คลินิกนักเขียน ตอน สร้อยดอกหมาก กับ การเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์ให้สนุก

คลินิกนักเขียน

ตอน สร้อยดอกหมาก 
กับการเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์ให้สนุก

สวัสดีน้องๆ ที่มาเข้าอ่านบทความคลินิกนักเขียนของเราทุกคน
 ในเดือนที่อากาศร้อนที่สุด หัวข้อที่เราเลือกมาพูดคุยกันคือ
นิยายอิงประวัติศาสตร์นั่นเองค่ะ 

สำหรับเดือนนี้ คนส่งผลงานมาน้อย T_T (เสียใจ) 
พี่ตินและสร้อยดอกหมาก จึงตัดสินใจปรับกติกาของเราเสียใหม่ 
นั่นคือ เราจะเลือก 1 ผลงานที่โดนใจนักเขียนขึ้นมาพูดถึง 
พร้อมแจกรางวัลทรงคุณค่า ซึ่งก็คือหนังสือ มาราสซันทิยา
ผลงานของ
"สร้อยดอกหมาก" นั่นเอง 

ไปฟังกันว่า... สร้อยดอกหมากมีเคล็ดลับดีๆ
เรื่องการเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์อย่างไรบ้าง


ส่วนผู้โชคดีที่ได้รางวัลหนังสือมาราสซันทิยา  
ส่งชื่อที่อยู่มาที่อีเมล atin@dek-d.com 
ภายในวันที่ 12 พฤษภาคม 2559 ค่ะ

 

 

สร้อยดอกหมาก 

นักเขียนแนวอิงประวัติศาสตร์คนเก่ง ที่เขียนหนังสือได้อย่างน่าสนใจ ตัวละครของเธอล้วนแต่มีชีวิตชีวา และมีบุคลิกที่ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะนิยายแนวอิงประวัติศาสตร์ สร้อยดอกหมากเขียนได้อย่างสร้างสรรค์ แตกต่าง และอัดแน่นด้วยข้อมูลที่พอดิบพอดี นักอ่านติดตามผลงานเธอได้ที่ มายไอดี "สร้อยดอกหมาก" 

การเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์ให้สนุกและน่าสนใจ 
โดย สร้อยดอกหมาก 

 

นิยายอิงประวัติศาสตร์เป็นนิยายที่เดินเรื่องด้วยข้อมูลในทุกย่างก้าว ดังนั้นคุณสมบัติที่จำเป็นมากที่สุดของผู้ที่จะเขียนนิยายแนวนี้จะต้องทำต้องทำตัวเป็นคลังแสงขนาดใหญ่ในการเก็บรวบรวมความรู้ทางประวัติศาสตร์ทั้งความรู้หลักและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เก็บตั้งแต่ไม้จิ้มฟันไปจนถึงวังกษัตริย์
 
ทว่าคุณสมบัตินี้ก็เป็นทั้งข้อดีและเป็นทั้งปัญหา เพราะผู้ที่เคยชินกับการค้นคว้ามาอย่างยาวนานจะชินกับ ‘ความแข็งทื่อ’ ในสำนวนภาษาที่ได้มาจากงานเขียนเชิงวิชาการ จนหลงลืมไปว่าแต่ดั้งเดิมคือนวนิยายคืองานเขียนบันเทิงคดี เป็นงานศิลปะในเชิงภาษา และนี่คือที่มาที่ไปของปัญหาที่ว่า “ทำไมคนเขียนตั้งใจเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์แต่มันกลับกลายเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ในสายตาของนักอ่านไปได้นะ”
 
กลวิธีการใช้ภาษาจะบอกประเภทของงานเขียน ในงานเชิงวิชาการ การเขียนจะเรียบง่ายตรงไปตรงมาเหมาะแก่การชี้แจง ทว่าในงานนิยาย สำนวนภาษาคือฝีแปรงในมือของนักเขียนที่ต้องวาดและระบายให้เกิดภาพในจินตนาการของผู้อ่าน และภาพจะไม่เพียงบอกว่านั่นคืออะไรหรือเกิดอะไรขึ้น ณ สถานที่แห่งนั้น แต่ภาพจะนำมาซึ่งอารมณ์ความรู้สึกของผู้ที่พบเห็นมันอีกด้วย นี่คือข้อได้เปรียบของ ‘การวาด’ ที่มีมากกว่า ‘การบอก’ ในการเขียนนิยาย
 
ลองดูความแตกต่างระหว่างการเขียนว่า “เขาคือชายที่ถูกเกณฑ์มารบเป็นครั้งแรก” กับการเขียนว่า “เขาคือหนุ่มชาวนาที่สองมือเคยคุ้นแต่การจับด้ามจอบเสียม เพิ่งได้กุมด้ามดาบและได้รับคำสั่งให้ฆ่าคนเป็นครั้งแรกตามคำสั่งของผู้นำทัพซึ่งเขาไม่ได้รู้จักมักจี่มาก่อน” แม้ทั้งสองจะกล่าวถึงตัวละครตัวเดียวกัน แต่เมื่อปรับเปลี่ยนกลวิธีการเล่ากลับทำให้เรื่องราวมีสีสัน มีพลังดึงดูดมากขึ้นและไม่น่าเบื่อ
 
หรือจะลองพูดถึงจำนวนทหารในกองทัพ ระหว่าง “พวกมันมีกำลังพลมาก” หรือ “พวกมันมีกำลังพลนับล้าน” หรือ “พวกมันมีกำลังพลเท่าหยดน้ำในแม่น้ำ” ถามความรู้สึกของตนเองดูสิคะว่าทั้งสามประโยคนี้มีอะไรที่แตกต่างกัน และประโยคไหนทำให้เห็นภาพได้มากกว่ากัน
 
มุมกระซิบส่วนตัว
โดยประสบการณ์การเขียนของสร้อยเอง การพูดถึงความรู้สึกของตัวละครในนิยายอิงประวัติศาสตร์ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยการฝึกฝนทั้งการฝึกครุ่นคิดถึงความเป็นมนุษย์และการใช้สำนวนโวหารหลากหลายในการวาดภาพโลกในยุคอดีตซึ่งไม่ได้เคยชินกับสายตาของคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งบางครั้งมันจะลำบากมากสำหรับผู้ที่เริ่มต้นเขียนเพราะยังขาดคลังคำและตัวอย่างรูปแบบสำนวนที่จะใช้ในนิยายแนวนี้  และยิ่งน่าเสียดายที่วงการนวนิยายไทยมีหนังสือประเภทนี้ค่อนข้างน้อยถ้าเทียบกับตลาดในต่างประเทศ เราจึงค่อนข้างขาดแคลนต้นแบบ เพราะฉะนั้น เป็นคำแนะนำส่วนตัว หากใครได้ภาษาอังกฤษ อ่านนิยายแนวนี้ของต่างประเทศเลยค่ะ เพราะทางโน้นเขียนกันเยอะแล้วเนื่องจากตลาดของเขาค่อนข้างหลากหลาย ในแนวเดียวกัน แต่ละเรื่องจะแข่งขันกันสูงมาก เราจะได้เห็นกลเม็ดเด็ดพรายและอาจนำมาประยุกต์ใช้กับนิยายของเราได้ค่ะ ^-^

 
  


 

1

 - Kami-Seku!!   

Novel : [World of Apocalypse] :: The Sakura Kingdom  
Link (สำหรับอ่านผลงาน) :  http://writer.dek-d.com/Aquarion/story/view.php?id=211093

ตัวอย่างอาการ :

น้ำเสียงหวานใสที่ดังขึ้นเรียกความสนใจของเด็กหนุ่มให้เงยหน้ามองสถานที่โดยรอบ เขาพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในท้องพระโรงแห่งหนึ่ง...
 
ภายในท้องพระโรงนั้นถูกตกแต่งอย่างหรูหราตามสมัยยุคกลางและกำลังเต็มไปด้วยผู้คนในชุดเสื้อผ้าอาภรณ์สวยงามโดยที่ตรงกลางห้องนั้นมีร่างเล็กของเด็กสาวผมดำในชุดสาวชาวบ้านเก่าโทรมยืนอยู่ มินามิมองเธอก่อนที่จะตาโตขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเธอเป็นใคร
 
เธอคือเด็กสาวในชุดเกราะคนนั้น...
 
“พระองค์ก็นั่งอยู่ตรงหน้าเจ้าไง เว้นแต่ว่าเจ้าจะตาบอดนะ!”เสียงของชายคนหนึ่งซึ่งเป็นขุนนางดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะของคนโดยรอบราวกับว่านั่นเป็นเรื่องขบขัน มินามิรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูกกับการกระทำนั้นแต่เด็กสาวผมดำกลับมีอาการนิ่งสงบผิดคาด เธอปรายตามองไปยังชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์แล้วส่ายหน้า
 
“ไม่... ข้าไม่มีเวลามาเล่นเกมไร้สาระของพวกท่านหรอกนะ ข้าต้องการเข้าเฝ้าเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ตัวจริง”เธอเน้นประโยคท้ายด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดจนทำให้เสียงหัวเราะในห้องเงียบลงไปถนัดตา
 
เด็กสาวผมดำหันไปมองรอบตัว ก่อนที่จะค่อยๆ เดินตรงเข้าไปหาชายผมทองคนหนึ่งซึ่งยืนหลบอยู่ในฝูงชน ทุกสายตามองตามเธอก่อนที่จะเกิดเสียงฮือฮาขึ้นในตอนที่ร่างเล็กนั้นคุกเข่าลงทำความเคารพชายคนนั้นอย่างนอบน้อม
 
“ข้า... ฌาน ดาร์คจากดงเรมี ขอถวายบังคมต่อเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์”

(อ่านเนื้อเรื่องต่อได้ที่ลิงก์ด้านบน) 
 

วินัจฉัย :

"ก่อนอื่นต้องบอกว่าหลังจากอ่านตัวอย่างนี้ จะต้องไปตามอ่านเรื่องแน่นอน 555 เขียนได้ดีค่ะ ^.^ แต่เท่าที่ดู เรื่องนี้น่าจะดูเป็นแฟนตาซีที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์เรื่องโจน ออฟ อาร์คเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่เขียนมา มีอ่านสะดุดก็นิดเดียวค่ะ “ไม่... ข้าไม่มีเวลามาเล่นเกมไร้สาระของพวกท่านหรอกนะ” มันคือคำพูดของเด็กสาวซึ่งเป็นคนในยุคเก่า แต่คำว่าเกมออกฟังดูเป็นคำที่ผิดสมัยไป การเขียนนิยายที่มีช่วงพีเรียดแบบนี้จะต้องระวังเรื่องการใช้ภาษาที่ผิดเวลา หากลองเปลี่ยนเป็น “ข้าไม่มีเวลาสำหรับความบันเทิงอย่างไร้สาระของพวกท่านหรอกนะ” แบบนี้จะดีกว่านะ

พี่อติน
พี่อติน - Writer Editor ผู้ดูแลหมวดนักเขียนที่หลงใหลการอ่านแบบสุดๆ และไม่เคยพลาดทุกข่าวสารในวงการวรรณกรรม!

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

Nevaeh Member 7 พ.ค. 59 22:02 น. 1

โอ้... ไม่นึกว่าจะเลื่อนลงมาเจอของตัวเองเดี่ยวๆ 5555

เดี๋ยวไว้จะลองไปศึกษาเพิ่มนะครับ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ //โค้ง

0
กำลังโหลด

1 ความคิดเห็น

Nevaeh Member 7 พ.ค. 59 22:02 น. 1

โอ้... ไม่นึกว่าจะเลื่อนลงมาเจอของตัวเองเดี่ยวๆ 5555

เดี๋ยวไว้จะลองไปศึกษาเพิ่มนะครับ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ //โค้ง

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด