Hallo! สวัสดีค่าชาว Dek-D ใครที่สนใจอยากสมัครเรียนต่อ "เยอรมนี" ประเทศที่มาพร้อมคาแรกเตอร์แข็งแกร่ง ดุดัน จริงจัง และอัดแน่นด้วยคุณภาพ ห้ามพลาดศีกษาข้อมูลทุน DAAD สำหรับเรียนต่อคอร์สระยะสั้น, คอร์ส ป.โท หรือ ป.เอก กลุ่มสาขาที่กำหนดนะคะ ทุนนี้แบ่งเป็นหลายกลุ่มสาขา ตอบโจทย์ความสนใจที่หลากหลาย และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเรียนต่างประเทศให้ซอฟต์ไปเยอะเลยค่ะ
ก่อนอื่นขอแนะนำย่อยๆ ว่า DAAD (อ่านว่า เด-อา-อา-เด) มาจากคำเต็มภาษาเยอรมันว่า Deutscher Akademischer Austausch Dienst เป็นตัวแทนสถาบันการศึกษาทั้งหมดในเยอรมนี มีศูนย์ให้ข้อมูลอยู่ตามประเทศต่างๆ และได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเยอรมนีโดยตรง หลักๆ จะให้บริการข้อมูลและคำปรึกษาเรื่องการเรียนต่อ ทำวิจัย จัดกิจกรรม เดินสายแนะนำในงานและมหาวิทยาลัยต่างๆ ไปจนถึงดูแลเรื่องทุน DAAD สำหรับในประเทศไทย ก็มี ศูนย์บริการข้อมูล DAAD กรุงเทพฯ ที่ซอยเกอเธ่ สาทร 1 โดยมีพี่เจ้าหน้าที่ตัวตึงคือ "พี่มีน" และ "พี่เจ" ที่มีข้อมูลและประสบการณ์แน่นๆ คอยให้ความช่วยเหลือ
ไหนๆ เราก็ได้ไปร่วมกิจกรรมดีๆ ของ DAAD มาแล้ว เลยขอถือโอกาสชวน "พี่มีน" มาเล่าประสบการณ์เมื่อครั้งเป็นนักเรียนทุน DAAD (EPOS) โดยไปต่อ ป.โท เจาะลึกระบบการศึกษาสายอาชีพของเยอรมนีโดยเฉพาะ และเรียนเป็นภาษาเยอรมัน 100% ด้วย จะท้าทายขนาดไหน? อยากฝากคำแนะนำอะไรถึงน้องๆ ที่สนใจสมัครมาเรียนที่นี่ ตามมาเริ่มข้อแรกกันเลยค่า~
1.
Bitte stellen Sie sich vor.
(Please introduce yourself.)
สวัสดีค่า ชื่อ "พี่มีน – อิศราภรณ์ กิตติวิศิษฎ์" นะคะ เรียนจบ ม.ปลาย สายศิลป์-ภาษาเยอรมัน และ ป.ตรี เอกภาษาเยอรมัน คณะศิลปศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) หลังเรียนจบพี่เริ่มงานแรกที่มูลนิธิวัฒนธรรมไทย-เยอรมัน ทำเกือบ 3 ปีก่อนจะไปเรียนต่อ ป.โท สายการศึกษาจาก TU Dresden ประเทศเยอรมัน ปัจจุบันนี้พี่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำ DAAD Thailand่ ค่ะ
จริงๆ พี่มีความฝันอยากเรียนต่างประเทศตั้งแต่ ม.ปลาย ดูข้อมูลทุนไว้หลายที่ + ค้นหาตัวเองว่าอยากเรียนต่อด้านไหนถ้าเกิดไม่ใช่ภาษาเพียวๆ สิ่งที่จุดประกายให้อยากเข้าไปช่วยพัฒนาระบบการศึกษาของไทยให้ดีขึ้น ก็คือช่วงเรียนพี่ได้ทำค่ายอาสา และสมัครเป็น Teacher Assistant หลังเรียนจบจาก ม.ธรรมศาสตร์ค่ะ
2.
ตัดสินใจสมัครทุน DAAD
เรียนต่อสาขาและประเทศที่ใช่สุด
ทุน DAAD มีแบ่งแยกย่อยอีกเยอะมากตามกลุ่มสาขา แล้วแต่ละกลุ่มก็มีกำหนดโปรแกรมกับมหาวิทยาลัยมาให้เลย ดังนั้นหากมีน้องๆ เข้ามาสอบถามโดยตั้งต้นว่า "DAAD มีทุนไปเรียนอะไรบ้าง" พี่ๆ ก็จะถามกลับก่อนว่า "อยากเรียนหรือทำงานสายไหน" เพื่อให้สามารถแนะนำต่อได้ถูกกลุ่ม เพราะถึงชื่อทุนขึ้นต้นด้วย DAAD เหมือนกัน แต่รายละเอียดไม่เหมือนกันเลย เช่น
- ทุน DAAD กลุ่ม Helmut-Schmidt-Programme (Master’s Scholarships for Public Policy and Good Governance – PPGG)
- ทุน DAAD กลุ่ม Development-Related Postgraduate Course (EPOS) *พี่สมัครกลุ่มนี้
- ทุน DAAD กลุ่ม Study Scholarships for Foreign Graduates in the Field of Arts (Architecture, Music, Visual and Performing Arts)
- [มาใหม่!] ทุน DAAD กลุ่ม Study Scholarships for STEM Disciplines
พี่สมัครทุน DAAD กลุ่ม Development-Related Postgraduate Courses (EPOS) สนับสนุนโดย “กระทรวงเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา” เจาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ครอบคลุมระดับ ป.โท หรือ ป.เอก ลิสต์สาขาและมหาวิทยาลัยที่กำหนด
อ้างอิงระเบียบการทุน DAAD (EPOS) ปี 2025/2026
สาขา ป.โท ที่สมัครได้มีดังนี้
- เศรษฐศาสตร์/ บริหารธุรกิจ/ เศรษฐศาสตร์การเมือง (Economics Science/ Business Administration/ Political Economics)
- ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา (Development Cooperation)
- วิศวกรรมด้านพลังงานหมุนเวียนและการจัดการทรัพยากร (Engineering and Related Sciences)
- การวางผังเมือง (Regional and Urban Planning)
- เกษตรกรรมและป่าไม้ (Agricultural and Forest Sciences)
- วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Natural and Environmental Sciences)
- สาธารณสุขศาสตร์ (Medicine/ Public Health)
- สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และ นิติศาสตร์ (Social and Political Sciences, Education and Law)
- นิเทศศาสตร์ (Media Studies)
- หลักสูตรระดับ ป.เอก ตรวจสอบได้ที่ https://www.daad.or.th/files/2024/03/EPOS-25-26-PhD.pdf
มูลค่าทุน DAAD (EPOS) ครอบคลุมค่าเรียน, ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ, ค่าประกันสุขภาพ, ประกันอุบัติเหตุ ค่าประกันอื่นๆ และมีค่าเบี้ยเลี้ยงให้รายเดือนด้วย *อ้างอิงระเบียบการทุนปี 2025/2026 ป.โท ได้เบี้ยเลี้ยงเดือนละ 934 ยูโร (ประมาณ 36,730 บาท) และ ป.เอกเดือนละ 1,300 ยูโร (ประมาณ 51,130 บาท)
*ปกติแล้วทุกมหาวิทยาลัยที่เยอรมนี จะไม่มีนโยบายเก็บค่าเทอม (Tuition Fee) (ยกเว้นในรัฐ Baden-Württemberg ที่มีเก็บค่าเทอมนักเรียนต่างชาติ) แต่จะเรียกเก็บ "ค่าหน่วยกิต" หรือ "ค่าลงทะเบียน" (Semester Fee) ซึ่งทุน DAAD จะครอบคลุมส่วนนี้ด้วยค่ะ
3.
เหตุผลที่อยากเจาะลึก ป.โท
ระบบเรียนสายอาชีพของเยอรมนี
ทุน DAAD (EPOS) ให้เลือกได้สูงสุด 3 อันดับ พี่เลือกยื่นแค่ที่เดียวคือ ป.โท Vocational Education and Personnel Capacity Building (หลักสูตรภาษาเยอรมัน) ของ Technische Universität Dresden เพราะรู้สึกว่าเป็นโปรแกรมที่ตรงความสนใจที่สุด
อ้างอิงจาก DAAD Thailand อธิบายไว้ว่า "หลักสูตร ป.โท นี้จะเป็นสหวิทยาการที่เปิดกว้างให้แก่ผู้สมัครจากหลากหลายสาขา เช่น วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และสาขาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง โดยการเรียนการสอนจะมุ่งเน้นการเชื่อมโยงทฤษฎีกับภาคปฏิบัติ ที่จะทำให้เห็นภาพการจัดการระบบอาชีวศึกษา และทวิภาคีแบบดั้งเดิมของประเทศเยอรมนี รวมถึงเทคนิคการสอน การจัดหลักสูตร การประกันคุณภาพของการศึกษาสายอาชีพ และการบริหารและพัฒนาบุคลากร ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนระบบการศึกษา หลักสูตรนี้เหมาะอย่างยิ่งกับประเทศกำลังพัฒนา ที่ต้องการสร้างนักการศึกษามาดูแลและจัดการระบบการศึกษาอย่างมีมาตรฐาน"
ทำไม "ระบบเรียนสายอาชีพ" ของเยอรมนีถึงน่าสนใจ?
ประเทศเยอรมนีประกอบด้วย 16 รัฐ แต่ละรัฐสามารถจัดการระบบการศึกษาได้อิสระ หากจะปรับปรุงหรืออัปเดตให้ทันความต้องการของตลาดแรงงานจึงทำได้อย่างรวดเร็ว และอยู่ภายใต้มาตรฐานที่ดีเทียบเท่ากันทั้งประเทศ รวมถึงมีตำแหน่ง "Educator" (นักการศึกษา) ที่วางแผนจัดการระบบการศึกษาโดยเฉพาะ คล้ายกับตำแหน่ง Manager ในองค์กรค่ะ
การเรียนสายวิชาชีพ (Ausbildung) เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมสูงมากในเยอรมนี ที่นี่จะกำหนดตั้งแต่ต้นว่าถ้าอยากทำงานนี้ ต้องจบสายอาชีพไหนมาก่อน ซึ่งมีแบ่งสาขาแยกย่อยไปเยอะมาก เช่น พยาบาล/บุรุษพยาบาล, ผู้ช่วยทันตแพทย์, พนักงานโรงแรม, เสมียน, เจ้าหน้าที่ธนาคาร, ช่างกลุ่มต่างๆ, ตัดผม, ออกแบบเสื้อผ้า, กราฟิกดีไซน์, เลขานุการ, บัญชี ฯลฯ
สำหรับสายอาชีพจะใช้เวลาเรียน 2 ปีถึง 3 ปีครึ่งขึ้นอยู่กับหลักสูตร และมักได้เข้าเรียนในโรงเรียนสายอาชีพ ควบคู่กับการเข้าฝึกงานในบริษัทที่เปิดรับสมัครตำแหน่งนั้นๆ ทำให้เด็กสายอาชีพเข้าสู่ตลาดงานได้เร็ว (บางคนทำงานตั้งแต่อายุ 16-17 ปีด้วยซ้ำ) แล้วก็เป็นข้อดีในระยะยาวอีกว่าเมื่อคนกลุ่มนี้มีรายรับ = เริ่มเสียภาษี เป็นเงินทุนให้รัฐนำไปบริหารเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในประเทศให้ดีขึ้น
4.
เปิดโพรไฟล์ตอนสมัครทุน DAAD (EPOS)
และแนวเขียนเรียงความสไตล์เยอรมัน
แชร์โพรไฟล์ช่วงที่สมัครทุน DAAD (EPOS)
- วุฒิ ป.ตรี สาขาวิชาภาษาเยอรมัน ม.ธรรมศาสตร์ GPA 3.7x กว่าๆ
- คะแนนภาษาเยอรมันระดับ C1 (โปรแกรมกำหนดขั้นต่ำ B2)
- มีประสบการณ์ทำงานที่มูลนิธิวัฒนธรรมไทย-เยอรมัน เกือบ 3 ปี *ช่วงนี้พี่ตั้งใจแล้วว่าจะสมัครทุน DAAD เลยพยายามหาโอกาสฝึกภาษาและเน้นหาประสบการณ์ทำงานด้านที่สนใจที่สุดค่ะ
Motivation Letter สไตล์เยอรมันควรเป็นแบบไหน?
จดหมายแรงจูงใจ (Motivation Letter) คือหนึ่งในเอกสารที่ต้องเขียนส่งตอนสมัครทุน DAAD จริงๆ ไม่ได้มีกำหนดรูปแบบตายตัว แต่ถ้าให้แนะนำว่าการเขียนสไตล์เยอรมันเป็นประมาณไหน พี่มีนจะแนะนำดังนี้ค่ะ
- เขียนแบบปึ้ง! เนื้อเน้นๆ ชัดเจน ตรงไปตรงมา พยายามดึงความสนใจของกรรมการตั้งแต่ย่อหน้าแรกได้เลย ดังนั้นไม่ต้องอารัมภบทเยอะ
- เขียนให้กรรมการรู้จักตัวเรานอกเหนือจากที่บอกไปแล้วใน CV อาจเริ่มจากอธิบายเลยว่าเราทำสิ่งนี้ รู้สึกนึกคิดยังไง ส่งผลให้เราอยากเรียนด้านนี้ยังไงบ้าง ฯลฯ เขียนเป็น Argument เช่น ถ้าจะสมัครหลักสูตรที่เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ สิ่งที่ต้องรู้คือข้อดี-ข้อเสียของทรัพยากรน้ำในประเทศไทย
- ไม่ใช่แค่มหาวิทยาลัยเลือกเรา แต่เขาก็อยากรู้ด้วยว่าทำไมเราถึงเลือกที่นี่ ดังนั้นศึกษาข้อมูลมาอย่างดี เริ่มเขียนหลังจากได้สำรวจจนรู้จักตัวเองชัดเจน และรู้จักหลักสูตรที่จะสมัครแบบทะลุปรุโปร่ง เช่น เรียนอะไรบ้าง? เราจะได้รับอะไรจากหลักสูตรนี้? จากนั้นย้อนมาที่เป้าหมายของตัวเองว่า สอดคล้องกันไหม หลักสูตรนี้จะช่วยเราพาไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างไรบ้าง
- การเขียนเพื่อจุดประสงค์การขอทุน เรามักจะต้องคิดไกลมากกว่าประโยชน์ที่ตัวเองได้รับ ต้องคำนึงไปถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมขับเคลื่อนประเทศ ภูมิภาค หรือระดับโลก เแต่การจะ Contribute ได้มากน้อยแค่ไหนก็ต้องดูกันที่หลักสูตร เช่น พี่มีนไปรับ Know-how เกี่ยวกับระบบสายอาชีพของเยอรมนีที่เก่งเรื่องนี้อยู่แล้ว สิ่งที่ทำได้คือนำจุดเด่นของระบบเยอรมนีมาปรับใช้กับบริบทของไทย
ความท้าทายของพี่ตอนนั้นคือไม่มีภูมิหลังเกี่ยวกับสายการศึกษามาก่อน แต่มั่นใจว่าแพสชันมาเต็ม จังหวะช่วงที่ขอทุนตรงกับ Timeline การเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area: AFTA) พี่ก็ยกประเด็นนี้มาสนับสนุนใน Motivation Letter เพราะมองว่าระบบการศึกษาที่ดีคือรากฐานสำคัญในการผลิตและพัฒนาแรงงานที่มีศักยภาพและสอดรับกับตลาดงาน ซึ่งเป็นกำลังขับเคลื่อนให้ประเทศก้าวไปข้างหน้าได้
5.
ตอนเรียนเราเหมือนเป็นตัวแทนประเทศ
แชร์ข้อมูล & ขับเคลื่อนการเรียนรู้ในคลาส
มาถึงพาร์ตรีวิวการเรียน ป.โท Vocational Education and Personnel Capacity Building ที่ TU Dresden กันต่อค่ะ ด้วยความที่เป็น ป.โท เลยไม่ปูพื้นฐานเหมือน ป.ตรี แล้ว แต่จะลงลึกเฉพาะทาง แบ่งเป็นเรียน 50% และวิจัย 50% แบ่งออกเป็น 2 ศาสตร์ใหญ่ๆ คือ
- Vocational Education เรียนระบบการศึกษาสายอาชีพ เช่น ประวัติศาสตร์ ที่มาที่ไปของเยอรมนี *มีคลาสสัมมนาให้เด็กทุนแต่ละประเทศมาแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งเราก็จะได้พรีเซนต์ระบบของเราด้วย
- Personnel Capacity Building การพัฒนาบุคคล แนวๆ Human Resources แต่จะมุ่งเน้นที่บุคลากรภาครัฐและด้านการศึกษา มีเรียนจิตวิทยาการศึกษาด้วย
เพื่อนๆ ในคลาสก็มีทั้งจากประเทศเวียดนาม, โคลัมเบีย, ไทย และประเทศฝั่งอัฟกานิสถาน สอนโดยอาจารย์ชาวเยอรมัน และการเรียนการสอนจะเป็นภาษาเยอรมัน 100%
การเรียนมี 3 รูปแบบ แตกต่างตามวิชา (บางวิชาอาจไม่ได้มีครบตามนี้)
- Lecture ฟังบรรยายในห้องใหญ่หลักร้อยคน
- Seminar คลาสเล็กกว่า (มีประมาณ 20-30 คน) เป็นแนวอภิปรายและทำโปรเจ็กต์ด้วยกัน
- Tutorial วงย่อยที่มาคุยกันต่อมาสิ่งที่เรียนไปมีใครติดปัญหาอะไรมั้ย (บางมหาวิทยาลัยอาจไม่มีรูปแบบนี้)
โดยปกตินักศึกษาจะต้องไปอ่านมาล่วงหน้าแล้วเตรียมมาคุยกันในห้อง พี่เองก็ต้องทำการบ้านหนักเพราะต้องศึกษาค้นคว้าเรื่องที่ใหม่สำหรับเราทั้งหมด เช่น ระบบการเรียนสายอาชีพในประเทศเราเป็นยังไงบ้าง คิด-วิเคราะห์-แยกแยะ Facts ข้อดีและข้อจำกัดของระบบในไทยเพื่อให้คนอื่นๆ ในคลาสเห็นภาพและเข้าใจมุมมองจากประเทศของเรา
เวลาเรียนให้นึกภาพเหมือนเราเป็นตัวแทนประเทศไทยหนึ่งเดียวในคลาส และรู้จักระบบในประเทศตัวเองเป็นอย่างดี (เป็นเหตุผลว่าทำไมใน Motivation Letter ถึงควรเล่าว่าจะสร้างประโยชน์อะไรในคลาสเรียน เพื่อนร่วมคลาสจะได้อะไรจากเรา) แล้วระหว่างอภิปราย เราก็อาจจะเสริมความคิดเห็นในมุมมองของเรา ตามด้วยเหตุผลสนับสนุน เช่น ระบบการเรียนสายอาชีพที่เยอรมนี มีอะไรที่สอดคล้องหรือไม่เหมาะกับบริบทประเทศไทยบ้าง ถ้าเป้าหมาย ป.โท ของใครคือการวางแผนนโยบาย เราสามารถเอาผลจากการดิสคัสในโปรแกรมนี้ไปคิดต่อยอดเป็นงานวิจัยและพัฒนาได้เลยค่ะ
6.
หลายคนเคยได้ยินว่า
คนเยอรมันพูดชัดเจน ตรงไปตรงมา
เขาก็คาดว่าชาวต่างชาติจะเป็นแบบนั้นเช่นกัน
เวลาไปเรียนบางวิชาที่มีเพื่อนคนเยอรมันลงด้วย เราสังเกตว่าพวกเขายกมือถามกันเก่งมาก แต่พอเป็นคลาสที่มีแต่คนต่างชาติ ช่วงแรกเคยเกิดเหตุการณ์ที่อาจารย์ถามว่ามีใครมีคำถามอะไรไหม? แล้วทั้งห้องเงียบ อาจารย์เลยถามต่อว่า "ถ้าอย่างนั้นเล่าสิ่งที่เข้าใจมาให้ฟังหน่อย"
จังหวะนี้แหละเรามองเห็นปัญหาเลยว่า "เราไม่รู้ว่าตัวเองไม่เข้าใจตรงไหน" และ "ไม่รู้ว่าตัวเองต้องสงสัยอะไรตรงไหนบ้าง" ดังนั้นถ้าใครไม่ได้มาจากระบบการเรียนที่ฝึกให้ตั้งคำถามหรือคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) อาจต้องปรับตัวเยอะ ตอน ป.โท พี่ก็เลยพยายามฝึกตั้งโจทย์ให้ตัวเองฝึกตั้งคำถามที่เป็นประโยชน์ทุกครั้งที่เรียน หรือถ้าสมมติจะตอบว่า "เราคิดเหมือนกับเพื่อนคนเมื่อกี้เลยนะ" แค่เห็นด้วย +1 แบบนี้เฉยๆ ลอยๆ ไม่ได้นะคะ ต้องสกัดออกมาให้ได้ว่าเหมือนยังไงบ้าง นี่น่าจะเป็นเรื่องนึงที่ชาวต่างชาติต้องเตรียมรับมือ
7.
เรียนหลักสูตรเยอรมันแบบนี้
เรื่องภาษาจะท้าทายขนาดไหน?
"ในคลาสมีเพื่อนต่างชาติทั้งเวียดนาม, โคลัมเบีย, ไทย และประเทศฝั่งอัฟกานิสถาน ไม่มีเพื่อนเยอรมันเลย แต่อาจารย์และการเรียนการสอนทั้งหมดคือเยอรมัน 100% สิ่งที่ยากสุดในชีวิตพี่คือ การทำวิทยานิพนธ์ (Thesis)"
จริงๆ แล้วภาษาเยอรมันมีโครงสร้างและไวยากรณ์ชัดเจน ไม่ได้พลิกแพลงเยอะ ยิ่งถ้าจำเก่งและพื้นฐานภาษาอังกฤษดีก็จะไปได้เร็ว แต่เหตุผลที่การเขียนธีสิสยากเพราะเราต้องใช้ภาษาวิชาการที่กระชับ สื่อความตรงไปตรงมา ต่างจากธรรมชาติของภาษาไทยที่ shape ให้เราคิดวกวนหรือซับซ้อนมากกว่า (มีครั้งนึงพี่ส่งโครงร่างวิจัยความยาว 5 หน้า อาจารย์อ่านจบยังไม่แน่ใจว่าเราต้องการสื่ออะไร จนเขาถามเราเลยค่ะ หลังจากนั้นก็รู้เลยว่าต้องฝึกสกัดใจความออกมา และฝึกการพูดที่ตรงมากขึ้น)
ส่วนคำศัพท์ที่ใช้ ถึงจะดีเลิศหรือเรียบง่าย สักระดับ B1-B2 ก็ไม่มีใครตัดสินเรา สิ่งสำคัญคือต้องสื่อชัดเจนตรงประเด็น และแนะนำให้ทำความรู้จักวงคำศัพท์เฉพาะของแต่ละสายอาชีพไว้ ชีวิตจะง่ายขึ้นค่ะ 555
ถ้าให้แนะนำน้องๆ เพื่อความอุ่นใจ ไม่ว่าจะมาเรียนหลักสูตรที่สอนเป็นอังกฤษหรือเยอรมัน อยากให้พอได้ภาษาเยอรมันมาสัก A1-A2 เพื่อช่วยเรื่องการปรับตัว พูดคุยถาม-ตอบกับคนในพื้นที่ได้ แต่ย้ำว่าสมัยที่พี่เจอคือหลายปีก่อน เดี๋ยวนี้เพราะคนรุ่นใหม่นิยมไปแลกเปลี่ยนหรือเรียนต่อต่างประเทศ และเยอรมันก็มีเปิดหลักสูตรอินเตอร์มากขึ้นด้วย
8.
รีวิวการใช้ชีวิตที่เยอฯ
เจอประสบการณ์ประมาณนี้!
- สวัสดิการนักศึกษาต่างชาติดีมาก และแทบจะได้ทุกอย่างเหมือนคนเยอรมันเลย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง การใช้ Facilities ในมหาวิทยาลัย เช่น โรงอาหาร ห้องสมุด ฯลฯ
- ส่วนใหญ่คนที่ไปเรียนเยอรมนีจะหมดเงินไปเยอะกับค่าที่พัก ซึ่งข้อดีคือ Timeline การสมัครทุน DAAD ทุกโปรแกรม เราต้องสมัครล่วงหน้า 1 ปี (เช่น สมัครปี 2024 ไปเรียนปี 2025) ดังนั้นพอเรารู้ผลตอบรับเร็ว ก็จะจองหอได้เร็ว และไม่พลาด "หอใน" ซึ่งช่วยประหยัดกว่าที่พักนอกมหาวิทยาลัยมากๆ เช่น ตอนนั้นพี่อยู่หอใน TU Dresden จ่ายเดือนละ 250 EUR รวมค่าน้ำ+ค่าไฟ และคนถือวีซ่านักศึกษาสามารถทำงาน Part-time ไว้ใช้จ่ายเพิ่มได้อีกค่ะ
- ในขณะที่คนมักจะคุ้นเคยและชอบเที่ยวเยอรมนีฝั่งตะวันตก พี่ไปเรียนมหาวิทยาลัยใน "Dresden" (เดรสเดิน) ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของฝั่งตะวันออก บรรยากาศดี ขนาดเมืองก็กำลังพอเหมาะ ไม่ใหญ่เกินไป ตัวอย่างแลนมาร์กคือ Frauenkirche Dresden, Dresden Zwinger, Dresden Castle เป็นต้น
- พื้นฐานพี่เป็นคนขี้หนาว เรื่องใหญ่ที่ต้องปรับตัวคืออากาศค่ะ อุณหภูมิต่ำสุดที่เจอช่วงไปเรียนคือ -11 °C
- ต้องอยู่กับตัวเองให้ได้ก่อน ผู้คนเยอรมันที่เจอมีความเป็นปัจเจกสูง ไม่อยากให้คาดหวังว่าเพื่อนคนเยอรมันจะเข้าหาเราก่อน หรือชวนไปปาร์ตี้ hang out กินข้าวด้วยกันทุกวันหลังเลิกเรียน
ศูนย์บริการข้อมูล DAAD ในประเทศไทย
ก่อตั้งขึ้นในปี 2542 ในบริเวณของมูลนิธิวัฒนธรรมไทย-เยอรมัน เพื่อให้คำปรึกษาสำหรับนักเรียน นักศึกษา บัณฑิตและนักวิชาการ โดยไม่มีการเก็บค่าใช้จ่าย เราจะพยายามตอบข้อสงสัยที่คุณมี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเยอรมัน การทำวิจัยในเยอรมนีหรือโครงการความร่วมมือต่าง ๆ คุณสามารถติดต่อเราได้ในเรื่องเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนวิชาการระหว่างไทยและเยอรมนี ศูนย์บริการข้อมูลยินดีต้อนรับคุณ
เว็บไซต์ DAAD Thailand
0 ความคิดเห็น