ฉันเก่งแล้วจริง ๆ เหรอ? รู้จัก Imposter Syndrome…ภาวะคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ

‘ฉันยังดีไม่พอ’

‘ฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้น’

‘ฉันเหมาะสมที่จะได้รับคำชมจริง ๆ เหรอ?’

น้อง ๆ ชาว Dek-D เคยเกิดความรู้สึกสงสัยในความสามารถตัวเองกันบ้างหรือเปล่าคะ? บางครั้งที่ชีวิตประสบความสำเร็จแม้คนรอบตัวจะชื่นชมขนาดไหนแต่เราก็ยังรู้สึกไร้ซึ่งความภูมิใจในความสามารถของตัวเองอยู่ดี แถมยังแอบเถียงกลับในใจว่า “โชคช่วยเฉย ๆ หรอกหน่า” 

อาการเช่นนี้ ทางจิตวิทยาเรียกว่าอาการ ‘Imposter Syndrome’ ซึ่งเป็นอาการที่ ‘วัดคุณค่าตัวเองจากสายตาตัวเอง’ ทำให้หลายต่อหลายครั้งเรามักจะคิดว่าตัวเองยังดีไม่พอ ยังไม่เหมาะกับความสำเร็จหรือคำชมและทำให้ความภาคภูมิใจต่อตัวเอง (Self- Pride) ลดลงไปเรื่อย ๆ 

วันนี้เราเลยอยากพาชาว Dek-D ทุกคนมาทำความรู้จัก ‘อาการที่คิดว่าตัวเองไม่เก่ง’ หรืออาการ Imposter Syndrome พร้อมเรียนรู้วิธีรับมือในวันที่คิดว่าตัวเองยังดีไม่พอกันค่ะ

ภาพจาก https://www.freepik.com
ภาพจาก https://www.freepik.com

Imposter Syndrome คืออะไร ? 

ในปีค.ศ. 1978 นักจิตวิทยา Pauline Rose Clance และ Suzanne Imes ได้บัญญัติ คำว่า ‘Imposter Phenomenon’ ขึ้น ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของ Imposter Syndrome โดยคำจำกัดความของคำนี้ หมายถึง ความรู้สึกที่บุคคลสงสัยในความสามารถของตัวเอง มองว่าตัวเองไม่ได้เก่งหรือรู้จริงและคิดว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นเพราะโชคช่วยหรือมาจากปัจจัยภายนอกมากกว่าความสามารถของตัวเอง

งานวิจัยพบว่า 70% ของผู้คนมักเคยเผชิญกับอาการ Imposter Syndrome ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต ส่วนใหญ่มักจะเกิดกับบุคคลที่กำลังอยู่ในช่วงวัยเรียนและวัยทำงาน โดยมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับคำชมหรือความสำเร็จ เชื่อว่าตัวเองกำลังหลอกเพื่อนร่วมงานและคนรอบตัวให้เข้าใจว่าตนเองมีความสามารถ ฉลาด รอบรู้ ทั้งที่ในความเป็นจริงพวกเขาไม่ได้มองว่าตนเองมีความสามารถขนาดนั้น อีกทั้งยังกลัวว่าวันหนึ่งความจริงจะถูกเปิดเผยว่าตัวเองไม่ได้เป็นเลิศทางความสามารถและสติปัญญาเหมือนที่คนอื่นเคยชื่นชม 

หากไม่ได้มีการจัดการอารมณ์อย่างเหมาะสม และปล่อยให้ความรู้สึกนี้กินพื้นที่ในจิตใจจนกลายมาเป็นความเชื่อลบ ๆ ที่เรามีต่อตนเอง อาจนำไปสู่โรคทางอารมณ์ที่รุนแรงกว่าเดิม เช่น โรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังกล  

เกร็ดความรู้ 

          ในปีค.ศ. 1999 นักจิตวิทยา David Dunning และ Justin Kruger เคยศึกษาและนิยามอาการที่เป็นเหมือนขั้วตรงข้ามอาการ Imposter Syndrome ในชื่อ Dunning-Kruger Effect โดยหมายถึง อาการของบุคคลที่ ‘รู้มาน้อยแต่มั่นเกินล้าน’ กล่าวคือ บุคคลมั่นใจว่าตนเองฉลาดแต่จริง ๆ แล้วโง่มากนั่นเอง

Checklist อาการ Imposter Syndrome 

  • ไม่ยินดีกับความสำเร็จของตนเอง
  • มักคิดว่าความสำเร็จของตัวเองมาจากปัจจัยอื่น
  • เชื่อว่าสิ่งที่เราทำ คนอื่นก็ทำได้และอาจทำได้ดีกว่าเรา
  • มองสิ่งที่ทำไปว่ายังไม่สมบูรณ์แบบ แม้จะได้รับคำชมก็ตาม

5 กลุ่มเสี่ยง Imposter Syndrome 

1.The Perfectionist 

กลุ่มคนรักความสมบูรณ์แบบ เมื่อมีมาตราฐานและความคาดหวังที่สูง ต่อให้ผลงานออกมาสมบูรณ์เกือบ 100% ก็ยังมองข้ามภาพรวมว่าตนเองทำอะไรออกมาได้ดีและเลือกโฟกัสข้อผิดพลาดจุดเล็ก ๆ ของงานเพื่อมาตำหนิตัวเองว่า ‘ควรจะทำได้ดีกว่านี้’ หรือเมื่อประสบความสำเร็จก็ยังมองว่า สิ่งที่ตัวเองทำสำเร็จในตอนนี้ ‘ควรจะทำสำเร็จไปตั้งนานแล้ว’ 

2.The Superwoman / man 

กลุ่มเดอะแบกของสังคม คิดว่าต้องทำให้ดีทุกด้าน ครอบครัว การงาน บทบาทพ่อแม่ คนรักหรือเพื่อนต้องไม่บกพร่อง เมื่อด้านใดด้านหนึ่งไม่เป็นไปตามภาพที่คิดไว้ก็จะเกิดความเครียดและกลายเป็นกดดันตัวเองมากกว่าเดิมว่า ‘ต้องพิสูจน์ความสามารถการเป็นเดอะแบกให้หนักขึ้น’ 

3.The Natural Genius 

กลุ่มหัวกะทิโดยกำเนิด มักจะคุ้นชินกับการใช้สติปัญญาของตัวเองทำให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์ เมื่อต้องเผชิญสถานการณ์ที่ท้าทายความสามารถตัวเอง ทำให้ต้องใช้ความพยายามมากกว่าที่เคยเป็นมามักจะมองว่า ‘ถ้าเก่งจริงต้องสำเร็จไปตั้งนานแล้ว’ ‘ที่ต้องพยายามขนาดนี้เพราะว่าไม่เก่งไง’

4.The Soloist 

กลุ่มนักลุยเดี่ยว มักจะคุ้นชินกับการทำอะไรสำเร็จโดยใช้ความพยายามของตัวเองแค่คนเดียว เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องไปพึ่งพิงใคร พวกเขามักจะมองว่าตัวเอง ‘ไม่ได้เรื่องหรือด้อยความสามารถ’ ถึงต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น 

5.The Expert 

กลุ่มผู้เขี่ยวชาญ มักจะวัดความสามารถจากสิ่งที่ตนเองรู้ ปัญหาหลัก ๆ ของคนกลุ่มนี้ คือ มักจะไม่กล้าออกจาก comfort zone ไปลองทำในสิ่งตนเองยังไม่เชี่ยวชาญ เช่น ไม่กล้าสมัครงานเพราะคุณสมบัติไม่ตรงทุกข้อ กลุ่มนี้จะเชื่อว่าตัวเองไม่วันรู้ดีพอ และต้องรู้ให้รอบทุกด้านก่อนถึงจะรู้สึกพร้อมที่จะทำอะไรสักอย่าง ซึ่งในบางครั้งคนกลุ่มนี้มักจะพลาดโอกาสดี ๆ ในชีวิตไป 

ภาพจาก https://www.freepik.com
ภาพจาก https://www.freepik.com

ผลกระทบจากอาการ Imposter Syndrome

พลาดโอกาส — อาการ imposter syndrome ทำให้เรากลัวการผิดพลาดหรือความล้มเหลว ไม่กล้าทำอะไรที่อยู่นอกกรอบความรู้หรือสิ่งที่เคยทำมาก่อน ซ้ำร้ายคือไม่กล้าที่จะรับโอกาสที่คนอื่นมอบให้เพราะหวั่นใจว่าจะทำได้ไม่ดีอย่างที่ตัวเองและคนอื่นคาดหวัง 

ติดนิสัยตำหนิตัวเอง — การสงสัยในความสามารถตัวเองเป็นจุดเริ่มตนของการมองตัวเองในแง่ลบโดยใช้อารมณ์เป็นตัวนำทาง หากมองตัวเองในแง่ลบไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้มองความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแยกกับทัศนคติที่เรามองความสามารถของตัวเองออกจากกัน ความคิดนี้จะกลายมาเป็นความเชื่อลบ ๆ ที่เรามีต่อตัวเองและจะทำให้เราหมดสนุกกับการลองผิดลองถูกในชีวิต

วิธีรับมือ Imposter Syndrome 

‘ผิดพลาดบ้างไม่เป็นไร…ทำดีแล้ว’

อยากให้มองว่าเป็นเรื่องปกติมากที่เราจะผิดพลาดแม้จะเป็นเรื่องที่เราคิดว่าเราถนัดกับสิ่งนี้มากที่สุดก็ตาม หากข้อผิดพลาดไม่ได้นักหนาสาหัสจนเกินไป ลองมองว่าเราพยายามอย่างถึงที่สุดเท่าที่ความสามารถของคนคนนึงจะทำได้ ก็ถือว่าเป็นการให้อภัยและยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเราเองนะ 

‘ฉันทำได้แปลว่าฉันมีความสามารถ’ 

เมื่อมันเป็นจังหวะชีวิตของเราแล้วก็แค่ยอมรับว่ามันเป็นจังหวะของเรา การตั้งคำถามในสิ่งที่ไม่มีวันได้คำตอบจะทำให้ความสงสัยนั้นติดอยู่ในใจเราไปเรื่อย ๆ ลองเปลี่ยนความสงสัยในความสามารถตัวเองเมื่อประสบความสำเร็จเป็นความรู้สึกภูมิใจที่เราได้ก้าวไปข้างหน้าอีกขั้นและชื่นชมตัวเองที่ได้พยายาม

ถ้าหลักฐานมีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าเราได้ลงแรงลงใจ อดทนฝ่าฟันปัญหา ใช้สติปัญญาทั้งหมดที่มีทำอะไรสักอย่างจนสำเร็จ นั่นคือความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต่อให้เราสงสัยในความสามารถตัวเองขนาดไหน ความจริงข้อนี้ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนนะ

ที่มา https://www.verywellmind.com/imposter-syndrome-and-social-anxiety-disorder-4156469https://www.psychologytoday.com/us/basics/imposter-syndromehttps://www.healthline.com/health/mental-health/imposter-syndrome#types
Dek-D Team ทีมคอลัมนิสต์ Dek-D

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น