช็อกโกแลตนั้นน่ะ… ฉันเขียนไว้ว่า “For Leon” ซะหราเลยนี่น่า…
หมดกัน… ทั้งมิตรภาพและความรู้สึกฉัน
ทว่าลีออนกลับทำสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น เมื่อเขาคุกเข่าลงตรงหน้าฉัน จนพวกเราประสานสายตากันซะพอดิบพอดี
“ว่ายังไงล่ะ…” ลีออนลากเสียง หากแต่สายตาที่เขาใช้มองฉันกลับไม่ได้ดูรังเกียจอย่างที่คิด ตรงกันข้าม เขากลับมองด้วยความอบอุ่นเหมือนเคย
“คือ… เอามาให้นายนั่นแหละ…” ฉันพึมพำตอบแผ่วเบา โดยไม่สบตากับลีออนตรงๆ “แค่ให้… แบบเพื่อน”
ลีออนยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะถามอย่างทีเล่นทีจริง
“แบบเพื่อนเหรอ แน่ใจนะ~”
“ก็ใช่น่ะสิ!! เราไม่ได้เป็นอะไรอย่างอื่นซะหน่อย จะให้ให้แบบไหนกันล่ะ!” ฉันที่เริ่มประหม่ารีบรัวคำพูดเป็นชุด จนลีออนหลุดขำออกมา
“งั้น… อยากให้แบบอื่นมั้ยล่ะ?”
เป็นอีกคำถามจากลีออนที่ทำให้ฉันใจสั่นไม่เบา คราวนี้ฉันเลือกที่จะสบตากับลีออนตรงๆ อย่างสับสน ก่อนจะเอ่ยถาม
“นาย… หมายความว่าไง?”
ลีออนจับข้อมือฉันเบาๆ แล้วดึงให้ลุกขึ้น ฉันที่ทั้งมึนงงและใจเต้นระส่ำก็ยังจ้องท่าทีของเขาไม่วางตา
ถ้าลีออนล้อเล่นละก็… มันต้องเป็นมุขตลกที่ใจร้ายน่าดู
ลีออนระบายยิ้มอย่างสดใสในแบบของเขา ก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้ฉัน โดยไม่สนลูกศรที่ยืนอยู่ใกล้เราแม้แต่น้อย
“คบกันนะ รัตติกาล”
ตึกตัก ตึกตัก
หัวใจของฉันแทบจะระเบิดออกมาจากอกในวินาทีที่เขาเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นออกมา สมองมันมึนงงไปหมด จนไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง
ความรู้สึกดีใจ และตื้นตันโจมตีเข้ามาพร้อมๆ กัน จนฉันไม่สามารถคัดกรองคำพูดได้เหมือนปกติอีกต่อไป
“ล้อเล่นใช่มั้ย…” ฉันพึมพำขึ้นมา ราวกับจะย้ำกับตัวเองซะมากกว่า
“ฉันชอบเธอ” ลีออนจับแก้มฉันเบาๆ พร้อมพูดขึ้น “นี่คือเรื่องจริง”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ตาบ้า!” ฉันพูดเสียงดัง ก่อนจะโผเข้ากอดลีออนอย่างที่เคยทำเสมอตั้งแต่เด็กอย่างไม่อาย
ลีออนชะงักเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็กอดฉันแล้วลูบหลังฉันเบาๆ ราวกับจะย้ำเตือนให้ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
ฉันหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข เมื่อพบว่าความปรารถนาทุกอย่างของฉันสมบูรณ์แบบแล้ว
ชีวิตนี้ของฉัน… มันช่างโชคดีเหลือเกิน
ฉันมัวแต่มีความสุขกับเหตุการณ์ลวงตาในครั้งนั้น จนไม่ทันได้สังเกตเลยซักนิดถึงสีหน้ารู้สึกผิดของลีออน และดวงตาที่หม่นหมองของลูกศร
ถ้าวันนั้น… ฉันสังเกตสักนิด
ความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสามคน… คงไม่มีทางขาดสะบั้นลงแน่
หลายวันต่อมา
“หมายความว่ายังไงคะ!?” ฉันพูดขึ้นด้วยความตกใจ
ครูมารีมองหน้ามาทางฉันกับลูกศรอย่างเจื่อนๆ ก่อนจะพูดต่อ “ก็อย่างที่เห็นนี่ล่ะจ้ะ…”
ในตอนนี้ทั้งฉัน ลูกศร และบรรดาผู้เข้าประกวดเดินแบบจากโรงเรียนอื่นต่างเตรียมตัวสแตนด์บายกันหลังเวที เพื่อรอคิวเดินแบบ ทว่ายังไม่ทันที่ฉันและลูกศรจะได้แต่งตัวกัน เราก็ต้องมาพบกับเหตุไม่คาดฝันซะก่อน
ฉันหันไปมองชุดที่พวกเราจะใช้แสดงกันในอีกสองชั่วโมงข้างหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ชุดราตรีของลูกศรที่จะใช้เดินแบบคู่กับของฉันถูกละเลงอย่างไม่มีชิ้นดี ทว่าของฉันกลับอยู่ดีเหมือนเดิม
เหล่าบรรดาผู้เข้าประกวดคนอื่นๆ มองหน้าพวกเราด้วยความรู้สึกหลากหลาย ไม่ว่าจะสมเพชหรือสมน้ำหน้า ซึ่งฉันก็ได้แต่สลัดความรู้สึกเหมือนถูกบีบออกไปก็เท่านั้น
ฉันหันไปจับไหล่อย่างลูกศรอย่างปลอบใจ ก่อนจะพบสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่ของเธอ ยิ่งเห็นแบบนั้น ฉันก็หันกลับไปพูดกับครูมารีอย่างโมโห
“ถ้าเป็นแบบนี้ พวกหนูคงต้องขอสละสิทธิ์แล้วละค่ะ”
ทางอาจารย์หันมามองหน้าฉันทันทีอย่างไม่เชื่อหู แม้กระทั่งลูกศรที่ปกติจะใจเย็นก็มีสีหน้าแตกตื่นไม่แพ้กัน
“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกนะหนูรัต ผลงานของ Artemis เป็นตัวเต็งของโรงเรียนเราเลยนะ!?”
“นั่นสิ ถึงฉันจะขึ้นไปไม่ได้แล้ว แต่เธอก็ยังขึ้นได้อยู่นะ” ลูกศรเขย่าไหล่ฉันเพื่อเรียกสติ แต่ฉันก็เพียงโต้ตอบการกระทำนั้นโดยยิ้มบางๆ เท่านั้น
“ถ้าไม่ได้ขึ้นด้วยกัน มันก็ไม่มีความหมายน่ะสิ”
“รัต…”
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก” เสียงอาจารย์แซมขอมเฮี้ยบดังขึ้นมา “จะมาทำตัวไร้ความรับผิดชอบแบบนี้ได้ยังไง”
เนื่องจากฉันชอบเถียงเขาในคลาสบ่อยๆ อาจารย์จอมโหดคนนี้จึงไม่ค่อยชอบหน้าฉันสักเท่าไหร่นัก จึงไม่แปลกที่เขาจะพูดจาแบบนี้กับฉัน
“แล้วจะให้รับผิดชอบยังไงล่ะคะ?” ฉันกัดฟันถาม “หนูไม่ยอมขึ้นหรอกนะคะ ถ้า-”
“แล้วใครบอกว่าเธอจะขึ้นกัน” อาจารย์แซมแกล้งทำหน้าสงสัย
“หมายความว่ายังไงคะ?” คราวนี้เป็นลูกศรที่เอ่ยถามแทนฉัน
“รู้มั้ย มิสรัตติกาล ว่าทุกๆ การประกวด ทางกรรมการเฝ้ารอและโปรดปรานผลงานของ Artemis ขนาดไหน” มิสเตอร์แซมกล่าวขึ้น “และที่เขาปลาบปลื้มสุดๆ ไม่แพ้ผลงานเลยก็คือ… นางแบบของ Artemis ยังไงล่ะ”
ฉันที่ยังทำหน้าไม่เข้าใจ ทำให้มิสเตอร์แซมต้องกล่าวต่อ “แล้วนางแบบที่ถูกกรรมการกล่าวชมเสมอก็คือลูกศร… ไม่ใช่เธอ”
“อาจารย์ต้องการจะพูดอะไรเหรอคะ?” ฉันกลั้นใจถามเขาไป แม้จะรู้คำตอบอยู่แก่ใจแล้วก็ตาม
“เอาตรงๆ เลยนะ สละเสื้อของเธอให้ลูกศรซะ แล้วให้ลูกศรขึ้นประกวดแทนเธอ” อาจารย์แซมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด จนเกิดเสียงฮือฮาในห้องขึ้น
“จะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะคะ!? ผลงาน Artemis เป็นของรัตนะคะ!!” ลูกศรรีบพูดขึ้นอย่างตกใจ ฉันที่ยืนเงียบด้วยความรู้สึกสับสนไม่อาจพูดอะไรต่อได้
ให้ลูกศร… เดินแบบด้วยชุดของฉันยังงั้นเหรอ…
“จะว่าไปชุดนั้นมันก็เข้ากับลูกศรอยู่แล้วด้วยนะ” ผู้เข้าประกวดคนอื่นเสนอ พลางปรายตามองมาที่ฉันอย่างดูถูก
“เธอก็ยังได้เครดิตเหมือนเดิมนะรัตติกาล เพียงแต่เธอแค่ไม่ได้เดินแบบเท่านั้นเอง” มิสเตอร์แซมเสริมต่อ “แค่เสียสละนิดๆ หน่อยๆ เพื่อชื่อเสียงของโรงเรียนจะเป็นอะไรไป”
“ค… คือฉัน” ฉันอ้ำอึ้งอย่างบอกไม่ถูก
มันไม่ใช่ว่าฉันหวงผลงานของตัวเองเกินไปหรืออะไรหรอกนะ เพียงแต่การเดินแบบด้วยผลงานตัวเองเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างในชีวิต ที่ฉันรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำ และ…
...ทำได้ดีกว่าลูกศร
“ถ้าปฏิเสธก็ใจแคบไปหน่อยล่ะ”
“นั่นสิ”
เหล่าบรรดาผู้เข้าประกวดคนอื่นต่างพยักหน้าเห็นด้วยเป็นเสียงเดียวกัน ฉันที่เริ่มรู้สึกกดดันจากสายตาและท่าทางของคนรอบข้าง จึงไม่สนใจฟังเสียงคัดค้านของลูกศรเลยแม้แต่น้อย
งั้นเหรอ… ถ้าปฏิเสธ ฉันก็คงเป็นตัวร้ายในสายตาทุกคนสินะ
นี่ฉันต้อง ‘เสียสละ’ อีกแล้วเหรอ?
“ก็ได้ค่ะ” ฉันเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะนิ่งที่สุด
“เป็นอันว่าตกลง” มิสเตอร์แซมยืนยันด้วยรอยยิ้มเล่ห์เหลี่ยม ก่อนจะหันไปสั่งงานกับมิสมารีต่อ ส่วนผู้เข้าประกวดคนอื่นๆ ก็กลับไปสนใจหน้าที่ตัวเองเหมือนเดิม
“บ้ารึเปล่ารัต!” ลูกศรโพล่งขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่เราคบกันมา “ไม่เอาน่า… ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ”
“...ต้องได้สิ” ฉันพูดขึ้น หลังจากยืนก้มหน้าอยู่สักพัก “เธอต้องสวยสุดๆ แน่ ฉันรับรอง”
“ถ้าเป็นอีกชุดที่เราช่วยกันทำฉันจะไม่ว่าเลยนะ แต่นี่มันชุดที่เธอทำเองล้วนๆ เลยไม่ใช่รึไง”
แม้จะรู้สึกเหมือนต้องกลืนก้อนขมบางอย่างเมื่อได้ยินข้อเท็จจริงนั้นเข้า หากแต่ฉันก็ยังคงฝืนยิ้มให้ลูกศร “เธอต้องทำได้ดีอยู่แล้วล่ะลูกศร ยังไงฉันก็เด่นสู้เธอไม่ได้หรอก”
“รัต…”
เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเผลอพลั้งพูดคำประชดออกไป พวกเราทั้งคู่ก็ตกอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัด จนฉันที่ทนไม่ไหวก่อน จึงเอ่ยขอตัวอย่างลวกๆ
“รีบไปเตรียมตัวเถอะลูกศร” ฉันพูดขึ้น ก่อนจะก้าวออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วโดยไม่หันไปมองข้างหลังอีกเลย
ฉันออกมานั่งหลบมุมอยู่ที่ประจำของตัวเองในสวนหลังโรงเรียนอย่างเหม่อลอย ถึงจะนั่งเงียบๆ คนเดียวเป็นสิบนาทีแล้ว แต่ภายในใจของฉันก็ไม่อาจสงบลงได้สักที
จะเห็นแก่ตัวไปถึงไหนกันนะ… ฉันตำหนิตัวเองในใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหนัก พลางคิดถึงเรื่องราวในอดีตของตัวเองที่ผ่านมาทั้งหมด
ตั้งแต่ยังเด็ก ฉันก็รับรู้ว่าบ้านของฉันไม่ปกติ เพราะพ่อไม่ได้อยู่บ้านกับเราทุกวันเหมือนครอบครัวอื่นๆ แต่ฉันก็ยังมีความสุขได้ เพราะถูกเลี้ยงมาอย่างเอาใจใส่และถูกสปอยเสมอ จนถึงขนาดที่ว่า ไม่ว่าจะอยากได้อะไร เพียงแค่ร้องขอก็จะได้มา
มันช่างน่าตลกจริงๆ ที่ตอนนั้นฉันคิดว่าโลกหมุนอยู่รอบตัว
แต่ความฝันก็สลายไป เมื่อโตขึ้นเรื่อยๆ พ่อก็เริ่มมาหาฉันกับแม่น้อยลง แม่ของฉันก็เริ่มอารมณ์แปรปรวนไม่คงที่ ส่วนยายก็มาเริ่มเป็นอัลไซเมอร์อีก ในช่วงนั้นเอง ที่เสียงนินทาจากคนรอบข้างดังซะจนฉันรับรู้ถึงคำตอบที่ฉันสงสัยตั้งแต่เด็กแต่ไม่เคยกล้าถาม ว่าทำไมพ่อถึงไม่อยู่กับเราตลอดเวลาเหมือนครอบครัวอื่นๆ เขา
นั่นเพราะพ่อมีครอบครัวอยู่แล้ว
และบ้านฉันก็เป็นแค่ที่สอง
และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าบางสิ่ง ถึงแม้จะร้องไห้หรือร้องขอสักแค่ไหน เราก็ไม่อาจได้มาครอบครอง
หลังจากนั้น ฉันจึงกลายเป็นคนชอบเอาชนะไปซะทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องเรียน กิจกรรม ฯลฯ จนเผลอทำตัวเป็นจ่าฝูงในหมู่เพื่อนๆ โดยไม่รู้ตัว
เพราะฉะนั้น… ฉันถึงอดที่จะอิจฉาลูกศรไม่ได้ ที่เธอมีมุมมองใสซื่อบริสุทธิ์ต่อโลกใบนี้ ที่เธอไม่ต้องพยายามมากมาย แต่ก็ได้ทุกอย่างมาครอบครอง
พอๆ กับที่ฉันรักลูกศร… ฉันก็เกลียดลูกศรเช่นกัน
ขณะที่ตกอยู่ในภวังค์ของความคิด จู่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนสองคนที่กำลังมุ่งตรงมาทางฉัน
ด้วยสาเหตุอะไรบางอย่าง ทำให้ฉันพาตัวเองไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ๆ เพื่อไม่ให้ผู้มาใหม่ทั้งสองเห็น
“รัตติกาล เธออยู่มั้ย?” เสียงของลูกศรดังขึ้น และตามมาด้วยเสียงของลีออน
“ฉันว่ายัยนั่นไม่ได้อยู่ตรงนี้หรอก”
ฉันเหลือบตามองทั้งคู่ผ่านใบไม้ด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย… นี่ถึงกับออกมาตามหาฉันทั้งคู่เลยเหรอเนี่ย
จะว่าไป พักนี้ทั้งสองคนก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ตั้งแต่วันวาเลนไทน์… ทำไมจู่ๆ ถึงพร้อมใจออกมาตามหาฉันพร้อมกันนะ
“รัตไปอยู่ไหนกันนะ” ลูกศรเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เหมือนเวลาเธอจะร้องไห้ “ทำยังไงดีล่ะ ทั้งที่ฉันพยายามปฏิเสธพวกคุณครูแล้วแท้ๆ รัตต้องโกรธฉันแน่เลย ฮึก”
เสียงสะอื้นของลูกศร ทำให้ความรู้สึกหม่นหมองของฉันแทบจะหลุดหายไปหมด จนฉันเกือบจะลุกขึ้นไปหาเธอแล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่า… ลีออนเดินเข้าไปสวมกอดเธอซะก่อน
“ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกนะ” ลีออนปลอบใจลูกศร พลางลูบหัวเธอเบาๆ และมองเธอด้วยสายตาแบบที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
นี่มันอะไรกัน…?
ทว่าความคิดของฉันกลับยิ่งเตลิดเข้าไปใหญ่ เมื่อลูกศรผลักลีออนออกแรงๆ ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ
“อย่าแตะฉัน” ลูกศรหลบตา “นายทำแบบนั้นได้ยังไง…”
“...” ลีออนที่ถึงจะโดนลูกศรแสดงท่าทีแบบนั้นออกมา กลับไม่สะทกสะท้านอะไร
“นายคบกับรัตทำไม นายต้องการอะไรกันแน่” ลูกศรตะโกนออกมาในที่สุด
ฉันที่นั่งอยู่เงียบๆ หลังพุ่มไม้ต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนความสงสัยจะยิ่งทวีคูณเข้าไป เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของลีออน
“...อะไรกัน คิดจะหวงก้างตอนนี้หรือไง” ลีออนยิ้มอย่างเจ็บปวด “ก็เธอเป็นคนปฏิเสธความรู้สึกของฉันก่อนไม่ใช่เหรอ”
“...!” ฉันที่แอบฟังอยู่ตลอดก็ต้องเบิกตาอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ในหัวของฉันสับสนไปหมดด้วยคำพูดเมื่อครู่ และแม้จะไม่อยากให้บทสนทนานี้ดำเนินต่อไปแค่ไหน บางอย่างในตัวฉันกลับเรียกร้องให้ฟังต่อ
“นายก็รู้ว่าทำไม… เราถึงคบกันไม่ได้” ลูกศรหันหลังเพื่อหลบหน้าลีออน เมื่อเห็นอย่างนั้นลีออนก็ยิ่งไม่พอใจ ก่อนเขาจะจับไหล่เธอแล้วรัวคำพูดต่อ
“เพราะรัตติกาลรักฉันน่ะเหรอ” ลีออนพูดขึ้นด้วยเสียเย็นชาจนใจฉันหายวาบ
“...” ลูกศรเงียบเป็นคำตอบ
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ” ลีออนเริ่มขึ้นเสียงอย่างที่เขานานๆ จะทำที “ก็คนที่ฉันรักคือเธอ!!”
ชั่ววินาทีที่ได้ยินคำพูดอันแสนหนักแน่นของลีออน หัวสมองของฉันก็ขาวโพลนไปหมด ร่างกายรู้สึกชาจนไร้เรี่ยวแรง ทว่าฉันก็ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เพื่อรอฟังความจริงทั้งหมดในคราวเดียว
แม้ว่ามันจะรู้สึกเจ็บเจียนตายก็ตาม
“แล้วนายคบกันรัตเพื่ออะไรกัน” ลูกศรขัดขึ้น ก่อนสีหน้าของเธอจะเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด “นายคงไม่ได้…”
“ก็ถ้าฉันคบกับรัต เธอก็ไม่มีสิทธิ์หลบหน้าฉันแบบนี้ยังไงล่ะ” ลีออนเอ่ยขึ้นดวงน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันก็จะได้ใกล้ชิดกับเธอต่อไปในฐานะแฟนเพื่อนสนิทเธอ”
เพียะ!
เสียงตบฉาดใหญ่ดังขึ้น จนทำให้ดวงตาที่พร่าเลือนไปด้วยน้ำตาของฉันต้องหันไปมองทันที ก่อนจะพบว่าลูกศรเป็นคนตบหน้าลีออนเมื่อครู่
“ทำแบบนี้ได้ยังไง” ลูกศรตะโกนด้วยน้ำตา “โหดร้าย ทั้งที่รัตติกาลรักนายมากขนาดนั้นแท้ๆ”
“เธอเองก็รักฉันไม่ใช่รึไง” ลีออนที่เริ่มมีอารมณ์เกรี้ยวกราดก็เริ่มเขย่าแขนลูกศรอย่างแรง แต่สายตาของเขากลับเหมือนวิงวอนซะมากกว่า “แล้วทำไมเธอต้องผลักไสฉันให้คนอื่นด้วย!?”
ลูกศร… รักลีออนด้วยงั้นเหรอ… ฉันคิดอย่างเหม่อลอย
“เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้” ลูกศรตะคอกกลับ “ฉันทำร้ายรัตติกาลไม่ได้”
ทำร้ายฉันไม่ได้งั้นเหรอ… ฉันยิ้มอย่างว่างเปล่าให้กับคำพูดเพื่อนรัก แม้แก้มจะนองไปด้วยน้ำตาแล้วก็ตาม แล้วแบบนี้… มันคืออะไรกัน
ลีออนที่เริ่มดูเหมือนจะยอมแพ้กับท่าทางขัดขืนของลูกศรก็ปล่อยไหล่เธอด้วยท่าทางนิ่งๆ จนน่าแปลกใจ “งั้นเหรอ… ทำยังไงเธอก็ไม่คบกับฉันสินะ”
“...”
“ฉันก็ไม่อยากทำร้ายรัตแบบนี้หรอกนะ” ลีออนเอ่ยต่อ “แต่เธอทำให้ฉันไม่มีทางเลือกแล้ว”
“หยุดทำร้ายรัตซักที ฉันขอล่ะ” ลูกศรขอร้องลีออน ทว่าลีออนกลับมองเธอด้วยสายตาว่างเปล่า
“ตราบใดที่เธอยังไม่ยอมคบกับฉัน ฉันก็จะไม่เลิกกับรัต” ลีออนเอ่ยอย่างเด็ดขาด ก่อนจะเดินออกไปจากสวน ทิ้งให้ลูกศรยืนร้องไห้อยู่คนเดียวตรงนั้น
ลูกศรซับน้ำตาตัวเองอยู่สักพักก่อนเธอจากเดินจากไปอีกคน ฉันที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ ก็ก้าวออกมาอย่างเหม่อลอย พลางมองไปตามหลังของลูกศรด้วยสายตาว่างเปล่า
สุดท้าย… ฉันก็ไม่เคยเป็นที่หนึ่งของใครสักคนสินะ
2 ชั่วโมงต่อมา
ฉันเดินเข้ามาในงานแสดงแฟชั่นโชว์ที่มีผู้คนพากันจับจองที่นั่งติดเวที ก่อนสายตาจะเลื่อนไปเจอเข้ากับลีออน ที่เห็นฉันแล้วโบกมือเรียกอย่างสดใสราวกับคนละคนกับที่พูดเรื่องเลือดเย็นเมื่อครู่
“เฮ้ รัต มานั่งตรงนี้สิ ฉันจองที่ให้แล้ว”
ฉันฝืนยิ้มเจื่อนๆ ให้กับเขาก่อนจะเดินไปนั่งยังที่ตรงนั้น โชคดีที่แสงไฟในงานถูกจัดขึ้นอย่างสลัว ลีออนจึงมองไม่เห็นว่าสายตาที่ฉันใช้มองเขาเคลือบแคลงแค่ไหน
“รัตติกาล…” ลีออนเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “เสียใจด้วยนะที่เธอไม่ได้ขึ้นประกวดน่ะ”
“อ๋อ เรื่องนั้นหรอกเหรอ” ฉันพึมพำลอยๆ “ไม่เป็นไร”
“แล้วมันมีเรื่องอื่นด้วยรึไง” ลีออนขำอย่างไม่มีพิรุธ ฉันยิ้มตอบเรียบๆ ก่อนที่พวกเราทั้งคู่จะหันไปมองบนเวทีเมื่อไฟทั้งงานดับ และสปอตไลท์ฉายไปยังเวที
พิธีกรออกมาเอ่ยต้อนรับ และขอบคุณแขกกับผู้เข้าประกวดจากต่างโรงเรียน ก่อนที่เสียงเพลงเร้าใจจะดังขึ้นมาเป็นจังหวะ ตามมาด้วยเหล่านางแบบมากมายที่ทยอยออกมาจากหลังเวที มาเดินโชว์ชุดที่ตัวเองสวมอยู่อย่างมั่นใจ
และในที่สุด ลูกศรก็เดินออกมา
ถึงจะน่าเจ็บใจมากแค่ไหน แต่ฉันก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าลูกศรใส่ชุดที่ฉันออกแบบขึ้นมาก เพราะทั้งชุดราตรีสีชมพูพาสเทลอ่อนที่มีกระโปรงลูกไม้เหมือนเจ้าหญิง เข้ากันได้ดีกับใบหน้าสวยหวานราวตุ๊กตากระเบื้องของเธอเข้าไปใหญ่ ใบหน้าธรรมชาติของเธอก็ว่าสวยแล้ว ยิ่งพอเธอแต่งหน้าแบบนี้ ยิ่งส่งเสริมให้เธอดูโดดเด่นเข้าไปใหญ่
ไม่แปลกใจเลย… ที่ทุกคนลงความเห็นกันอย่างพร้อมเพรียงว่าเธอเหมาะกับชุดนั้นมากกว่าฉัน
ฉันหันไปมองหน้าแฟนตัวเองที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะรู้สึกเหมือนมีมีดเล่มใหญ่ปักที่อก เมื่อเห็นสายตาที่ลีออนใช้มองลูกศรบนเวที
มันไม่ใช่สายตาหยอกล้อเวลาเขาแกล้งฉัน หรือสายตาอบอุ่นที่เขามอบให้ยามฉันอ่อนล้า
แต่เป็นสายตา… ที่มองคนที่เขาตกหลุมรัก
ดูเหมือนฉันจะจ้องหน้าเขานานเกินไปหน่อย เพราะลีออนก็หันมามองหน้าฉันอย่างสงสัยพลางถาม
“มีอะไรติดอยู่ที่หน้าฉันหรือเปล่า?”
ฉันส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะกุมมือของเขาไว้แน่น พลางซบไหล่เขาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ถึงจะแปลกใจกับท่าทีของฉัน แต่ลีออนก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร
“ลีออน”
“หืม?”
“ฉันชอบนายนะ” ฉันกระซิบ “มากๆ”
ลีออนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกุมมือฉันแน่นขึ้นแล้วกระซิบตอบ “ฉันก็รักเธอ”
โกหก… ฉันคิด ก่อนจะลอบยิ้มกับตัวเองบางๆ เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก… ไม่ยักรู้เลยแฮะ ว่าเขาจะโหดร้ายได้ขนาดนี้ แถมเป็นนักแสดงที่เก่งเอาเรืองเลยด้วย
แต่ก็ดีเหมือนกัน… เพราะฉันก็จะสวมหน้ากากบ้างแล้ว
ฉันหันไปมองหน้าลีออน ก่อนจะจับมือเขาแน่นราวกับว่าถ้าไม่ทำอย่างนี้ เขาจะหลุดหายไปจากฉันตลอดกาล
แม้จะรู้ดีว่านี่เป็นแค่ละครฉากใหญ่ที่เขาสร้างขึ้น… แต่ฉันก็เลือกที่จะหลับหูหลับตาต่อไป…
...ถึงมันจะเป็นแค่การแสดง
...ถึงฉันจะเป็นแค่สะพาน
ถึงจะเป็นได้แค่ที่หนึ่งจอมปลอม… ฉันก็ยอม
เพราะฉันรักเขามากจนยอมได้ทุกอย่าง แม้จะต้องกลายเป็นคนโง่ที่เห็นแก่ตัวที่สุดก็ตาม ฉะนั้น… จนกว่าเวลาที่เขาจะไม่ต้องใช้ ‘สะพาน’ นี้ ฉันก็จะขออยู่ข้างเขาในฐานะคนรักต่อไป
“ลูกศรสวยเนอะว่ามั้ย?” ลีออนเอ่ยขึ้นลอยๆ ทำให้ฉันต้องหันกลับไปมองเพื่อนรักของตัวเองบนเวทีอีกครั้ง
“นั่นสิ… สวยมากเลย” ฉันโกหกออกไป
ทั้งดวงตากลมโตสีฟ้าใส กับผมสีครีมวานิลลาที่ฉันเคยคิดว่าน่ารักนักหนา…
ทำไมตอนนี้ถึงได้ดูอัปลักษณ์ขนาดนี้กันนะ…?
ชั่ววินาทีนั้น เมล็ดแห่งความริษยาที่ฉันพยายามถอนรากถอนโคนมันมาตลอด กลับงอกขึ้นมาอย่างรวดเร็วและค่อยๆ บดบังแสงสว่างแห่งมิตรภาพไปซะหมด
และดูเหมือนครั้งนี้… ฉันจะหยุดมันไม่ได้แล้ว
ปัจจุบัน
ฉันนั่งทอดอารมณ์ไปเรื่อย ขณะมองไปยังริมทะเลสาบหลังโรงเรียนตัวเอง ดวงตาสีดำสนิทของฉันหลุบลงเล็กน้อย เมื่อต้องกับแสงอาทิตย์ในยามเย็น
ฉันกอดเข่าตัวเองแน่นขึ้นพลางคิดถึงสายตาที่ธนูใช้มองฉันเมื่อครู่ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ด้วยความรู้สึกผิด
เฮ้อ ดีแล้วล่ะ ที่ล้มเลิกตั้งแต่เนิ่นๆ เกิดทำพวกธนูล่มกลางคันแล้วมันจะแย่กว่านี้ ฉันปลอบใจตัวเองเพื่อข่มความรู้สึกผิดในใจ แต่ก็ไม่อาจลบความหม่นหมองที่ยังค้างอยู่ได้
รู้สึกแย่กว่าที่คิดแฮะ… ฉันคิด
“ไม่ได้นะยัยรัต!” ฉันตบแก้มตัวเองเบาๆ “อย่าคิดมากกับเรื่องแค่นี้ ยังไงก็แค่กลับไปอยู่คนเดียวเหมือนเมื่อก่อนเอง…”
มือที่ตีแก้มตัวเองอยู่ก็หยุดชะงักลงกลางคันทันที เมื่อฉันรู้ดีว่าตบให้ตายยังไง ฉันก็คงไม่มีทางกลับมารู้สึกดีได้ทันทีแน่
จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันก็อยู่แต่กับพวกนั้นตลอดจนเริ่มชินกับบรรยากาศแบบนั้นไปซะแล้ว พอกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง… ใจมันก็อดที่จะเหงาไม่ได้
ขณะที่ฉันกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ จู่ๆ เสียงของใครบางคนก็เอ่ยทักขึ้นมาจากด้านหลัง
“มานั่งทำอะไรคนเดียวน่ะ”
ฉันหันไปมองคนทัก ก่อนดวงตาจะเบิกขึ้นด้วยความประหลาดใจระคนดีใจ ริมฝีปากก็พึมพำขึ้นมา “...เทเรซ?”
อา… ทำไมถึงชอบโผล่มาตอนฉันกำลังต้องการใครสักคนทุกทีเลยนะ?
“ไง รัตติกาล” เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ธรรมชาติยิ้มกว้าง ก่อนจะหย่อนตัวลงมานั่งที่พื้นหญ้าข้างๆ ฉันอย่างเป็นกันเอง
“เธอมาโรงเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“วันนี้ฉันมาส่งรายงานตอนเย็นอย่างเดียวน่ะ” รอยยิ้มหายไปจากหน้าเทเรซเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาอีกครั้งอย่างสดใส “...ว่าแต่การประกวดเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
ฉันเงียบทันทีเมื่อเจอคำถามแทงใจเข้า ก่อนจะแอบสังเกตสีหน้าคาดหวังเกินเหตุของเทเรซ ฉันจึงพูดขึ้นมาลอยๆ “แล้วเธอได้ยินอะไรมาบ้างแล้วล่ะ”
“ฮ่าๆ ก็นิดหน่อย” เทเรซยอมรับ เมื่อรู้ว่าฉันจับได้ว่าเธอหลอกถาม “แต่ฉันอยากฟังจากมุมมองของเธอมากกว่านะ ถามตรงๆ เลยละกัน ทำไมเธอถึงอยากออกล่ะ ...อึดอัดเหรอ?”
ฉันเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว เมื่อได้ยินเทเรซเอ่ยออกมาแบบนั้น
“ก่อนอื่นก็ขอโทษนะ ทั้งที่รับปากแล้วแต่ฉันกลับหนีงานแบบนี้” ฉันหันไปมองหน้าเทเรซอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะเอ่ยต่อ “ความจริงมันไม่ใช่เพราะถูกกดดันจากพาสเทลหรืออะไรหรอกนะ แต่จริงๆ แล้ว…”
“...”
“...ฉันแค่ไม่อยากให้คนดีๆ แบบนั้นมาคาดหวังกับฉันมากกว่า” ฉันถอนหายใจ “อย่างธนูเนี่ย ถึงจะปากร้ายไปบ้าง แต่เขาเป็นคนดีมากๆ เลยนะ ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเลือกคนอย่างฉันก็เถอะ แต่ยิ่งเห็นเขาพยายาม ฉันก็ยิ่งรู้สึกผิด เพราะเจตนาที่เข้ามาแต่แรกก็แค่อยาก… หนีอะไรบางอย่างก็เท่านั้น”
“...” เทเรซยังคงเงียบ และฟังฉันต่ออย่างตั้งใจ
“คนอย่างฉันน่ะ ไม่มีทางส่องสว่างบนเวทีได้แน่ๆ” ...ไม่มีทางทำได้เหมือนลูกศร
เมื่อฉันพูดจบ ระหว่างพวกเราทั้งสองก็ตกลงสู่ความเงียบ ฉันที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อจึงได้แต่หันไปมองทิวทัศน์แก้เก้อ สักพักหนึ่ง เสียงของสาวสวยข้างตัวก็พึมพำขึ้นมา
“คิดแบบนี้นี่เอง…”
“?” ฉันหันไปมองหน้าเทเรซอย่างงุนงงกับคำพูดเมื่อครู่ เทเรซหลับตาลงเหมือนใช้ความคิด ก่อนจะโพล่งขึ้นมา
“ฟังฉันนะรัต” เทเรซเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ธนูเป็นคนเก่งมาก ฝีมือในการแต่งหน้าก็สุดยอด”
“...?” แล้วไหงอยู่ๆ มาอวยญาติตัวเองให้ฉันฟังล่ะ…
“ฉะนั้น เขารู้ดีว่าเขากำลังทำอะไรอยู่” เทเรซพูด “เขาเลือกเธอไม่ใช่จากความสงสาร แต่เพราะเขารู้ดีว่าเธอมีประสิทธิภาพมากพอที่จะทำให้เขาชนะได้”
“...”
“เธออาจไม่รู้ตัว แต่จริงๆ แล้วเธอเป็นคนที่สวยมากเลยนะ จริงอยู่ที่เธออาจไม่ใช่คนที่สดใสหรือหวานแหวว แต่เธอก็สามารถส่องแสงได้ในแบบของเธอเอง” เทเรซจ้องมาที่ตาฉันตรงๆ จนฉันเริ่มรู้สึกประหม่า “แล้วที่เธอบอกว่าเธอรู้สึกเหมือนตัวเองมีเจตนาไม่ดีในการเข้าประกวดตั้งแต่แรกน่ะ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
“...”
“เพราะยังไงธนูมันก็หวังตำแหน่งประธานอยู่แล้ว” เทเรซพูด ก่อนที่หน้าของเธอจะขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อพูดประโยคต่อมา “แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือ… ฉ… ธนูอยากเห็นเธอมีความสุขกับการมีชีวิตอยู่นะ”
พอเทเรซพูดจบ ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย เมื่อคิดว่าได้รับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของธนูบ้างแล้ว
นั่นสินะ… ถึงจะปากร้ายหรือบ้าบอไปบ้าง แต่ความจริงธนูเป็นคนจริงใจและซื่อตรงมากคนหนึ่ง แถมเขายังทุ่มตั้งมากมายเพื่อคนอย่างฉัน
แล้วแบบนี้… ฉันจะใจร้ายไม่ยอมทำงานร่วมกับเขาต่ออีกเหรอ
“ฉันว่าเธอคิดมากไปนะรัต ในหลายๆ เรื่องเลย” เทเรซติ แต่คำพูดของเธอกลับแฝงไปด้วยความเป็นห่วงซะมากกว่า “จะบอกอะไรให้ อะไรที่ทำให้เธอรู้สึกแย่หรือหม่นหมองน่ะ บางที…”
เทเรซหยิบหินก้อนหนึ่งจากตรงกอหญ้า ก่อนจะเขวี้ยงมันไปตรงทะเลสาบจนเกิดน้ำกระเด็น
“...เขวี้ยงมันไปซะก็สิ้นเรื่อง!!”
` ฉันมองการกระทำที่ดูเท่เกินใบหน้าของเธอ ก่อนจะมองไปยังผืนน้ำที่เป็นวงด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่จังหวะที่หินก้อนนั้นถูกโยนออกไป มันราวกับว่า… ความไม่สบายใจทั้งหมดของฉันก็ถูกขจัดไปซะหมด
“ขอบคุณนะ เทเรซ” ฉันหันไประบายยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมานานแล้ว เมื่อเห็นหน้าฉัน เทเรซก็จ้องอยู่นานจนฉันเริ่มรู้สึกเขินแปลกๆ
“...มีอะไรติดหน้าฉันเหรอ?”
“...ให้ตายสิ” เธอขยับเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น พลางจ้องตาฉันด้วยแววตาที่ทำให้หัวใจฉันเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย “ตอนปกติเธอก็น่ารักอยู่แล้ว พอยิ้มแบบนี้ สวยเป็นบ้าเลยแฮะ”
ตึกตัก ตึกตัก
ฉันหันไปมองหน้าเทเรซก่อนจะพบว่าใบหน้าของเธอเลื่อนเข้ามาเรื่อยๆ จนลมหายใจของเธอกระทบกับใบหน้าของฉันเบาๆ จากนั้นพวกเราก็ประสานสายตากันอย่างบังเอิญ
เทเรซเลื่อนมือมาเชยคางฉัน จนฉันต้องหลับตาปี๋เพราะทำตัวไม่ถูก กลิ่นโลชั่นวานิลลาของเธอยิ่งทำให้สติของฉันกระเจิดไปใหญ่
แย่แล้ว อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงนะ!? ที่สำคัญ ถ้าขยับเข้ามามากกว่านี้ละก็…
ฉันหลับตาอยู่นาน แต่ก็ไม่รู้สึกว่าจะเกิดอะไรขึ้นสักที จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะพบกับสายตาของเทเรซที่มองฉันอย่างตื่นเต้น
“คิดออกแล้ว ว่าจะแต่งหน้าแบบไหนให้กับเธอ!!!”
...เอ้ะ?
“ตอนแรกก็คิดว่าเธอเหมาะกับลุคธรรมชาติอยู่เหมือนกัน แต่พอได้เห็นหน้าเธอแบบนี้แล้ว ฉันว่าเธอเหมาะกับสไตล์คลาสสิคมากกว่าล่ะ~”
เทเรซพูดคนเดียวอย่างเริงร่า และดวงตาก็เป็นประกายด้วยไอเดียต่างๆ ที่เข้ามาในหัวของเธอ ฉันที่ยังอึ้งไม่หายก็ถึงกับอ้าปากค้างไปชั่วขณะ
“เมื่อกี้ที่ขยับเข้ามาก็เพราะ… จะดูหน้าฉันใกล้ๆ หรอกเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ” เทเรซตอบอย่างซื่อตรง จนฉันเริ่มรู้สึกหน้าร้อนด้วยความอาย
บ้าจริง คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ยัยบื้อ…! เทเรซเป็นผู้หญิงนะ!!!
ฉันเตือนตัวเองเป็นรอบที่ล้าน ก่อนจะสะดุ้ง เมื่อเจ้าของใบหน้าหวานซึ้งจะเดินเข้ามาหาฉัน พลางมองด้วยสายตาวิงวอนปนคาดหวัง
“สรุป…” เทเรซเอ่ยอย่างลังเล “เธอยังอยู่ใช่มั้ย?”
ฉันพยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ พลางคิดถึงเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าใสนั่นไปด้วย “แต่บางทีพวกธนูอาจยังโกรธฉันอยู่ก็ได้…”
“เธอพูดแล้วนะว่าจะกลับไป!?” เทเรซรัวคำพูดและจับไหล่ฉันเขย่า “พวกธนูไม่โกรธหรอกฉันรับรอง!!”
“ถ้าเธอมั่นใจแบบนั้น…” ฉันเอ่ย แต่คำพูดก็ขาดไปซะก่อน เพราะสีหน้าที่แปลกไปของเทเรซ
“เอ้ะ ทำไมหน้าเธอแดงๆ อ่ะ” ไม่ว่าเปล่า แต่เทเรซก็ยังเอื้อมมือมาแตะหัวฉันเบาๆ ก่อนจะพึมพำออกมา “เฮ้ย เธอตัวร้อนนี่”
พอเธอพูดแบบนั้น ฉันจึงนึกได้ว่าตัวเองตัวรุมๆ อย่างที่เธอว่าจริงๆ แต่ฉันก็ส่ายหน้าเพราะไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไร
“ไม่เป็นไรหรอก เวลาเครียดแล้วนอนน้อยมันก็เป็นแบบนี้บ่อยๆ น่ะ ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันกลับไปทำชุดต่อ-”
“ไม่ได้!” เทเรซพูดเสียงแข็ง “เดี๋ยวเธอหายไม่ทันวันถ่ายแบบจะทำยังไง ไปนอนพักที่ห้องพยายาบาลซะ”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ ไปกินยาและนอนพักซะ เข้าใจมั้ย ไม่ต้องมาช่วยงานคืนนี้ก็ได้ เดี๋ยวธนูทำต่อเอง” เทเรซยิ้มเพื่อให้ฉันคลายกังวล ฉันจึงพยักหน้ารับเบาๆ
หลังจากนั้นเทเรซก็ขอตัวกลับก่อน โดยไม่ลืมที่จะกำชับให้ฉันไปนอนพักด้วย ฉันนั่งมองวิวพระอาทิตย์ตกดินและตักตวงความงามเหล่านั้นไว้ในใจ
จริงสิ… วันแรกที่เจอกับเทเรซ ท้องฟ้าก็เป็นสีนี้พอดีเลยนี่น่า
ฉันเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ด้วยความรู้สึกขอบคุณเธอ ทว่าสมองไม่รักดีกลับนำพาความทรงจำชวนใจเต้นเมื่อครู่มาด้วย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษไข้หรือความรู้สึกแปลกประหลาดที่ก่อตัวขึ้นในใจ แต่หน้าฉันก็ร้อนขึ้นทันทีที่คิดถึงริมฝีปากของเทเรซที่อยู่ห่างจากของฉันเพียงไม่กี่เซนต์
ถ้าเมื่อกี้เทเรซยังขยับเข้ามาใกล้กว่านี้อีก… จะเกิดอะไรขึ้นนะ?
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
ฉันเดินเข้ามาตรงโถงทางเดินของตึกเรียนแผนกแฟชั่นอย่างมึนๆ เนื่องจากยังไม่ตื่นดีหลังจากนอนพักมาในห้องพยาบาล
ครูห้องพยาบาลไม่น่าให้กินยานอนหลับเลย… ไม่งั้นคงไม่มึนหัวขนาดนี้
ทางเดินที่เปิดไฟสว่างขัดกับบรรยกาศวังเวงของท้องฟ้ายามค่ำคืนข้างนอกตึก บ่งบอกชัดเจนว่าเวลานี้คงไม่มีใครอยู่ที่โรงเรียนแล้ว เพราะนอกจากไฟตรงทางเดิน ทุกห้องก็มืดสนิทหมด ที่สว่างอยู่ก็มีแค่ห้องที่ฉันเพิ่งจากมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วก็เท่านั้น
ฉันสูดหายใจเข้าลึกเมื่อมาถึงหน้าห้องตัดเย็บ ก่อนจะตัดสินใจผลักประตูเข้าไป ถึงแม้จะใจจะยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับทุกคนอย่างเต็มร้อยก็ตาม
เมื่อเข้าไปในห้อง ฉันก็แอบโล่งใจนิดหน่อยเนื่องจากไม่มีคนอยู่เลยสักคน ฉันก้าวเข้ามาในห้องที่มีภาพสเก็ชและเศษผ้ากระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหันไปยังที่ประจำของตัวเองเพื่อทำงานต่อ
ทว่าสิ่งที่ฉันไม่คาดว่าจะเห็นก็ปรากฎในสายตา เมื่อพบว่าธนูนอนอยู่คาชุดราตรีของฉัน พร้อมด้ายในมือ
“ธนู…?” ฉันเรียกชื่อเขาเบาๆ แต่เขาก็ยังไม่ตื่น เพียงแต่ครางเสียงในลำคอเท่านั้น ฉันจึงค่อยๆ เอื้อมมือดึงชุดราตรีที่ธนูใช้เป็นหมอนอยู่ออกมา
เมื่อกางชุดราตรีสีดำออกมา ฉันก็ต้องตะลึงอย่างไม่เชื่อสายตา…
“ทำไมชุดมันเละขึ้นกว่าเดิมอีกอ่ะ” ฉันเผลอพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมา ก่อนจะเหลือบตาไปมองธนูด้วยความรู้สึกอึ้งๆ หรือว่าเขานั่งทำตลอดเลยเหรอเนี่ย
ที่บอกว่าตัดเย็บห่วยนี่… ไม่ได้โกหกสินะ เมื่อคิดได้อย่างนั้น ริมฝีปากก็อดที่ระบายยิ้มออกมาไม่ได้
ฉันหันไปมองใบหน้ายามหลับอยู่ของผู้ช่วยตัวเองอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะกระซิบบอกเขาข้างหู ถึงแม้จะรู้ดีว่าเขาคงไม่ได้ยินก็ตาม
“ขอบคุณนะธนู สำหรับทุกๆ อย่าง”
คราวนี้… ฉันจะไม่ทำให้นายผิดหวังอีกแล้ว
ฉันถกแขนเสื้อตัวเองขึ้นเมื่อรู้สึกว่าไฟในตัวเริ่มติด ถึงจะยังมึนหัวอยู่นิดหน่อยก็ตาม “เอาล่ะ ได้เวลารื้อวิชาเก่าออกมาแล้วสินะ”
<Thanoo’s part>
“แจ้บๆ” เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าสดปรือตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย ก่อนที่จะพรวดพราดตื่นขึ้นมาแล้วมองนาฬิกาข้อมือตัวเองอย่างรีบร้อน
“บ้าเอ้ย กี่โมงแล้วว่ะเนี่ย ชุดยังไม่เสร็จ…” ทว่าคำพูดของธนูก็ต้องลอยหายไป เมื่อเขาหันไปมองที่โต๊ะแต่กลับพบกับความว่างเปล่า
ธนูรีบหันไปมองรอบห้องอย่างตกใจ และเขาก็ได้สะดุดตากับรัตติกาลที่ฝุบหน้าหลับอยู่ตรงโต๊ะเครื่องจักร
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” ธนูพึมพำ ก่อนจะเดินไปหาเธอ ก่อนจะพบว่าเสื้อที่หายไปของเขาอยู่บนโต๊ะเธอนั่นเอง
ธนูดึงชุดราตรีออกมาจากมือขาวซีดของรัตติกาลเพื่อพิจารณา ก่อนจะพบว่าข้อผิดพลาดที่เขาสร้างไว้มากมายกลับถูกแก้ไขไปหมดแล้ว แถมชุดยังเสร็จสมบูรณ์แบบตามแบบที่เขาร่างเอาไว้เป๊ะเลยอีกต่างหาก
“สุดยอดไปเลย… ทำชุดเสร็จภายในไม่กี่ชั่วโมง แถมจำรายละเอียดเล็กๆ ในแบบร่างได้จนหมดอีกต่างหาก” ธนูเอ่ยชมเบาๆ ก่อนจะหันไปมองใบหน้าของนางแบบเขา ทว่าสายตาชื่นชมกลับค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า
“สมแล้วที่เคยเป็น Artemis” ธนูกระซิบ “น่าเสียดายจริงๆ...”
ธนูค้างคำพูดของตนไว้เพียงแค่นั้น ก่อนจะวางผลงานชิ้นดีของรัตติกาลไว้กับโต๊ะอย่างดี และหันกลับมาแตะที่หน้าผากรัตอย่างแผ่วเบา
“เฮ้อ บอกแล้วแท้ๆ ว่าไม่ต้องมาทำงานแล้ว ยังจะดื้ออีก ยังดีที่ไข้ลดบ้างแล้วนะเนี่ย” ธนูบ่น แต่ก็ไม่วายเลื่อนหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูรัตติกาล
“นี่ ยัยแมวดำ ตื่น”
“...”
“ไม่ตื่นเดี๋ยวต่อจากเมื่อกี้ซะหรอก” ธนูพูด พลางนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาสวมบทบาทเป็นเทเรซ ทำไมเขาจะดูไม่ออกกันล่ะ ว่าเธอคิดอะไรกันแน่… ก็เล่นหน้าแดงซะขนาดนั้นนี่น่า “ทีกับร่างนี้ไม่เห็นทำหน้าแบบนั้นบ้างเลยน้า~”
“...”
เมื่อเห็นว่าร่างบางยังไม่มีท่าทีโต้ตอบ ธนูก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจดึงเธออกจากเก้าอี้ และช้อนตัวเธอเข้ามาในอ้อมแขนแล้วเดินไปยังโซฟายาวในห้อง
“ฮึ้บ หนักเหมือนกันแฮะ เดี๋ยวต้องให้ไดเอตซะหน่อยล่ะ” ธนูพึมพำ พลางมองไปยังใบหน้ายามหลับของเธออย่างครุ่นคิด ก่อนจะหย่อนตัวเธอลงเมื่อถึงที่หมาย
ธนูเอื้อมไปหยิบผ้าห่มหืนยาวที่เขาหมกไว้ในห้องเวลาอยากอู้ออกมา ก่อนจะห่มมันให้กับร่างบางตรงหน้าที่หลับปุ๋ยอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
“หน้าตอนหลับค่อยดูสมวัยหน่อย” ธนูขำ เมื่อเห็นหน้ารัตติกาลยามหลับสบาย เขาจ้องเธออยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นไปเก็บของ ถ้าหากเสียงของรัตไม่ได้รั้งเขาไว้ก่อน
“ธนู…”
ธนูชะงัก ก่อนจะหันไปมองรัตติกาล แต่ก็โล่งอกเมื่อพบว่าเธอเพียงแค่ละเมอ
“ตกใจหมดเลย ยัยบ้า” ธนูขำอย่างสบายๆ แต่คำพูดต่อมาของรัตติกาลก็ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นจริงจังอีกครั้ง
“ฉัน… ขอโทษ”
“...”
“...ขอโทษนะ งึมงำ”
ธนูหันกลับไปมองหน้าเจ้าของเรือนผมสีดำสนิท ก่อนจะพึมพำในลำคอด้วยนำ้เสียงว่างเปล่า
“ไม่เป็นไรหรอก รัตติกาล”
“...”
“เพราะถึงเธอจะขอโทษยังไง บางอย่างมันก็ไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมหรอก”
<Rattikarn’s part>
วันอาทิตย์
“เอ้า เร็วหน่อยสิแม่คุณ”
เสียงของธนูเร่งฉันให้เดินตามเขาโดยเร็ว ทำให้ฉันที่ไม่ได้สวมใส่ส้นสูงนานแล้วเกือบหกล้มเมื่อต้องเดินกึ่งวิ่งเพื่อตามเขาให้ทัน
ในตอนนี้ ธนูกับฉันได้มาถึงสวนสาธารณะใกล้โรงเรียนที่เราจะใช้เป็นสถานที่ถ่ายแบบกันแล้ว ซึ่งธนูให้ฉันสวมชุดราตรีที่ทำเสร็จเมื่อวันก่อนมาจากบ้านเลย ส่วนเขาเพียงขนอุปกรณ์แต่งหน้าที่จะใช้มาอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนพวกโยกับพาสเทลเดี๋ยวจะตามพวกเรามาทีหลัง
พูดถึงพวกนั้นแล้ว ฉันก็อดที่จะโล่งใจไม่ได้เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน เนื่องจากฉันรู้สึกผิดเรื่องที่โต้ตอบพาสเทลไปแบบนั้น ธนูจึงได้พาฉันมาขอโทษพาสเทล ซึ่งพาสเทลก็ไม่ได้ติดใจหรือโมโหอะไร ที่คาดไม่ถึงคือ เธอเองก็ขอโทษฉันด้วย
จริงๆ เธอก็เป็นคนน่ารักมากคนหนึ่งเลยล่ะนะ (ถ้าไม่รวมเรื่องความปากแข็ง)
“ช้าๆ หน่อยสิธนู ฉันเดินตามไม่ทัน” ฉันโพล่งออกไป เพราะเริ่มรู้สึกเหนื่อยและเจ็บที่รองเท้าเริ่มกัด ถ้าเขาไม่กำชับให้ใส่มาจากบ้านตั้งแต่แรกเพื่อฝึกเดิน ฉันจะไม่ใส่มาแต่แรกให้เจ็บเท้าเล่นแบบนี้เลย
“ถึงล่ะ” ธนูพูด ก่อนจะวางของลงใกล้กับหินอันหนึ่งที่มีขนาดใหญ่มาก ฉันหันไปมองทิวทัศน์ข้างหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
หินสูงใหญ่มากมายเรียงรายกันเหมือนภูเขา ทำให้ฉันนึกว่าพวกเรามาถ่ายทำกันบนภูเขาจริงๆ ซะอีก เมื่อรวมกับภาพท้องฟ้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าแล้ว ถึงจะดูเรียบง่าย ทว่ามันกลับให้ความรู้สึกทรงพลัง
“สวยใช่มั้ยล่ะ” ธนูยิ้มอย่างภูมิใจ เมื่อฉันหันไปหาเขาอีกที ก็พบว่าตอนนี้เขากำลังปักร่มคันใหญ่กับพื้นซะแล้ว
“ให้ฉันช่วยมั้ย?”
“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวมาถือของหนักแล้วชุดเสียหายขึ้นมาทำไง” ธนูห้าม “เธอมานั่งใต้ร่มรอฉันแต่งหน้าก็พอละ”
ฉันพยักหน้าอย่างว่าง่าย ก่อนจะไปนั่งตรงหินที่แบนเรียบที่สุดที่หาได้แล้วนั่งคอย เมื่อธนูเสร็จธุระแล้ว เขาก็เช็ดมือกับผ้าเย็น ก่อนจะกางกระเป๋าเครื่องสำอางของตัวเองออกมาเหมือนมือโปร
ธนูขยับเข้ามาใกล้ฉัน ก่อนจะจับหน้าฉันผลิกไปมา
“อืม… หน้าเธอน่าจะเบอร์นี้นะ” ธนูพึมพำ ก่อนจะหยิบไพรเมอร์ขวดหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วแต้มมันบนใบหน้าของฉันอย่างเบามือ ก่อนจะให้ที่ปัดราคาแพงไล้มันอย่างนุ่มนวล
หลังจากเขาลงรองพื้นและอื่นๆ มากมายอีกสักพัก เขาก็เริ่มเขียนคิ้วให้ฉันเป็นแนวตรง
ฉันจ้องใบหน้าขะมักขะเม่นของเขาด้วยความเขินเล็กๆ
พอทำหน้าจริงจังแบบนี้… ก็เท่ไม่หยอกเลยนี่น่า
“ธนู” ฉันพูดขึ้นมาเบาๆ เพื่อไม่ทำลายสมาธิเขา ธนูพยักหน้าเป็นเชิงว่าฟังอยู่ แต่ก็ยังแต่งหน้าให้ฉันต่อไป “ขอบคุณนะที่เลือกฉัน”
“หลับตาสิ” ธนูพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่เมื่อเห็นอายแชวโดว์ในมือเขาก็เข้าใจ ฉันจึงหลับตาลงตามที่เขาบอก
“จริงๆ ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ” ธนูปัดตาให้ฉันเบาๆ “...แล้วก็ขอโทษที่เอาแต่บังคับตั้งแต่แรก มันคงไม่แปลกเลยถ้าเธอคิดจะออกน่ะ”
“...”
“ถึงจะว่ายังงั้นยังงี้ก็เถอะ แต่ฉันอยากให้เธอมีความสุขจริงๆ นะ” ธนูถอนหายใจ “ถ้าเป็นไปได้ฉันก็หวังว่าเธอจะได้อะไรบ้างจากการประกวดครั้งนี้”
“ไม่หรอกธนู” ฉันยิ้มเมื่อเราได้เปิดอกคุยกันตรงๆ “ฉันดีใจจริงๆ นะที่นายยอมช่วยฉันขนาดนี้ สำหรับฉันแล้ว ทั้งนายและเทเรซ… เป็นเหมือนพระเจ้าสำหรับฉันเลยล่ะ”
พระเจ้า… ที่มอบชีวิตใหม่ให้กับฉัน
“เว่อร์ไปม้าง” ธนูอุบอิบ แต่ฉันสัมผัสได้ว่าแก้มของเขาแดงขึ้นเล็กน้อย “แต่ก็ขอบคุณนะที่พูดแบบนั้น”
“...”
“ฉันจะไม่ทำให้เธอผิดหวังแน่”
“...ฉันก็เหมือนกัน” ฉันยืนยันคำสัญญาอย่างหนักแน่น หลังจากนั้น พวกเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก แต่ความเงียบระหว่างเราก็ไม่น่าอึดอัดเหมือนเมื่อก่อน
“เอาล่ะ เสร็จแล้ว....” ธนูพูดขึ้นในที่สุด “ลืมตาสิ”
ฉันลืมตาขึ้นมาและสิ่งแรกที่เห็นก็คือ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยสีโทนวินเทจที่เน้นให้ดูธรรมชาติ ทว่ากลับดูสง่างามและทรงพลัง ดวงตาสีนิลของเธอดูทรงอำนาจด้วยสีตาออกนำ้ตาลปนส้ม และริมฝีปากก็โดดเด่นขึ้นมาด้วยสีแดงของไวน์
ฉันใช้เวลาสักพัก ก่อนจะพบว่าหญิงสาวตรงหน้าคือเงาสะท้อนของฉันจากกระจกที่ธนูถืออยู่นั่นเอง
“นี่ฉัน...เหรอ” ฉันพึมพำอย่างไม่มั่นใจ ก่อนจะรับกระจกที่ธนูยื่นมาให้อย่างงงๆ
“ใช่ นี่ล่ะเธอ” ธนูขำ ก่อนจะอ้อมมาด้านหลังฉันและเริ่มทำผมให้ “จำตัวเองไม่ได้สินะ”
ตรงกันข้ามต่างหากล่ะ… ฉันคิด แต่ก็ไม่เอ่ยอะไรออกมา พลางจ้องตัวเองในกระจกราวกับตกอยู่ในภวังค์
หน้าตาฉันที่ดูทรงอำนาจนี้… เหมือนกับตัวฉันในอดีตไม่มีผิด
“เสร็จแล้ว~” ธนูพูดขึ้นอย่างร่าเริง ฉันวางกระจกลง ก่อนจะเตรียมตัวลุกขึ้น แต่กลับเผลอสะดุดชายกระโปรงตัวเองซะก่อน
“อ้ะ!”
โชคยังดีที่ธนูคว้าตัวฉันได้ทันพอดี ฉันคว้าแขนของธนูเพื่อพยุงตัวขึ้น ทว่าจมูกกลับเผลอสูดกลิ่นบางอย่างเข้า
เอ๊ะ กลิ่นนี้มัน… กลิ่นวานนิลาเหมือนของเทเรซเลยนี่
“ระวังหน่อยสิ” ธนูเตือน แต่ฉันกลับเมินคำพูดเขาแล้วจ้องใบหน้าเขาแทน
“ทำไม…?”
“หือ?” ธนูทำหน้าสงสัย ฉันเงียบพักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดปัดไป
“เปล่า ไม่มีอะไร”
คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง… กลิ่นวานิลลามีอยู่ถมไป ธนูคงใช้เหมือนกับเทเรซน่ะแหละ
ธนูมองหน้าฉันอย่างงงๆ ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยถามอะไร โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นซะก่อน ธนูหยิบมันขึ้นมาก่อนจะกดรับสาย
“ฮัลโหล ไอ้โย ถึงแล้วเรอะ เอ่อๆ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ธนูางสาย ก่อนจะหันหน้ามาหาฉัน “รัต เดี๋ยวฉันต้องไปช่วยไอ้โยกับพาสเทลขนอุปกรณ์กล้องหน่อยอ่ะ เธอรออยู่ตรงนี้แปปนะ”
ฉันพยักหน้าส่งธนูที่วิ่งพรวดพราดออกไป ก่อนจะนั่งมองวิวทิวทัศน์เล่นคนเดียวไป
“อ้าว นึกว่าใคร” เสียงหวานหูอันคุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง ทำให้ฉันต้องหันขวับไปทันที ก่อนจะพบกับเจ้าของเรือนผมสีชาที่ยืนยิ้มหวานอยู่ข้างหลัง
“แอนนี่…”
“ว่ายังไง วันนี้มาถ่ายแบบเหรอจ้ะ?” รอยยิ้มของแอนนี่ค่อยๆ เลือนหายออกไป ก่อนที่เธอจะจ้องฉันอย่างกินเลือดกินเนื้อ “ทั้งที่ฉันบอกแล้วแท้ๆ ว่าอย่างคิดจะแข่งกับฉัน… ทำไมไม่ฟังกันบ้างนะ”
“...”
“ผู้ช่วยของเธอคือธนูสินะ หึ หมอนั่นก็ตาตำ่ขนาดนี้แล้วรึนี่” เธอยิ้มอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะหันกลับมายิ้มอย่างใสซื่ออีกครั้ง “นี่รัตติกาล~ ถอนตัวไม่ได้เหรอ?”
“...” จะมาไม้ไหนล่ะเนี่ย
“เธอก็น่าจะรู้ตัวอยู่แล้วนะ ว่าอย่างเธอน่ะ จะผ่านไปได้สักกี่ด่านกัน” แอนนี่ปรายตามองฉันอย่างดูถูก แม้ริมฝีปากจะยังยิ้มอยู่ก็ตาม “เอาแบบนี้สิ ฉันมีข้อเสนอดีๆ มาให้น้า~”
“...”
“ถ้าเธอยอมสละสิทธิ์ละก็ ฉันจะรับเธอเข้ากลุ่มด้วยเป็นไง คราวนี้จะไม่มีใครกล้าแกล้งเธออีกแน่” แอนนี่พูดราวกับว่าข้อเสนอของเธอเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการที่สุด จนฉันอดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา
“หึ”
“...มีอะไรน่าขำงั้นเหรอ?” หน้าของแอนนี่ฉุนขึ้นเล็กน้อย แต่เธอก็ยังคงเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี เธอคงไม่คิดสินะ ว่าแม่มดแห่งห้อง A อย่างฉันจะกล้าหัวเราะเจ้าหญิงอย่างเธอ
ถ้าเป็นตัวฉันเมื่อไม่กี่วันก่อนก็คงไม่กล้าเหมือนกัน… แต่ตอนนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงทีละนิด
ใช่แล้ว… ‘รัตติกาล อมรฤดี’ คนเก่ากำลังตื่นขึ้นมาแล้ว...
“มันก็แค่น่าขำน่ะ ให้ตายสิ เธอคิดว่าเราอยู่ในหนังเรื่อง Mean girls หรือ Gossip girl งั้นเหรอ” ฉันยักคิ้วขึ้นมาอย่างสงสัย “ถามกันก่อนมั้ย ว่าฉันอยากเข้ากลุ่มเธอหรือเปล่า?”
“...!?” แอนนี่จ้องราวกับฉันเป็นของเสีย
“ถอดหน้ากากออกซะทีเถอะแอนนี่ เห็นอย่างนี้มันน่ารำคาญน่ะ” ฉันพูดอย่างราบเรียบ “มาคุยกันด้วยใบหน้าที่แท้จริงดีกว่า”
เมื่อได้ฟังอย่างนั้น รอยยิ้มนางฟ้าของแอนนี่ก็เลือนหายไปทันที ก่อนที่เธอจะกรีดยิ้มร้ายอย่างที่นางร้ายในละครพึงทำ “ฮ่ะๆ เธอนี่มีอะไรน่าเหลือเชื่อเยอะจริงๆ นะ”
“...”
“ก็ดีเหมือนกัน ฉันก็เบื่อเต็มทนแล้วกับการแสดง” แอนนี่ถอนหายใจอย่างเสแสร้ง “แต่ฉันยังไม่ยอมเรื่องถอนตัวหรอกนะ ฉันยังมีข้อเสนอดีๆ อีกอัน”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่สน-”
“แต่ใจนะ” แอนนี่ขัดขึ้นมา “แล้วถ้าฉันบอกว่า… ตอนนี้ฉันเป็นผู้ช่วยกับแฟนเก่าเธอล่ะ?”
“...!” ฉันช็อกกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้
ลีออนเป็นผู้ช่วยให้กับแอนนี่งั้นเหรอ… ฉันคิดในใจ พลางหวนนึกถึงคำพูดที่เขาพูดไว้เมื่อวันก่อน
ไหนว่าอยากจะคู่กับฉันนักหนาไง… โกหกอีกแล้วสินะ ฉันคิดอย่างสมเพช ก่อนจะสลัดความรู้สึกเหล่านั้นทิ้ง แล้วหันมาเผชิญหน้ากับปัจจุบันต่อ
ไม่สิ ที่สำคัญกว่านั้น ยัยนี่… รู้อะไรมาบ้างเนี่ย
“ทีนี้ข้อเสนอที่ฉันอยากจะพูดถึงก็คือ...” แอนนี่ยิ้มเหมือนผู้เหนือกว่า ก่อนจะเอ่ยต่อ “เรามาแลกผู้ช่วยกันมั้ย?”
“...หมายความว่ายังไง”
“ฉันก็แค่จะขอธนูมาเป็นผู้ช่วย ส่วนเธอก็ไปเป็นคู่กับลีออนเท่านั้น”
“ดูเหมือนเธอจะเข้าใจผิดไปเยอะเลยนะ” ฉันพยายามเค้นยิ้มออกมาอย่างฝืนๆ “ขึ้นชื่อว่าแฟนเก่า ยังไงฉันก็ไม่อยากจะยุ่งด้วยอยู่แล้ว จะมาเสนออะไรแบบนี้ทำไม”
“แน่ใจเหรอว่าเธอไม่อยากยุ่งด้วยจริงน่ะ” แอนนี่แกล้งเบิกตาอย่างน่าหมั่นไส้ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ไม่เอาน่า ลูกผู้หญิงด้วยกันก็ต้องดูออกอยู่แล้วสิ~”
“...”
“แค่เห็นสายตาที่เธอมองเขาวันนั้นฉันก็รู้หมดแล้ว” แอนนี่ยิ้มจนตาหยี ก่อนจะขยับหน้าเข้ามากระซิบข้างหู “your face says everything (หน้าของเธอมันฟ้องน่ะ)”
ฉันได้แต่ยืนเงียบด้วยความรู้สึกไหวหวั่น จริงอยู่ที่ฉันยังอยากจะกลับไปหาลีออนโดยมองข้ามทุกสิ่งทุกอย่างไปให้หมด แต่ฉันก็ไม่อาจทำได้ เพราะตอนนี้มันไม่ใช่การตัดสินใจของฉันคนเดียวอีกแล้ว
ฉันทิ้งคนที่ช่วยเหลือฉันคนนี้ไม่ได้แน่นอน…
ฉันรวบรวมสติ ก่อนจะหันไปจ้องตาแอนนี่ก่อนจะพูดขึ้นมา “more like your face (หน้าเธอมากกว่าล่ะมั้ง)”
“...หมายความว่ายังไง”
“ที่ทำขนาดนี้เพราะเธออยากคู่กับธนูมากเลยสินะ” ฉันแกล้งแหย่ ทว่าแอนนี่กลับหน้าเสีย “ดันทุรังขนาดนี้ คงไม่ใช่แค่เพราะธนูเก่งล่ะมั้ง?”
“...เธอคิดจะพูดอะไรกันแน่”
“ไม่เอาน่า ลูกผู้หญิงด้วยกันก็ต้องดูออกอยู่แล้วสิ~” ฉันย้อนคำพูดของแอนนี่บ้าง “เธอน่ะ… ชอบธนูสินะ”
“...!”
คราวนี้ดูเหมือนฉันจะจี้ถูกจุด เพราะใบหน้าของแอนนี่ซีดลงทันทีอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันเริ่มเข้าใจล่ะ” ฉันว่า พลางเดินไปรอบๆ แอนนี่ “เธอคงพยายามมาตลอดที่จะให้ธนูมาเป็นผู้ช่วย เพื่อใกล้ชิดเขา แต่ดูจากนิสัยของพวกเธอแล้ว คงเข้ากันไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ?”
“...เธอจะบอกธนูเหรอ” หน้ากากที่เริ่มมีรอยร้าวเต็มทนของแอนนี่เริ่มปริแตกทีละน้อย
“ฉันจะไม่บอกก็ได้นะ” ฉันเอ่ยอย่างยุติธรรม “เพียงแต่เธอก็อยู่ส่วนเธอ ฉันก็อยู่ส่วนฉัน อย่ามายุ่งกันอีก ตกลงมั้ย”
แอนนี่มองหน้าฉันอย่างเกรี้ยวกราด พลางกำมือแน่น ก่อนจะพูดขึ้นมาเหือนระบาย “เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ธนูยอมขอให้มาเป็นนางแบบให้”
“...”
“ปกติมีแต่คนขอร้องเขาเท่านั้น แต่ทำไมคราวนี้เขาถึงเป็นฝ่ายขอเธอล่ะ ทั้งที่มีฉันอยู่ทั้งคน!?” แอนนี่ตะโกนจนฉันสะดุ้ง ก่อนจะหันมามองหน้าฉันเหมือนวิงวอน “ฉันขอคู่กับธนูเถอะนะ ฉันขอนะรัต นะๆ”
แอนนี่เริ่มดึงมือฉันไปกุมอย่างคลุ้มคลั่ง จนฉันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตัวเองในอดีต
ผู้หญิงที่เหมือนน่าสมเพชคนนี้… จริงๆ ก็แค่อยากเป็นที่หนึ่งของใครสักคนเท่านั้น
เหมือนกับฉันในตอนนั้น…
ทว่าแม้จะสงสารแค่ไหน ฉันก็จำต้องเอ่ยความจริงออกไป
“มันไม่ใช่แค่การตัดสินใจของพวกเรานะ แอนนี่” ฉันพูดเกลี้ยกล่อม “เธอไปถามธนูเองไม่ดีกว่าเหรอ”
แอนนี่หยุดชะงักการกระทำของตัวเอง จนฉันหลงดีใจไปวูบหนึ่ง ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ดันเกิดขึ้น
แควก!
ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อพบว่าบนมือของแอนนี่มีเศษผ้าสีดำจากชายกระโปรงฉันติดไปด้วย
“ทำบ้าอะไรน่ะ!?”
“ในเมื่อเธอไม่ยอมถอนตัว…” แอนนี่จ้องฉันด้วยแววตาเอาเรื่อง “ฉันก็จะทำลายผลงานพวกเธอซะ!”
ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ตั้งตัว แอนนี่ก็ลงมือฉีกชุดราตรีของฉันต่อราวกับสัตว์ป่า เมื่อได้สติฉันจึงรีบผลักเธอออกทันที แต่แอนนี่ก็ไม่ยอมง่ายๆ เธอจับแขนฉันที่ผลักเธอเอาไว้ ทำให้พวกเราฉุดกระชากกันไปมา จนเสื้อผ้าและผมยุ่งเหยิงไปหมด
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงของธนูดังขึ้นมาราวกับระฆังหมดยก ทำให้พวกเราทั้งคู่ที่ฟัดกันอยู่เหมือนหมาบ้าต้องหยุดชะงักลง
ทั้งธนู พาสเทล และโยตรงเข้ามาหาพวกเราแล้วช่วยกันจับแยกทันที ธนูมองรอยข่วนบนหน้าฉันอย่างเป็นกังวล ก่อนจะหันไปหาแอนนี่ด้วยท่าทางฉุนเฉียว
“ทำแบบนี้ทำไมหา!?”
แอนนี่สะดุ้งกับท่าทางเกรี้ยวกราดของธนูเล็กน้อย แต่เธอก็ตอบกลับด้วยเสียงที่ดังไม่แพ้กัน
“นายนั่นแหละธนู โง่รึไง!?” เธอตวาดลั่น จนโยที่สุขุมยังสะดุ้ง “คิดดีแล้วเหรอ ที่เลือกยัยแม่มดแบบนี้มาเป็นนางแบบน่ะ”
“...” ทุกคนเงียบกริบ
“ถ้าคู่กับเจ้าหญิงอย่างฉัน นายมั่นใจได้เลยว่าจะชนะ! แล้วถึงจะไม่ชนะ ฉันก็บอกแด๊ดให้นายเป็นประธานแผนกแฟชั่นก็ยังได้!!”
“ยัยนี่เพี้ยนไปแล้ว” โยพึมพำขึ้นมา พาสเทลก็ได้แต่ยืนฉุนเหมือนจะตรงเข้าไปตบแอนนี่ ทว่าธนูกลับปรามเธอไว้ซะก่อน
โดยไม่มีใครคาดคิด จู่ๆ ธนูก็ขำออกมา “อุ้บ… ฮ่ะๆๆๆ”
“...?” พวกเราทุกคนมองไปยังธนูอย่างมึนงงกับเสียงกัวเราะไร้ที่มาของเขา ไม่เว้นแม้กระทั่งแอนนี่ ธนูขำจนท้องแข็งเสร็จ เขาก็ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้แอนนี่ก่อนจะแสยะยิ้ม
“มั่นหน้าชะมัดเลยเธอเนี่ย”
“ว...ว่าไงนะ!?” แอนนี่เหลือกตามองธนู ซึ่งตีหน้าซื่อก่อนจะพูดอย่างราบเรียบ
“บอกว่าเธอมั่นหน้าไง”
“...!” แอนนี่เบิกตาโพลงอย่างสับสนปนโมโห
“เธอนี่โคตรขี้ตื้อเลยว่ะ” ธนูทำเป็นบ่นแบบทีเล่นทีจริง ก่อนสีหน้าธนูจะแปรเปลี่ยนเป็นอีกคนอย่างสิ้นเชิง
“จะบอกอะไรให้นะ ยัยนี่มีดีกว่าที่เธอคิดเยอะ” เขาเดินเข้าไปหาแอนนี่ และบีบแก้มเธอแรงๆ พลางพูดขึ้นเสียงดัง “อย่างเธอมันก็เป็นได้แค่เจ้าหญิงล่ะว่ะ”
แอนนี่มองหน้าธนูด้วยแววตาที่เริ่มหวาดกลัว แต่เธอก็ยังทำใจดีสู้เสือโดยการมองหน้าเขาตรงๆ ต่อ
“เหอะ คำก็แม่มด สองคำก็แม่มด” ธนูกัดฟันอย่างหงุดหงิด “ด่ายัยนี่กันนักใช่มั้ย ได้!! ฉันจะเปลี่ยน ‘แม่มด’ ให้เป็น ‘ราชินีให้ดู!!”
สิ้นคำประกาศ ธนูก็ปล่อยมือที่บีบแก้มแอนนี่ไว้ จนเธอก้าวถอยหลังออกมาด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ยังไม่วายหันกลับมาโต้ตอบธนูต่อ
“นายทำแบบนี้ได้ยังไง ฉันจะฟ้องแด๊ด!!” แอนนี่ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะวิ่งพรวดพราดออกไปจากที่ตรงนั้น
เมื่อเหตุการณ์เริ่มสงบแล้ว ฉันจึงพึมพำถามขึ้นมา “แล้วแบบนี้ธนูจะไม่แย่เอาเหรอเนี่ย”
“ไม่หรอก ครูใหญ่ไม่ใช่คนไร้สาระขนาดนั้น เขาไม่ฟังความแอนนี่ข้างเดียวแน่” พาสเทลตอบกลับมา ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะหันไปทางธนูบ้าง
“เอ่อ.. ธนู” ฉันก้าวเข้าไปหาธนูช้าๆ อย่างเกร็งๆ ก่อนจะดึงแขนเสื้อของเขาแล้วพูดขึ้นอย่างรู้สึกผิด “ฉันขอโทษนะ ที่รักษาชุดเอาไว้ไม่ได้”
ธนูหันมามองหน้าฉัน ก่อนจะคิ้วที่ขมวดของเขาจะค่อยๆ คลายลง “ยัยบ้า ฉันไม่ได้โกรธเธอเลย”
“...”
“ฉันต้องขอบคุณเธอด้วยซำ้ที่ยอมสู้กับแอนนี่ขนาดนี้” ธนูพูดต่อพร้อมรอยยิ้ม “มีสิ่งที่อยากปกป้องแล้วใช่มั้ยล่ะ?”
ฉันมองหน้าธนูก่อนจะระบายยิ้มเป็นคำตอบ “อื้ม!”
“ว่าแต่เจ็บมากมั้ยนี่ เธอนี่ก็เลือดร้อนใช้ได้เลยแฮะ” ธนูเอ่ยแซว ก่อนที่เสียงของพาสเทลจะแทรกเข้ามาบ้าง
“เอ้าๆ เลิกหวานกันแปปนึงสิ ชุดเจ๊งแบบนี้จะถ่ายกันยังไงล่ะเนี่ย”
“นั่นสิ พระอาทิตย์ก็จะตกดินหมดละ ไม่ตรงกับธีมที่กำหนดไว้แต่แรกแล้วนี่” โยบ่นขึ้นมาบ้าง
ธนูอ้าปากเหวอเมื่อนึกขึ้นได้ ก่อนจะหันไปคุยปรึกษากับพวกโยต่อ ส่วนทางฉันมองชุดที่ขาดรุ่งริ่งของตัวเองอย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจทำบางอย่าง
แควก!
ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว เมื่อฉันลงมือฉีกส่วนประโปรงของตัวเองออกเพิ่ม พาสเทลที่ได้สติก่อนคนแรกถามขึ้นมาเสียงดัง
“ทำอะไรของเธอเนี่ย!?”
ฉันไม่สนคำพูดของเธอ หรือสีหน้าประหลาดใจของเพื่อนร่วมทีมอีกสองคน ตรงกันข้าม ฉันกลับทำให้ให้กระโปรงขาดขึ้น และฉีกส่วนอื่นๆ ของชุดเพิ่มอีกด้วย
เมื่อได้เศษผ้าผืนใหญ่มาไว้ในกำมือแล้ว ฉันก็เดินตรงขึ้นไปตรงหินมากมายด้วยเท้าเปล่า ก่อนจะสะบัดผ้าเหล่านั้นไปตามแรงลม
ธนูที่ดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์เป็นคนแรก หันไปพยักหน้ากับโย ซึ่งเตรียมตัวเซ็ตกล้องถ่ายรูปฉันอย่างชำนาญ
ฉันมองไปยังกล้องบ้าง แต่ก็พยายามคงอารมรณ์ให้ดูเป็นธรรมชาติเข้าไว้ด้วย
“ยัยนั่น แก้สถานการณ์ได้เจ๋งไปเลยนะ” พาสเทลพึมพำขึ้นมาเมื่อเข้าใจทุกอย่างแล้ว ธนูพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะมองไปยังภาพตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
ทั้งใบหน้าที่เศร้าสร้อยของฉันที่เต็มไปด้วยบาดแผล ประกอบกับเสื้อผ้าและผมที่ดูรุงรังอย่างตั้งใจ ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองสามารถสื่ออารมณ์ของความเศร้าออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
ฉันสะบัดผ้าไปกับสายลมพลางจินตนาการว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของมัน พลางคิดถึงอดีตที่เจ็บปวดมากมาย เพื่อเรียกอารมรณ์ให้กับตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นอดีตเกี่ยวกับพ่อ… คำนินทาว่าร้ายจากคนรอบข้าง หรือตราบาปในใจที่ไม่มีวันหายไป
วันนี้… เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่า บาดแผลเหล่านั้นช่างมีซะประโยชน์จริงๆ
เพื่อนร่วมทีมทั้งสามคนจ้องฉันอย่างไม่วางตา ราวกับรับรู้ได้ถึงความเศร้าที่ฉันสื่ออกมาผ่านสีหน้าและการแสดง
“ดูทรงอำนาจ แต่โดดเดี่ยว เป็นคนที่สูงส่ง แต่หัวใจกลับเต็มไปด้วยความเศร้าโศก…” พาสเทลพึมพำขึ้นมาเหมือนท่องกลอน “นี่มัน Tragic princess ชัดๆ เลย”
ธนูยิ้มเห็นด้วย ก่อนจะพูดขึ้นมาเบาๆ อย่างภูมิใจ
“นี่สิ… ถึงจะสมเป็นซินเดอเรลล่าของฉัน”
<Annie’s part>
“โธ่เอ้ย!!”
เจ้าของดวงตาสีน้ำผึ้งสบถเสียงดัง ก่อนจะเดินเตะรถในลานจอดของสวนสาธารณะอย่างหงุดหงิด
หลังจากออกมาจากที่สวนได้สักพักแล้ว แอนนี่ก็โทรเรียกคนขับรถของเธอมารับทันทีเพราะรู้สึกอับอายกับสถานการณ์เมื่อครู่เป็นอย่างมาก
เมื่อคิดถึงใบหน้ารัตติกาล แอนนี่ก็ยิ่งหงุดหงิด จนเผลอกัดเล็บตัวเองเหมือนสมัยเด็ก
ทำไมถึงได้กล้าอวดดีกับฉันกันนะ ยัยแม่มดนั่น แอนนี่คิดในใจ ก่อนจะย้อนกลับไปคิดถึงสีหน้าเหย่อหยิ่งที่อีกฝ่ายใช้มองเธอ
แอนนี่ไม่อยากจะยอมรับซักนิด… แต่ความเป็นจริง เธอแอบรู้สึกกลัวรัตติกาลเล็กน้อย
คิดอีกครั้งก็ไม่อยากจะเชื่อ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แต่รัตติกาลที่เป็นเป้าของการกลั่นแกล้งในชั้นเรียนได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
ทั้งที่อุตสาห์ใช้เรื่องลีออนมาขู่แท้ๆ แอนนี่คิด ก่อนจะนึกถึงชายหนุ่มอีกคนที่เธอลากเข้ามาเกี่ยวข้อง
จริงๆ ตอนแรกก็เหมือนลีออนจะปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าจะรอคู่กับรัตติกาลอย่างเดียว แต่แอนนี่ก็เสนอต่อ โดยอธิบายว่า ถ้าหากผู้เข้าประกวดจะเปลี่ยนผู้ช่วย ผู้เข้าประกวดจะสามารถเลือกผู้ช่วยของคนอื่นได้อย่างเดียว (เรียกง่ายๆ คือสลับกับผู้ช่วยกับผู้เข้าประกวดอื่นนั่นเอง) แต่จะไม่มีสิทธิ์เลือกคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแข่งขัน
พอรู้อย่างนั้น ลีออนจึงยอมตกลงอย่างเสียไม่ได้ เพราะอย่างน้อย เขาอาจได้สลับกับธนูทีหลัง
แต่ไม่คิดเลยว่ายัยนั่นจะแข็งขนาดนี้
แอนนี่หันไปมองรถด้านซ้ายมืออย่างคุ้นเคย ก่อนจะจำได้ว่ามันเป็นรถของเพื่อนธนู เธอเลื่อนสายตามองไปแถวล้อรถ ก่อนจะพบว่ามีกระเป๋าบางอย่างตกอยู่
นั่น… กระเป๋าของธนูนี่น่า?
เจ้าของเรือนผมสีชามองซ้ายขวาอย่างระแวง ก่อนจะตรงเข้าไปคว้ากระเป๋าธนูรูดซิปเปิดแล้วเทลงพื้นเพื่อระบายอารมณ์
ทว่าแฟ้มสีเหลืองซองหนึ่งกลับร่วงลงมากับพื้นปะปนกับขาวข้องอย่างอื่นด้วย แอนนี่ขมวดคิ้ว ก่อนจะก้มลงเก็บแฟ้มนั้นขึ้นมาอ่าน
‘รัตติกาล อมรฤดี’
“อะไรกัน มีแฟ้มประวัตินางแบบตัวเองด้วยเหรอเนี่ย” แอนนี่พึมพำ ก่อนจะหยิบเอกสารในแฟ้มออกมาดู
เธอไล่อ่านแต่ละใบด้วยความเบื่อหน่ายเมื่อพบว่ามันมีแต่เรื่องทั่วๆ ไป และภาพถ่ายของรัตติกาล ลีออน และผู้หญิงหน้าหวานอีกคนที่เธอไม่รู้จัก เมื่อเธอตัดสินใจที่จะปิดแฟ้มลง กระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกหนีบเอาก็ปลิวลงมากับพื้น
ทันทีที่แอนนี่เก็บมันขึ้นมา เธอก็พบว่ามันเป็นเพียงแค่กระทู้ของสังคมไฮโซที่ถูกปริ้นออกมาจากอินเตอร์เน็ตก็เท่านั้น
ในตอนที่เธอกำลังจะวางมันลง ดวงตาสีนำ้ผึ้งของเธอจะเบิกโพลงด้วยความตกใจ เธอรีบควานหาภาพถ่ายเมื่อครู่ แล้วนำมาเทียบกับข่าวบนหนังสือพิมพ์ที่เธอเห็นอย่างไม่เชื่อสายตา ในหัวพลางประกอบจิ๊กซอว์ไปด้วย ก่อนที่ริมฝีปากอวบอิ่มของเธอจะกรีดยิ้มออกมาอย่างสะใจ
“จุ้ๆ รัตติกาล อมรฤดี” แอนนี่ส่ายหน้าเบาๆ อย่างเหิมเกริม “เธอนี่เด็ดใช่เล่นเลยนะเนี่ย”
แอนนี่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปภาพหนังสือพิมพ์และภาพถ่ายเก็บเอาไว้ ก่อนเธอจะรวบทุกอย่างเก็บเข้ากระเป๋าธนูให้เรียบร้อยเหมือนเดิม
“เกมเริ่มแล้วนะ รัตติกาล”
แอนนี่เดินออกไปอีกฝั่งเพื่อขึ้นรถของเธอ พลางคิดถึงพาดหัวข่าวที่เธอพึ่งอ่านเมื่อครู่
‘ลูกศร กานต์สกุล ลูกสาวนักธุรกิจไฮโซ ฆ่าตัวตายใน ร.ร. นานาชาติชื่อดัง สาเหตุถูกกลั่นแกล้ง’
================================================
Blue_Umbrella เองจ้า >_<
ก่อนอื่นกราบขออภัยทุกคนก่อนเลยค่ะ T^T ที่ตอนนี้มันยาวกว่าตอนก่อนหน้ามาก(เพิ่ม ก ล้านตัว) T___T หวังว่านักอ่านทุกท่านจะไม่ถอดใจแล้วยอมอ่านจนถึงตอนสุดท้ายเลยนะคะ!
ไหนๆ ก็เป็นตอนสุดท้ายแล้ว ขอพูดเกี่ยวกับที่มาเรื่องนี้นิดนึงน้า เรื่องนี้เราก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์หลายๆ อย่างทั้งจากตัวเองและคนรอบข้าง เนื่องจากรู้สึกว่าชีวิตในรั้วโรงเรียนเป็นอะไรมากกว่าที่ผู้ใหญ่เห็นกัน มันไม่ได้มีแค่การเรียนไปวันๆ หรือการพบเจอเพื่อน แต่ยังมีปัญหาอีกมากมายที่เด็กคนหนึ่งจะต้องแบกรับเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องเรียน
อาจฟังดูอวดดีไปนิด... แต่เราหวังว่านิยายของเราเรื่องนี้จะมอบข้อคิดอะไรบางอย่างให้กับนักอ่านไม่มากก็น้อย ทุกๆ คนมีเหตุผลในการกระทำของเขา ฉะนั้นอย่าเพิ่งตัดสินคนที่คุณเจอทุกวันจากเพียงมุมมองเดียว อีกเรื่องหนึ่งคือ เราเชื่อว่า ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่มีปัญหาในชีวิตทั้งนั้น ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต เราก็ไม่อยากให้ใครท้อถอยและยอมแพ้ง่ายๆ กับอุปสรรคที่กำลังเผชิญ เพราะเชื่อเถอะค่ะ ว่าคุณไม่ได้เผชิญกับมันตามลำพัง J
ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงก็ตาม แต่เราจะไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอนค่ะ เราจะนำกลับไปเขียนต่อจนจบให้ได้
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ:
- โครงการนักเขียนหน้าใสปี9 ที่มอบโอกาสให้กับเรา
- พี่อายที่คอยคอมเม้นแนะนำให้ทุกๆ ตอน
- เพื่อนๆ พี่ๆ จากโครงการนักเขียนหน้าใส โดยเฉพาะเตยกับทราย มาแต่งนิยายกันต่อนะ!
- พี่เทียนที่คอยแนะนำหนูทุกอาทิตย์ หนูจะสืบสานสาย18ต่อไปปป ฮา
- พี่สร้อยที่สอนให้มิ้งรักแจ่มใส
- อาจารย์ที่น่ารักทุกๆ ท่าน
- เพื่อนทุกคน ทั้งในปัจจุบันและอดีต ขอบคุณสำหรับน้ำตาและรอยยิ้ม ถ้าไม่มีบาดแผล เราก็คงไม่มาถึงจุดนี้
- ครอบครัว พี่ตรีที่คอยตามอ่านเรื่อยๆ แม้จะมีสอบก็ตาม 555+ แม่ที่ช่วยปั่นคะแนนโหวตให้แถบทุก ชม. และพ่อที่อยู่บนฟ้า
- ตัวเราเอง ที่เอาชนะความกลัวและขี้เกียจจนมาถึงตรงนี้
- และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลย... คุณ J
ขอบคุณสำหรับทุกเม้นและโหวตนะคะ ฝากผลงานในอนาคตด้วยน้า
ป.ล. พี่อายค้า วีคสุดท้ายแล้ว ขอเม้นแบบจัดหนักเลยนะคะ 555+ ติเต็มที่เลยค่ะ หนูพร้อมแล้วว จะได้เอาไปปรับปรุงการเขียนในนอนาคตด้วย
อาทิตย์สุดท้ายแล้วเลยมาสักหน่อยเนอะ
รวมๆ พี่ว่าเราวางโครงเรื่องไว้ดีนะ ลำดับเหตุการณ์ก็ใช้ได้เลย เหลือแต่การนำเสนอล่ะมั้งพี่ว่าสำนวนของเรายังมีเขวๆ บ้างในบางจุด บางจุดตัดสลับเร็วมากจนตามเรื่องไม่ทัน แล้วก็การกระทำของตัวละครมีบางจุดที่ไม่สมเหตุสมผลเลยจนพี่สับสน แต่บางจุดก็สมเหตุสมผลมาก 55555 เหมือนเราอาจจะต้องวางแผนฉากมากกว่านี้ก่อน แล้วก็เรื่องปลอมตัวเนี่ยพี่ไม่แน่ใจว่ามันจะเนียนขนาดดูไม่ออกเลยเหรอ ละครไทยอะไรแบบนี้ก็ไม่เนียนนะ T_T ยังไงก็ตามจุดนั้นจะพยายามมองผ่านไปแล้วกัน ตอนจบดีอ่ะ อยากรู้ต่อเลยว่าจะยังไง พี่คิดว่าจริงๆ ระเบิดของเพื่อนเราเอามาไวกว่านี้ได้นะ เหมือนเราเสียเวลาไปแนะนำพระเอก นางเอกยาวไปหน่อย มันสามารถจบได้ไวมากกว่านี้ แล้วนางเอกมีความไม่สม่ำเสมอ มีช่วงนึงที่ดูอ่อนแอ อีกช่วงก็ดูแข็งมาก หลักๆ คือตัวละครมันสามารถขึ้นลงได้ล่ะ แต่ฉากของเราต้องขึ้นตาม เป็นปัจจัยประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของตัวละครด้วย แต่ฉากของเรายังวนๆ ที่เดิมพอเวลาตัวละครเปลี่ยนมันเลยสับสนนิดหน่อยอ่ะ พี่ชอบตีมเรื่องการผลักให้นางเอกกลับมาเชื่อมั่นในบางอย่างอีกครั้งนะ แต่อาจจะมีฉากบังคับมากเกินไปเลยทำให้ไม่อินเท่าที่ควร ด้วยเนื้อหาแบบนี้ถ้าเกิดผลักดันดีๆ มันจะออกมาอินมากเลยอ่ะ ฉากบังคับที่ว่าก็คือแบบมีตัวร้ายโผล่มาจังหวะนี้พอดี มาหาเรื่อง พระเอกเข้ามา บลาๆๆ จริงๆ มันไม่ผิดหรอก แต่อาจจะเป็นฉากบังคับติดๆ กันมากเกินไปจนเรื่องไม่เนียนเท่าไหร่
จบละ อาทิตย์สุดท้ายเลยต้องมาเม้นหน่อย 555555
โชคดีนะคะ สู้ๆ น้า