ร้อยเปอร์เซ็นต์  นักเขียนผู้พิสูจน์ตัวเองกับครอบครัวจนได้ทำสิ่งที่รัก

ร้อยเปอร์เซ็นต์ 
นักเขียนผู้พิสูจน์ตัวเองกับครอบครัวจนได้ทำสิ่งที่รัก

 

สำหรับใครที่อยู่ในวัยเรียน เป็นเรื่องธรรมดามากๆ ที่พ่อ แม่ ผู้ปกครองจะคาดหวังในการเรียนของเรา และเมื่อไหร่ที่ผลการเรียนตกต่ำลง พ่อแม่ก็จะเริ่มกำจัดปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการเรียนทิ้งไป เหมือนกับครอบครัวของ “ร้อยเปอร์เซ็นต์” นักเขียนชาวเด็กดีที่พี่หญิงพามาแนะนำให้รู้จักกันในวันนี้ค่ะ เธอเคยถูกครอบครัวต่อต้านอย่างหนักเรื่องการเขียนนิยาย ด้วยมันทำให้ผลการเรียนแย่ลง แต่เพราะรักในการเขียน “ร้อยเปอร์เซ็นต์” จึงไม่เคยยอมแพ้ พยายามพิสูจน์ตัวเองอย่างหนัก ทำให้ในที่สุดแล้วสามารถดึงผลการเรียนให้ดีกลับขึ้นมาได้ แล้วในเวลาเดียวกันก็สร้างรายได้จากการขายนิยาย จนครอบครัวให้การยอมรับ

แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกันค่ะ ในระหว่างทางเธอต้องผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้าง วันนี้เรามาฟังจากปากของเธอกัน!

อะแฮ่มๆ! สวัสดีทุกคนค่า ร้อยเปอร์เซ็นต์เองนะคะ เป็นนักเขียนตัวน้อย ๆ ที่กำลังฝึกฝนประสบการณ์การเขียนนิยายค่า ขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อนะคะ เอาเป็นว่าอยากให้ทุกคนเรียกเราว่า 'คูมเปอร์' แล้วกันค่ะ >< 

ตอนนี้กำลังศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่ 4 แล้วค่ะ (สาขาวิชาก็ขออุบไว้ด้วยนะคะ แหะ ๆ) อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคอีสานค่ะ ขออุบชื่อมหาวิทยาลัยไว้นะคะ (เป็นคนความลับเยอะจริง ฮ่า ๆ ๆ) เขียนนิยายมาหลายปีแล้วล่ะค่ะ เริ่มเขียนตั้งแต่อยู่มัธยมปลายค่า แล้วก็ฝึกฝนประสบการณ์มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาเริ่มเขียนนิยายอย่างจริงจังตอนเรียนปี 1 ค่ะ

สำหรับที่มาของชื่อนามปากกา 'ร้อยเปอร์เซ็นต์' นั้นก็ไม่มีอะไรมากเลยค่ะ แค่รู้สึกว่าการที่เราจะเริ่มต้นเขียนนิยายอย่างจริงจัง เราอยากที่จะเริ่มจากร้อยเปอร์เซ็นต์ (เต็มที่กับการเขียนให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์) ค่ะ ที่มาของชื่อนามปากกาก็มีเพียงเท่านี้เลย 

จุดเริ่มต้นของการเป็นนักเขียน จำได้ว่าตอนนั้นช่วงมัธยม เพื่อนในชั้นเรียนพกหนังสือนิยายมาอ่านที่โรงเรียนค่ะ เราก็เลยยืมเพื่อนอ่าน ตอนแรกก็รู้สึกว่ามันต้องน่าเบื่อแน่ ๆ เพราะมีแต่ตัวหนังสือเต็มหน้ากระดาษ แต่พอมาอ่านจริงมันกลับสนุกมาก เลยอยากจะลองเขียนให้ได้แบบนี้ดู ก็เลยเริ่มที่จะเขียนนิยายค่ะ แรก ๆ ก็ทุลักทุเลเอามาก ๆ เลยล่ะค่ะ มีทั้งคนติและก็คนชม แต่ก็เก็บคำติชมเหล่านั้นมาช่วยเป็นแรงผลักดันของการเขียนนิยายค่ะ ก็เขียนเรื่อยมา จนกระทั่งปี 1 ถึงได้รู้สึกว่าเราควรจะจริงจังกับการเขียนให้มากขึ้น เพราะประสบการณ์ที่สะสมมาในช่วงมัธยมนั้นก็น่าจะพอเขียนได้ดีมากขึ้นแล้วค่ะ

อุปสรรคที่ทำให้ท้อมากที่สุดคือครอบครัว

อุปสรรคที่ทำให้ท้อมากที่สุดคือเรื่องเวลากับครอบครัวเลยค่ะ ช่วงที่เขียนนิยายนั้นเราค่อนข้างที่จะเป็นเด็กตั้งใจเรียนพอสมควร ทำเกรดให้ดีมาโดยตลอด แต่พอมาเขียนนิยาย การเรียนก็ตกค่ะ (เพื่อน ๆ และน้อง ๆ ทุกคนไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างนะคะ ควรจะแบ่งเวลานะ) ทางครอบครัวก็เลยอยากให้เลิกเขียน ตอนนั้นเราเสียใจมาก ร้องไห้เป็นวันเลยค่ะ ทะเลาะกับครอบครัวด้วย ท้อแท้จนอยากเลิกเขียน แต่มันก็มีความคิดแวบเข้ามาในหัวค่ะ คือ

ถ้าเราเลิกเขียนและยอมแพ้ง่าย ๆ เราก็จะพิสูจน์ให้ครอบครัวเห็นไม่ได้ว่าเรามีศักยภาพมากพอที่จะเป็นนักเขียน 

ก็เลยเริ่มแบ่งเวลาการเขียนนิยายกับการเรียนค่ะ การเรียนก็ไม่ตกแล้ว ส่วนนิยายพอเขียนได้ก็ขายออนไลน์ค่ะ ช่วงแรก ๆ ได้เงินมา 200-300บาท เราก็เอาให้ครอบครัวดูค่ะว่าเราสามารถหารายได้จากการเขียนนิยายได้นะ ช่วงนั้นก็เลยไม่ได้ขอเงินพ่อแม่เลยค่ะ อยากได้อะไรก็เอาเงินที่ตัวเองหามาได้ไปซื้อค่ะ ก็เลยทำให้ทางครอบครัวยอมให้เขียนต่อไป เพราะห้ามยังไงก็ห้ามไม่ได้(เป็นเด็กดื้อพอตัวเลยใช่ไหมล่ะคะ ฮ่า ๆ ๆ >///<)

พล็อตไม่นิ่ง จุดบอดที่ทำให้นิยาย “เข้าป่า” 

เรื่องพล็อตไม่นิ่งนั้นเป็นบทเรียนอย่างยิ่งใหญ่เลยค่ะ เป็นเพราะไม่ได้วางพล็อตอย่างเป็นขั้นตอนมากพอค่ะ เรียกสั้น ๆ ว่าไม่ได้เขียนพล็อตไว้ตั้งแต่ต้นจนจบค่ะ เขียนพล็อตเอาไว้แบบสะเปะสะปะมาก เลยทำให้เขียนไปก็เปลี่ยนพล็อตไปด้วย พอเขียนไปเรื่อย ๆ เราก็รู้สึกว่ามันไปเรื่อยเลยค่ะ เข้าป่าไปเรื่อยเลย ฮ่า ๆ ๆ ก็เลยต้องหยุดเขียนเพื่อหาเวลาในการปรับพล็อตใหม่ค่ะ เขียนพล็อตให้เป็นขั้นตอนมากขึ้น จะได้เขียนอยู่ในกรอบเรื่องมากขึ้นและไม่เข้าป่าค่ะ 

เพราะปกติพอคิดพล็อตออก จะเขียนไว้ในสมุดหรือไม่ก็โน้ตในโทรศัพท์ไว้ค่ะ แต่มันเหมือนกับว่าเราเขียนไปเฉย ๆ โดยที่ไม่ได้บอกว่าฉากนี้จะอยู่ในตอนที่เท่าไหร่ จะไปโผล่ที่ไหน อะไรแบบนี้ค่ะ เหมือนแค่คิดออกก็จดเอาไว้ พอมาแต่งจริงมันก็เลยไม่รู้ว่าอันที่เราเขียนไว้นั้นจะต้องอยู่ในบทที่เท่าไหร่ 

ทางแก้ไขเวลาเขียนพล็อตของนิยายแต่ละเรื่อง เราจะเขียนเนื้อเรื่องคร่าว ๆ ไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ และจะมีเขียนตอนย่อยแต่ละตอนเอาไว้ด้วยว่าตอนนี้ชื่อตอนว่าอะไร จะมีฉากไหนอยู่ในตอนบ้าง อะไรทำนองนี้เลยค่ะ

WARNING! เตือนแล้วนะ และ HIDDEN LOVE ไม่ควรรัก นิยายที่เต็มไปความสดใส

สองเรื่องนี้เรียกได้ว่าแทบไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยค่ะ เป็นนิยายแนวกุ๊กกิ๊กใส ๆ วัยรุ่นค่ะ ไม่มีปมที่ซับซ้อนอะไรมากมาย เนื้อเรื่องโดยรวมจะเป็นการเล่าเรื่องของตัวพระเอกและนางเอกผ่านเรื่องราวในช่วงวัยมหาวิทยาลัยค่ะ (หรือที่เรียกว่าวัยว้าวุ่นนั่นเองค่า ^^) หากนักอ่านชอบอ่านนิยายแนวรักโรแมนติกกุ๊กกิ๊กน่ารักสามารถเข้ามาอ่านได้เลยนะคะ (ขอขายของหน่อยนึงนะ ><) เหมาะกับนักอ่านที่ชอบนิยายที่เบาสมอง ไม่มีความซับซ้อนหรือดราม่ามากมายค่ะ 

แรงบันดาลใจในการเขียนเริ่มแรกเลยขอเล่าถึงเรื่อง WARNING! เตือนแล้วนะ ก่อนเลยค่ะ ตอนนั้นเป็นช่วงที่เราอยู่ปี 1 ค่ะ มีกิจกรรมสำหรับน้องใหม่มากมายเลย บวกกับตอนนั้นอยากเขียนนิยายอย่างจริงจังพอดี เราเป็นคนที่ฟังเพลงไปด้วยเขียนนิยายไปด้วยค่ะ แล้วบังเอิญกดไปฟังเพลงเตือนแล้วนะของเติร์ด Kamikaze พอดี เราชอบก็เลยนำมาเป็นชื่อเรื่องซะเลย แล้วก็นำเรื่องราวตอนกิจกรรมสำหรับน้องใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยมาเขียนด้วย ก็เลยกลายเป็นเรื่องราวของพี่เฟียตและน้องฟิล์มในเรื่องค่ะ 

ส่วนเรื่อง HIDDEN LOVE ไม่ควรรัก นั้น มีนักอ่านอยากให้เขียนเรื่องของพี่คินทร์ (เพื่อนของพี่เฟียตในเรื่อง WARNING! เตือนแล้วนะ นั่นเองค่า ><) ด้วย เราก็เลยเขียนค่ะ เรื่องราวของคินทร์จะค่อนข้างขาดความสมจริงไปบ้าง ตรงจุดนี้ต้องขออภัยนักอ่านทุกท่านด้วยนะคะ ขอแก้ตัวในเรื่องถัด ๆ ไปนะคะ แหะ ๆ ^^

เขียนนิยายเพราะความสนุก ไม่ได้คาดหวังกับผลตอบรับ

เรื่องผลตอบรับ สาบานเลยค่ะว่าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่านิยายที่เราเขียนจะได้รับผลตอบรับดีขนาดนี้ค่ะ ตอนแรกที่เขียนไปแล้วยอดวิวถึงหมื่นก็ดีใจมากแล้วค่ะ เพราะปกติก็ได้ยอดวิวประมาณนี้ตลอด ฮ่า ๆ ๆ พอเริ่มอัพเรื่อย ๆ ยอดวิวก็เพิ่มขึ้น ยอดเฟบก็เยอะขึ้น ต้องขอบคุณนักอ่านทุกคนมาก ๆ เลยค่ะที่ชื่นชอบผลงานของเรา ^^ 

ความเห็นส่วนตัวของเราคิดว่าส่วนที่ทำให้นิยายทัชใจนักอ่านอาจจะเป็นเพราะเนื้อเรื่องเรียบง่าย อ่านได้ทุกวัย และเบาสมองค่ะ สามารถอ่านแบบคลายเครียดได้ ตรงจุดนี้ก็เลยทำให้นักอ่านชอบ (ใช่ไหมคะทุกคน >///<)

 WARNING! เตือนแล้วนะ และ HIDDEN LOVE ไม่ควรรัก คือบันทึกความทรงจำ

สำหรับนิยายสองเรื่องนี้ เรียกว่าประทับใจในพัฒนาการของตัวละครแต่ละตัวในเรื่องค่ะ ตอนที่เขียนเรารู้สึกได้ว่าตัวละครทุกตัวเติบโตไปพร้อมกับเราค่ะ อีกอย่างที่ประทับใจก็น่าจะเป็นฉากแต่ละฉากในเรื่องค่ะ มันเหมือนเป็นการบันทึกเรื่องราวภายในรั้วมหาวิทยาลัยของเราลงไปในเรื่องด้วยค่ะ ช่วงที่เขียนนั้นจะเป็นช่วงที่เรียนปี 1 ใช่ไหมล่ะคะ เนื้อเรื่องโดยรวมในนั้นก็จะเป็นเหตุการณ์ของน้องใหม่ ทำให้พอย้อนกลับไปอ่านนิยายที่ตัวเองเขียน ก็เหมือนทำให้เราได้ย้อนกลับไปอ่านเหตุการณ์ในอดีตช่วงที่เป็นเฟรชเมนของเราเองค่ะ

ส่วนที่ว่าเราเคยเอาประสบการณ์ตรงใส่ในนิยายไหม แน่นอนว่าใช่ค่ะ ฮ่า ๆ ๆ ในเรื่อง WARNING! เตือนแล้วนะ อย่างตอนโต๊ะกินข้าวขาประจำ อันนี้ก็อิงมาจากเรื่องที่เจอในมหาวิทยาลัยของเราเองค่ะ ตอนนั้นอยู่ปี 1 เราก็เป็นเฟรชเมนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรมากมาย ก็ไปกินข้าวกับเพื่อนกันที่โรงอาหาร แต่พอนั่งไปสักพักก็มีรุ่นพี่เป็นกลุ่มใหญ่เดินถือจานข้าวมานั่งโต๊ะเดียวกับเรา แต่พี่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรนะคะ ไม่ได้ไล่ แต่ก็มองเรากับเพื่อนนิดหน่อย ฮ่า ๆ ๆ ตอนนั้นก็นั่งกินข้าวกันจนเสร็จ พอกินเสร็จแล้วก็มีเพื่อนมาเล่าให้ฟังว่าโต๊ะตรงนั้นเป็นของเด็กสาขานี้ บลา ๆ ๆ เราก็อ๋อเหรอ ไม่รู้ ฮ่า ๆ ๆ หลังจากนั้นก็ไม่ไปนั่งอีกเลยค่ะ แล้วก็จะมีฉากนึงในเรื่องที่รุ่นพี่รวมตัวกันติวให้น้องในวิชายาก ๆ อย่างพวกแคลคูลัส คอมโปร เขียนแบบอะไรพวกนี้ค่ะ อันนี้ก็เอามาจากประสบการณ์ตรงเลย แล้วก็พวกสายเทคสายรหัส ช่วงที่มีประกวดวงดนตรีภายในมหาวิทยาลัย ช่วงดาวเดือน เรียกได้ว่าเขียนอิงจากประสบการณ์ตรงเยอะเหมือนกันค่ะ ฮ่า ๆ ๆ 

อยากเป็นนักเขียนห้ามขาดวินัย

สามคำสั้น ๆ เลยค่ะ ‘วินัย วินัย และวินัย’ ค่ะ การมีวินัยในตนเองเท่านั้นที่จะทำให้เราเขียนนิยายได้ค่ะ อาจจะมีบางครั้งที่รู้สึกท้อแท้บ้าง เราก็พักสักหน่อยค่ะ แล้วค่อยกลับมาเขียนใหม่เท่านั้นเอง ท้อได้แต่ห้ามถอยนะคะ >< 

เขียนนิยายคิดว่าส่วนไหนยากที่สุด… ไม่รู้ว่ามีคนเป็นเหมือนเราไหม แต่สิ่งที่เราคิดว่ายากที่สุดคือการคิดคำโปรยเรื่องและชื่อเรื่องค่ะ ฮ่าาา คำโปรยเรื่องเป็นด่านหน้าที่จะทำให้นักอ่านตัดสินใจจิ้มนิ้วกดเข้ามาอ่านเรื่องของเราค่ะ เราก็เลยคิดว่ามันยากมากที่จะคิดคำโปรยเรื่องที่สามารถดึงดูดนักอ่านให้ตัดสินใจเข้ามาอ่านนิยายของเราได้ค่ะ ชื่อเรื่องก็ยากเช่นเดียวกับคำโปรยเรื่องเลยค่ะ อยากตั้งชื่อเรื่องแบบที่แปลกใหม่และไม่ซ้ำใครค่ะ แต่มันก็ยากมากอยู่ดี (TT)

โดยส่วนตัวเราคิดว่าคำโปรยที่จะดึงดูดคนอ่านได้มันต้องเป็นคำโปรยที่ทิ้งประโยคจากตัวละครบางประโยคเอาไว้ให้คนอ่านได้ตามต่อหรือยกเอาบุคลิกสำคัญของตัวละครมาค่ะ ยกตัวอย่างเช่นในเรื่อง WARNING! เตือนแล้วนะ จะมีประโยคที่พี่เฟียตพูดเอาไว้ว่า "เหยียบตีนพี่... อยากลองดีเหรอครับน้อง?" แบบนี้ ประโยคที่ทิ้งเอาไว้นี้จะทำให้คนอ่านรู้สึกว่า เอ๊ะ! จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นนะ อยากอ่านต่อจังเลย แล้วตัวนางเอกของเราที่ประสบพบเจอกับประโยคนี้เขาจะเป็นยังไงต่อไป ประมาณนี้ค่ะ 

สำหรับคำโปรยที่คิดว่าดี อันนี้พูดยากมากเลยค่ะ อันที่จริงคำโปรยของแต่ละคนก็จะมีสไตล์ที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่คนเขียนจะครีเอทขึ้นมา แต่ถ้าเอาในมุมมองของเรา เราคิดว่าคำโปรยที่ดีนั้นควรจะกระชับและน่าติดตามต่อค่ะ ควรจะเขียนคำโปรยให้ดูเหมือนมีอะไรต่อในเรื่อง เช่น ยกเอาเหตุการณ์ในเรื่องหรือประโยคบางประโยคจากตัวละครมา หรือเอาบุคลิกที่สำคัญของตัวเอกมาเขียนอะไรแบบนี้ค่ะ คนอ่านก็จะอยากอ่านต่อว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อไป ^^

ตัดสินใจเปิดขายนิยายดีกว่าปิดตอนเอาไว้เฉยๆ

โดยปกติแล้วเราจะอัพนิยายให้นักอ่านจนจบเรื่องค่ะ แล้วก็ค่อยปิดการอ่านเอาไว้หลังจากอัพจนจบแล้ว ตอนที่ตัดสินใจลงขายนิยายก็คิดว่าเราปิดเอาไว้ก็ปล่อยให้เนื้อเรื่องอยู่ในระบบไปเฉย ๆ เลยตัดสินใจลงขายนิยายไปเลยดีกว่า เผื่อมีนักอ่านที่อยากจะอ่านก็จะได้กดซื้อในเว็บได้เลยค่ะ

เราคิดว่าการเติบโตของแพลตฟอร์มออนไลน์นั้นก้าวกระโดดเอามาก ๆ เลยค่ะ ข้อดีของการเขียนนิยายออนไลน์เลยเป็นความสะดวกที่เราสามารถลงผลงานของเราบนแพลตฟอร์มเพื่อให้นักอ่านเข้ามาอ่านได้ เพียงแค่อยากเขียนก็เปิดเว็บขึ้นมาและเขียนได้เลย มันเลยเป็นโอกาสที่ดีที่นักอยากเขียนทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ต้องขอบคุณคนที่คิดแพลตฟอร์มการเขียนนิยายออนไลน์มาก ๆ เลยค่ะที่ทำเว็บขึ้นมาเพื่อเปิดโอกาสให้นักอยากเขียนทุกคน ขอบคุณมากเลยนะคะ ^^

ร้อยเปอร์เซ็นต์ถึงชาวเด็กดี

ฝากถึงนักอยากเขียนที่กำลังเริ่มต้นเขียนนิยายทุกคนนะคะ ถ้าตอนนี้คุณกำลังท้ออยู่ เราอยากเป็นกำลังใจให้ทุกคนสู้และเขียนนิยายต่อไปค่ะ จงอย่าท้อถอยกับความฝันของเรา ในเมื่อเราอยากเขียนก็เขียนเลยค่ะ เขียนเยอะ ๆ เลย แม้จะมีคนเข้ามาอ่านเพียงแค่คนเดียวก็ตาม แม้จะไม่มีใครคอมเมนต์ให้นิยายของเรา แต่เราอยากให้ทุกคนอย่าล้มเลิกความตั้งใจของตัวเองค่ะ จงเขียนต่อไปนะคะ สู้ ๆ น้า สักวันนิยายของคุณจะต้องมียอดวิวและคนติดตามเยอะขึ้นแน่นอนค่ะ สะสมประสบการณ์การเขียนเยอะ ๆ นะคะ สุดท้ายนี้ขอฝากคำคมที่ว่า ‘กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวฉันใด การเขียนนิยายก็ไม่ได้เขียนในวันเดียวแล้วจะประสบผลสำเร็จเลยฉันนั้น’ ค่ะ! ^^

สำหรับแฟนๆ ที่คอยติดตามผลงานอยากขอบคุณค่ะ อยากขอบคุณนักอ่านทุกคนที่สนับสนุนเราอยู่ ถ้าไม่มีนักอ่านก็ไม่มีนักเขียนนามปากการ้อยเปอร์เซ็นต์ในวันนี้ค่ะ ต้องขอบคุณคอมเม้นต์ที่ทั้งติและชมด้วยนะคะ เราน้อมรับและนำมาพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ขอบคุณนักอ่านทุกคนมาก ๆ ที่คอยให้กำลังใจอยู่ตลอด ขอบคุณนะคะ ไม่มีอะไรจะบอกเลยนอกจากคำว่าขอบคุณค่ะ ^^

สุดท้ายนี้ก่อนจากลากันนี้อยากจะฝากนิยายเรื่อง ‘52 Hz อวาฬกาศ’ และ ‘Lovey Bully รักอย่าพาล’ ไว้ด้วยค่ะ เรื่องอวาฬกาศกำลังเขียนอยู่นะคะ ใกล้จบแล้วค่ะ พักการอัพไว้ (ไปจริงจังกับการเรียนมากขึ้นเพราะอยู่ปี 4 แล้ว) แต่เดี๋ยวมาอัพต่อให้นะคะ ส่วนเรื่องรักอย่าพาล เราอยากจะฝากให้ทุกคนตามไปอ่านกันค่ะ เรื่องนี้เราหยิบยกเอาประเด็นการกลั่นแกล้งและบูลลี่กันมาเขียน โดยมีจุดประสงค์เพื่อจะชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของการบูลลี่ เลยอยากให้ทุกคนตามไปอ่านกันเยอะ ๆ เลยค่ะ ฝากติดตามผลงานของนักเขียนตัวน้อย ๆ คนนี้ไว้ด้วยนะคะ (˶Ɛ˵)

และนี่คือเรื่องราวของ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่เราเอามาฝากในวันนี้ค่ะ อ่านจบแล้วพี่หญิงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนิยายของเธอถึงทำให้นักอ่านอินสุดๆ เวลาอ่านนิยาย นอกจาก ร้อยเปอร์เซ็นต์ จะเต็มไปด้วยพลังบวกที่พร้อมส่งต่อให้นักอ่านของตัวเองแล้ว เธอยังหยิบเอาประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นรอบตัวมาใส่ลงไปในนิยาย ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศในมหาวิทยาลัย เรื่องราวที่เธอพบเจอระหว่างทาง มันทำให้เวลาอ่านนิยาย นักอ่านที่เคยมีประสบการณ์เหล่านี้ รู้สึกใกล้ชิด เหมือนอ่านเรื่องราวของตัวเอง จนทำให้เข้าใจและอินไปกับเนื้อหาได้อย่างง่ายเลยค่ะ

สำหรับใครที่กำลังตัน หรือเขียนไม่ออก ก็ลองหยิบเอาแรงบันดาลใจจากสิ่งต่างๆ รอบตัวมาปรับใช้ก็ได้นะ ไม่แน่ว่าเรื่องราวของเราที่ถ่ายทอดออกมามันจะทัชใจนักอ่านหลายๆ คนจนทำให้เราได้แฟนคลับใหม่ๆ มาติดตามผลงานของเราก็ได้นะ

อ่านนิยายของ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ได้ที่นี่

พี่หญิง

พี่หญิง
พี่หญิง - Columnist มนุษย์บ้านิยายที่สิงอยู่แถวๆ คลังนิยายเด็กดีเป็นประจำ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น