Servus ชาว Dek-D ทุกคนนน~~ ใครกำลังเรียนมหาวิทยาลัยในไทย แต่อีกใจก็คิดอยากไปเปิดโลกที่ต่างประเทศสักครั้งในชีวิต ต้องบอกว่าทุกวันนี้มีทางเลือกใหม่ๆ ให้เรา add-on อยู่เสมอ เช่น บางมหาวิทยาลัยที่ไทยมีความร่วมมือด้านวิชาการกับต่างชาติ ซึ่งเปิดโอกาสให้บินไปแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยคู่สัญญาได้
และเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น เราจะพาไปคุยกับ “พี่แคสซี่” รุ่นพี่คนไทยที่กำลังเรียน ป.ตรี โครงการอังกฤษ-อเมริกันศึกษา หลักสูตรนานาชาติ ของ ม.ธรรมศาสตร์ (BAS TU) ที่ตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนในมหาวิทยาลัยคู่สัญญาอย่าง ‘Ludwig-Maximilian University of Munich’ หรือ LMU München ที่ประเทศเยอรมนี และได้ฝึกงานกับสถานทูตไทยที่กรุงเบอร์ลินอีกต่อด้วย // ประสบการณ์พาเธอไปเจอเรื่องสนุกๆ และท้าทายอะไรบ้าง ไปอ่านต่อกันเลยครับ!
ที่มาที่ไป ทำไมถึงเยอรมนี?
สวัสดีค่า พี่ชื่อพิชามญชุ์ รัตนเสวี (แคสซี่) อายุ 22 ปี กำลังเรียน ป.ตรี โครงการอังกฤษและอเมริกันศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ และมาแลกเปลี่ยนที่คณะ North American Studies ของ Ludwig-Maximilian University of Munich (LMU München) ช่วงนี้ตรงกับปี 3 ของมหาวิทยาลัยไทยค่ะ
มหาวิทยาลัยจะมีโครงการที่ให้เราสมัครไปแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยคู่สัญญาได้ค่ะ (ดูข้อมูลเพิ่มเติมและเช็กรายชื่อสถาบันที่หน้าเฟสบุกของ Thammasat International Office) เราตัดสินใจเลือกเยอรมนีเพราะอยากหาโอกาสฝึกเพิ่มอีกภาษา และ LMU München เป็นมหาวิทยาลัยนึงที่ดังมากๆ ติดอันดับ 2 ของประเทศเยอรมนี และอันดับ 59 ของโลกจาก QS World University Rankings 2025 เรามองว่าจะช่วยเสริม Transcript กับ Resume ของเราให้โดดเด่นขึ้น มีประโยชน์กับการหางานในอนาคตค่ะ
สำหรับขั้นตอนสมัครโครงการนี้ไม่ซับซ้อน มีกำหนดเกณฑ์ไว้เบื้องต้นคือ
- เป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ หลักสูตรปกติหรือนานาชาติก็ได้
- GPA ไม่ต่ำกว่า 2.7 หรือ 3.0
- ผลวัดระดับภาษาอังกฤษ (ขึ้นอยู่กับคณะและมหาวิทยาลัยปลายทางที่เลือก)
อ้างอิงจากตอนเราสมัคร LMU München กำหนด GPA 2.7 ขึ้นไป และคะแนน IELTS 6 ขึ้นไปก็ยื่นได้แล้วค่ะ (อันนี้เราเรียนเป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษนะ) หลังจากผ่านขั้นตอนยื่นเอกสาร เราจะได้ไปสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษกับอาจารย์ของ ม.ธรรมศาสตร์ ส่วนตัวเจอคำถามที่ไม่ยากมาก ทริกเอาตัวรอดคือให้เตรียมความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเยอรมนีไว้ เผื่อจะสามารถหยิบยกมาเล่าประกอบบางคำถามได้
เปิดประสบการณ์เรียนใหม่แบบสับ
ฉบับเด็กแลกเปลี่ยนในมหาวิทยาลัยเยอรมนี
ที่ผ่านมาเราเรียนกับครูชาวอเมริกันและชาวอังกฤษมาตลอด และมีเพื่อนร่วมคลาสก็เป็นคนไทย พอมาถึงก็เปลี่ยนบรรยากาศมาเจอเพื่อนร่วมคลาสเป็นคนเยอรมันไปประมาณ 98% เปิดอีกมุมมองว่าคนที่นี่คิดเห็นอย่างไรกับประเด็นที่เรากำลังเรียนอยู่บ้างค่ะ
วิชาส่วนใหญ่ที่เราลงจะเป็นแนววัฒนธรรมศึกษา (Cultural Studies), ประวัติศาสตร์ (History) และการเมือง (Politics) ซึ่งไม่ผิดหวังเลย เราได้แลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนๆ ชาวเยอรมันในคลาสเยอะมาก และเจอประสบการณ์เรียนที่ท้าทายมาก เนื้อหาทั้งยากทั้งเยอะ แล้วต้องปรับตัวกับวิธีการเรียนที่ต่างจากเดิมด้วย
การเรียนที่นี่จะมีตั้งแต่ การฟังบรรยาย (Lecture) นักเรียนเยอะมาก อาจารย์จะอธิบายเนื้อหาให้ฟังจนหมดคลาส หรือไม่ก็ให้ไปอ่าน Text แล้วเค้าจะสอนต่อจากสิ่งที่เราอ่านมา
หรือบางวิชาก็เป็นรูปแบบ สัมมนา (Seminar) คนในคลาสมีแค่ราวๆ 10-20 คน อาจารย์จะให้เราอ่าน Text แล้วมาตอบคำถามหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนๆ ในคลาส และหนึ่งในกิจกรรมที่เราชอบมากคือการทำ News of the Weeks (NTOW) ทุกคนจะต้องหาข่าวมาแชร์ในห้องเรียน ทำให้เราได้อัปเดตสถานการณ์รอบโลกพร้อมกับเก็บศัพท์ใหม่ไปด้วยค่ะ
และอีกรูปแบบที่แทบจะเป็นคลาสส่วนตัวเลยก็คือ Tutorial มีนักเรียนน้อยมากกก เราชอบที่อาจารย์จะสอนและให้คำแนะนำได้อย่างทั่วถึง ทำให้เราเข้าใจแต่ละหัวข้อได้เจาะลึกขึ้น
โดยรวมเราว่าการเรียนตอนอยู่ที่นั่นต้องพึ่งวินัยที่สูงมากๆ เพราะต้องเตรียมอ่านและทำความเข้าใจก่อนเริ่มกำหนดคลาสต่อไป + ทำการบ้านให้ครบ ไม่งั้นอาจตุ้บนะ ไม่ใช่แค่ในห้องสอบ แต่อาจเรียนไม่รู้เรื่องและสะสมทบไปเรื่อยๆ ทั้งเทอมเลยก็ได้
ประสบการณ์การฝึกงานที่ยากจะลืมลง
ในช่วงแลกเปลี่ยน 1 ปี จะมีวันหยุด 1 เทอมคั่นระหว่างเทอม เราตัดสินใจไปฝึกงานตำแหน่งกงสุลและผู้ช่วยที่ปรึกษาฝ่ายการเมือง ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน หลักๆ จะดูแลการรับคำร้องเช่น การทำพาสปอร์ตและบัตรประชาชนให้กับคนไทยในเยอรมนี และได้ทำ Research เกี่ยวกับการเมืองที่เกี่ยวข้องกับทางไทย-เยอรมนีด้วย
เรามองว่าเป็นโอกาสดีมากที่ได้ไปเปิดโลกการทำงานจริงๆ ที่ยังคงเกี่ยวข้องกับราชการไทย แม้ตัวจะอยู่ต่างประเทศก็ตาม เพราะถ้าเราเรียนจบแล้วอยากฝึกงานหรือทำงานราชการเพื่อให้เห็นภาพว่าจะชอบสไตล์นี้หรือไม่ ก็ต้องผ่านการสอบ ก.พ. หรืออื่นๆ อีกหลายขั้นตอนเลยค่ะ
นอกจากนี้คือเรารู้สึกโชคดีและเป็นเกียรติมากที่ตอนฝึกงานได้มีโอกาสอำนวยความสะดวกให้อาจารย์อนุชา ที่เดินทางมาเผยแพร่วัฒนธรรมไทยผ่าน “ผ้าไหมไทย” ซึ่งเราได้รับเลือกให้ไปใส่ผ้าไหมที่ทรงคุณค่าและราคาสูง เพื่อแสดงให้เป็นที่ประจักษ์สู่สายตาของชาวยุโรปว่าผ้าไหมไทยของเราสวยงามและมีคุณค่ามากขนาดไหน
ไม่เคว้ง ไม่เซ็ง มีอะไรให้ทำเพียบ!
อยู่ปีเดียวได้เพื่อนใหม่เยอะมากกกก แบบ ก.ไก่ล้านตัว ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนต่างชาติที่มาแลกเปลี่ยนเหมือนกัน ทั้งจากเกาหลี จีน ญี่ปุ่น อิตาลี ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส อินโดนีเซีย ฮังการี อังกฤษ เลบานอน ยูเครน มองโกเลีย ไต้หวัน อินเดีย ปากีสถาน หรือแม้แต่ปาเลสไตน์ และเพื่อนคนไทยด้วยกันเอง (ทุกคน Nice มากค่ะ)
มิวนิกเป็นเหมือนศูนย์กลางในการเดินทาง ทำให้การเดินทางสะดวกมาก (บางครั้งรถไฟกับรถบัสก็อาจจะดีเลย์บ้างจนน่าหงุดหงิด แต่พอเราถึงที่หมายปุ๊บ ความรู้สึกไม่ดีจะถูกหักลบและจางหายไป 5555) เดินทางค่อนข้างสะดวก (รถไฟ รถบัส บางทีจะมีดีเลย์บ้างจนน่าหงุดหงิด)
เราได้ไปเที่ยวหลายที่มากๆ ไม่ใช่แค่ในประเทศเท่านั้น เพราะการอยู่ที่เยอรมนีทำให้เราไปต่อได้อีกหลายประเทศ เช่น ออสเตรีย ฮังการี อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส หรือแถบ Scandinavia อย่างสวีเดนและเดนมาร์ก หรือ Tropical Countries เช่นกรีซและโมนาโก ส่วนกิจกรรมก็มีให้ทำเยอะมากกก โดยเฉพาะงานเบียร์ที่จัดเรื่อยๆ ทั้ง Oktoberfest, Frühlingfest และที่เด่นอีกเหมือนกันคือการแข่งฟุตบอลค่ะ
เปิดใจให้กว้าง ใช้ชีวิตให้จอย
เราไปอยู่ประเทศเยอรมนีตอนใต้ที่คนไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษกัน ทำให้ต้องฝึกภาษาเยอรมันเยอะขึ้น แต่ฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ตึงเครียด อารมณ์คนที่นี่จะค่อนข้างปรับไปตามสภาพอากาศและเทศกาล เราสังเกตว่าพวกเขาจะอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัดช่วงหน้าร้อน (Summer) และตอนมีแข่งฟุตบอล
คนเยอรมันมีความหลากหลายทางเชื้อชาติสูงมาก เราสามารถเจอได้ทั้งคนที่หน้าตาสไตล์ยุโรป ตะวันออกกลาง หรืออาจเดาไม่ถูกว่ามาจากที่ไหน ถ้าเป็นโซนเอเชียก็จะมีคนอินเดียและจีนเยอะค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน เรามีโอกาสเจอทั้งคนในแบบที่เราชอบหรือไม่ชอบ, เป็นมิตรหรือไม่เป็นมิตร, ปิดใจหรือเปิดใจรับคนเอเชียอย่างเต็มอก คิดเสมอว่าเค้าจะอาจไม่ได้เข้าใจที่ประเทศไทยเป็นหรือมี และการมาจากประเทศที่เจริญแล้ว ไม่ได้เท่ากับว่าต้องมองโลกอย่างเข้าใจทะลุปรุโปร่ง เพราะแต่ละคนเกิดและโตในสังคมที่แตกต่างกัน
"พอเรามาแลกเปลี่ยน เป้าหมายคือการมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์และเรียนรู้วัฒนธรรมที่ต่าง ก็เลยพยายามเปิดใจให้กว้างเข้าใจธรรมชาติของผู้คนให้มากที่สุด ถ้าเป็นไปได้ก็เลือกใส่ใจเฉพาะคนที่ดี จะได้ไม่นอยด์กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ"
ฝากทิ้งท้ายสำหรับว่าที่ทีมเยอรมัน
คนเยอรมันหน้าดุ แต่จริงใจนะ ถ้าใครสนใจมาแลกเปลี่ยน เราขอเป็นหนึ่งเสียงที่แชร์ว่าประเทศนี้ไม่ได้น่ากลัว คนเยอรมันก็ไม่ได้ดุตลอดเวลา ไม่แน่ว่าการแลกเปลี่ยนอาจพาเราไปเจอมิตรภาพที่จะติดตัวทุกคนไปตลอดชีวิตก็ได้ค่ะ~
……………
เป็นยังไงกันบ้างกับรีวิวสุดว้าวของ ‘พี่แคสซี่’ กับเรื่องราวครบรสใน 1 ปีที่ได้ทั้งความรู้และทักษะการใช้ชีวิตเยอะมากกก สำหรับใครที่สนใจไปแลกเปลี่ยนในต่างแดน ไม่ว่าจะเป็นเมืองและประเทศใดก็ตาม อย่าลืมเก็บข้อมูลอย่างละเอียดและเริ่มเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทางครั้งใหญ่นะครับ Bis später!~~~
เยี่ยมชมเว็บไซต์มหาวิทยาลัย
0 ความคิดเห็น