ไม่สตรองจริงอยู่ไม่ได้! ตีแผ่ 9 งานสูบพลัง ตั้งแต่เป็นเฟรชชี่จนจบมหา'ลัย

 
     สวัสดีค่ะชาว Dek-D.com การเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยถือเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่ของวัยรุ่นหลายคน เพราะทุกคนต่างคาดหวังจะได้ศึกษาหาความรู้และประสบการณ์ชีวิตเพื่อนำไปใช้สร้างอาชีพและทำประโยชน์ให้แก่สังคมต่อไป ถ้าอยากจะฝึกฝนตัวเองให้เติบโตไปเป็นคนที่มีคุณภาพ แน่นอนว่าเราก็ต้องเหนื่อยมากหน่อย...
    
     ว่าน้องๆ คงเคยได้ยินรุ่นพี่มหา'ลัย กล่าวขานกันมาช้านานว่าการเรียนระดับอุดมศึกษานั้นเหนื่อยกว่าเรียน ม.ปลาย หลายเท่าตัว ใช่ค่ะ! มันเป็นเรื่องจริง แต่เบื้องหลังของความเหนื่อยในชีวิตเด็กมหา'ลัยยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะยังมีงานนอกห้องเรียนที่สูบพลังถึง 9 อย่าง ที่นิสิต-นักศึกษาต้องอดทนฝ่าฟันไปให้ได้ ซึ่งพี่ส้มจะมาตีแผ่ให้น้องๆ ได้ทราบกัน ณ บัดนี้!!!
     
       
1. แทบกราบจอคอมกับระบบลงทะเบียนเรียนสุดเปราะบาง
   
บททดสอบแรกที่เด็กมหา'ลัยทุกคนต้องเจอ ก็คือการลงทะเบียนเรียนที่ต้องใช้ทั้งความแข็งแกร่งดั่งหินผาและความว่องไวปานสายฟ้า เพราะว่าทุกเทอมน้องๆ จะต้องอดทนกับระบบลงทะเบียนสุดเปราะบาง ที่สามารถล่มและค้างได้ทุกวินาที โดยที่จะปล่อยให้คิวว่างๆ แล้วค่อยลงก็ไม่ได้ เพราะคลาสเรียนที่เราหมายปองไว้อาจเต็มได้ภายในไม่กี่นาที เหนื่อยใจนะนี่อยากให้รู้!
      
    
    
2. ต้อนรับน้องใหม่ แรงกายแรงใจมีเท่าไหร่ใส่มาให้หมด!
    
กิจกรรมต้อนรับน้องใหม่เป็นโอกาสที่ช่วยให้น้องๆ ได้รู้ทำความรู้จักกับสถาบัน และเรียนรู้การใช้ชีวิตของนิสิต-นักศึกษา โดยมีรุ่นพี่คอยให้คำแนะนำและอาจารย์ที่ปรึกษาดูแลอยู่ไม่ห่าง ซึ่งเฟรชชี่ทั้งหลายจะต้องพบกับกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างเพื่อน ทั้งกิจกรรมระดมสมอง นันทนาการ ที่ต้องใช้แรงกายและแรงใจมหาศาลแต่มันส์สุดๆ
      
เครดิต : CMU FOTO CLUB
    
     
3. ประชุมเชียร์เพลียร่าง
    
น้องๆ ที่เลือกเข้าประชุมเชียร์จะได้สัมผัสประสบการณ์การเข้าคลาสฝึกบุคลิกภาพที่มีสมาชิกเยอะที่สุด เพราะนักศึกษาใหม่ทั้งรุ่นจะได้ฝึกนั่งหลังตรงสง่าผ่าเผย ฝึกเปล่งเสียงร้องเพลงสถาบันออกมาให้ดังก้องกังวาน พร้อมซ้อมท่าบูมให้เข่าแขนขาเป๊ะทุกองศา เพื่อนำไปโชว์กันในวันประชันเชียร์ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของพี่ส้มคอนเฟิร์มเลยว่ากิจกรรมนี้เหนื่อยสุดๆ แต่ก็ปลื้มทุกครั้งที่กลับไปดูรูปและคลิปวิดีโอตอนที่โชว์เชียร์ รู้สึกว่านี่เราเหรอเนี่ย...จะเข้มแข็งอะไรเบอร์นั้น?
    
   
      
4. มหกรรมกีฬาที่มีมาบ่อยกว่าของเซลล์
    
สำหรับบรรยากาศงานกีฬาในรั้วมหาวิทยาลัย เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ยิ่งใหญ่และจัดขึ้นบ่อยจริงๆ ทั้งกีฬาเฟรชชี่ กีฬาคณะ กี่ฬาสานสัมพันธ์ในสายวิชาชีพ กีฬาระหว่างมหาวิทยาลัย ฯลฯ ซึ่งแต่ละครั้งก็ไม่ใช่งานเบาๆ เพราะนอกจากทีมนักกีฬาตัวโหดๆ แล้ว ก็มีทั้งขบวนพาเหรด สแตนเชียร์ เชียร์ลีดเดอร์ ดรัมเมเยอร์ ที่ขนกันมาครบเซ็ทแบบจัดเต็ม คนที่ลงแข่งก็ซ้อมกันทุกวัน คนที่เป็นทีมงานเบื้องหลังก็นั่งตอกฉากกันอย่างหามรุ่งหามค่ำไปจนถึงวันก่อนแข่ง เรียกได้ว่าจบงานเมื่อไหร่ทุกคนหลับแบบซ้อมตายจ้า!
    
เครดิต : Silpakorn University Thailand
   
      
5. เรียนรู้ความเหนื่อยแบบเด็กค่าย
    
ความเหนื่อยของเด็กค่ายไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่น้องค่ายที่ต้องตื่นแต่เช้ามาวิ่งตะลุยฐานสุดมันส์กันทั้งวัน หากแต่ยังมีพี่ค่ายที่เตรียมค่ายกันเป็นเดือนๆ อดหลับอดนอนประชุมงานวางแผนให้กิจกรรมต่างๆ วิ่งหาสปอนเซอร์ตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต พอถึงวันค่ายก็มาแดนซ์ปลดปล่อยความเครียดกันแบบลืมตาย บทสรุปสุดท้ายเมื่อค่ายจบก็คือการนอนพักของชาวค่ายที่ไม่สนใจว่าพระอาทิตย์จะขึ้นหรือตกกันเลยทีเดียว
    
     
        
6. กิจกรรมจิตอาสาสุดมันส์ แบ่งปันรอยยิ้มให้สังคม
    
งานจิตอาสาเป็นกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้นอยู่เรื่อยๆ โดยมีทั้งรูปแบบของค่ายอาสาพัฒนาชนบท ที่ยินดีให้น้องๆ ไปร่วมกันสร้างฝาย ซ่อมโรงเรียน หรือกิจกรรมฟื้นฟูสถานที่ประสบภัยธรรมชาติ ที่เด็กมหา'ลัยแท็กทีมกันไปทำกิจกรรม Big Cleaning Day งานหนักแบบนี้จะไม่ให้เหนื่อยก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ความเหนื่อยเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงเป็นความสุขให้แก่สังคม ซึ่งก็พลอยทำให้เราได้ชื่นใจไปด้วยนะคะ
      
       
     
7. ชีวิตเด็กฝึกงาน ด่านแรกของการเป็นผู้ใหญ่
    
หลังจากที่ร่ำเรียนกันมาจนได้วิชาความรู้พอสมควร นิสิตนักศึกษาทั้งหลายก็ถึงเวลาลงสนามจริง นั่นคือการฝึกงานเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการประกอบอาชีพ ซึ่งใช้เวลาอย่างน้อย 1 เทอม หรือบางหลักสูตรก็ยาวนานถึง 1 ปี ช่วงเวลานี้น้องๆ จะต้องปรับตัวเข้ากับสังคมของวัยทำงาน ที่ต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดไปพร้อมๆ กับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน เรื่องเครียด เหนื่อย ท้อ จะพุ่งเข้าหาน้องรัวๆ จนกลายเป็นของธรรมดาไปเลยล่ะ
                  
          
     
8. ทำโปรเจกต์จบวนไป!
    
เมื่อผ่านด่านโหดของการฝึกงานมาเรียบร้อย เด็กมหา'ลัยทุกคนก็จะต้องเข้าสู่สถานีที่ใครๆ ก็มักเรียกติดปากว่า "โปรเจกต์จบ" หรือการทำวิจัยด้วยการรวบรวมทฤษฎีความรู้ที่มีมาใช้แก้ปัญหาหรือพัฒนานวัตกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นงานที่เราต้องรับผิดชอบเองล้วนๆ ทั้งการสร้างชิ้นงานหรือคิดค้นทฤษฎีใหม่ๆ และรายงานวิจัยเล่มหนาที่นิสิต-นักศึกษาปีสุดท้ายรู้กันดีว่าต้องแก้แล้วแก้อีกเพื่อความถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุด โดยทุกคนจะต้องเหนื่อยและเครียดแบบนี้วนไปเป็นเวลาหนึ่งเทอมเลยนะจะบอกให้
     
     
           
9. พิธีพระราชทานปริญญาบัตร และบัณฑิตสุดสตรอง!
    
หลังจากฝ่าฟันมรสุมโปรเจกต์จบมาแล้วก็ถึงเวลาแห่งการจบการศึกษาอย่างสมบูรณ์ ถ้าใครที่เข้าร่วมพิธีพระราชทานปริญญาบัตรก็จะทราบกันดีว่าช่วงเวลาแห่งความภาคภูมิใจนี้ มีเบื้องหลังของความอดทนซ่อนอยู่ค่ะ เพราะน้องๆ จะต้องผ่านการก้าวและย่อท่าเดิมซ้ำๆ จนกว่าจะจำขึ้นใจ ทั้งในพิธีซ้อมใหญ่และซ้อมย่อย นอกจากนี้ทุกคนยังต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อมาเตรียมความพร้อมในการเข้าพิธี และระหว่างที่อยู่ในหอประชุมจะลุกเดินไปเข้าห้องน้ำง่ายๆ ไม่ได้อีกด้วยนะจ๊ะ
    
    
    
     แม้ว่าชีวิตเด็กมหา'ลัย จะมีเรื่องให้เหนื่อยทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียนแค่ไหน แต่ทุกเบื้องหลังของความเพลียเหล่านี้ ย่อมเป็นการฝึกฝนความอดทนที่เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าสู่โลกแห่งการทำงานในสังคมแบบผู้ใหญ่ ที่น้องๆ ต้องได้เจอในอนาคตอย่างแน่นอนจ้า ว่าแต่ตีแผ่ให้รู้กันล่วงหน้าไปแล้วแบบนี้ ก็อย่าลืมวางแผนในการแบ่งเวลาไว้ด้วยนะจ๊ะ เดี๋ยวจะไม่ได้พักผ่อนเอานะเด็กๆ

ก่อนจากไป ฝากกดไลก์เพจ "เด็กมีของ" ใครมีของเข้าไปโชว์กันได้!!
          
          
พี่ส้ม
พี่ส้ม - Columnist คนทำคอนเทนต์ออนไลน์ ที่เชื่อว่าใครก็เป็นเด็กดีได้ในสไตล์ของตัวเอง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

มัณทนา Member 3 ก.พ. 60 12:27 น. 1

ข้อ 9 ถ้าใครไม่อยากเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร

ไม่อยากให้พ่อแม่ต้องลำบากตื่นนอนตอนตี 3 ตี 4

ไม่อยากเสียเงินค่าแต่งหน้า ทำผม เสียเงินค่าจ้างช่างภาพ

ก็ไม่ต้องไปซ้อม ไปเอาใบปริญญาย้อนหลังก็ได้จ้า

เราจะรับปริญญาที่รามปีนี้แหละ ไม่ไปซ้อม ไปเอาใบปริญญาย้อนหลัง

ไม่มีรองเท้าคัทชูที่เหมาะกับขนาดเท้าของเรา พ่อแม่ก็อายุมากแล้ว

เมื่อไหร่กำหนดการซ้อมรับปริญญาจะออกเศร้าจัง

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด