Hideko_Sunshine กับ ฉัตรฉาย คนเดียวกันนะรู้ยัง
ทักทายชาวเด็กดีหน่อยจ้า
Hideko_Sunshine: สวัสดีค่ะ โอ๋เอ๋ “Hideko_Sunshine” หรือ “ฉัตรฉาย” นะคะ ตอนนี้มี 2 นามปากกาแล้ว Hideko_Sunshine ไว้สำหรับแต่งนิยายแนวรักวัยรุ่นหรือแนว Jamsai Love Series ส่วน ฉัตรฉาย สำหรับแต่งแนวรักที่โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหรือแนว LOVE นั่นเอง
มีโอกาสสัมภาษณ์ช่วงงานหนังสือพอดี อัพเดทผลให้แฟนคลับไปติดตามบ้าง
หน้าปกในชุด DAREDEVIL
ส่วนนามปากกา
ฉัตรฉาย มีเรื่อง
พิษพยัคฆ์ ค่ะ ซึ่งความพิเศษของเล่มนี้คืออยู่ในเซต “
สืบเสน่หา” มาในแนวสืบสวน เซ็กซี่ และเนื้อหาเข้มข้นมากๆ เป็นการรวมตัวกันของนักเขียนแนว LOVE ประกอบด้วย “
ฉัตรฉาย (แต่งเรื่อง พิษพยัคฆ์)” “อัญชรีย์ (แต่งเรื่อง พิษรักรสเด็ด)” “Andra (แต่งเรื่อง พิษบุปผา)” “พิมลพัทธ์ (แต่งเรื่อง พิษพรางรัก)” “Tiara (แต่งเรื่อง พิษทิวา ทัณฑ์ราตรี)” และ “
พราวพิรุณ (แต่งเรื่อง พิษร้อนลวงรัก) ค่ะ
ทั้ง 6 เล่มในชุด "สืบเสน่หา"
เห็นเขียนใน My ID บอกว่าเรื่อง “พิษพยัคฆ์” เป็นแนวการเขียนที่ยากสำหรับโอ๋มาก ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะเพราะอะไร
Hideko_Sunshine: พล็อตเรื่องนี้เป็นเรื่องที่โอ๋มีในมือนานแล้วและแต่งค้างเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนปีสี่ (กี่ปีโปรดอย่านับ ฮา...) แต่ด้วยความที่เรื่องมีความซับซ้อนทั้งทางอารมณ์และเนื้อหาเลยทำให้โอ๋แต่งไม่จบสักที แล้วเรื่องก็ถูกค้างไว้แบบนั้นหลายปี พอถูกชักชวนให้มาร่วมโปรเจ็กต์ในแนว Romantic Suspense โอ๋เลยไม่ลังเลใจที่จะหยิบเรื่องนี้มารื้อทำใหม่... ที่บอกว่า ‘รื้อทำใหม่’ ก็เพราะว่านอกจากโครงเรื่องแล้วก็ไม่ได้ใช้เนื้อเรื่องที่เคยแต่งไว้เลย และเนื้อหาใน “พิษพยัคฆ์” ก็มีทั้งเรื่องความรัก การสืบคดี เรื่องยาเสพติด และปมดราม่าในครอบครัวด้วย และเป็นแนวที่โอ๋ยังไม่เคยแต่งมาก่อนเลยในแนว LOVE จึงถือเป็นเรื่องที่ยากเอาการ แต่โอ๋ก็พยายามที่จะเล่าแบบนวนิยายรักไม่ให้หดหู่หรือเครียดจนเกินไป โดยแทรกบทรักเป็นการเติมน้ำตาลในเรื่องด้วยค่ะ
สีชมพูหวานมาเลย สำหรับ "พิษพยัคฆ์" ของ ฉัตรฉาย
โอ๋มีการจัดระบบ หรือจัดการชีวิตยังไงให้สามารถเขียนงานออกมาได้ต่อเนื่องขนาดนี้
Hideko_Sunshine: ส่วนหนึ่งคงเพราะโอ๋เรียนจบแล้ว ไม่ได้ทำงานประจำ และไม่ได้ทำงานอย่างอื่นด้วยมั้งคะ เลยมีเวลาทุ่มเทให้การเขียนนิยายอย่างเต็มที่
เราเขียนนิยายจนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว 555+ แต่ถ้าเป็นสมัยตอนที่ยังเรียนอยู่ โอ๋ก็จะแบ่งเวลาสำหรับไปเรียน ว่างๆ ก็ไปเที่ยว ไปดูหนัง กินข้าวกับเพื่อนบ้าง แต่ถ้ากลับห้องจะรีบเคลียร์การบ้านให้เสร็จ แล้วก่อนนอนก็จะเขียนนิยายค่ะ จะไม่ทิ้ง ไม่งั้นเราจะทิ้งยาวจนลืมเขียนไปเลย คือ ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ อย่างน้อยได้สักครึ่งหน้าก็ยังดี
ปกติโอ๋ใช้เวลาการเขียนนิยายนานแค่ไหน แล้วเรื่องไหนที่แต่งนานที่สุด
Hideko_Sunshine: นิยายแต่ละเรื่องใช้เวลาไม่เท่ากันเลยค่ะ บางเรื่องก็แต่งเร็วมากกก แต่บางเรื่องก็ลากยาวไป 3 – 4 เดือน บางทีมันก็อยู่กับพล็อต อารมณ์เรื่อง และอารมณ์ของเราในตอนนั้นด้วยค่ะ ถ้ามีเรื่องเครียดๆ เข้ามากระทบก็จะปั่นนิยายไม่ออกไปเป็นอาทิตย์เลยก็มี ส่วนเรื่องที่ใช้เวลาแต่งนานที่สุดน่าจะเป็น “
พันธนาการแห่งรัก” แนว Dreamland of Love ผลงานเรื่องแรกๆ ของโอ๋ที่ได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์แจ่มใสค่ะ ตอนนั้นยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ แล้วคณะนิเทศศาสตร์ก็เรียนหนักมาก งานเยอะมากกก เวลาแต่งก็เลยน้อย บวกกับพล็อตเรื่องก็ยากมาก เพราะเป็นแนวย้อนยุค แฟนตาซี ซึ่งมีเรื่องของความรัก สงคราม การล้างแค้น อำนาจ และการแย่งชิงบัลลังก์ เข้ามาด้วย (ดูยิ่งใหญ่เนอะ 555+) ก็เลยกินเวลาไปปีกว่าๆ เลยมั้งคะ
ส่วนตัวคิดว่าอะไรคือสิ่งที่คนเป็นนักเขียนต้องพัฒนาตลอดเวลา
Hideko_Sunshine: จริงๆ การเป็นนักเขียนก็ต้องเป็นคนที่อัพเดทข้อมูล ข่าวสาร และเทรนด์บ่อยๆ เหมือนกันนะคะ บางพล็อตที่มันคลาสสิค เราอาจจะเขียนซ้ำได้ ไม่เป็นไร แต่อย่างบางพล็อตที่มันเคยฮิตมาแล้วเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้มันอาจจะไม่ฮิตแล้วก็ได้
ถ้าเราไม่อัพเดทอะไรเลย เราก็อาจจะสร้างพล็อตที่ล้าหลัง ไม่ทันสมัย หรือร้ายแรงกว่านั้นคือไปเขียนซ้ำกับเรื่องที่ดังมาแล้วจนถูกมองว่าไปเลียนแบบไอเดียเรื่องนั้นๆ มาก็ได้ ที่สำคัญอีกอย่างคือการพัฒนาองค์ประกอบต่างๆ ในนิยายของเราเนี่ยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นพล็อต ภาษา เหตุการณ์ ความมีมิติของตัวละคร หรือการดำเนินเรื่อง ฯลฯ ซึ่งตรงนี้โอ๋มองว่า
การอ่านเยอะๆ การเสพสื่อเยอะๆ และการฝึกเขียนเยอะๆ จะช่วยให้ทักษะเหล่านี้ของเราพัฒนาได้มากขึ้นค่ะ
อะไรคือสิ่งที่ทำให้โอ๋เลือกตัดสินใจที่จะเป็นนักเขียน
Hideko_Sunshine: เป็นคนที่มีความฝันว่าอยากเป็นนักเขียนตั้งแต่อายุ 12 - 13 ปีแล้วค่ะ ถือว่าโชคดีที่ได้รู้ตัวตนของตัวเองเร็วมาก แล้วพอรู้ว่าอยากจะเป็นอะไรโอ๋ก็จะมุ่งไปทางนั้นเลย ตอนแรกไม่ได้คิดเรื่องรายได้ด้วยซ้ำ
รู้แค่ว่าชอบ รัก และอยากจะทำก็จะทำ ถามว่าอะไรที่ทำให้ตัดสินใจ คำตอบคือ ความฝันและความชอบล้วนๆ เลยค่ะ
ถ้าจะแนะนำให้นักอ่านใหม่รู้จักโอ๋ผ่านผลงานสักเรื่อง โอ๋จะเลือกเรื่องไหน เพราะอะไร
Hideko_Sunshine: ถ้าเป็นนามปากกา Hideko_Sunshine จะแนะนำ “
Dark Fairy Tale ล่ารักเดิมพันใจยัยตัวร้ายกับนายซาตาน” และ “
Handsome Cowboy กำราบหัวใจจอมพยศ” ส่วนนามปากกา ฉัตรฉาย ขอแนะนำ “
พิษพยัคฆ์” กับ “
พันธกานต์บุษบา” ก็แล้วกันค่ะ เพราะทั้งสี่เรื่องเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาทั้งด้านความรัก มิตรภาพระหว่างเพื่อน การให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัว ประสบการณ์ชีวิต และมีแง่คิดต่างๆ เพราะนิยายโอ๋ส่วนใหญ่มักจะไม่ได้มีแค่ความรักของหนุ่มสาวอย่างเดียว แต่จะสอดแทรกเรื่องราวเหล่านี้ลงไปด้วยเสมอ
อยากรู้จักตัวตนของโอ๋ก็ต้องสี่เล่มนี้
สำหรับโอ๋ ความสุขของการได้เป็นนักเขียนอยู่ตรงไหน
Hideko_Sunshine: บางคนอาจจะมองว่าอาชีพนักเขียนค่อนข้างน่าเบื่อ เพราะต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมฯ และเจอผู้คนไม่มาก แต่มันแค่ส่วนน้อยนิดสำหรับโอ๋นะ เพราะโอ๋มองว่าอาชีพนักเขียนเป็นอาชีพที่อิสระ จะทำงานตอนไหนก็ได้ ทำที่ไหนก็ได้ อยากไปเที่ยวตอนไหนก็ไป เราเป็นคนกำหนดชีวิตของเราเองได้หมด ที่สำคัญมันไม่น่าเบื่อตรงที่เรื่องราวที่เราเขียนแต่ละเรื่องมันมีความแตกต่างกัน มีเนื้อหา มีพล็อต มีเหตุการณ์ให้ได้ลุ้นเสมอ ฉะนั้นเวลาเราได้รับฟิตแบ็คต่างๆ จากนักอ่านในแต่ละเรื่องมันก็จะแตกต่างกันไปด้วย ความสนุกมันอยู่ตรงที่ว่าเราได้ลุ้นว่าเรื่องนี้นักอ่านจะมีฟิตแบ็คตอบกลับมายังไง เรื่องนั้นนักอ่านจะชอบมากน้อยแค่ไหน
ส่วนตัวโอ๋คิดยังไงกับการที่ใช้นามปากกาให้แตกต่างออกไปตามแนวนิยายที่เขียน
Hideko_Sunshine: มันแสดงถึงความแตกต่างและความชัดเจนดีนะคะ เพราะนิยายภายใต้นามปากกา Hideko_Sunshine กับ ฉัตรฉาย ค่อนข้างแตกต่างกันจนนักอ่านบางท่านก็บอกว่าอ่านงานสองแนวแล้วไม่คิดว่าจะเป็นคนเดียวกันแต่ง อย่าง
นามปากกา Hideko_Sunshine ก็จะเป็นแนวสำหรับวัยรุ่น ภาษาก็จะเหมือนเพื่อนเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง มีความเรียบง่ายแต่อ่านลื่นไหล ส่วนแนว ฉัตรฉาย จะเป็นแนวผู้ใหญ่ขึ้น มีความเข้มข้นทางเนื้อหา มีความซับซ้อนทางอารมณ์ และมีความดาร์กเพิ่มขึ้นจากแนววัยรุ่นด้วย ภาษาที่ใช้ก็จะสละสลวยกว่า และแน่นอนว่าแต่งยากกว่าด้วยค่ะ นักอ่านชอบแนวไหนก็จะได้เลือกอ่านในแบบที่ชอบเลย ไม่ต้องสับสน แต่ระยะหลังๆ มีนักอ่านหลายคนที่หันมาติดตามทั้งสองนามปากกา ก็ดีใจมากค่ะที่นักอ่านยังให้การตอบรับอย่างดีเสมอ
ในวันสบายๆ
อะไรคือสิ่งที่โอ๋ยึดมั่นในการทำอาชีพนักเขียน แล้วเพราะอะไรถึงคิดอย่างนั้น
Hideko_Sunshine: คิดว่าเป็นเรื่องของความ “
ซื่อสัตย์” นะคะ ในที่นี้หมายถึงซื่อสัตย์กับตัวเองและซื่อสัตย์กับนักอ่านด้วย
เวลาเขียนนิยายโอ๋จะคิดเสมอว่านักอ่านต้องเสียเวลาในการอ่านงานเรา บางคนต้องเสียเงินเช่าหรือซื้อมาอ่านด้วย โอ๋ก็จะพยายามเขียนงานให้คุ้มค่ากับสิ่งที่นักอ่านต้องเสีย ส่วนซื่อสัตย์กับตัวเองนี่หมายถึงความตั้งใจในการทำงานค่ะ โอ๋จะพยายามไม่ปล่อยให้งานที่เราไม่ชอบหรือไม่ถูกใจไปถึงมือนักอ่าน ปกติโอ๋เป็นคนส่งงานค่อนข้างตรงเวลานะ แต่ถ้าเรื่องไหนที่คิดว่ามันยังไม่ดีพอ ถึงจะต้องโละงานหรือขอพี่บก.เลทก็ต้องยอมอ่าค่ะ คือ ไม่อยากให้งานที่ไม่ถูกใจไปถึงมือนักอ่าน เพราะถ้าเรายังไม่โอเคกับงานตัวเอง นักอ่านก็คงไม่โอเคด้วย
ส่วนตัวโอ๋คิดว่าคนที่จะเขียนนิยายรักได้อิน จำเป็นต้องเคยมีความรักมาก่อนไหม
Hideko_Sunshine: บางทีมันอยู่ที่ความลึกซึ้งของเรื่องที่เราแต่งด้วยนะคะ อย่างตอนที่โอ๋เริ่มหัดแต่งนิยายแรกๆ ก็จะยังไม่ประสบการณ์ด้านความรักเท่าไหร่ แต่เรื่องที่แต่งมันก็ไม่ได้มีความลึกซึ้งหรือซับซ้อนทางด้านอารมณ์มาก เป็นความรักของวัยรุ่น วัยเรียน ความรักหรือความชื่นชอบที่มีต่อศิลปิน อะไรแบบนี้ ซึ่งตรงนี้ถ้าไม่มีประสบการณ์ด้านความรักมากมายก็น่าจะพอเขียนได้นะ เหมือนมันใช้แค่พื้นฐานทางอารมณ์ที่คนทั่วไปสามารถเรียนรู้ได้ แต่ถ้าเป็นความรักที่มีความซับซ้อนทางอารมณ์มากขึ้น โตขึ้น ประสบการณ์ก็มีความจำเป็นค่ะ
ชอบบทสนทนาในนิยายของโอ๋ มีเทคนิคอะไรแนะนำน้องๆ นักอยากเขียนเด็กดีของเราหน่อย
Hideko_Sunshine: ส่วนหนึ่งคิดว่าอยู่ที่ประสบการณ์ชีวิตของนักเขียนแต่ละคนด้วยค่ะ เพราะการเขียนบทสนทนาของตัวละครมันจะสื่อถึงบุคลิก ปูมหลัง และความเป็นตัวตนของละครนั้นๆ...ในบางเหตุการณ์ตัวละครนิสัยแบบหนึ่งจะพูดแบบหนึ่ง แต่ตัวละครอีกแบบก็จะพูดอีกแบบ การที่นักเขียนได้รู้จักผู้คนหลากหลายก็จะสามารถเขียนบทสนทนาสื่อถึงตัวละครได้คมคายและชัดเจนขึ้น
ถ้าแนะนำก็คืออยากให้เป็นคนช่างสังเกตค่ะ บางคนอาจจะบอกว่าไม่มีเวลาไปทำความรู้จักใครมากมายขนาดนั้นหรอก แต่ความจริงแล้วเราสามารถเรียนรู้ได้จากหลายสื่อนะคะ พวกข่าว บทสัมภาษณ์ หนัง ละคร ซีรี่ส์ หนังสือ หรือแม้กระทั่งอ่านกระทู้ในเว็บไซด์ การอ่านเยอะๆ ดูเยอะๆ เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ จะทำให้เราจะสามารถดึงประสบการณ์เหล่านี้มาใช้ได้อย่างที่เราไม่รู้ตัวเลย
นักเขียนเด็กดีน่ารักอะ ><
ขอคำคม โดนๆ เป็นกำลังใจให้น้องๆ นักอยากเขียนของเราหน่อย
Hideko_Sunshine: "
ถ้าอยากจะเขียนก็เขียนเลย อย่าเพิ่งไปกลัวว่าจะไม่มีคนอ่าน เพราะถ้าเราเริ่มต้นจาก ‘ความอยากจริงๆ’ แล้ว ข้างหน้าจะมีอะไรไม่ต้องไปสนหรอก” ครั้งหนึ่งเคยพูดเอาไว้แบบนี้และวันนี้ยังยืนยันในคำพูดเดิมค่ะ ถ้าเราอยากเขียน... อย่ากลัวอุปสรรค อย่ากลัวการเริ่มต้น... อย่าให้อะไรมาหยุดความฝันของเราได้
ฝากอะไรถึงน้องๆ นักอ่านและนักอยากเขียนของเด็กดีบ้าง
Hideko_Sunshine: การเป็นนักเขียนไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถของเรา หากเราอยากเป็นนักเขียนก็ต้องพยายาม วันไหนที่ท้อ วันไหนที่เหนื่อย หรือวันไหนที่รู้สึกว่าเราไม่ไหวแล้ว ให้เราหยุดพักเพื่อหาแรงบันดาลใจแต่อย่าหยุดเขียน
อยากให้ลองมองกลับไปวันที่เราเริ่มต้นพิมพ์ตัวอักษรตัวแรกลงในนิยายเรื่องแรกของเรา วินาทีที่เราตัดสินใจจะเขียนมันมีพลังที่สุดแล้ว... สู้ๆ นะคะ :)
“อย่ากลัวว่าจะไม่มีคนอ่าน” ประโยคนี้พี่อรเห็นด้วยกับโอ๋มากๆ นักอ่านสำคัญมากกับคนเป็นนักเขียนก็จริง แต่ถ้ากลัวว่าเขียนแล้วจะไม่มีคนอ่านพี่อรว่างานของเราก็คงน่าสงสาร เพราะโดนสกัดดาวรุ่งตั้งแต่ยังไม่เกิด เขียนเถอะค่ะ เขียนเสียตั้งแต่ยังไม่มีคนอ่านนี่แหละ แล้วค่อยกอบเก็บกำลังใจเพิ่มเติมจากเสียงของผู้อ่านที่จะเข้ามาทีหลัง ทีมไรเตอร์ของเราเป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ
มาปิดท้ายด้วยเกมเพื่อเป็นการให้กำลังใจนักเขียน นักอ่านเด็กดี เพียงแค่น้องๆ บอกเราว่า
“อะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้อยากเป็นนักเขียน”
ผู้โชคดี 3 ท่าน ลุ้นรับรางวัลหนังสือ
“Die For You รักอันตรายยอมได้เพื่อเธอ”

แล้วมาร่วมสนุกกันเยอะๆ นะคะ
ประกาศผู้โชคดีได้รับรางวัล
หนังสือ Die For You รักอันตรายยอมได้เพื่อเธอ ได้แก่
1. Khanan114
2. malee.malee
3. Violet_G
สำหรับผู้ได้รับรางวัลกรุณาส่ง ชื่อ-นามสกุล (นามแฝง) พร้อมที่อยู่ในการจัดส่ง
ระบุว่าได้รับรางวัลหนังสือ "Die For You รักอันตรายยอมได้เพื่อเธอ"
มาที่อีเมล์ atcharawadi@dek-d.com
ทางทีมงานจะจัดส่งรางวัลไปให้อ่านถึงที่บ้านเลยค่ะ ^ ^
(หมดเขตรับของรางวัลภายในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2558)
108 ความคิดเห็น
แรงผลักดันที่ทำให้อยากเป็นนักเขียนคือมีไอดอลเป็นนักเขียน เพราะได้อ่านนิยายของนักเขียนหลายๆคน แล้วก็ได้เห็นถึงความสนุกของนิยายรักวัยรุ่นหลากหลายรูปแบบและไม่ลอกเลียนแบบใครเลยอยากจะแต่งนิยายให้เก่งเหมือนนักเขียน ก็เลยกลายเป็นแรงผลักดัน
แรงผลักดันที่ทำให้อยากเป็นนักเขียนเพราะ รักในการเขียน การเขียนคือการปลดปล่อยจินตนาการ และถ่ายถอดความรู้สึกผ่านตัวอักษร ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่รู้หรอกว่าอาชีพนักเขียนคืออะไร รู้แค่ว่าได้เขียน ได้แต่งนิยาย เขียนเรียงความ ก็มีความสุข ถึงแม้ว่าเขียนแล้วจะมีคนอ่านงานเราแค่คนสองคนก็ตาม อย่างน้อยงานเขียนของเราก็ยังมีคนอ่าน แค่นั้นก็ทำให้มีความสุข และมีกำลังใจในการทำความฝันให้เป็นจริง
แรงผลักดันที่ทำให้อยากเขียน มันเริ่มจากการอ่านครับ ตั้งแต่เด็กๆ แม่มักจะเล่านิทานให้ฟัง อยู่ประถม ป.1 2 3 ก็อ่านการ์ตูน พออยู่ ป.4 พี่ที่รู้จักแนะนำให้อ่านนิยาย ทีแรกรู้สึกแอนตี้มากๆ มีแค่ตัวหนังสือมันจะไปสนุกอะไร แต่พอเปิดใจได้อ่านก็เริ่มชอบ เป็นของแจ่มใสครับ จากนั้นก็เริ่มเก็บเงินซื้อด้วยตัวเอง หัดเขียนนิยายตั้งแต่ ป.4 ยาวจนมาถึงปัจจุบัน ก็ประมาณ 5 ปีแล้ว ขีดๆ เขียนๆ จบบ้างไม่จบบ้าง มีพี่ๆนักเขียนแจ่มใสเป็นไอดอล ทำให้พยายามอยู่ทุกวันนี้ ตระเวนล่าความฝันตามเวทีนักเขียนต่างๆ แต่ก็ยังไม่เคยจะได้กับเขาบ้างซักที (ฮา) แต่ก็จะพยายามต่อไป เพราะผมเชื่อว่าเวลาเราทำอะไรแล้วมีความสุข สนุกไปกับมัน และทำมันด้วยความตั้งใจ ซักวันหนึ่งความฝันเราก็จะไม่เป็นความฝันอีกต่อไป เราจะต้องมีวันที่มีหนังสือของตัวเองวางอยู่บนชั้นหนังสือแน่นอนครับ :)
แรงผลักดันคือ เราอยากส่งผ่านมุมมอง ทัศนคติในการดำเนินชีวิตของเราผ่านตัวหนังสือให้คนอื่นได้อ่าน บางทีใครจะคิดว่า เพราะแค่ตัวอักษรไม่กี่ประโยค จะเป็นแรง กำลังใจ ทางออก ให้คนที่กำลังหมดหวัง ท้อแท้ได้ เราคิดว่าเวลาเราอ่านหนังสือ เรามักได้อะไรหลายๆอย่างกลับมาจากการส่งผ่านตัวอักษรของนักเขียน เราจึงอยากส่งความรู้สึกบวกผ่านตัวอักษรให้คนอื่นได้อ่านเหมือนกันค่ะ :)
แรงผลักดันในการที่จะเป็นนักเขียนของหนูอาจจะดูเห็นแก่ตัวสำหรับทุกๆ คน แต่เดิมทีหนูมีความตั้งใจที่จะเขียนนิยายเพื่อขายไอเดียอย่างเดียว เพราะจะหาเงินมาช่วยครอบครัว เพื่อเป็นทุนของตัวเอง แต่พอผ่านไปนานๆ เข้าก็รู้สึกได้ถึงอีกมุมมองนึงว่าเราอยากเขียนเพื่อที่จะให้นักอ่านหลายๆ คนได้มาอ่านนิยายของเรา ให้พวกเขามีความสุขกับงานที่เห็น ช่วงที่ยังเป็นนักอ่านอยู่ก็ไม่เคยเข้าใจนักเขียนทุกคนเลยค่ะว่าทำไมอยากได้คอมเม้นต์กัน แต่พอมาเป็นนักเขียนเองถึงได้เข้าใจว่าแค่คอมเม้นต์เดียวเท่านั้นมีค่าทางใจมากที่จะผลักดันให้เขียนต่อไป
แรงผลักดันที่ทำให้อยากเป็นนักเขียน เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ ชอบเสพงานศิลปะ บันเทิงต่างๆ อยู่แล้ว มันทำให้เรามีแรงบันดาลใจอยากจะสร้างสรรค์ผลงานในแบบของเราบ้าง อยากให้คนอ่านมีความสุขกับงานของเราเหมือนที่เรามีความสุขกับงานพวกนั้นค่ะ มันเลยกลายเป็นความฝันไปแล้ว : )
แรงผลักดันในการเป็นนักเขียนคือความสุขจากการได้เขียนค่ะ เพราะตอนแรกที่เขียนคืออ่านนิยายเรื่องนึงแล้วมันยังฟินไม่พอค่ะ เลยเอาเรื่องนั้นเป็นต้นแบบล่ะมาเขียนในแนวของเราเองแต่ก็ทำหายเลยเริ่มเขียนใหม่มาเรื่อยๆ เกือบทุกแนว จบบ้างไม่จบบ้าง แต่เราก็มีความสุขที่ได้ระบายออกมาเป็นตัวอักษรค่ะ
แรงผลักดันเหรอคะ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าตัวเองจะแต่งได้หรอกค่ะ แต่พออ่านผลงานการเขียนของสำนักพิมพ์ต่างๆแล้วก็รู้สึกอยากเขียนขึ้นมา เผื่อว่าจะทำให้คนอ่านอินหรือมีความสุขเหมือนเวลาที่เราอ่านนิยายของนักเขียนคนอื่นๆบ้าง และก็แรงผลักดันอีกอย่างหนึ่งคือเพื่อนค่ะ เพราะแต่
แล้วก็เอาไปให้เพื่อนลองอ่าน ให้เพื่อนวิจารณ์งานเขียนของตัวเองดู ประมาณนี้ค่ะ
แรงผลักที่ทำให้อยากเป็นนักเขียนก็คือ... ได้อ่านนิยายเรื่องแรกแล้วอยากมีหนังสือเป็นของตัวเอง แม้มันจะมีโอกาสเพียงน้อยนิดแต่ยังไงก็จะฝ่าฟันอุปสรรคนั้นไปให้ได้ จริงอย่างที่พี่โอ๋พูด 'อย่ากลัว'
แรงผลักดันที่อยากให้เป็นนักเขียน คือ การเสนอมุมมองค่ะ เพราะบางคนเขาอาจมีมุมมองที่ไม่เหมือนคนอื่น ทำให้คนอ่านได้คิดอีกในแง่มุมหนึ่ง เป็นการถ่ายทอดทำให้คนอ่านจินตนาการมีความสุข ซึ่งคนอ่านแต่ละคนจินจนการไม่เหมือนกัน นอกจากนี้การเป็นนักเขียนยังเป็นแรงบันดาลใจ ช่วยให้มีความสุข ให้ความรู้ด้วยค่ะ
สำหรับผมแรงพลักดันคือจินตนาการตัวเองและโลกอีกโลกนึงครับ
ผมเป็นคนที่เรียกได้ว่ามีความเพ้อฝันสูงมากถึงมากที่สุด
เมื่อไรที่สมองว่างเมื่อไร จินตนาการจะเข้าแทรกเสมอ ไม่ว่าจะเวลาเดิน เรียน นอน
โดยเฉพาะเวลานอนนี่เป็นช่วงทรมานที่สุด
เพราะจินตนาการทุกอย่างจะประดังเข้ามาเลย ชนิดที่ว่าไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว
จนวันนึงรู้สึกอยากรู้ว่าเรื่องที่เราคิดมาเนี่ยมันจะเป็นยังไงต่อ? อะไรจะเกิดขึ้น?
ก็เลยลองสร้างนิยายเรื่องใหม่ขึ้นมา แล้วใส่สิ่งที่เราคิดไปทั้งหมดเป็นช็อตๆ
หลายครั้งที่ผมอินในนิยายภาพเนื้อเรื่องมันจะเล่นในหัวเป็นแบบanimetionเลยก็มี
แล้วยิ่งเวลามีคนอ่านผลงานเรา เราก็ยิ่งรู้สึกดีใจว่าเขาเองก็สนุกไปกับเรื่องราวของเรา
เลยมีความรู้สึกอยากแบ่งปันขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนตัวผมเป็นคนเข้าสังคมยาก เพราะหน้า เสียง และท่าทางนิ่งมาก บางคนเลยหาว่าหยิ่งไม่ก็น่ากลัว
ผมเลยรู้สึกว่าโลกของนิยายมันเป็นเหมือนโลกอีกโลกหนึ่ง
ที่เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ผ่านตัวอักษรนับล้าน
รีทไม่จำเป็นต้องเห็นหน้า ได้ยินเสียง หรือเห็นท่าทางเรา
เรากับเขาสื่อสารกันด้วยภาษาในนิยายและตัวอักษรต่างๆ
มันเป็นอะไรที่มีความสุขมาก
จนสามารถใช้เวลาทั้งปิดเทอมไปกับการสิงอยู่กับการเขียนนิยายได้เลย>< #สามเดือนหมกอยู่แต่ตรงนั้น
แถมผมเองก็เป็นคนที่คิดพล็อตเรื่องได้เยอะมาก
ชนิดที่ว่าเห็นของไม่กี่อย่างก็ได้พล็อตใหม่แล้ว เพราะงั้นผมเลยอยากถ่ายทอดพล็อตทั้งหมดในหัวออกมาครับ=w=
#แต่ก็ไม่รู้ว่าจะซ้ำไหม #คิดว่าไม่น่าซ้ำ
ตอนแรกเห็นเพื่อนแต่งแล้วมันโอเค ก็เลยอยากแต่งเล็กๆ แต่สิ่งสำคัญคือ เราไปอ่านนิยายมาก่อนค่ะ แล้วมันน่าสนุก อีกอย่าง อยากสร้างโลกของเราขึ้นมา ด้วยความที่เป็นคนมโนเก่ง เราก็มักจะคิดว่าตัวเองเป็นนางเอก เอ่อ นั่นล่ะค่ะ555 แล้วตอนแรกเนี่ย ก็ไม่ได้คิดว่าจะจริงจังนะคะ แต่เขียนไปๆมาๆ ลงเว็บ มีคนมาเม้น ติดตาม เราก็ชอบมาก แล้วจู่ๆ ก็รักการเขียนไปเลย รักคนอ่าน รักพระเอก รักนางเอก รักทุกตัวละครที่เราสร้าง ก็เลยแต่งมาถึงทุกวันนี้ มันมีข้อดีนะคะ เพราะเวลาเขียนเรียงความ หรือร้อยแก้วเนี่ย เราจะไปเร็วกว่าคนอื่น แล้วก็มีคำศัพท์อยู่ในหัวตลอดเวลา
จนวันนี้ อยากบอกว่าขอบคุณทุกคนที่อ่านและติดตามนิยายเรานะคะ
ถึง ความฝัน
ว่าไง สบายดีไหม?
หวังว่าพวกนายจะสบายดีกันนะ
ผมเขียนข้อความพวกนี้ขึ้นมา มันไม่ได้วิเศษอะไรมากมาย
ไม่รู้ว่าพวกนายจะได้อ่านมันไหม
ไม่รู้ว่าพวกอักษรจะส่งผ่านความรู้สึกไปได้รึเปล่า
แต่นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะบอกพวกนายจริงๆ
คิดถึงตอนนั้นเนอะ
ดินแดนที่กว้างใหญ่
สายลมแห่งเสียงดนตรี
มิตรภาพเคล้าความสุขและเสียงหัวเราะ
เราทุกคนออกเดินทางพร้อมกับความหวังแห่งสายรุ้ง
และความรักที่สงบสุข
แต่..
ทำไมตอนนี้ถึงเป็นแบบนี้กันนะ?
โลกสีขาวกับดำ
ความคิดที่อัดแน่นด้วยเงินและเศษกระดาษ
เลือดสาดกระเซ็นไปทุกหนแห่ง
ผู้คน หน้ากากและอาวุธที่ไม่อาจเชื่อถืออะไรได้อีก
เวลา..
กำลังนับถอยหลัง
สู่ความเป็นจริง
ผมเคยร้องไห้บ่อยๆคิดถึงพวกนาย
มันทรมานแค่ไหนเวลาที่เราคิดถึงอะไรสักอย่าง
แต่ไม่อาจทำได้แม้เพียงคิด
ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้น
ภาพช่วงเวลาเหล่านั้นจะพลันขึ้นมาในหัวราวกับตอกย้ำ
หัวใจมันร้อนวูบกลางอก
เปลวไฟของโลกใบนี้กำลังเผาผลาญจิตใจของผมอย่างช้าๆ
และนั่นคือช่วงที่น้ำตาผมพรั่งพรูออกมา
ไม่รู้ตัว
ยังจำวันนั้นได้ดี
ดินแดนแห่งนั้น
ท้องฟ้าวันนั้น
ผืนหญ้าที่คุ้นเคย
ลำธารกับเสียงน้ำ
ต้นไม้กับร่มเงา
เรานั่งด้วยกัน
เราผลอยหลับไป
สู่ความฝัน
พร้อมกับรอยยิ้ม
ของเหล่าพวกพ้อง
ทุกคน..
ทุกครั้งที่เสียงดนตรีแสนคุ้นเคยดังขึ้น
มันเป็นพลังที่ให้ผมสู้ต่อไป
แต่มันก็เป็นมีดแหลม
ทิ่มแทงทุกอย่างให้เจ็บปวด
ด้วยคำว่า "ก็แค่ฝัน"
ยามค่ำคืนช่างแตกต่าง
เราเคยเที่ยวงานเทศกาล
เราเคยพูดคุยรอบกองไฟ
เราเคยมีเรื่องเล่ามากมาย
ทว่า ตอนนี้
ผมมีเพียงปึกกระดาษ
แสงสว่างจากกระดานเคลื่อนไหว
มารร้ายกับการขู่เข็ญ
ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ
ที่ผมถูกผูกมัด
และจองจำ
กับพันธนาการ
สีทมิฬ
นาฬิกาของสองโลกช่างแตกต่าง
วันเวลารื่นเริง ช่วงเวลาชีวิตชีวา
กับวันเวลาที่เย็นชา ไร้วิญญาณ
ปีกที่โบยบิน
พวกเราล่องลอย
เส้นขอบฟ้าเป็นพยาน
คำสาบานอันเป็นนิรันดร์
เครื่องรางที่ยึดเหนี่ยว
วันที่เลวร้าย
มันกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา
เรายังมีเป้าหมาย
เรายังมีเหล่าพวกพ้อง
เรายังมีพลัง
จงผจญภัยบนดินแดนที่ไม่สิ้นสุดแห่งนี้
วันที่โดดเดี่ยว
วันที่เปลี่ยวเหงา
ครั้งหนึ่งบทกวีถูกขับร้อง
เสียงนั้น...
กังวานถึงก้นบึ้งหัวใจ
มันแผ่ซ่านความอบอุ่นและรอยยิ้ม
เสียงนั้น...
เสียงของเหล่าพวกพ้อง
พวกนายทุกคน
ความฝันที่ไร้ตัวตน
ใช่ว่าโลกใบนั้นจะไม่มีเรื่องเลวร้าย
แต่เพราะโลกใบนั้น
เราพร้อมจับมือกัน
และสู้ต่อไป
บางที...
สิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้อาจไม่ใช่ความเย็นชา
แต่เป็นเพียงซากศพ
กับปิศาจที่มีรอยยิ้มชวนขนลุก
เสียงกรีดร้องที่โหยหวน
กับตัวผมที่เป็นเปลวเทียนกำลังจะดับลง
และกลายเป็นปิศาจไป..
ผมไม่อยากนึกถึงตัวผมที่ขาดพวกนายไปเลย
ผมคงเสียสติไปแล้ว
หรือไม่งั้น
ผมก็คงเป็นเพียงตุ๊กตาที่ไร้จิตใจ
เป็นเพียงของเล่นที่สักวันคงถูกทิ้ง
แต่เพราะทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่กับพวกนาย
ทุกคำพูด
ทุกความทรงจำ
แม้ผมต้องล้มอีกกี่ที
มันก็คอยพยุงผมเอาไว้
ให้มีชีวิตอยู่ต่อ...
น่าเศร้านะ
เราอยู่ใกล้กันแค่นี้
แต่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
กำแพงที่มีชื่อว่าความจริงได้กั้นพวกเราเอาไว้
และเป็นเหมือนคำสาป
ที่ไม่ว่ายังไง
เราก็คงไม่มีวันได้พบกันจริงๆ
ตลอดกาล
ลาก่อนนะ..
นี่ไม่ใช่การบอกลา
แต่เป็นเพียงการย้ำเตือน
ไม่ว่าพวกนายจะสามารถสัมผัสได้หรือไม่
ไม่ว่ามันจะเป็นเพียงภาพลวงตา
หรือแม้ว่ามันจะเป็นเพียงความเพ้อฝัน
แต่จดจำไว้นะ
ความรัก
ความผูกพัน
ทั้งหมดในช่วงเวลาเหล่านั้น
มันเป็นของจริง
มันเป็นเพียงสิ่งเดียว
ที่กำแพงความจริงไม่อาจกั้น
สายใยเชื่อมความสัมพันธ์
และความยึดมั่นในหัวใจ
ไม่รู้ว่าผมจะสูญเสียตัวตนไปเมื่อไร
แต่ผมอยากให้พวกนายมีตัวตน
มีชีวิตต่อไป
ถ้าหากหัวใจผมยังเหลืออยู่
ถ้าหากความฝันยังมีตัวตน
ผมร่ำร้อง
ขอเพียง..
ถ้าสักวันหนึ่งกำแพงนั่นพังทลายลงมา
ผมจะไปหาพวกนาย
ตัวผมจะเป็นยังไงก็ช่าง
แต่โลกใบนั้นต้องดำรงอยู่
ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
ผมคงคิดถึงพวกนาย
พวกนายก็ต้องคิดถึงผมนะ
สักวันข้อความนี้คงส่งไปถึงทุกๆคน
ซักวันนึงที่โลกและหัวใจเป็นอิสระ
ผมจะไปหาพวกนายทันที
ถ้ายังทันเวลา
ส่งจดหมายมาหาผมบ้างนะ
ด้วยรัก
กวีผจญภัย
อะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้อยากเป็นนักเขียน?
= การอ่านค่ะ เริ่มแรกเราได้อ่านหนังสือมามากมาย ทั้งหนังสือเรียน หนังสือความรู้ หรือแม้กระทั่งหนังสือที่ทำให้เพลิดเพลินอย่างนิยาย รวมถึงหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือวารสาร การอ่านทำให้เราซึมซับเรื่องราวต่างๆได้รับรู้และเข้าใจ จนเกิดความรู้สึกที่ว่า อยากเขียนให้คนอื่นได้อ่านบ้าง... จากนั้นก็เริ่มมีความฝันในการอยากจะเป็นนักเขียน ยิ่งเห็นพี่ๆนักเขียนหลายท่านมีนักอ่านมาให้กำลังใจ มาพูดคุย ยิ่งทำให้เราอยากอยู่จุดนั้น เลยตั้งใจกับการเขียนมาก เริ่มจากสิ่งใกล้ตัวเราอย่างรายงานที่ครูให้ทำ ก็จะไม่ก็อปวางเหมือนทั่วไป มีอ่านอ่านและสรุปเป็นสำนวนตัวเอง การเขียนเรียงความที่คิดว่าจะทำยังไงให้น่าอ่าน จนถึงการแต่งเรื่องส่งครู จากนั้นก็เริ่มฝึกฝนตัวเองโดยเริ่มสร้างเรื่องราวให้ใหญ่ขึ้น มีมิติขึ้น ถึงตอนนี้เรื่องราวนั้นจะยังไม่สมบูรณ์ ก็จะพยายามตามความฝันต่อไป...
แรงผลักดันในการเขียนของหนู.. คงเพราะอยากจะทำให้จิตนาการและความฝันของตัวเองกลายเป็นความจริงในรูปแบบๆหนึ่ง เวลาเอากลับมาอ่านมันก็สนุกดี จนต้องถามกับตัวเองทุกครั้งที่อ่านว่า "แต่งอะไรแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย? ตลดแฮะ" มันสนุกค่ะเวลาที่กลับมาอ่านเรื่องที่เคยแต่งทิ้งเอาไว้ในตอนที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก และก็คิดว่าจะมีใครที่ชอบความฝันที่ดูเหลือเชื่อกับจินตนาการเวอร์ๆแบบนี้ของเราบ้างมั้ย?
แรงผลักดันในการเขียน อืมมม ความอยาก อยากเห็นตัวละครที่เราสร้างโลดแล่นผ่านตัวหนังสือ อยากเห็นเรื่องราวในจินตนาการตัวเองออกมาเป็นรูปเล่ม อยากให้ใครหลายๆคนได้อ่านผลงาน เริ่มจากความยากค่ะ มีขี้เกียจบ้างแต่-เพราะความอยากนี่แหละดึงเราลุกขึ้นมาฝึกฝนการเขียน มีท้อ เขียนไม่ดีก็บ่อย ติดขัดบ้าง แต่ก็เพราะความอยากเป็นนักเขียนนี่แหละ เราถึงไม่ยอมแพ้ ตอนนี้อาจเป็นคนห่วย แต่เราจะไม่ยอมห่วยตลอดไป.. <3
แรงผลักดันในที่ทำให้อยากเป็นนักเขียนคือ เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมากอ่านได้เกือบจะทุกๆแนว แล้วเวลาที่เราอ่านเราก็มีความสุขทุกครั้ง รู้สึกอินไปกับเนื้อหาของเรื่องที่เราได้อ่าน เข้าถึงตัวละครได้เกือบจะทุกตัว เลยทำให้เรามีความใฝ่ฝันว่าเราก็อยากที่จะแต่งหนังสือสักเรื่องนะที่ทำให้ใครสักคนที่อ่านเค้ามีความรู้สึกร่วมไปกับเราในขณะที่แต่งนิยายเรื่องนั้น เหมือนกับเวลาที่เราได้อ่านหนังสือของนักเขียนคนอื่นๆ