จริงเหรอ... ที่คนเราสามารถเกิดใหม่ได้ด้วยแฟชั่น กับความช่วยเหลือดีๆ จากสไตลลิชสุดฮอต!?
บทที่สี่
เด็กใหม่ของธนู
<Rattikarn’s part>
“ตกลง ฉันตกลง” ฉันพูดย้ำถึงการตัดสินใจด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้นกว่าตอนแรก นัยน์ตาสีนิลของฉันจ้องไปยังนัยน์ตาสีฟ้าใสบริสุทธิ์ของอีกฝ่ายอย่างร้อนรนราวกับต้องการจะสื่อให้เขารู้ถึงความแน่วแน่และยอมช่วยฉันสักที
เจ้าของเรือนผมสีช็อกโกแลตแสยะยิ้มร้ายกาจเหมือนแมวในเรื่อง อลิซ ในแดนมหัศจรรย์ ก่อนจะหันมากระซิบข้างหูฉันด้วยน้ำเสียงน่าหมั่นไส้และ...เซ็กซี่
“Good choice, my dear cinderella”
อะไรของหมอนี่เนี่ย!
ฉันตีหน้าเรียบเฉย ทำเป็นไม่พูดอะไร แม้ในใจจะกรีดร้องถามตัวเองก็ตาม… นี่ฉันตัดสินใจถูกแล้วใช่มั้ยนะ
ลีออนที่พรวดพราดเข้ามาในตอนแรกมีท่าทางสงบลง เมื่อพบว่าภายในห้องนี้ไม่ได้มีแค่ฉัน… แต่ยังมีบุคคลที่สามอยู่ด้วยอีกคน
“...รัตติกาล เธอช่วยออกไปคุยกับฉันข้างนอกหน่อยได้มั้ย?” ลีออนพูดออกมาเพื่อทำลายความเงียบในที่สุด
ก่อนที่ฉันจะรู้สึกกระอักกระอ่วนกับบรรยากาศมากไปกว่านี้ ชายหนุ่มเจ้าของข้อเสนอเมื่อครู่ก็จับข้อมือฉันและดึงให้ไปอยู่ข้างหลังเขาราวกับกำลังปกป้องฉันจริงๆ อย่างที่เขาพูดไว้ตอนแรก
“นายเป็นใคร” แล้วก็เป็นเขาที่เอ่ยถามลีออนออกไป
ลีออนขมวดคิ้วมองเขาอย่างเคลือบแคลง
“ผมแค่จะขอคุยกับเพื่อนผมได้มั้ยครับ” เสียงลีออนเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ ราวกับเขากำลังพยายามสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่างอยู่ แต่ดีที่เขาไม่ใช่คนหัวร้อน จึงยังไม่ทำอะไรให้เรื่องมันยุ่งยาก
“หมอนี่เพื่อนเธอเหรอ” ชายหนุ่มเจ้าของข้อเสนอหน้าหวานแสร้งเบิกตาอย่างแปลกใจ ก่อนจะหันมาสบตาฉันเป็นเชิงถาม
“...” แต่ว่าฉันอึดอัดเกินกว่าจะพูดอะไรออกไปได้ จึงได้แต่นิ่งเงียบ
“ว่าไง หมอนี่ใช่เพื่อนเธอหรือเปล่า”
“...” และก้มหน้ามองพื้นด้วยความอึดอัดปนรู้สึกผิดหนักกว่าเดิม
“ยัยนี่ไม่ตอบ งั้นฉันก็คงต้องขอให้นายกรุณาเอาตัวเองออกไปจากห้องนี้ได้แล้ว ที่นี่คือห้องสภานักเรียน ไม่ใช่ตลาดสดหรือที่ที่ใครจะเข้ามาเดินเล่นได้ตามใจชอบหรอกนะ”
ถึงคนตรงหน้าฉันจะพูดตรงไปหน่อย แต่มันก็ยังดีกว่าการเผชิญหน้ากับลีออนตรงๆ เป็นไหนๆ
ขอโทษนะลีออน… แต่ฉันยังไม่พร้อมที่จะคุยกับนาย
“แล้วนายเป็นใคร มายุ่งอะไรเรื่องของคนอื่นหา” ลีออนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เริ่มหงุดหงิด ปกติลีออนเป็นคนใจเย็นและสุภาพ แต่เวลาที่เขาโมโห… ฉันไม่อยากจะคิดเลย
“ถ้าพูดขนาดนี้จะว่าฉันเผือกเลยก็ได้นะ” เจ้าของใบหน้าหวานซึ้งตอบเซ็งๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะพูดต่อ “ฉันเป็นใครน่ะเหรอ?” ชายหนุ่มทวนคำด้วยน้ำเสียงยียวน “ฉันชื่อธนู เป็นหนึ่งในสภานักเรียนแล้วก็เป็นหัวหน้าแผนกแฟชั่นยังไงล่ะ”
“หัวหน้าแผนก…?” ไม่เพียงลีออนที่หันไปถามเขาด้วยสีหน้าฉงน กระทั่งตัวฉันเองก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้กับข้อมูลใหม่ที่ได้รับ ฉันเพิ่งรู้ว่าเขาเป็นหัวหน้าแผนกแฟชั่นก็วันนี้แหละ
หรือว่าที่ฉันรู้สึกคุ้นหน้าเขา มันเป็นเพราะเคยเห็นเขาผ่านๆ ตามตึกแผนกแฟชั่นกันนะ
“ใช่” ชายหนุ่มตรงหน้าฉันรับคำด้วยมาดกวนโอ๊ย
“เป็นหัวหน้าแผนกแล้วยังไงเหรอ ผมแค่จะขอคุยกับเพื่อนตัวเอง แล้วหัวหน้าแผนกมาเกี่ยวอะไรด้วยเหรอครับ” ลีออนกดเสียงต่ำลง นัยน์ตาสีเฮเซลของเขาจ้องตากับธนูอย่างเฉือดเฉือน
“เกี่ยวสิ เพราะฉันเองก็มีเรื่องที่จะคุยกับยัยนี่เหมือนกัน” น้ำเสียงของธนูราบเรียบแต่ว่าฉายแววหาเรื่อง ซึ่งฉันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุที่กำลังเกิดขึ้นภายในห้องสภานักเรียนแห่งนี้ทันทีที่เขาพูดต่อว่า “เอาเข้าจริงๆ ฉันก็จะไม่เกี่ยวกับพวกเธอสองคนเลยนะ ถ้าไม่บังเอิญว่า…”
“ว่า?”
เสียงของธนูขาดหายไปชั่วคราว ก่อนที่จะหันมาโอบไหล่ฉัน “...ยัยนี่ไม่ใช่เด็กของฉัน~”
“หา?”
“...!”
เด็กของฉันงั้นเหรอ?
เด็กของเขาบ้าบออะไรล่ะ!
เสียงอุทานด้วยความงงงวยของลีออน และเสียงหัวเราะของเจ้าของมือที่โอบไหล่ฉันอยู่ไม่ได้ดังเข้ามาในโสตประสาทของฉันซักนิด ฉันทำหน้าเหลอหลาพลางหันไปมองคนข้างกายราวกับจะเค้นถามถึงคำพูดสองแง่สองง่ามเมื่อครู่
ออกไปจากตรงนี้เมื่อไหร่… ฉันขอเอาคืนสักทีเถอะ!
“หมายความว่าไง...เด็กนาย?” ลีออนจ้องคนตรงหน้าพลางขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ อย่างไม่พอใจ ฉันกลั้นหายใจเมื่อสัมผัสได้ว่าเขากำลังจะเอื้อมมือมาดึงฉันออกจากการเกาะกุมของธนู
เพียะ!
เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าสดปัดมือที่ลีออนกำลังเอื้อมมาอย่างจงใจ ลีออนมองหน้าธนูอย่างโมโห พลางชักสีหน้าที่บอกว่าฟางเส้นสุดท้ายของเขาใกล้ขาดสะบั้นลงเต็มทีแล้ว
“เฮ้ๆ อย่าเยอะให้มันมากนักจะได้มั้ย” ธนูชักสีหน้าหงุดหงิด “ที่บอกว่าเด็กฉันไม่ได้หมายถึงอะไรใต้สะดือเหมือนที่นายคิดหรอกนะ ฉันแค่จะ ‘ปั้น’ รัตติกาลให้เป็นนางแบบของฉันเท่านั้น”
“แล้วฉันจะขอคุยกับเพื่อนหน่อยไม่ได้รึไง จะเสียมารยาทไปหน่อยมั้ยที่ไม่ให้ผมคุยกับเพื่อนน่ะ” ลีออนเริ่มขึ้นเสียงดัง จนธนูยกนิ้วชี้ขึ้นมาจรดริมฝีปากตัวเองเป็นสัญญาณให้เขาเงียบลง
“ฉันบอกว่าอย่าเยอะยังไงล่ะ” เสียงธนูกดต่ำลงจนฟังดูดุดันผิดกับภาพลักษณ์ยียวนของเขา “ดูจากการแต่งตัวแล้ว นายยังไม่ได้เข้าเรียนที่นี่ด้วยซ้ำ กล้ามากนะที่บุกเข้ามาในห้องสภานักเรียนแบบนี้น่ะใครกันแน่ ….ที่ไร้มารยาท”
“...” ธนูจงใจเน้นคำข้างหลังเพื่อทวนคำที่ลีออนใช้กล่าวหาอย่างเจ็บแสบ ลีออนกัดฟันอย่างไม่พอใจ ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปยังธนู แต่เขาก็ยังคงมีมารยาทผู้ดีเกินกว่าจะหาเรื่องหัวหน้าแผนกคนนี้
หมอนี่… ปากร้ายใช้ได้เลยแฮะ
“ฉันให้โอกาสนายออกไปจากห้องนี้ซะ ก่อนที่ฉันจะของขึ้น” คำพูดวางอำนาจเผด็จการถูกปล่อยออกมาจากริมฝีปากสวยของธนู ลีออนไม่ตอบอะไรเพราะดูเหมือนเขาจะรับรู้ได้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เขาเพียงแต่สบตาฉันอีกครั้งอย่างสับสนและ...ผิดหวัง
เมื่อลีออนเห็นว่าฉันหลบสายตา เขาก็ถอดใจแล้วเดินออกจากห้องสภานักเรียนไปในที่สุด
น่าแปลก… ที่ฉันไม่ได้รู้สึกโล่งใจอย่างที่คิดเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้ออ ตัวปัญหาหมดไปแล้วหนึ่ง” ธนูถอนหายใจอย่างรำคาญ ทำให้ฉันดึงสติตัวเองให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง “ต่อไปนี้ฉันจะคอยไปรับเธอจากห้องเรียนนะ เธออยู่ห้องอะไร?”
“เอ่อ… ห้อง A แต่ว่าไม่เป็นไรหรอกนะ” ฉันรีบเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้นและพาตัวเองออกมาให้พ้นจากการเกาะกุมของเขา ตอนนี้รอดจากลีออนแล้ว คราวนี้… หาทางชิ่งการประกวดด้วยเลยดีกว่า “ยังไงเดี๋ยวฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะ รถที่บ้านน่าจะมาถึงแล้ว”
“อย่าแม้แต่จะคิด” ธนูส่งสายตาดุดันพลางคว้าไหล่ฉันไว้อย่างแรง จนฉันที่กำลังจะเตรียมวิ่งต้องหยุดการกระทำของตัวเองทันที
รู้ทันอีกแล้ว…
“ค...คือ” หัวสมองฉันมึนงงไปหมดด้วยข้ออ้างร้อยแปด ที่พยายามจะเค้นออกมาเพื่อพูดกับคนตรงหน้า “ฉันสัญญากับคนๆ หนึ่งไว้แล้วว่าจะลงการประกวดตามคำขอของเขาน่ะ...”
ถึงตอนนี้จะเปลี่ยนใจแล้วก็เถอะ… ฉันแอบสารภาพต่อในใจ
“ใครกัน นี่ฉันมีคู่แข่งด้วยงั้นเหรอ เธอลองบอกมาสิ เดี๋ยวฉันจะไปคุยเอง” ธนูกล่าวขึ้นพลางเขย่าไหล่ทั้งสองข้างของฉันไปมา หน้าของฉันที่ส่ายไปส่ายมาทำให้เห็นหน้าเขาชัดขึ้นในระยะประชั้นชิด
“ก็ผู้หญิงสวยๆ ที่…”
ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบประโยคตัวเอง ดวงตาสีดำสนิทของก็ฉันเบิกขึ้นเมื่อสังเกตเห็นบางอย่างจากผู้ชายหน้าหวานตรงหน้า
เดี๋ยวนะ… พอมองใกล้ๆ แล้วหมอนี่มัน… นางฟ้าคนเมื่อวานนี่หน่า…!
หัวใจฉันเต้นถี่ขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ ธนูคิ้วขมวดแน่นด้วยความไม่เข้าใจสาเหตุที่ฉันหยุดพูดแล้วมาจ้องหน้าแทน
“อะไร ผู้หญิงที่อะไร พูดต่อดิ”
“ผู้หญิงผมบลอนด์ธรรมชาติ ตาสีฟ้า แล้วก็…” ฉันค้างคำพูดเพื่อลอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย “หน้าเหมือนนาย”
จู่ๆ ใบหน้าที่มั่นใจของธนูก็ซีดขึ้นมาก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแดงก่ำเหมือนมะเขือเทศ มือที่จับไหล่ฉันอยู่ก็ปล่อยลง เปลี่ยนไปเเกาหลังคอของตัวเองแทน ราวกับกำลังใช้ความคิดอยู่ จนฉันต้องเอ่ยถามเพื่อทำลายบรรยากาศพิลึกนี่
“...หรือนายรู้จักผู้หญิงคนนั้น?” ฉันจ้องหน้าเขาอย่างสงสัยเคลือบแคลง ก็ท่าทางของเขามันฟ้องนี่นา
“อ...เอ่อ คือแบบว่า” ธนูอึกอัก ก่อนจะรีบรัวคำพูดขึ้นมาราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “อ่า คืองี้ผู้หญิงผมบลอนด์หน้าเหมือนฉันที่เธอเจอ ถ้าเป็นคนเดียวกับที่คิด ยัยนั่นเป็นญาติกับฉันน่ะ!”
“ญาติกันเหรอ?” ฉันเอ่ยลอยๆ ราวกับต้องการทวนกับตัวเองมากกว่า นั่นก็พออธิบายได้แล้วล่ะนะ ว่าทำไมหน้าถึงเหมือนกันยังกับแกะ
ว่าแต่ทำไมหมอนี่ต้องเหงื่อแตกขนาดนี้ด้วยนะ ไม่สบายรึไงกัน
“ใช่ ญาติกันๆ แล้วยัยนั่นก็กำลังช่วยหานางแบบมาประกวดให้ฉันอยู่ เห็นยัยนั่นก็พูดเหมือนกันว่าหานางแบบให้ฉันได้แล้ว คงเป็นเธอสินะ งั้นก็ลงล็อค เพราะถ้าเธอตัดสินใจลงประกวดกับยัยนั่น นั่นก็เท่ากับว่าเธอตัดสินใจลงประกวดทีมเดียวกับฉันนั่นล่ะ” ธนูพูดอธิบายยืดยาว ก่อนจะหยิบใบสมัครอันใหม่จากกองใบสมัครบนโต๊ะไม้ในห้องส่งมาให้ฉัน
“อ้ะ กรอกอันใหม่เลยละกันนะ เธอชื่ออะไร กรอกตามนี้เลย”
เมื่อเห็นว่าไม่มีทางเลี่ยงแล้ว ฉันจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะพึมพำตอบ “รัตติกาล อมรฤดี”
“...!” เสียงร่าเริงที่เงียบไปกะทันหันทำให้ฉันต้องหันไปมองอย่างแปลกใจ ก่อนจะพบว่าธนูมองหน้าฉันด้วยแววตาตกใจคล้ายกับไม่เชื่อ แต่เพียงเสี้ยววินาที อารมณ์เหล่านั้นก็หายวับไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มีอะไรรึเปล่า?” ฉันพึมพำถามอย่างลังเล
“เปล่า” ธนูตอบกลับเสียงเรียบ และเลิกคิ้วสงสัยที่ฉันถามเมื่อกี้ “เดี๋ยวข้อมูลส่วนตัวที่เหลือเธอกรอกต่อเองนะ บางอันเธอคงไม่สะดวกบอกฉันเอง”
“เอาจริงๆ นายกรอกให้ฉันเลยก็ได้นะ ฉันไม่ถือหรอก”
ธนูเหลือบตามองมาที่ฉันอย่างเจ้าเล่ห์ “จะดีเหรอ ให้ฉันมารู้ไซส์อะไรต่อมิอะไรของเธออ่ะ”
ฉันรีบคว้ากระดาษแผ่นนั้นมาไว้ในมืออย่างอับอาย จริงด้วยกรอกประวัติของนางแบบก็ต้องมีใส่พวกไซส์...พอเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า ฉันก็เห็นเขากัดริมฝีปากตัวเองราวกับกำลังกลั้นหัวเราะกับความใสซื่อหรือเรียกง่ายๆ ว่าซื่อบื้อของฉันอยู่นั่นเอง
“แล้วทำไมไม่บอกก่อนเล่า!!” หรือเขาคิดว่าฉันเป็นเด็กแฟชั่นอยู่แล้วเลยคิดว่าต้องรู้
แต่เปล่าเลย ฉันไม่เคยเป็นนางแบบมาก่อนนี่นา!
ฉันก้มหน้าก้มตากรอกใบสมัครไปสักพัก กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงเย็น ไม่รอช้า ฉันจึงรีบยัดใบสมัครที่กรอกเสร็จแล้วคืนให้กับคนที่รอมันอยู่ทันที
“ตายๆ ลุงดินต้องมารอรับฉันนานแล้วแน่เลย ฉันกลับก่อนนะ ส่วนไอ้ช่องชื่อผู้ช่วยนายกรอกเองนะ ยังไม่รู้ชื่อเต็มนายเลย”
ฉันรีบดึงกระเป๋านักเรียนที่วางเอาไว้บนโต๊ะอย่างร้อนรนก่อนจะรีบเดินไปที่ประตูทันที ธนูกล่าวลาสั้นๆ พร้อมกำชับว่าเขาจะส่งคนมารับฉันที่ห้องพรุ่งนี้ (กะจะไม่ให้หนีเลยสินะ…)
ฉันชะงักทุกการกระทำลงเมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะหันไปบอกเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาล “ธนู… ฉันลงประกวดให้ก็จริงแต่ขออะไรอย่างสิ”
ธนูเอียงคอด้วยความสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกลับด้วยคำพูดหยอกที่หวานเหมือนใบหน้า “จัดมาเลย คนสวย~”
ฉันเมินคำพูดชวนเลี่ยนหูของเขา ก่อนที่จะเอ่ยความปรารถนาตัวเองออกไป “ฉันขอเจอญาตินายคนนั้นอีกครั้งได้มั้ย”
เย็นวันต่อมา
ถึงแม้ฉันจะคิดว่าการตัดสินใจเรื่องเมื่อวานจะนำการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างมาให้ แต่เปล่าเลย วันนี้ทุกอย่างก็ยังดำเนินไปอย่างสงบเหมือนเคย นั่นอาจเป็นเพราะเพื่อนร่วมห้องยังไม่รู้ว่าฉันลงประกวดด้วยก็ได้ ทำให้ฉันแทบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อวานฉันทำอะไร และ... เจอกับใคร
จะว่าไป... ถ้าจำไม่ผิดจากบทสนทนาที่ลีออนคุยกับมิสเตอร์ คริสเมื่อวาน ลีออนต้องมาเรียนวันนี้แล้วนี่นา โชคดีจริงๆ ที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน
กริ้ง
เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น ทำให้ทุกคนในห้องเตรียมเก็บข้าวของลงกระเป๋า ระหว่างที่เก็บของ ฉันก็แอบกังวลในใจว่าตอนออกจากห้องไปแล้ว จะเจอกับลีออนตรงโถงทางเดินเหมือนเมื่อวานหรือเปล่า
“คนไหนชื่อรัตติกาล”
ขณะที่คิดอยู่คนเดียว เสียงเรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่เดาอารมณ์ไม่ได้ของผู้ชายคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น
เพื่อนร่วมชั้นทุกคนหันไปมองต้นเสียงที่มาใหม่จากหน้าประตูห้อง และหันกลับมามองที่ฉันอย่างสงสัยใคร่รู้ เสียงซุบซิบของทุกคนค่อยๆ ดังขึ้นจนทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
ใครอีกละเนี่ย
ฉันหันไปมองเจ้าของเสียงที่เพิ่งเอ่ยเรียกฉันเมื่อครู่ ก่อนจะพบว่าฉันไม่คุ้นหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย
นั่นไม่ใช่เพราะใบหน้าของเขาไม่โดดเด่นนะ ตรงกันข้าม ผมสีดำออกเทาประกอบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนอย่างชาวเอเชียทำให้ใบหน้ามนของชายหนุ่มปริศนาดูโดดเด่นมาก
ฉันเหลือบตาไปมองสีเนคไทของเขา เนื่องจากสีเนคไทของแต่ละแผนกจะไม่เหมือนกัน (อย่างของแผนกแฟชั่นคือสีม่วง) และพบว่าของเขาเป็นสีเขียวซึ่งเป็นของแผนกถ่ายรูป
แล้วคนจากแผนกถ่ายรูปมาทำอะไรที่ตึกนี้ล่ะเนี่ย
“ฉันเอง...ค่ะ” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เนื่องจากยังไม่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย ก่อนจะเก็บกระเป๋านักเรียนแล้วเดินไปยังประตูช้าๆ
ชายหนุ่มปริศนาหันมามองหน้าฉันด้วยสีหน้าราบเรียบ เขาจ้องฉันอยู่นานจนฉันต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกกดดัน ก่อนจะได้ยินเสียงเขาพึมพำเบาๆ ในลำคอ
“ยัยนี่เนี่ยนะ… ตุ๊กตาลองเสื้อตัวใหม่ของไอ้ธนู….”
“อะไรนะคะ?”
“เปล่า” คนตรงหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นทุกครั้ง ทว่าครั้งนี้ชัดเจนกว่าในตอนแรก “ตามฉันมา”
ไม่ว่าเปล่า แต่เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนยังจับข้อมือฉันให้ตามเขาไปอีกด้วย เพื่อนร่วมห้องมองฉันด้วยสายตาสงสัยปนหมั่นไส้ จนฉันต้องถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
เฮ้อ… พักนี้ชีวิตวุ่นวายชะมัดเลย
“อย่างน้อยบอกชื่อหน่อยได้มั้ย?” ฉันถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเนือยๆ เมื่อพบว่าชายหนุ่มแผนกถ่ายรูปคนนี้ไม่พูดอะไรเลยสักคำ แล้วเอาแต่ลากฉันขึ้นไปตามขั้นบันไดท่าเดียว
“...โย” น้ำเสียงเนิบนาบเอ่ยตอบ ใจของฉันรื่นรมย์ขึ้นทันทีเมื่อพบคนประเภทเดียวกัน
“เอ่อ ธนูให้นายมาตามฉันใช่มั้ย?”
“...ใช่และไม่ใช่”
“?” ...คือยังไงกันแน่เนี่ย
ยังไม่ทันที่ฉันจะได้เอ่ยถามอะไรโยเพิ่มเติม กว่าจะรู้ตัวอีกที พวกเราก็มาหยุดอยู่ที่ประตูดาดฟ้าเสียแล้ว ฉันหันไปมองหน้าเขาอย่างสงสัยระหว่างที่เขาผลักประตูดาดฟ้าให้เปิดออก
“เธออยากเจอกับ ...ญาติไอ้ธนูไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยด้วยความติดขัด “เข้าไปสิ มัน ...เอ่อ ฉันหมายถึงญาติของไอ้ธนูรอเธออยู่น่ะ”
แม้จะยังงงอยู่กับสรรพนามแปลกประหลาดที่โยใช้เรียกญาติของธนู แต่ฉันก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้พบกับคนที่ช่วยชีวิตฉันไว้…
หมอนั่น… รักษาสัญญาเหมือนกันนี่
เมื่อวานหลังจากฉันเอ่ยขอที่จะเจอกับญาติของเขา ธนูมีท่าทีอึกอักและทำท่าจะปฏิเสธ ฉันจึงขอร้องเขาอีกครั้ง เพราะฉันแค่อยากจะพูดคุยขอบคุณเธอคนนั้นสักหน่อย และไม่รู้ว่าเพราะสงสารหรือรำคาญ แต่สุดท้ายธนูก็ยอมตกลงโดยเขากำชับอย่างหนักแน่น ว่าจะให้คนมารับและให้ฉันมาคนเดียวเท่านั้น
หึ ไม่รู้จักยัยแม่มดของห้อง A ซะแล้ว… ถึงจะให้พาเพื่อนมาด้วย ฉันก็ไม่มีให้พามาอยู่ดีนั่นล่ะ
ฉันหยุดฟุ้งซ่าน และหันกลับมากับปัจจุบัน โยพยักหน้าไปทางประตูที่เปิดอยู่เป็นเชิงให้ฉันเดินเข้าไป ฉันสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะก้าวขาเข้าไปให้พ้นคานประตู
ถ้าเจอแล้ว… จะพูดอะไรก่อนดีนะ?
นี่ฉันจำเป็นต้องตื่นเต้นขนาดนี้เลยเหรอ?
<Thanoo’s part>
ไม่น่าไปรับปากยัยแมวดำนั่นเลย ให้ตายสิวะ
ธนูสบถในใจอย่างอารมณ์เสีย ใครจะรู้บ้างล่ะ ว่าตัวเขาต้องเหนื่อยแค่ไหนกว่าจะได้ตุ๊กตาลองเสื้อตัวใหม่มาเข้าทีม ทั้งต้องไปหาเรื่องกับเด็กหน้าใหม่คนเมื่อวาน แล้วตอนนี้ยังต้องมาแต่งหญิงบ้าบอเป็นกระเทยแบบนี้อีก!!
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยซักนิด กับการที่ต้องรีบวิ่งไปแต่งหน้ากับแต่งตัวเป็นผู้หญิงในห้องน้ำชายโดยไม่ให้ถูกจับได้ แล้วยังต้องรีบวิ่งมาบนดาดฟ้าโดยไม่ให้ใครเห็นอีก
ธนูถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหยิบไอโฟนรุ่นล่าสุดของตัวเองมาสไลด์เปิดกล้องหน้า เขาเช็กหน้าตาของตัวเองในโหมดแต่งหญิงเป็นครั้งที่ร้อย ก่อนจะแสยะยิ้มอย่างภูมิใจ
ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ฉันก็ดูดีไปหมดเลยวุ้ย พระเจ้านี่ลำเอียงอย่างไม่น่าให้อภัยจริงๆ
กล้องโทรศัพท์ของธนูฉายภาพตัวเขาเองในร่างอวตาร(?) ที่แต่งหน้าจัดเต็มยิ่งกว่าวันแรก ดวงตากลมโตสีของท้องฟ้ายามเช้าถูกแต่งแต้มด้วยสีส้มอมน้ำตาล และอายไลเนอร์บางเฉี่ยว ริมฝีปากบางรูปกระจับสีพีชอมแดงยิ่งส่งเสริมให้ทั้งเรือนหน้าของชายหนุ่มดูสวยอย่างธรรมชาติ แม้ว่าเขาจะแต่งหน้ามาค่อนข้างหนาก็ตาม
สาเหตุที่เขาต้องแต่งหน้าให้ดูหนาขึ้นเล็กน้อยก็เพราะว่า… เขากลัวรัตติกาลจะจำเขาได้น่ะสิ!
เขายอมรับว่าตัวเขาเองค่อนข้างสติหลุดไปหน่อยที่แต่งหญิงออกมาเดินเล่นวันที่เจอกับรัตติกาล แต่ไหนๆ เรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว เขาไม่ยอมให้ความลับน่าขายขี้หน้านี้หลุดออกไปให้ใครได้รู้แน่นอน
แค่ไปขอร้องให้ไอ้โยช่วยก็เสียศักดิ์ศรีมากเกินไปล่ะ… ธนูคิดในใจ
แน่นอนว่าเขาไม่ได้อายเลยซักนิดที่ตัวเองแต่งหญิงได้สวย(อ้าว?) ตรงกันข้ามเขากลับภูมิใจมากๆ เสียด้วยซ้ำ ที่ตัวเองมีความสามารถขนาดนี้ แต่ที่เขาจำเป็นต้องปิดบังรัตติกาลก็เพราะเขากลัวว่าเธอจะไม่เชื่อใจให้คนบ้าอย่างเขามาเป็นผู้ช่วยต่างหาก… เพราะดูแล้วเธอค่อนข้างไว้ใจเขาในร่างอวตารแต่งหญิงนี่ซะมากกว่า
ธนูใช้มือซ้ายที่ว่างอยู่จัดวิกผมสีบลอนด์ทองเจ้าเก่าให้เข้าที่เข้าทาง เมื่อพอใจกับรูปลักษณ์ของตัวเองแล้ว เขาก็กระหยิ่มยิ้ม ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากระโปรงเหมือนเดิม
ทันใดนั้น เสียงประตูดาดฟ้าก็เปิดออก ธนูเบิกตาอย่างตกใจ ก่อนจะรีบเก็บอาการ และยืนหุบขาด้วยท่าทีเหมือนกุลสตรีอย่างที่โยได้แนะนำมา
ธนูกลืนน้ำลายด้วยความลุ้นระทึกเมื่อเห็นร่างบางเดินเข้ามายังลานดาดฟ้า
รัตติกาลค่อยๆ เดินเข้ามาหาธนูอย่างลังเล นัยน์ตาสีดำสนิทของเธอฉายแววดีใจปนตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“ส...สวัสดี” ธนูพยายามบีบเสียงให้เล็กที่สุด ให้เหมือนผู้หญิงอย่างที่เคยซ้อมมา “ได้ข่าวมาจากธนูว่าเธออยากเจอฉัน มีอะไรรึเปล่า...จ๊ะ?”
เมื่อเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมา ธนูก็แทบอยากกัดลิ้นตายทันที
ให้ตายเหอะ จะพูด ‘จ๊ะ’ ออกไปทำไมว่ะไอ้ธนู อย่างกับผู้หญิงแอ๊บแบ๊ว!!
เมื่อเห็นว่ารัตติกาลยังไม่ตอบ ธนูจึงหันหน้าไปมองเธอตรงๆ ก่อนจะพบกับสีหน้าสงสัยจากอีกฝ่าย
“...มีอะไรรึเปล่า?”
“ป...เปล่าๆ” รัตติกาลตอบ เมื่อนึกได้ว่าตัวเองเงียบนานเกินไปหน่อย “คือฉันแค่สงสัยนิดหน่อยน่ะว่าทำไมวันนี้เสียงเธอ...แปลกๆ”
มือของธนูชื้นไปด้วยเหงื่อขึ้นมาทันทีเมื่อความกลัวที่จะถูกจับได้คืบคลานเข้ามาในใจ ทั้งที่ปกติเขาจะแถไปได้เรื่อยๆ แต่วันนี้ดูเหมือนว่าหัวสมองเขาจะขาวโพลนไปหมด
บ้าจริง ลืมไปเลยว่าวันแรกที่พูดกับยัยนี่ก็ใช้เสียงปกตินี่หว่า แล้วจะบีบเสียงเล็กเสียงน้อยทำไมฟ่ะ! ธนูคิดแล้วก็กัดริมฝีปากล่างของตนเองอย่างกลุ้มอกกลุ้มใจ
“วันนี้ฉันไม่สบายนิดหน่อยน่ะ แค่กๆ” ธนูแกล้งกระแอมไอแก้เก้อ ก่อนจะยิ้มเล็กๆ “ว่าแต่ที่เธอบอกว่าอยากเจอฉันนี่มีอะไรเหรอ?”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น รัตติกาลก็โยนความสงสัยทิ้งไป ก่อนจะพูดต่ออย่างติดขัดเล็กน้อยด้วยความประหม่า “ฉันแค่อยากจะมาขอบคุณอย่างเป็นทางการที่ช่วยชีวิตฉันไว้น่ะ”
“โธ่ ถ้าเรื่องนั้นมันก็แค่เรื่องขี้ปะติ๋วเอง ไม่มีอะไรซะหน่-”
“แล้วฉันก็อยากถามเธอให้แน่ใจเรื่องการประกวดด้วยน่ะ” รัตติกาลเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เมื่อธนูได้ฟังอย่างนั้น เขาก็เงียบกริบอีกครั้ง รู้สึกสมองต้องทำงานหนักเพื่อประมวลความคิดของตนเองอีกครั้ง
“เธอสงสัย...ธนูเหรอ?”
“ก็ไม่เชิงหรอกนะ แต่ฉันแค่กำลังงงๆ น่ะ ว่าทำไมอยู่ๆ เธอก็อยู่ทีมเดียวกับเขาเฉยเลย ไม่เห็นเธอบอกอะไรแบบนี้ตั้งแต่วันแรกซะหน่อย เลยคิดว่ามันน่าสงสัยน่ะ” รัตติกาลเสมองไปทางอื่น ก่อนจะหันกลับมาสบตากันอีกครั้งด้วยแววตาเป็นกังวล “เธอไม่ได้โดนธนูบังคับให้มาพูดอย่างนี้หรอกใช่มั้ย?”
ยัยนี่… เห็นฉันเป็นคนยังไงกันแน่วะ!
ถึงจะหงุดหงิดที่รัตติกาลเอ่ยออกมาแบบนั้น แต่ธนูก็(พยายาม)เก็บท่าทีไม่พอใจไว้ใต้รอยยิ้มหวาน “ไม่ๆ เราเป็นญาติกันจริงๆ ถ้าเธอตกลงร่วมทีมกับธนูก็เท่ากับอยู่ทีมเดียวกับฉันด้วย ฉันขอโทษที่วันนั้นไม่ได้บอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“อ้าว ยังงี้ถ้าฉันเกิดชนะขึ้นมาจริงๆ เอ่อ... ถึงจะเป็นไปไม่ได้ก็เถอะ แต่ระหว่างเธอกับธนู ใครจะได้เป็นประธานปีหน้ากันล่ะ?”
ถามมากจริงวุ้ย
“ฉันก็ยกให้กับธนูนั่นแหละ ฉันแค่อยากมาช่วยเฉยๆ น่ะ” ธนูในร่างอวตารรีบตอบก่อนจะเสริมต่อเมื่อนึกถึงสคริปต์ที่เตี๊ยมมาก่อนหน้า “อ้อ แล้วไม่ต้องสงสัยว่าทำไมไม่ค่อยเห็นฉันที่โรงเรียนนะ ฉันเป็นเด็กขี้โรคไม่ค่อยสบายน่ะ ส่วนใหญ่เลยเรียนอยู่ที่บ้าน”
“งั้นเหรอ…” รัตติกาลพึมพำ
เอาล่ะ หมดเรื่องซะที ธนูคิดก่อนจะเอ่ยต่อ “เดี๋ยวเธอต้องไปเจอกับธนูที่ห้องสภานักเรียนนี่ใช่มั้ย?”
รัตติกาลหันหน้ามามองธนูอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าเมื่อนึกได้ที่ธนูได้บอกเอาไว้เมื่อวานว่า หลังจากที่เจอกับ ‘ญาติ’ ของเขาแล้ว รัตติกาลต้องไปที่ห้องสภานักเรียนต่อ
“งั้นไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวนะ ต้องรีบไปโรงพยาบาลต่อแล้ว แค่กๆๆ” ธนูแกล้งไอออกมาอย่างเสแสร้ง ก่อนที่รัตติกาลจะทันได้เอ่ยอะไรต่อ
ด้วยความที่เขาต้องไปลบเครื่องสำอางกับแต่งตัวเป็นผู้ชายเหมือนเดิม เขาจึงต้องรีบไปก่อนที่รัตติกาลจะไปถึงห้องสภานักเรียน ไม่อย่างนั้นเธออาจสงสัยเขามากขึ้นไปอีก
“ด… เดี๋ยวก่อน” รัตติกาลเอ่ยรั้งธนูในร่างหญิงไว้ “คือ...ฉันยังไม่รู้จักชื่อเธอเลย”
เออว่ะ ยังไม่ได้ตั้งชื่อให้ตัวเองเลย ธนูหยุดพร้อมชะงักคิด เมื่อนึกได้ก็หันกลับไปตอบอย่างขอไปที ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากประตูดาดฟ้าทันที “ฉันชื่อ ท...เทเรซ! ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะ”
ธนูก้าวฉับออกมาด้วยความไวแสง ก่อนจะวิ่งลงไปยังห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดทันที โดยไม่สนโยที่ยังยืนอยู่ตรงประตูเสียด้วยซ้ำ
ไม่เคยเหนื่อยกับนางแบบคนอื่นขนาดนี้มาก่อนเลยเว้ย ธนูคิดในใจ ทุ่มขนาดนี้แล้ว ขอให้ตาฉันมองเธอไม่พลาดนะ ยัยแมวดำ
<Rattikarn’s part>
ไปซะแล้ว…
ฉันมองตามเทเรซที่เพิ่งวิ่งออกไปจากตัวดาดฟ้าด้วยอาการเหม่อลอย ทำไมเธอถึงต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วยนะ สงสัยอาจรีบกลับบ้านหรือไปโรงพยาบาลละมั้ง ก็เธอบอกเองว่าตัวเองขี้โรคเลยต้องเรียนอยู่ที่บ้าน
มิน่าล่ะ...ตลอดเวลาที่เรียนในโรงเรียนนี้ถึงไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อนเลย แต่ก็เป็นโชคดีของฉันที่วันนั้นได้เจอเธอที่ดาดฟ้าน่ะนะ ไม่งั้นฉันคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้
ฉันพับเก็บความสงสัยไว้ในใจ ก่อนจะเดินออกไปและพบโยที่ยังยืนอยู่ตรงประตู
“ว่ายังไง ยัยนั่นพูดอะไรบ้าง” โยถามขึ้นลอยๆ พร้อมกับเดินนำฉันลงบันได
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก เทเรซแค่ยืนยันให้ฉันสมัครเข้าทีมกับธนู ส่วนเธอจะคอยให้ความช่วยเหลือน่ะ”
จู่ๆ โยก็หยุดเดินกะทันหัน ทำให้ฉันต้องชะงักฝีเท้าตามไปด้วย เขาหันมามองหน้าฉันอย่างอึ้งๆ ก่อนจะพึมพำขึ้นมา “ยัยนั่น… เรียกตัวเองว่าอะไรนะ?”
“เทเรซ” ฉันตอบอย่างไม่ติดใจอะไร “มีอะไรรึเปล่า?” โยเป็นเพื่อนของธนูไม่ใช่เหรอ ทำไมโยทำอย่างกับไม่รู้จักเทเรซไปได้
“ไม่มี” โยตอบห้วนๆ ก่อนจะก้าวต่อไป พร้อมกระซิบเพียงเบาๆ ให้ตัวเองได้ยิน “เอาชื่อแม่ตัวเองมาตั้งเนี่ยนะ…”
“เมื่อกี้พูดอะไรรึเปล่า?”
“เปล่า”
พวกเราไม่ได้คุยอะไรกันต่อหลังจากนั้น จนกระทั่งมาถึงห้องสภานักเรียน โยเดินนำเข้าไปก่อน ฉันถึงเดินตามเขาเข้าไป
ภายในห้องสภานักเรียนก็ยังกว้างขวางเหมือนเคย ฉันหันไปมองคนที่นั่งอยู่ในห้องอย่างแปลกใจ นอกจากธนูจะไม่อยู่แล้ว ยังมีผู้หญิงหน้าใหม่ที่มีเนคไทสีม่วงคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย
เมื่อเดินไปใกล้ขึ้น ฉันจึงเห็นได้ชัดว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงโซฟาสวยแค่ไหน แม้โรงเรียนเราจะให้อิสระในการย้อมสีผม แต่ก็ไม่ค่อยมีใครมั่นหน้าขนาดย้อมเป็นสีชมพูไล่เป็นฟ้าอ่อนอย่างเธอคนนี้เลยซักคน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเฉี่ยวปรายตามามองฉันอย่างประเมิน ริมฝีปากสีชมพูธรรมชาติของเธอพึมพำขึ้นมา
“ธนูล่ะ?” ผู้หญิงหัวชมพูมองไปยังโย
“...ติดธุระนิดหน่อยน่ะ”
“แล้วจะรีบเรียกให้มาทำไมเนี่ย” สาวหน้าเฉี่ยวพึมพำอย่างหัวเสีย “ว่าแต่นี่น่ะเหรอเด็กใหม่ไอ้ธนู”
‘เด็ก’ งั้นเหรอ ทำไมฉันเริ่มฟังดูเหมือนอิหนูของตาเฒ่าหัวงูขึ้นทุกวันแล้วนะ
“อืม”
โยตอบกลับเรียบๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งโซฟาข้างๆ ผู้หญิงคนนั้น ฉันที่ยืนนิ่งทำตัวไม่ถูกก็มองซ้ายมองขวา ก่อนจะลากเก้าอี้เลื่อนแถวโต๊ะประชุมมานั่งบ้าง
ฉันหันไปมองหน้าผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งด้วยสายตาชื่นชม ทำไมพักนี้ฉันถึงเจอแต่กับคนสวยหล่อเยอะนักนะ ไม่ค่อยชินบรรยากาศโดดเด่นแบบนี้เท่าไหร่เลยแฮะ
“มองหน้าทำไม” ยัยหัวสีชมพูหันมาจ้องตาฉันพลางชักสีหน้าไม่พอใจ เมื่อสังเกตได้ว่าฉันจ้องหน้าเธออยู่
“ป...เปล่า” ฉันเอ่ยตอบ พร้อมหันไปมองอย่างอื่นในห้องแทน
“บ้าป่ะเนี่ย” เธอพึมพำต่อเหมือนพูดคนเดียวลอยๆ จนฉันอดที่จะเบะปากไม่ได้
เสียแรงที่แอบชมชะมัดเลย… ท่าทางจะแสบใช้ได้เลยนี่
พวกเรานั่งอยู่ด้วยกันท่ามกลางความเงียบอันมาคุสักพัก เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงโวกเวกของเจ้าเก่าอย่างธนู
“เฮ้ ทุกคนมากันแล้วเหรอ โทษทีที่มาสาย” ธนูพูดพลางหอบแรงๆ ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
ผู้หญิงท่าทางแสบๆ เมื่อกี้ในห้องหันไปถามเขาอย่างสงสัย “ไปทำอะไรมา ทำไมหอบเป็นลูกหมาขนาดนั้น?”
“เอ่อ ไปทำอะไรก็เรื่องของฉันน่า” ธนูพูดปัดอย่างรำคาญ ก่อนจะหันมายิ้มแย้มให้กับฉันอย่างน่าหมั่นไส้ “เอาล่ะ รัตติกาล ฉันจะแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนๆ ของฉันนะ”
ฉันพยักหน้าเป็นเชิงให้เขากล่าวต่อ ธนูจึงรีบพูดอย่างกระตือรือร้น “ไอ้ผู้ชายที่ฉันส่งไปรับเธออ่ะ ชื่อโย มาจากแผนกถ่ายรูป มันจะมาช่วยเราถ่ายรูปให้เธอนั่นล่ะ เห็นยังงี้ก็เหอะ แต่มันเป็นหัวหน้าแผนกของแผนกถ่ายรูปเชียวนะ!”
“ไอ้ท่อน ‘เห็นยังงี้ก็เถอะ’ คืออะไร” เสียงไม่พอใจจากโยดังขึ้นมาจากโซฟา แต่ธนูก็เมินอย่างไม่ใส่ใจ
“ส่วนยัยนี่ชื่อพาสเทล อยู่แผนกเดียวกับเรานี่แหละ แต่ไม่ค่อยมาโรงเรียนเพราะมีงานถ่ายแบบอะไรของมันก็ไม่รู้ มันจะมาช่วยเธอเรื่องบุคลิกภาพ การแอ็กท่าและบลาๆๆ”
พาสเทลเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ขึ้นเสียงเล็กน้อย “น้อยๆ หน่อยย่ะ นางแบบเป็นอาชีพที่มีเกียรติ์นะ ขอบอก”
“หมั่นไส้จริงวุ้ย” ธนูเดินเข้าไปหาพาสเทลก่อนจะยีผมสีชมพูของเธอขึ้นจนฟู พาสเทลมองหน้าธนูอย่างหงุดหงิด ก่อนจะพยายามผลักมือเขาออกไปจากหัวเธอ
สนิทกันจังแฮะ… ดีจังที่มีเพื่อนที่สนิทขนาดนั้น
ฉันมองการกระทำอันธรรมดาเหล่านั้นด้วยแววตาประทับใจปนอิจฉา สักวันฉันจะมีโอกาสเข้าไปในโลกแบบนั้นบ้างมั้ยนะ
“ว่าแต่ยัยนี่เด็กที่นายจะเอามาปั้นจริงๆ เหรอวะ” โยเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นำพาบรรยากาศน่าอึดอัดกลับมาอีกครั้ง
“นั่นสิ ฉันว่ายัยนี่… ธรรมดาไปหน่อยนะ” พาสเทลเอ่ยเสริมเบาๆ แต่คำพูดของทั้งคู่ก็มากพอให้ฉันหน้าเสีย
เอาจริงๆ ฉันก็เห็นด้วยกับพวกนี้นะ ถึงจะพูดกันตรงไปหน่อยก็เถอะ….
ป้าบ! ป้าบ!
ธนูจับหัวคนทั้งสองมาชนกันอย่างแรง จนทั้งโยทั้งพาสเทลร้องโวยวายขึ้นมาพร้อมกันเสียงดัง
“ทำบ้าอะไรของแกวะ/ย่ะ!?”
“ก็จะให้ถอนคำพูดเมื่อกี้ยังไงล่ะ” ธนูตอบด้วยเสียงฮึดฮัด ก่อนจะก้าวมาดึงเก้าอี้ฉัน และจับไหล่ของฉันจากข้างหลัง “ยัยนี่สวยจะตาย ไอ้พวกตาไม่มีแวว”
ด...เดี๋ยวสิ อย่าชมกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้สิ
ฉันเริ่มรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนขึ้นมาทันทีด้วยความเขินจากคำพูดของธนู
“ฉันก็ธรรมดาจริงๆ นั่นล่ะ…” ฉันตอบแก้เก้อ เพื่อลบความรู้สึกแปลกๆ ออกไป “นายจะเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันนะ…”
“Non! ไม่ให้โว้ย โนเวย์สเตชั่น” ธนูขัดเสียงดังก่อนจะโน้มหัวลงมาจ้องหน้าฉัน จนรู้สึกได้ว่าหน้าพวกเราห่างกันแค่ไม่กี่เซนต์ “ไม่มีทางปล่อยของดีงี้ให้ใครง่ายๆ หรอก”
ตึกตักตึกตัก
ทั้งๆ ที่รู้ว่าหมอนี่คงพูดปากหวานไปเรื่อย แต่เสียงหัวใจฉันกลับเต้นรัวไม่เป็นจังหวะอย่างน่าอาย ทำไมคนตระกูลนี้ถึงมีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจฉันนักนะ ตั้งแต่ยัยเทเรซ แล้วยังหมอนี่อีก
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่ายัยนี่มีดีอะไรนักหนา นายถึงอวยกันขนาดนี้ แต่เอาเถอะ ฉันจะยอมเชื่อนายสักครั้งละกัน” พาสเทลเอ่ยขึ้น พร้อมหันไปมองโยเป็นเชิงถามว่าเอายังไง ซึ่งโยก็ยักไหล่ตอบ
“เอาไงก็เอา”
“มาสนิทกันเข้าไว้นะทุกคน~” ธนูเอ่ยอย่างร่าเริงประหนึ่งสาวน้อยในการ์ตูนตาหวาน ฉันหันไปมองคนทั้งสาม พลางถอนหายใจเบาๆ โดยไม่ให้ใครรู้
ตากล้องเงียบๆ (เหมือนฉัน) หนึ่ง… นางแบบท่าทางเปรี้ยวแสบอีกหนึ่ง และผู้ช่วยหน้าหวานท่าทางไม่เต็มเต็งอีกหนึ่ง…
แค่เริ่ม… ก็เห็นความวุ่นวายตามมาติดๆ แล้วแฮะ ยังงี้ฉันจะรอดมั้ยเนี่ย
--------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่า blue_umbrella กลับมาอีกแล้วน้า บทนี้ก็ขอให้นักอ่านเอนจอยกับการสลับร่าง(?) ไปมาของพี่ธนูนะคะ >0<
บทนี้ก็มีตัวละครมาเพิ่มคนนึง นั่นก็คือพาสเทลนั่นเองค่ะ มาคอยลุ้นกันนะคะ ว่าพาสเทลจะมามีบทบาทอย่างไรกับรัตติกาลและธนู
สุดท้ายก็ขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ พี่น้องทุกคนที่สนับสนุนนะคะ เราดีใจมากๆ เลยที่ได้มีส่วนร่วมในโครงการนี้ ขอบคุณนักอ่านทุกท่านสำหรับคะแนนโหวตและคอมเม้นด้วยนะคะ เม้นติชมได้เลยค่ะ ตอนนี้พร้อมรับคำชม/ติ ทุกรูปแบบ ฮา
ยังไงก็ฝากติดตามบทต่อๆ ไปด้วยนะคะ <3
บทนี้สดใสกริ้บกริ้วและน่ารักนะ โทนเรื่องผ่อนคลายดี ไม่รู้ว่าคิดไปเองคนเดียวมั้ยนะ แต่พี่ฮาฉากที่นางเอกอยากเจอพระเอกที่แต่งหญิง หรือที่นางอ้างว่าญาติแหละ55555 แล้วอีธนูก็บ้าจี้อีก น่ารักกก พี่ชอบบบ
คือมันจะมีสาเหตุที่นางเอกจะฆ่าตัวตายมั้ยอ่ะ พี่อยากรู้
สู้ๆนะก๊ะ บทนี้การจัดหน้าดีมากและการบรรยายถึงพริกถึงขิงมากข่ะ
รออ่านเลยยย~~
มีความเป็นกลุ่มแก๊ง ดูน่าสนใจมากๆ ชอบโย 5555
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ ^^