Spoil
- หากรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในตัวเราที่ไม่เหมือนเดิม ไม่สุขสบายเหมือนที่เคยเป็นก็สามารถมาพบจิตแพทย์ได้แล้ว
- แม้มุมมองและองค์ความรู้ของพ่อแม่กับรุ่นเราจะต่างกัน แต่หากพวกท่านได้รับความรู้ที่ถูกต้อง พ่อแม่ก็จะเปิดใจยอมรับนะ
- Mental health เป็นเรื่องที่อยู่รอบตัวเรา แม้จะป่วยก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมีอคติ ช่วยกันดูแลจิตใจของตัวเองและคนรอบข้างกันเถอะ!
“ช่วงนี้รู้สึกไม่สบายใจเลย ดิ่งๆ นอยด์ๆ เป็นอะไรก็ไม่รู้...อยากไปหาจิตแพทย์จัง แต่จะบอกพ่อแม่ยังไงให้เขาเข้าใจดีละ” มีน้องๆ คนไหนกำลังเจอกับปัญหานี้อยู่ไหมคะ รู้สึกกังวลใจไม่รู้จะบอกพ่อแม่ผู้ปกครองยังไงดี...กลัวบอกไปแล้วจะยิ่งไม่เข้าใจกัน หาทางออกไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด บทความนี้ช่วยน้องๆ ได้แน่นอนค่ะ!
วันนี้พี่ออมถือโอกาสเชิญ คุณหมอวอป นพ.ณัฎฐชัย รำเพย ปัจจุบันเป็นเจ้าของคลินิกจิตเวช Smind Mental Health Clinic ที่จ. ขอนแก่น มาพูดคุยกันในเรื่องของการพบจิตแพทย์ สร้างความเข้าใจในเรื่องของสุขภาพจิต (Mental health) และโรคที่เกี่ยวกับจิตเวชกันค่ะ
อาการแบบไหนจึงควรไปพบจิตแพทย์?
หมอวอปกล่าวว่า “จริงๆ ก็คือทุกอาการนะ ขอแค่เรารู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างในตัวเราที่ไม่เหมือนเดิม ไม่สุขสบายเหมือนที่เคยเป็น ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นเป็นโรคทางจิตเวชหรือซึมเศร้า แค่รู้สึกว่าเรามีอะไรอยู่ในใจก็สามารถมาพบจิตแพทย์ได้ครับ เพราะจิตแพทย์จะช่วยเราดูทุกเรื่องที่เป็นปัญหาทางใจและทางสังคม”
“แต่ถ้าให้ไฮไลต์ เน้น! ว่ายิ่งควรต้องไปพบจิตแพทย์เลยเนี่ย คือคนกลุ่มที่เริ่มสงสัยว่ามีอาการทางจิตเวช เช่น สังเกตได้ว่าเดี๋ยวนี้ความสุขของเราน้อยลงไปมาก มันไม่เหมือนเดิม ไม่อยากไปเที่ยวเล่น ไปคุยกับเพื่อน ดูหนังฟังเพลงไม่สนุกเหมือนเดิม หรือบางทีที่เรารู้สึกว่าคิดมาก หยุดคิดไม่ได้ กังวลมากๆ อะไรบางอย่างที่มันรู้สึก extreme (สุดโต่ง) ขึ้นมาในตัวเรา เราอาจจะยังวินิจฉัยตัวเราเองไม่ได้แต่เราสัมผัสความผิดปกติเหล่านี้ในตัวเราได้ให้รีบมาพบจิตแพทย์ครับ”
การไปพบจิตแพทย์น่ากลัวไหม...บรรยากาศเป็นยังไง?
หมอวอปยิ้มพร้อมตอบว่า “บรรยากาศปกติเหมือนไปหาหมอทั่วไปเลยครับ คือมีห้องตรวจ มีโต๊ะ ไม่ต่างกันเลย ต่างกันแค่ว่าคุณหมอที่นั่งอยู่ตรงหน้าเราจะเป็นหมอที่ชอบรับฟังมากเป็นพิเศษ เข้าใจเรามากเป็นพิเศษและไม่ตัดสินเรา เรื่องที่คุณว่าไร้สาระจิตแพทย์ยังว่าไม่ไร้สาระ...มันมีความหมายเราอยากฟัง จิตแพทย์เป็นสายนั่งฟังอยู่แล้วครับ บรรยากาศโดยรวมผ่อนคลายกว่าการไปพบหมอแผนกอื่นซะอีก ”
“ยิ่งไปกว่านั้นนะ บางที่มีการตกแต่งห้องตรวจ มีรูปภาพ เปิดเสียงเพลงคลอเบาๆ มีน้ำชาเสิร์ฟ นั่งบนโซฟาคนละตัวพูดคุยกับหมอเหมือนเราไปคาเฟ่เลยก็มี แบบที่เราเคยเห็นในหนังฝรั่ง เห็นไหมครับ! ยิ่งไม่น่ากลัวเข้าไปใหญ่เลย”
แล้วเราจะพูดกับพ่อแม่อย่างไรดี?
เมื่อพี่ออมถามคุณหมอวอปว่า คุณหมอเคยได้ยินแนวคิดที่ว่า ‘พ่อแม่คิดว่าลูกที่ไปหาจิตแพทย์ หมายถึงว่าลูกเราจิตไม่ปกติ ฟั่นเฟือนหรือเป็นบ้า’ บ้างไหมคะ?
คุณหมอตอบทันทีเลยว่า “เยอะครับ! เป็นปัญหาที่เจอกันในหลายๆ คนเลย การนำเสนอเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและยาก ดังนั้นการที่ลูกๆ จะนำเสนอไม่สำเร็จเป็นเรื่องที่ไม่ผิดอะไรเลยครับ หลายคนมาหาหมอก็มาปรึกษาเรื่องนี้เหมือนกันว่าจะคุยกับพ่อแม่ยังไงดี บางคนก็ต้องแอบมาหาหมอเองโดยที่ไม่บอกพ่อแม่ ส่วนหนึ่งมันเกิดจากมุมมองและองค์ความรู้ของรุ่นคุณพ่อคุณแม่กับรุ่นเราเนี่ยมันต่างกัน เลยทำให้เขาไม่เข้าใจว่าโรคทางจิตเวชหรือว่าปัญหาทางใจที่จริงแล้วมันเป็นยังไง”
คุณหมอกล่าวต่อ “สิ่งที่ดีคือต้องอธิบาย แต่คำถามคือจะอธิบายให้เขาเข้าใจยังไงล่ะ? ” ที่หมอเจอมามันก็มีอยู่หลายรูปแบบ แล้วแต่ว่าลูกๆ จะเป็นสไตล์ไหน:
“เล่าให้พ่อแม่ฟังเกี่ยวเทรนด์สมัยใหม่”
บอกพวกท่านว่าสมัยนี้การรักษาทางจิตเวชเป็นเรื่องปกติแล้ว จริงๆ คือเราไม่ต้องป่วยเลยก็ได้ เช่น เราจะเข้าสังคมยังไง, จะเรียนหนังสือยังไงให้เก่งขึ้นจิตแพทย์ก็ช่วยแนะนำได้นะ เราอาจจะลองพูดว่า
- ‘จริงๆ หนูไม่ได้เป็นอะไรนะ แต่จิตแพทย์เขาแนะนำเกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้ได้ ซึ่งนี่ก็เป็นประโยชน์ต่อหนู’ แบบนี้คุณพ่อคุณแม่ก็จะโอเคแล้วให้มา หากมาหาหมอแล้วไปเจออาการทางจิตเวชเพิ่ม จิตแพทย์ก็สามารถเรียกพ่อแม่เข้ามาคุยได้ หมอจะช่วยอธิบายให้ก็จะยิ่งเข้าใจกันง่ายขึ้นครับ
“อธิบายในเชิงตัวโรค”
จิตเวช เป็นชื่อที่ถูกเปลี่ยนมาแล้ว ซึ่งจริงๆ มันคือ โรคในสมอง โรคในสมองก็แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ถ้าออกไปทางแขนขาอ่อนแรง-ยกแขนไม่ขึ้นหรือที่เราเรียกว่าอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคกลุ่มนี้จัดเป็นโรคทางระบบประสาท ถ้าเป็นกลุ่มที่ไปทางอารมณ์-ความคิด-ความเชื่อ-การรับรู้ โรคทางสมองนี้จะถูกตั้งชื่อว่า โรคทางจิตเวช
ลองคิดตามหมอดูนะ...สมมติถ้าเราไปบอกแม่ว่า ‘แม่ หนูเป็นโรคหัวใจ’ แบบนี้คุณแม่ก็จะรีบพาเราไปหาหมอโรคหัวใจเลยถูกไหม ? เช่นเดียวกันโรคทางสมองก็เหมือนกับโรคตับ โรคปอด โรคส่วนอื่นๆ เลย แบบนี้พ่อแม่จะเข้าใจมากขึ้นว่า อ๋อ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอวัยวะในร่างกายนะ เป็นเรื่องสารเคมีในสมองเฉยๆ ไปรักษา, กินยาให้มันเคลียร์เดี๋ยวก็หาย
- ‘ถ้าหนูบอกแม่ว่าหนูเป็นโรคหัวใจแม่ก็จะพาหนูไปหาหมอหัวใจ เป็นโรคกระเพาะก็พาหนูไปหาหมอกระเพาะ แล้วถ้าหนูเป็นโรคในสมองจะไม่พาหนูไปหาหมอโรคในสมองหน่อยหรอ?’
“อีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลเลยคือ การนำเสนอด้วยสื่อ”
ซึ่งตอนนี้สื่อของกรมสุขภาพจิต, สื่อของหมอหลายๆท่าน รวมไปถึงหมอเองก็กำลังจะทำออกมาเช่นกันครับ ลองนำสื่อเหล่านี้ไปเปิดให้คุณพ่อคุณแม่ดู วิธีนี้ได้ผลหลายครั้งแล้วนะเสิร์ชใน Google จะขึ้นมาเต็มเลย”
มีตัวอย่างเคสที่พ่อแม่ไม่ยอมให้ลูกไปพบจิตแพทย์ไหมคะ?
“หมอเคยเจอเคสเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยครับ มาหาหมอ น้องเป็นโรคซึมเศร้าที่ค่อนข้างหนักเลย ซึ่งก็มีหลายปัจจัยที่ทำให้น้องเป็นซึมเศร้า หมอให้ยาแล้วก็นัดบำบัดครับ แต่ในเคสนี้สิ่งที่ยากเลยคือ น้องเขาเด็ดเดี่ยวมากเพราะคุณพ่อคุณแม่พอทราบว่าลูกเป็นโรคซึมเศร้า พ่อแม่ก็เอายาไปทิ้ง”
“ซึ่งในมุมพ่อแม่ ท่านอาจจะคิดว่า ‘กินทำไม มันยิ่งไปกล่อมประสาทนะ’ บางทีพ่อแม่น้องอาจจะเคยได้ยินมาว่ามีคนกินยาจิตเวชแล้วซึมกว่าเดิม, แย่กว่าเดิมเขาก็กลัวเป็นห่วงครับ ทำให้เคสนี้น้องขาดยาอยู่บ่อยๆ แต่ด้วยความที่น้องเป็นเด็กรุ่นใหม่ เขาก็แอบมาหาหมอที่โรงพยาบาลอีกเรื่อยๆ พอพ่อแม่รู้ทีนึงก็เอายาไปทิ้งเคสนี้เป็นปัญหาคาราคาซังมากเลย แต่ด้วยความพยายามของตัวผู้ป่วยเอง น้องก็อาการดีขึ้นจากการที่ได้กินยาแล้วก็ได้รับบำบัด”
“พอน้องอาการดีขึ้นแล้ว ถึงจุดๆ นึง หมอเห็นว่า ‘เราต้องทำอะไรสักอย่างมากกว่านี้แล้ว’ หมอก็ขออนุญาตน้องโทรหาคุณแม่น้องเลย พอแนะนำตัวเสร็จสรรพหมอก็เริ่มอธิบายให้คุณแม่ฟัง ไม่น่าเชื่อว่าพอหมออธิบายปุ๊บปล่อยให้คนไข้กลับบ้าน กลับมาอีกทีคุณแม่เขาเข้าใจ เขาสนับสนุนลูก เขาทำตามคำแนะนำดีทุกอย่าง”
“หลายๆ ครั้ง พ่อแม่ผู้ปกครองอาจจะไม่เข้าใจ แต่ขอแค่มีคนบอกเขา get เลยครับ แปลว่าหลายๆ ครั้งที่ผู้ปกครองเหมือนจะต่อต้านเพราะเขาไม่รู้...ก็เท่านั้นเอง ตัววัยรุ่นอาจจะก็ไม่กล้าอธิบายหรืออธิบายไม่สุด ทำให้ความคิดของพ่อแม่ก็จะยิ่งเป็นแบบเดิม หากได้รับคำอธิบายที่ถูกต้องผมเชื่อว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่พร้อมที่จะเปลี่ยนเพื่อลูก แต่ว่าเขาจะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อเขารู้แล้วว่าเขาต้องเปลี่ยนอย่างไรครับ”
หมอวอปทิ้งท้าย “สังคมไทยไม่มีหรอกครับ เวลาที่หมอโทรหาแล้วตัดสายทิ้ง...แทบไม่มีเลย”
สิ่งที่ควรเข้าใจตนเองในเรื่องของสุขภาพจิต (Mental Health)
“สุขภาพจิตของเรามีขึ้นมีลงโดยธรรมชาติ จังหวะที่ขึ้นก็เป็นเรื่องปกติ จังหวะที่ดาวน์ก็เป็นปกติของมนุษย์ครับ หากสังเกตว่าเรามีจังหวะที่ดิ่ง...หมอขอไม่นิยามคำว่าดิ่งให้นะ อะไรก็ได้ที่เรารู้สึกดาวน์ รู้สึกแย่กว่าเดิมเราจะรู้ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นน้อยเป็นมากหาคนปรึกษาครับ ไม่รู้จะปรึกษาใครก็มาปรึกษาหมอ ไม่ต้องรอให้ป่วยเป็นโรคจิตเวชก็มาหาหมอได้เสมอครับ เราจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว”
“หากเรามีเพื่อนหรือคนรอบข้างที่กำลังเผชิญสภาวะนี้อยู่ ถ้าจะทำให้เพื่อนกล้าเปิดใจได้มากขึ้น เราจะต้องทำให้เขารู้สึกว่า ถ้าเขาพูดไปแล้วจะไม่ดูเป็นตัวประหลาด เด็กรุ่นใหม่สำคัญมากที่จะช่วยขับเคลื่อนเทรนด์นี้ ซึ่งหมอเองก็กำลังพยายามอยู่ครับ หมออยากให้คนทุกคนมองภาวะทางจิตใจ เรื่อง Mental health ตั้งแต่ไม่ป่วยยันป่วยเนี่ยเป็นเรื่องปกติ ธรรมชาติ ป่วยได้ก็หายได้ เหมือนที่เราบอกเพื่อนได้ไงว่าเราเป็นโรคกระเพาะ, เราเป็นหวัดนะ เราไม่เห็นอายเลย...
“ใช้กระแสของเด็กรุ่นใหม่ที่เรามีทำให้ Mental health และ Mental problems เป็นเรื่องปกติ คราวนี้ก็ไม่ต้องมานั่งปิดบังกัน เราจะสามารถใช้ชีวิตได้แบบไม่ถูกตีตรา ไม่ต้องมานั่งหวาดระแวง เวลาไปสื่อสารกับคุณพ่อคุณแม่ก็จะง่ายขึ้นด้วยนะครับ”
สิ่งที่อยากให้สังคมไทยตระหนักมากขึ้นในเรื่อง Mental Health
“Mental health เป็นเรื่องที่อยู่รอบตัวเรา แม้จะป่วยก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เรื่องที่ต้องมีอคติ มนุษย์เราต้องมีความป่วยไข้เป็นเรื่องธรรมชาติ หมั่น monitor จิตใจว่ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งของตัวเองและคนใกล้ตัว คอยให้คำปรึกษากัน ถ้านึกอะไรไม่ออกก็มาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญครับ ”
เป็นอย่างไรกันบ้างคะน้องๆ หวังว่าบทความนี้จะช่วยน้องๆ ที่กำลังเผชิญปัญหานี้อยู่นะคะ มีใครเคยเจอปัญหานี้บ้าง? มีวิธีการแก้ไขอย่างไรกันคะ เล่าให้พี่ออมและชาว Dek-D.com ฟังหน่อยสิ ส่วนตัวพี่ออมก็ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสังคมไทยสร้างค่านิยมที่ดีในการไปพบจิตแพทย์ พี่ออมเลยตั้งใจนำเสนอประเด็นนี้ออกมา โรคทางจิตเวชเป็นโรคประเภทหนึ่งอย่างที่คุณหมอวอปบอกว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นได้ก็หายได้ อย่าลืมนะคะเราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้คนเดียว...ยังมีคนอีกหลายคนที่ยินดีรับฟังเรื่องของเรา โดยเฉพาะจิตแพทย์ค่ะ บรรยากาศการไปหาก็ผ่อนคลายไม่น่ากลัวเลย ไปเล่าเรื่องที่อยู่ในใจให้คุณหมอฟัง อย่าปล่อยให้จิตใจของเราบอบช้ำไปมากกว่านี้เลยนะ :-)
1 ความคิดเห็น
ช่วงเรียนออนไลน์เรารู้สึกแย่อ่ะอึดอัดไปหมด แม่ก้ไม่ค่อยเข้าใจเราชอบบ่นโน่นนี่เรื่องจุกจิกก้อบ่นไม่ค่อยอยากคุยด้วยเท่าไหร่ ;-;