สวัสดีค่ะชาว Dek-D วันก่อนเราไปเจอทวีตนึงของ 'พี่น้าย' เจ้าของแอคเคานต์ @naiisthaistory ที่ได้เล่าเรื่องราวความสำเร็จครั้งใหญ่ หลังจากได้เรียนต่อ ป.ตรี ถึง ป.เอก แล้วเพิ่งเริ่มงานเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.ดร.) ที่ Kyushu University มหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka / 福岡) แห่งเกาะคิวชู
และหลังจากติดต่อไป พี่น้ายก็ยินดีตอบรับเพื่อมาแชร์ประสบการณ์เรียนที่ญี่ปุ่นให้ฟังแบบจัดเต็ม ทำให้รู้เลยว่าคณะเกษตร (Faculty of Agriculture) ของที่นี่มีวิธีสอนที่เก๋เวอร์มาก ทั้งนอนป่า, ไปฟาร์มวัว, เก็บน้ำค้าง, นั่งชมธรรมชาติในรั้วมหา'ลัย และอีกเยอะมาก ใครสนใจคณะสายนี้หรืออยากเรียนต่อภาคอินเตอร์ที่ญี่ปุ่น ห้ามพลาดค่ะ!
- ป.ตรี คณะ Faculty of Agriculture ภาค Bioresource and Bioenvironmental Science, Kyushu University
- บัณฑิตศึกษา (ป.โท-เอก) Graduate School of Bioresource Sciences, Kyushu University
- ป.ตรี-โท เราได้ทุน Domestic MEXT (Super Global) ที่ได้ recommended จากทางมหาวิทยาลัย ส่วนป.เอก เราได้ทุน JSPS (Japan Society for the Promotion of Science ระดับ DC1) เป็นเงินรายเดือนกับค่าทำแล็บปีละ 7-8 แสนเยน เป็นเวลา 3 ปี
เริ่มจากติ่งญี่ปุ่นหนักมาก
จนอยากลองไปแลกเปลี่ยนสักครั้ง
เมื่อก่อนเรามีความฝันว่าอยากใส่ชุดนักเรียนญี่ปุ่น~ แล้วคือเราเป็นติ่ง J-POP ตั้งแต่เด็ก ช่วงที่กำลังจะขึ้น ม.6 ก็ลองสมัครโครงการแลกเปลี่ยนดู สรุปว่าติด แต่ความยากคือเราเลือกเมืองไม่ได้ เราได้ไปจังหวัดโออิตะ (Oita / 大分県) บนเกาะคิวชู คนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย พื้นญี่ปุ่นตอนนั้นคือได้จากการติ่งกับเรียนพิเศษนิดหน่อย พอได้พวกอักษรฮิรางานะ, คาตากานะ, อ่านออกเขียนได้บ้าง แต่ไม่แน่นเพราะไม่มีโอกาสใช้
สรุปว่าได้ใส่ชุดนักเรียนญี่ปุ่นสมใจแล้ว 55555 อยู่ที่นู่นเราเรียนภาค Design ที่โรงเรียนเทคนิค อารมณ์อาชีวะบ้านเราที่จบไปทำงานได้เลย เวลาเรียนจริงจังมากและเป็นกึ่งปฏิบัติ มีวาดรูป ปั้นหมอ ฝึกถ่ายรูป ตัดไม้ ฝึกทำปาร์เกต์ ฯลฯ ภาษาก็พอเดาๆ ถูไถไป ข้อดีคือไม่เคว้ง เพราะเรียนกับน้อง ม.4 ที่ทุกคนเพิ่งมาทำความรู้จักเหมือนกัน จนก่อนกลับก็พูดญี่ปุ่นได้ จากที่ไม่เคยสอบวัดระดับก็ได้ N3 แล้วพอไปแลกเปลี่ยนก็ยิ่งชอบ ติดใจอยากไปอีก เริ่มเปิดหาข้อมูลแล้วว่ามีมหาวิทยาลัยไหนที่เราพอจะไปเรียน ป.ตรี ได้บ้าง
ได้ทุนโครงการ Global 30
ของรัฐบาลญี่ปุ่น (MEXT)
เราไปเจอโครงการนึงชื่อ Global 30 ที่รัฐบาลญี่ปุ่นสมัยนั้นอยากส่งเสริมให้ ม.รัฐของเขามีความเป็นสากลขึ้น ส่วนใหญ่คณะก็จะเป็นฝั่งวิทย์ทั้งนั้น ซึ่ง Kyushu Unviersity คือ 1 ใน ม.ที่เข้าร่วม อยู่ฟุกุโอกะ ใกล้ๆ โออิตะเหมือนกัน + สอนหลักสูตรนานาชาติ อยากแนะนำน้องๆ ว่าถ้าใครอยากเรียนต่างประเทศ ไม่จำเป็นว่าต้องได้ภาษาของประเทศนั้นๆ เสมอไป การมีทักษะภาษาอังกฤษก็เพิิ่มโอกาสได้ ลองเช็กว่ามีหลักสูตร/มหาวิทยาลัยไหนมีภาคอินเตอร์บ้าง
ตอนนั้นเป้าหมายเรื่องคณะของเรายังไม่ชัด แค่รู้ตัวว่าชอบชีวะกับดูสารคดี แล้วที่บ้านก็อยากให้เป็นนักวิจัย เลยเลือกภาค Bioresource and Bioenvironmental Science ของคณะเกษตร (Faculty of Agriculture) เขามี require ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ + ยื่นคะแนน SAT แต่ไม่ต้องสอบ TOEIC/TOEFL + สอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ ตอนนั้นขยันสุดในชีวิตแล้วมั้ง 5555 เตรียมตัวไป 3 เดือน ส่งคะแนนแล้วผลคือติดด้วย (ได้ทุนโครงการ Global 30 ทั้งตอน ป.ตรีกับ ป.โท)
อ่านเกี่ยวกับโครงการ Global 30รีวิวชีวิตเด็กอินเตอร์คณะเกษตร
มหา'ลัยสวย คลาสเล็ก เรียนเข้มข้น
อยากบอกว่า ม.คิวชูเพิ่งจะย้ายแคมปัสใหม่เอง แล้วเขาซื้อภูเขาทั้งลูกมาสร้างมหาวิทยาลัย พี่ย้ายมาแคมปัสใหม่ตั้งแต่ป.เอกปี 1 จนถึงตอนนี้ค่ะ สวยมากกก~ แล้วยังตั้งอยู่ในเมือง Fukuoka ที่ใหญ่สุดในภูมิภาคคิวชู เป็นสไตล์เมืองหลวงแต่ไม่หลวงจัด ไฉไล โมเดิร์น คนเยอะ ค่าครองชีพไม่สูงมาก มีทุกอย่างครบ บินตรงจากกรุงเทพฯ ถึงเลย :)
เริ่มแรกเราจะได้เรียน International Course กับเพื่อนต่างชาติ ทั้งจากนอร์เวย์ อียิปต์ อเมริกา เกาหลี อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ฯลฯ ประเทศละ 1-2 คน ช่วงนี้จะยังเรียนรวมกันทุกโปรแกรมเพื่อปรับพื้นฐาน ส่วนตอน ป.ตรีจะมีข้อดีเรื่องคนน้อย แค่คลาสละ 5 คนไปจนถึง 26 คน ทำให้เรามีส่วนร่วมในคลาสเยอะ อาจารย์จะเน้นให้พรีเซนต์ แล้วยิ่งเป็นอาจารย์ต่างชาติสอนก็จะยิ่งยืดหยุ่นด้วย ถ้าเกิดไม่เข้าใจก็ส่งอีเมลไปถามได้ตลอด หรือบางทีเลิกคลาสเสร็จพุ่งเข้าชาร์จไปถามเลยก็ได้
แต่ต้องบอกว่าข้อสอบยากมาก เราเอาหนังสือเข้าได้ก็จริง แต่ถ้าไม่เข้าใจก็เขียนตอบไม่ได้อยู่ดี ข้อสอบจะเหมือนมี 2 ชั้นอ่ะ ให้ข้อความมาดูว่าถูก/ผิด แล้วเขียนอธิบาย ถึงผิดก็ต้องแก้ว่าทำไมถึงผิด แล้วต้องแก้เป็นอะไร (*เกรด A ตัดที่ 90 ถ้าต่ำกว่า 60 คือติดศูนย์)
เล่าตัวอย่างวิชาเรียนช่วง ป.ตรี
ชีพจรลงเท้า ขึ้นเขาลงห้วย
เริ่มมาปีแรกจะได้เรียนวิชาพื้นฐานพร้อมเด็กวิศวะฯ มีเลข, แคลคูลัส 1/2, กลศาสตร์1, บังคับฟิสิกส์ 1 เคมี1 ชีวะ1 ตอนนั้นเราเน้นเก็บชีวะทุกตัว ส่วนเคมีเรียนถึงปี 2 รวม 5 ตัว มันจะยากตรงที่เป็นเนื้อหาระดับมหา'ลัย แต่เจอคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่เราพอรู้จักอยู่แล้ว พอขึ้นปี 2 วิชาเด็กคณะเกษตรฯ จะเป็นแนวๆ วิชาป่าไม้, สัตวศาสตร์, พืชศาสตร์, Cell Biology, Food Science, Microbiology (วิชาหลังก็จะเป็นพวกหมักดอง ทำเบียร์ต่างๆ)
แล้ววิธีสอนเค้าแปลกใหม่มาก อย่างวิชาสัตวศาสตร์ เค้าให้ไปนอนฟาร์มวัว 3 วัน 3 คืน มีให้อาหารวัวด้วย หรือวิชาประมงก็ออกไปดูเค้าเลี้ยงหอย ไปโรงงานไข่ปลา
ชอบสุดคือวิชานี้!
วิชาที่มีลงเรียนแค่คนเดียวในรุ่น
เป็นวิชาของชีววิทยาตัวนึง อาจารย์ที่สอนเป็นอเมริกัน (นึกภาพคุณซานตาครอสได้) ตอนนั้นเรียนถึงเรื่องนิเวศวิทยา แล้วอยู่ๆ อาจารย์บอก ‘เบื่อจังงง ออกไปดูธรรมชาติกันมั้ย?’ แล้วก็พาเดินรอบมหาวิทยาลัย ‘นี่คือราสเบอร์รี่ป่านะ กินได้’ ‘ตรงนี้ไข่กบ’ ‘ตรงนู้นมีตั๊กแตน’ ‘เนี่ย อาจารย์มีแอบเลี้ยงผึ้งไว้ตรงนี้ด้วยนะ มันจะไปผสมพันธุ์กัน แต่หน้านี้จะยังไม่ออกดอก’
แล้วมหา’ลัยก็ธรรมชาติต้นไม้ใบหญ้าเยอะอยู่แล้ว บางทีอาจารย์ก็จะสอนเรื่องห่วงโซ่อาหารโดยการเหวี่ยงแหไป 1 ตารางเมตร ให้นั่งบันทึกว่ามีสิ่งมีชีวิตกี่แบบ มีต้นไม้กี่ชนิด แค่หญ้าก็แยกเป็น 10 ชนิดแล้ว แมลงใต้ดินบนดิน นกบินผ่านแถวนี้กี่ตัว เราก็นั่งสังเกตไป 1 ชั่วโมงว่ามีอะไรเดินผ่านบ้าง พาเดินไปสอนไปเรื่อยๆ สนุก~~
วิชาที่ให้ไปนอนป่า 3 วัน 3 คืน
ปีนไปดูต้นน้ำ, เก็บเห็ด, หาใบไม้ ฯลฯ
วิชาทรัพยากรชีวภาพ (Introduction to Bioresource) ก็ได้ไปนอนป่า 3 วัน 3 คืนเหมือนกัน พอดีว่าใน ม.จะมีศูนย์วิจัยตั้งอยู่ในป่า ป่าจะเป็นป่าโปร่ง ป่าทึบ ต้นสนเยอะๆ อาจารย์ก็ให้เราปีนเขาไปดูต้นน้ำ 5555 จริงจังด้วยนะ เราต้องเอาแกลลอนไปวางหลายๆ จุด พอน้ำค้างหรือฝนตกก็วางทิ้งไว้แล้วมาดูว่าแต่ละแกลลอนเก็บน้ำได้เท่าไหร่ คำนวณว่าพื้นที่ป่าและสภาพอากาศแบบนี้จะมีน้ำส่งไปที่ต้นน้ำแค่ไหน แล้วต้นน้ำความยาวเท่านี้ผลิตน้ำได้กี่ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ประมาณนี้
แล้วอาจารย์ก็ชวนไปเก็บเห็ดดูใบไม้ต่อ "ปะ! ไปตามหากันว่าใบไม้ใบนี้มันของต้นไหน?" 55555 แล้วอากาศก็ดีมากกกอ่ะ คนนำทริปคืออาจารย์ของภาควนศาสตร์ที่เขาจะเข้าไปเก็บตัวอย่างพอดี ตอนเช้าจะเรียนก่อน เสร็จแล้วค่อยเข้าป่า แล้วพักในกระท่อมเล็กๆ คืนสุดท้ายมีตั้งแคมป์ไฟย่างบาร์บีคิวกินกัน // รุ่นเราไม่มีใครเลือกเรียนเอกวนศาสตร์สักคน แต่เราว่ามันน่าสนุกดีเหมือนกัน
.............
พักชมภาพการเรียนมันส์ๆ
ของเด็กคณะเกษตร ม.คิวชูกันค่ะ!
ส่วนวิชานี้ให้จับกลุ่มสร้างเมืองและวิทยาการ
โดยใช้สูตรเคมีทั้งหมด
วิชา Inorganic Chemistry (เคมีอินทรีย์) ทั้งเทอมแทบไม่มีเรียนเลยนะ แต่ต้องไปทุกคาบ มีโจทย์ให้จับกลุ่มกัน 3 คน คละสายกัน เกษตร1 วิศวะเคมี1 กับวิศวะไรสักอย่างอีก1 (ลืมๆๆ) อาจารย์เป็นคนอังกฤษ บรีฟว่า ‘เนี่ย โลกจะแตกแล้ว จะสร้างโลกมาใหม่ เราเป็นนักวิทยาศาสตร์สมัยก่อน มีความรู้อย่างเดียวแต่ไม่มีอะไรเลย จะสร้างเมืองและวิทยาการขึ้นมายังไง?’ ให้เราเขียนเป็นสูตรเคมีให้หมด เหมือนเราเล่นเกมสร้างเมืองแล้วต้องคราฟต์อ่ะ สมมติจะสร้างเอธานอลก็ต้องเริ่มนู่นเลย ปลูกอ้อย
อาจารย์เค้าจะให้ฝึกคิดแล้วก็ต้องการสื่อว่าในทุกสิ่งอันมันมีเคมีอยู่นะ ทุกคนเรียนเคมีมาตั้งแต่ ม.ปลาย รู้กันหมดแล้วแหละ อยากให้ลองฝึกคิดแบบนี้ดู รู้สึกแปลกใหม่ดีอ่ะ ทีมเราก็โอเค มีคนเกาหลีที่เก่งเคมีมากๆ อยู่คนนึง พอคิดอะไรขึ้นมาก็ถามไปว่า สมการนี้สร้างไงวะๆๆ 555555
ส่วนวิชาสุดหิน 2 อันดับแรกก็คือ...
สำหรับเราคือ 'Mechanics' (กลศาสตร์) เป็นตัวบังคับที่เรียนพร้อมเด็กวิศวะฯ พวกการเคลื่อนที่ มาเป็นทฤษฎี-สมการล้วนๆ เจอคณิตศาสตร์ขั้นสูงอีก ก็เลยได้ C มา กับอีกวิชาคือ ‘ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น’ ยากแบบโอ้โหวว ท่องจำยุคนั้นยุคนี้ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พุทธศาสนา มีเขียนรายงานกับสอบจริงจัง เด็กวิทย์ 30 คนที่นั่งเรียนด้วยกันก็จะบ่นแบบ 'ว้อททท!'
เรียนอินเตอร์
แล้วได้ภาษาญี่ปุ่นมั้ย?
ส่วนตัวคือมีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นเยอะจากการเข้าชมรม ทำงานพิเศษ เวลาเรียนทำแล็บจะใช้ภาษาอังกฤษ ส่วนตอนเข้าแล็บใช้ภาษาญี่ปุ่น 100% เลย เวลาคุยกับเพื่อนหรืออาจารย์จะใช้ภาษาญี่ปุ่น ทำให้ได้ทั้งสองภาษา
แล้วตอน ป.ตรีเค้าจะมีบังคับเรียนภาษาญี่ปุ่น 4 คาบ/สัปดาห์ ถือว่าเยอะเพราะใน 1 วัน max แค่ 5 คาบ ตั้งแต่ 8.40-18.10 น. เขาอยากให้เรียนเพราะไหนๆ มาอยู่ญี่ปุ่นทั้งที ถ้าได้ภาษาก็จะใช้ทำงานกับเอาชีวิตรอดในญี่ปุ่นได้ เขาจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับ เริ่มต้น / กลาง / สูง ส่วนใหญ่คนจีนกับเกาหลีเค้าจะได้ N1 แล้วไปคลาสสูงกัน (ส่วนเราอยู่ระดับกลาง) ตอนเรียนคือเก็บเกรดจริงจัง เรียนๆ เล่นๆ ไม่ได้ สอนทักษะครบทั้งฟัง-พูด-อ่าน-เขียน สอบคำศัพท์ทุกสัปดาห์ เหนื่อยตรงต้องเรียนวิทย์ไปด้วย พอขึ้นปี 3 เหลือญี่ปุ่นแค่ 2 คลาส เน้นเรียนวิชาคณะมากกว่า อาจารย์ที่สอนจบจากสาขาสอนภาษาญี่ปุ่นโดยเฉพาะ
ทำวิจัยสเกลใหญ่ ยิงยาว ป.ตรี-เอก
ได้รางวัลผลงานวิจัยดีเด่น 2 รางวัล!
พอรู้ตัวว่าจะเรียนต่อ ป.โท-เอก ก็เลือกทำวิจัยเรื่องที่ใหญ่และใช้เวลานานมาก ซึ่งก็คือการปรับปรุงพันธุ์ต้นข้าวให้ทนต่อความร้อนขึ้น เติบโตได้ดีท่ามกลางอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น โดยเราจะดูลึกไปถึง DNA และการแสดงออกของยีน
สุดท้ายได้รางวัลผลงานวิจัยดีเด่น Academic Scholar Awards จากทั้งทาง Graduate School of Bioresource Sciences และจากทางมหาวิทยาลัย Kyushu University ด้วย ถ้าเป็นรางวัลของคณะจะมีคนได้ 2-3 คนต่อปี ซึ่งคนที่ได้ที่ 1 ของคณะจะได้เป็นตัวแทนคณะขอรางวัลของมหาวิทยาลัย (ปกติจะได้คณะละ 1 คน)
เรียนสายวิทย์ที่ญี่ปุ่นเหนื่อยมากก อาจแล้วแต่แล็บแหละ ปกติช่วง ป.โทจะมี Coursework + วิจัย แต่ถ้า ป.เอกจะทำวิจัยล้วนๆ ทำให้เราไม่สามารถหยุดพักได้ เพราะเราทำงานกับสิ่งมีชีวิต ต้นไม้ใบหญ้า ต้องคอยเฝ้าสังเกตการเติบโตและความเปลี่ยนแปลงตลอด ตั้งแต่ ป.ตรีเราไปแล็บทุกวัน เค้าจะบังคับเวลา 9.30-17.30 น. แต่ปกติเรากลับ 1-2 ทุ่ม ถ้าวันไหนดึกก็อาจยาวไปถึง 3-4 ทุ่ม ขนาดเสาร์-อาทิตย์ยังต้องไป ยกเว้นป่วยหนักแบบไม่ไหวจริงๆ เรากลายเป็นคนไม่มีเวลาเที่ยวเลย
เข้าชมเว็บไซต์หลักของคณะเกษตรฯ ม.คิวชูจบมาเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่ ม.คิวชู
เหตุผลคือเราชอบพูด ชอบกระบวนการสอนมากกว่าจะเป็นนักวิจัยเพียวๆ ที่นั่งทำงานคนเดียว คิดว่าเจอวัยรุ่นน่าจะทำให้กระปรี้กระเปร่าด้วย อีกอย่างเรารู้สึกไม่อยากเก็บเรื่องที่ค้นพบว่ามันน่าสนใจไว้คนเดียว อยากแชร์ให้นักศึกษารู้ เลยตัดสินใจมาเป็นอาจารย์ แต่ว่าตอนนี้ยังไม่มีวิชาเป็นของตัวเอง เพราะปกติที่ญี่ปุ่นจะต้องเป็นรองศาสตราจารย์ขึ้นไปถึงจะสอนได้ ส่วนตำแหน่งทางวิชาการของเราตอนนี้คือผู้ช่วยศาสตราจารย์ (Assistant professor) ก็เลยสอนเด็กในแล็บ (เช่น วิธีสกัด RNA)
แต่ถ้าถามถึงงานแบบตรงสายคณะนี้ ส่วนใหญ่จะไปทาง Food Company เช่น กูลิโกะ อายิโนะโมะโตะ ทำพวกส่งออกเนื้อ ฯลฯ ถ้าเป็นสายพืชก็จะทำงานเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ ออร์แกนิก ไบโอเทค ฯลฯ จริงๆ ไปได้ทุกสายงานแหละ เพราะคนญี่ปุ่นไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องจบสายตรงถึงจะรับเข้าทำงาน เราจะไปเป็นพนักงานแบงก์หรือสายการ์ตูนก็ยังได้ เพียงแต่พอจบ ป.โทจะสโคปลงมา เพราะมีเรื่องฐานเงินเดือนขึ้นมาเกี่ยวข้อง คนจะเน้นทำงานตรงสาย แล้วยิ่ง ป.เอกก็จะเป็นวงแคบไปอีก อาจเป็นนักวิจัยของราชการ, อาจารย์หมาิวทยาลัย, นักวิจัยบริษัทเอกชน ฯลฯ
จากที่สังเกตค่านิยมคนที่นี่จะสอบเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการกันเยอะ เพราะเป็นภาพลักษณ์ทางบวก มั่นคง การแข่งขันสูง อย่างเช่นเกิด pandemic (โรคระบาด) เห็นชัดเลยว่างานราชการอยู่ยงคงกระพันมากกก สวัสดิการก็ดีอีก คือรอดชัวร์
ชีวิตเรียนเครียด
เรารีแลกซ์ด้วยวิธีไหน?
ด้วยความเป็นติ่งญี่ปุ่นติ่งเกาหลี ก็จะมีฝึกเต้นมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนแรกคิดว่าเข้าชมรมเต้นของมหาวิทยาลัยไว้ผ่อนคลาย คั่นอารมณ์จากความเครียดตอนเรียน แต่ปรากฏว่าซ้อมโหดมากกกก~ นัดซ้อมเที่ยงคืนถึงหกโมงเช้า พอขึ้นปี 3 เรียนยากเราก็ไม่ไหว เลิกไป จนตอนขึ้น ป.เอก เรามาอยู่จุดที่เหนื่อย เหนื่อยไรไม่รู้แหละ แล้วมีรุ่นน้องถามว่าทำไมไม่ทำสิ่งที่ชอบบ้าง เราก็นึก เออ..เราชอบเต้นหนิ แต่ไม่มีคอนเนกชัน เลยไปนั่งเสิร์ช google เจอโรงเรียนสอนเต้น K-POP อยู่แถวบ้าน
พอเข้าไปเจอเด็ก ม.ต้น ม.ปลาย แล้วมีคลาสของผู้ใหญ่โดยเฉพาะ อ่ะก็ยังดี 55555 เต้นถึงเที่ยงคืนแล้วกลับมานอนต่อ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ นานๆ จะฟอร์มทีมกลับมาเต้น แต่ไม่ได้ลงแข่งหรือไปประกวดที่ไหน
........
Life in Japan
รีวิวความญี่ปุ่นใน 4 ข้อ
- เรารู้สึกคนญี่ปุ่นนิสัยดี มีมารยาท พูดสุภาพกับคนต่างชาติ ส่วนตัวเราไม่เคยถูก bully ทั้งในสังคมมหาลัยและตอนทำงานพิเศษ
- ระบบ Seniority เคร่งสุดๆ สมมติอายุเท่ากันแต่เค้าเข้ามหาลัยก่อนก็ต้องพูดสุภาพ มีหางเสียง อะไรก็ต้องให้ก่อน ให้กินก่อน ต้องเสิร์ฟน้ำให้ก่อน อาจต้องเตรียมรับมือเรื่องระบบอาวุโสนะ แต่ให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก
- ประกันสุขภาพดีมากกกก ทุกคนที่นี่ไม่ว่าจะคนญี่ปุ่นหรือต่างชาติก็จะได้รับส่วนลดค่ารักษาพยาบาล 70% ในกรณีที่มีทะเบียนบ้านที่นี่เป็นกิจจะลักษณะ มีใบ Resident Card แล้วไปเดินเรื่องทำประกันสุขภาพ จากนั้นเวลาไปหาหมอก็ยื่นใบ ตรวจๆ เสร็จแล้วจ่ายเงิน โชว์ปุ๊บไม่ต้องจ่ายไปก่อน
- เปลี่ยนมือถือทีไม่ต้องมีเงินก้อน สมมติอยากได้ Iphone รุ่นใหม่ ถ้าทำสัญญากับบริษัทนี้จะไม่ต้องควักเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อทันที แต่ทยอยจ่ายรวมในค่าบริการ เช่น มือถือราคา 30,000 เราไม่ต้องเสียแล้ว ถ้า 2 ปีก็ 20,000 หาร 12 เดือน เวลาอยากได้มือถือใหม่ก็ไปเลือกเครื่องแล้วเค้าจะคำนวณให้
"จากที่อยู่ญี่ปุ่นมาเข้าปีที่ 10 ถ้าให้เทียบก่อน-หลังมาที่นี่ เรารู้สึกตัวเองซึมซับความญี่ปุ่นมาทั้งทางที่ดีและไม่ดี ทางที่ดีคือเป็นระเบียบมากขึ้น มารยาทดีขึ้น แต่ในทางกลับกันเรากลับไม่กล้าหยุดพักเท่าไหร่ค่ะ แคร์คนรอบข้างมากขึ้น ทำให้บางทีทำงานหนักเกินไป"
[ รวมลิงก์น่าสนใจ ]
http://www.isc.kyushu-u.ac.jp/pdf/TH_2.pdf The Global 30 Project https://www.mext.go.jp/en/policy/education/highered/title02/detail02/sdetail02/1373894.htm https://schoolynk.com/media/articles/ea4cfb82-d1fc-4ece-b3aa-15779f0aabe3
[ ชวนอ่านต่อ ]
รวมบทสัมภาษณ์ประสบการณ์เรียน & ทำงานที่ญี่ปุ่น
ชีวิตยุคโควิดของเด็กทุนรัฐบาลญี่ปุ่นใน 'Fukuoka' กับประสบการณ์ไฟไหม้ห้องพัก!
https://www.dek-d.com/studyabroad/56196/
จากศูนย์คูณไปร้อย! ‘นัท’ นร.ทุนมงรุ่นโควิด เรียน Econ ที่ Hitotsubashi ประเทศญี่ปุ่น (ลุยงานพิเศษเพียบ)
https://www.dek-d.com/studyabroad/55739/
พกแพสชันไปแลกเปลี่ยนที่ 'ยามะกุจิ' เมืองชนบทในญี่ปุ่นฉบับ ‘ภาษาไม่ได้แต่ใจรัก’
https://www.dek-d.com/studyabroad/57465/
เปิดใจคนไทยที่ทำงาน 'ดูแลผู้สูงอายุ' ในญี่ปุ่น ทั้งเงินดี เวลาดี แต่จิตตกเพราะเพื่อนร่วมงาน!
https://www.dek-d.com/studyabroad/55857/
เล่าชีวิตเรียนพากย์ที่ รร.สายอาชีพใน 'ญี่ปุ่น' ประเทศที่เทรนนักพากย์ให้ลุยสายบันเทิงเต็มตัว!
https://www.dek-d.com/studyabroad/56034/
0 ความคิดเห็น