บริจาคเลือด 1 ถุง ช่วยได้มากกว่า 3 ชีวิต! มาบริจาคเลือดทุก 3 เดือนกันเถอะ
น้องๆ ชาว Dek-D เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมสภากาชาดไทยขาดเลือดบ่อยๆ ทั้งที่คนบริจาคกันตลอด เลือดที่เราบริจาคไป ถูกส่งต่อไปไหน หรือนำไปทำอะไรบ้างนะ วันนี้พี่จูนจะพาไปหาคำตอบ พร้อมกับชวนเช็กความพร้อมร่างกายก่อนไปบริจาคเลือดกันค่ะ
วันที่ 14 มิถุนายน ของทุกปี เป็น “วันผู้บริจาคโลหิตโลก” ซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2547 เพื่อเป็นการระลึกถึง ดร.คาร์ล แลนด์สไตเนอร์ (Karl Landsteiner) แพทย์ชาวออสเตรีย-อเมริกัน ผู้ค้นพบหมู่โลหิตระบบเอบีโอเป็นครั้งแรก
การบริจาคเลือด (Blood Donation) หรือบริจาคโลหิต เป็นการบริจาคเลือดของตัวเองเพื่อนำไปเก็บไว้ในคลังเลือดสำรอง โดยเลือดที่ได้รับการบริจาคจะถูกนำไปใช้กับผู้ป่วยฉุกเฉินที่จำเป็นต้องได้รับเลือด รวมถึงแยกส่วนประกอบเพื่อนำไปใช้ประโยชน์อื่น
การบริจาคเลือดนอกจากจะได้ช่วยผู้อื่นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของไขกระดูกของผู้บริจาค ทำให้เม็ดเลือดที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่จากไขกระดูกแข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเม็ดเลือดที่บริจาคไป แต่การบริจาคเลือดแต่ละครั้งจะสูญเสียเลือดประมาณ 10% ของร่างกาย หรือประมาณ 350-450 ซีซี จึงควรทิ้งระยะห่างกันอย่างน้อย 12 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดใหม่ได้
คุณสมบัติผู้บริจาคเลือด
- มีอายุตั้งแต่ 17–70 ปี หากมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์จะต้องมีเอกสารยินยอมจากผู้ปกครอง และหากเป็นผู้บริจาคครั้งแรกไม่ควรมีอายุเกิน 55 ปี และหากผู้บริจาคมีอายุตั้งแต่ 60–70 ปี จะต้องเป็นผู้ที่บริจาคเลือดอย่างสม่ำเสมอ และมีการตรวจความสมบูรณ์ของเลือดพิ่มเติมอีก
- สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
- มีน้ำหนักตั้งแต่ 45 กิโลกรัมขึ้นไป
- นอนหลับอย่างเพียงพอประมาณ 6 ชั่วโมงในคืนก่อนมาบริจาคเลือด
- ไม่มีอาการท้องเสียหรือเป็นไข้หวัด ในช่วง 7 วันก่อนการบริจาคเลือด
- ไม่มีอาการน้ำหนักลดลงผิดปกติในช่วง 3 เดือนก่อนการบริจาคเลือด
- ไม่เคยถูกเข็มที่เปื้อนเลือดตำในช่วง 1 ปีก่อนการบริจาคเลือด
- ไม่มีประวัติการเสพยาเสพติด
- ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรือไม่มีคู่นอนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ
- ไม่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ ไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรในช่วง 6 เดือนก่อนการบริจาคเลือด
- หากมีการทำทันตกรรม เช่น ถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน หรือรักษารากฟัน ควรทิ้งระยะห่างก่อนการบริจาคเลือดอย่างน้อย 3 วัน
- หากมีการเจาะหู สัก ลบรอยสัก หรือฝังเข็ม ควรทิ้งระยะห่างก่อนการบริจาคเลือดอย่างน้อย 4 เดือน
- หากมีการผ่าตัดใหญ่ ควรทิ้งระยะห่างก่อนการบริจาคเลือดอย่างน้อย 6 เดือน ส่วนการผ่าตัดเล็ก ควรทิ้งระยะห่างก่อนการบริจาคเลือดอย่างน้อย 7 วัน
- หากเคยเจ็บป่วยและเคยได้รับการให้เลือดจากผูู้อื่น ควรทิ้งระยะห่างก่อนการบริจาคเลือดอย่างน้อย 1 ปี
- หากเป็นผู้ที่เพิ่งพ้นโทษ ควรทิ้งระยะห่างก่อนการบริจาคเลือดอย่างน้อย 3 ปี
- หากเคยป่วยเป็นโรคไข้มาลาเรีย ควรทิ้งระยะห่างก่อนการบริจาคเลือดอย่างน้อย 3 ปี หากเคยเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค ควรทิ้งระยะห่างก่อนการบริจาคเลือดอย่างน้อย 1 ปี
ขั้นตอนการบริจาคเลือด
ผู้มีความประสงค์บริจาคเลือดจะต้องไปติดต่อกรอกแบบฟอร์มผู้บริจาคเลือดก่อน จากนั้นจึงรับการตรวจสุขภาพและซักประวัติ เช่น วัดความดันโลหิต ตรวจดูความเข้มข้นของเลือด ในขั้นตอนการคัดกรองนี้ ผู้บริจาคต้องให้ข้อมูลตามความเป็นจริงเท่านั้น
การบริจาคเลือดจะใช้เวลาประมาณ 10 นาที แต่หากเป็นการบริจาคส่วนประกอบอื่นๆ ของเลือด เช่น เกล็ดเลือด จะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
หลังจากหน่วยบริจาคได้รับเลือดแล้ว เลือดบริจาคดังกล่าวจะถูกส่งตัวอย่างไปตรวจในห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหมู่เลือด และตรวจความผิดปกติของเลือด เช่น การปนเปื้อนเชื้อโรคร้ายแรง ซึ่งเลือดถุงนั้นจะถูกยกเลิก พร้อมทั้งมีการแจ้งให้ผู้บริจาคทราบ
การเตรียมตัวก่อนบริจาคเลือด
การเตรียมตัวก่อนบริจาคเลือดเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ เพราะการเตรียมตัวที่พร้อมจะช่วยให้คุณภาพของเลือดที่บริจาคเป็นไปตามที่กำหนดไว้ และช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้กับผู้บริจาคเลือด โดยในเบื้องต้นควรเตรียมตัวดังนี้
- นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมงในเวลานอนปกติก่อนวันบริจาค
- รับประทานอาหารให้เรียบร้อยก่อนการบริจาคเลือด และควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เพราะอาหารที่มีไขมันสูงจะทำให้พลาสมามีมีสีขาวขุ่น และไม่สามารถนำไปใช้กับผู้ป่วยได้
- ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ เพื่อเพิ่มปริมาณสารน้ำในร่างกายและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการบริจาคเลือด
- งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนบริจาคเลือด
- งดสูบบุหรี่ ทั้งก่อนและหลังบริจาคเลือดอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดสามารถฟอกเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สวมใส่เสื้อผ้าที่แขนเสื้อไม่รัดมากจนเกินไป และสามารถพับหรือดึงแขนเสื้อขึ้นมาเหนือข้อศอกได้อย่างน้อย 3 นิ้ว
- หยุดรับประทานยาแอสไพริน ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาแก้ปวดอื่น ๆ อย่างน้อย 3 วันก่อนบริจาคเลือด
- หยุดรับประทานยาแก้อักเสบหรือยาอื่น ๆ อย่างน้อย 7 วันก่อนบริจาคเลือด
หลังบริจาคเลือด
ควรนั่งพัก 10-15 นาที โดยรับประทานอาหารว่างและเครื่องดื่ม เพื่อช่วยให้ร่างกายปรับสภาพก่อนเตรียมตัวกลับบ้าน โดยหากมีอาการคล้ายจะเป็นลมหรือรู้สึกผิดปกติ ควรนอนราบให้เท้าสูงกว่าศีรษะ หากมีเลือดออกหลังบริจาคใช้นิ้วมือกดแล้วไม่หยุดไหล ให้กลับไปปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลที่หน่วยรับบริจาคเลือด นอกจากนี้ ผู้บริจาคควรดูแลตัวเอง ดังนี้
- ดื่มน้ำมากกว่าปกติ เพื่อเพิ่มปริมาณของเหลวในร่างกาย
- รับประทานอาหารอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และมีสารอาหารครบถ้วน
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องเสียเหงื่อในปริมาณมาก เช่น การอบซาวน่า การออกกำลังกาย
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรงในแขนข้างที่ทำการเจาะเลือดในช่วง 24 ชั่วโมงหลังบริจาคเลือด เช่น การหิ้วของหนัก
- ผู้ที่ต้องทำงานกับเครื่องจักร งานที่ต้องปีนป่ายที่สูง หรืองานที่เสี่ยงอันตราย ควรหยุดพักอย่างน้อย 1 วัน
- รับประทานธาตุเหล็กที่ได้รับจากหน่วยบริจาคเลือดวันละ 1 เม็ดเพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็กติดต่อกัน โดยรับประทานจนกว่าจะหมด
บริจาคเลือด 1 ถุง ช่วยได้มากกว่า 3 ชีวิต
เลือดบริจาค 1 ถุง จะถูกส่งตัวอย่างไปตรวจกรุ๊ปเลือดและความผิดปกติของเลือด จากนั้นจะถูกนำไปปั่นแยกเป็น 3 ส่วน คือ
เม็ดเลือดแดง (red blood cell)
สำหรับผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย, โรคโลหิตจาง, โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว และภาวะที่ทำให้เกิดการเสียเลือด เช่น อุบัติเหตุ และคลอดบุตร
เกล็ดเลือด (blood platelet)
สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคไขกระดูกฝ่อ และโรคที่ทำให้มีการลดลงของเกล็ดเลือดชั่วคราว เช่น โรคไข้เลือดออก
พลาสมา (plasma)
สำหรับผู้ป่วยที่เสียเลือดมาก และนำไปทำผลิตภัณฑ์พลาสมา 3 ชนิด คือ อัลบูมิน ใช้รักษาภาวะขาดสารอัลบูมินในผู้ป่วยโรคต่างๆ แฟคเตอร์ VIII ใช้รักษาโรคฮีโมฟีเลีย เอ และ IVIG ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังนำไปทำภูมิคุ้มกันเฉพาะโรคได้อีกด้วย เช่น โรคพิษสุนัขบ้า
การบริจาคเลือดมีประโยชน์อย่างมาก นอกจากจะช่วยเหลือผู้ป่วยได้อีกจำนวนมากแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงใหม่ ช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดี ผิวพรรณสดใส และทำให้ได้รู้ข้อมูลสุขภาพตนเองด้วย
ทั้งนี้ จากสถิติความถี่ในการบริจาคโลหิตทั่วประเทศของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย พบว่ามีผู้บริจาคเลือดจำนานมากจริง แต่ไม่สม่ำเสมอ มีการบริจาคซ้ำน้อยลง ดังนั้น จึงขอเชิญชวนให้ผู้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี มาร่วมบริจาคเลือดเป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อให้มีเลือดสำรองไว้ใช้ประโยชน์อย่างเพียงพอ
สามารถบริจาคเลือดได้ที่
ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
- ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่ง
- หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 7 แห่ง (Fixed Station)
- โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิต 8 แห่ง ในเขตกรุงเทพฯ
หรือ คลิก https://redcross.to/45ggmdW เช็คสถานที่รับบริจาคโลหิตในโครงการฯ
0 ความคิดเห็น