|
ไม่เข้าใจ...ทำไมต้องดื้อ ต้องเถียง??
เว็บบอร์ด Dek-D.com ของเราเป็นแหล่งรวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลของวัยรุ่น ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเล่น เป็นช่องทางสื่อสารใหญ่ที่วัยรุ่นเราสามารถเข้ามาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ หรือระบายอารมณ์ก็ได้ แต่ก็ไม่ได้มีแต่เด็กๆ วัยรุ่นเล่นกันอย่างเดียวนะคะ บางครั้งก็มีผู้ใหญ่อย่างคุณพ่อคุณแม่เข้ามาตั้งกระทู้ถาม ตอบอยู่เหมือนกัน และผู้เขียนก็เชื่อว่าหากเป็นกระทู้ถาม ก็จะได้รับคำตอบตรงจุดดีพอสมควรทีเดียว แต่จะเรียกว่าเป็นคำแนะนำคงไม่ได้ เพราะคนตอบก็คงเป็นวัยอ่อนกว่าคุณแม่ผู้ตั้งกระทู้ต้นเรื่องนี้เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เชื่อว่าคุณแม่คงได้คำตอบที่ตรงประเด็นบ้างไม่มากก็น้อย เพราะ ปัญหาคือลูกวัยรุ่น และคนที่จะเข้าใจวัยรุ่นได้ที่สุด คือ ใครล่ะคะ ถ้าไม่ใช่คนวัยรุ่นเหมือนกัน?
ปัญหาของคุณแม่ เป็นปัญหาพื้นฐานที่หลายๆ บ้านต้องรับมือ เพราะเมื่อลูกโตขึ้น การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ย่อมตามมาตามพัฒนาการและประสบการณ์ที่เขาเจอมากขึ้น ลูกวัยรุ่นจะชอบเถียง ไม่ใช่ว่าต้องการทะเลาะ หรือปีกกล้าขาแข็ง ลูกเพียงแต่ต้องการให้พ่อแม่รับรู้ว่าตนเองโตแล้ว มีความคิดมากพอที่จะทำเรื่องต่างๆ ตามที่ตนคิดว่าเหมาะสมแล้ว ซึ่งบางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมในความคิดของพ่อแม่ พอเขารู้สึกว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับความคิดของตนเอง เพื่อนที่เข้าใจกันมากกว่า ย่อมเข้ามามีอิทธิพลสูงสุดในช่วงวัยนี้
การคบเพื่อนเป็นสิ่งที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนผู้หญิงหรือเพื่อนผู้ชายก็ตาม จะทำให้วัยรุ่นได้เรียนรู้บทบาทของตนเอง การปรับตัวเข้าหาผู้อื่น รวมถึงการรู้จักฟังความคิด และเอื้ออาทรต่อกันในหมู่เพื่อนสนิท ซึ่งถือเป็นพื้นฐานของการเข้าสังคม การมีเพื่อนย่อมดีกว่าไม่มีเพื่อน ดังผลทางจิตวิทยาวัยรุ่นบอกไว้ว่า แนวโน้มของเด็กที่ไม่มีเพื่อน และถูกกีดกันจากการคบเพื่อนในกลุ่มที่ชอบเหมือนกัน จะทำให้เด็กๆ ค่อยๆ สะสมความคับข้องใจ เมื่อโตขึ้นจะมีปัญหาทางอารมณ์และการปรับตัว ซึ่งประเด็นนี้มีลูกๆ วัยรุ่นในกระทู้นำเรื่องได้แสดงความคิดเห็นอย่างดีแล้ว
แม้ว่าเพื่อนลูกอาจไม่ดีพอในสายตาพ่อแม่ แต่อย่าลืมว่าเพื่อนลูกก็คือวัยรุ่นอีกคนหนึ่งที่ต้องการใครสักคนเข้าใจเหมือนลูกของตนเอง การพยายามกันให้ลูกออกห่างจากเพื่อน ไม่ใช่แค่การทำให้ลูกรู้สึกเสียใจเท่านั้น แต่กำลังทำร้ายจิตใจวัยรุ่นอีกคนอยู่เช่นเดียวกัน แต่แน่นอนว่าถ้าเพื่อนมีนิสัยไม่ดีจริงๆ ลูกอาจไม่ดีตามได้ เพราะมีแนวโน้มสูงที่จะคล้อยตามเพื่อนมากกว่าอยู่แล้ว โดยเฉพาะในแง่การต้องทำตามกลุ่มเพื่อน ทำตัวและใช้ของแบบเดียวกันทั้งกลุ่ม แต่ถ้าพ่อแม่กันลูกท่าเดียว ไม่ทำความเข้าใจกับลูกให้ชัดเจน ในประเด็น เช่นว่า ถ้าห้ามคบ ทำไมถึงห้ามคบ ที่บอกว่าเพื่อนไม่ดี ตรงไหนที่ไม่ดี ไม่ดีจริงไหม พ่อแม่เคยตามไปเห็นพฤติกรรมจริงๆของลูกๆ หรือเปล่า หรือฟังเสียงเล่าลือเล่าอ้างมาพูด หรือ ถ้าจะไม่ซื้อของให้แบบที่เพื่อนมี ทำไมไม่ซื้อให้ แต่ก่อนก็ให้มาตลอด ทำไมคราวนี้ไม่ให้ สิ้นเปลือง อะไรที่สิ้นเปลือง เพราะประโยชน์มันก็มี ฯลฯ การไม่บอกลูกให้ชัดเจน แล้วพยายามกีดกันท่าเดียว โดยใช้แต่เหตุผลในมุมมองของผู้ใหญ่ เช่น "ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน ดูออกว่าคนไหนดีไม่ดี" หรือถ้าแรงหน่อย คือ "เงินฉัน ฉันหามา มีสิทธิ์จะให้หรือไม่ให้ก็ได้" ร้อยทั้งร้อยเปอร์เซ็นลูกก็จะแหกคอกพ่อแม่ออกมาอยู่ดี
เรื่องติดวัตถุ ส่วนหนึ่งแล้ว ผู้ใหญ่ต้องยอมรับว่าสิ่งแวดล้อมปัจจุบันเป็นตัวหนุนให้เด็กๆ ทุกคนรับรู้ว่าสิ่งรอบตัวทำขึ้นมาเพื่อความสะดวกสบาย เพื่อความบันเทิง และเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ทั้งโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ และที่สำคัญก็เข้ามาอยู่ในชีวิตมากเสียจนไม่มีใครขาดได้ โดยเฉพาะโฆษณาต่างๆ ดารา นักร้อง ที่สามารถเข้าถึงวัยรุ่นได้ง่ายผ่านสื่อสะดวกเหล่านั้น สำหรับบางครอบครัวแล้วโฆษณาเหล่านี้เข้าถึงได้มากกว่าพ่อแม่เสียด้วยซ้ำ ซึ่งมีรายงานวิจัยเลยว่า แม้แต่เด็กวัยรุ่นต่างจังหวัดก็ยังเข้าร้านอินเทอร์เน็ตเป็นประจำ ถึงร้อยละ 50 เจ้าสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กวัยรุ่นสมัยนี้แทบทุกคนติดกับวัตถุ และพ่อแม่ก็ลืมตระหนักในข้อดังกล่าวเสียด้วย เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติในสังคมไปแล้ว ไม่ว่าบ้านไหนก็ต้องมีสื่ออำนวยความสะดวกเหล่านั้น จึงไม่แปลกหากลูกจะติดหนึบอยู่กับวัตถุในยุคสังคมบริโภคแบบนี้
แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูด้วยว่าพ่อแม่ที่รักลูก กำลังกลัวว่าลูกจะไม่ทัดเทียมเพื่อนหรือเปล่า เลยพยายามสนับสนุนให้สิ่งต่างๆ ตามความต้องการของลูก จนลูกเคยชินที่จะได้รับอยู่เสมอ หากวันหนึ่งพ่อแม่กลับพรากออกไป เพราะไปเพราะเริ่มเห็นท่าว่าไม่ดี หรือหาให้ไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็เลยหันไปโทษเพื่อนของลูกฝ่ายเดียวหรือเปล่า บางครั้งผู้ใหญ่ก็ไม่กล้าที่จะบอกความจริงกับลูก กลัวลูกรับไม่ได้ กระทบจิตใจ หรือคิดว่าพูดไปก็ไม่ยอมฟัง แต่เคยได้พูดและฟังลูกพูดอย่างจริงจังหรือยัง บางทีผู้ใหญ่ก็ติดว่ามีประสบการณ์มากกว่า ทำท่าจะฟังเด็กพูด แต่พอฟังขัดหูนิดเดียว ก็หันมาแก้ และบอกๆๆๆ จนลืมฟังเด็กให้จบ ทีนี้พอเด็กเห็นว่าผู้ใหญ่ไม่ฟังแล้ว ก็เลยโกรธ ในที่สุดก็กลับสู่วงจรเดิม คือ เริ่มเถียงหรือเริ่มหูทวนลมและทะเลาะกันในที่สุด
ลูกไม่ได้ดื้อ ไม่ได้อยากเถียง แค่พยายามเป็นตัวเองมากขึ้น
ลูกไม่ได้อยากติดเพื่อน แต่เพื่อนไม่โกรธเขา
ลูกไม่ได้อยากติดข้าวของ แต่คนอื่นเขาก็มีกันเป็นปกติ
ลูกไม่ได้ฟังไม่เข้าใจ แค่ไม่มีใครฟังเขาให้เข้าใจจริงๆ ก่อนต่างหาก
ไม่ว่าใครก็ต้องการให้มีคนรับฟังตนเองทั้งนั้นแหละค่ะ
กระทู้นำเรื่องลูกวัยรุ่น: http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1684743 |
แสดงความคิดเห็น
ถูกเลือกโดยทีมงาน
ยอดถูกใจสูงสุด
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการที่จะลบความเห็นนี้ใช่หรือไม่ ?





42 ความคิดเห็น
คืออยากแก้ไขตัวเองเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ซักทีอยากได้คำแนะนำดีๆคะ
ช่วงมหาลัย มันก็อาจมีปัญหาอื่นเข้ามาอีก เช่น ชีวิตรักสนุก รักอิสระมากขึ้น
ถ้าพ่อแม่ไม่เข้าใจ ยิ่งทะเลาะกันไปใหญ่ ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ ใช้วิธีเตือนมากกว่าการดุว่า
พอเวลาผ่านไป โตขึ้น ความคิดมันก็เปลี่ยนไปเองจริงๆ และก็จะเข้าใจที่ผ่านมาทุกอย่าง
เพราะทุกช่วงชีวิตมันคือประสบการณ์ทีต้องเรียนรู้^^
ไม่รู้ทำไม เพื่อนกลุ่มเราเป็นเด็กเรียนดี แต่งตัวเรียบร้อย มีความรับผิดชอบ พูดจาก็ไม่หยาบคายเลย
แค่เราชอบอ่านนิยาย เขียนนิยาย วาดการ์ตูนเหมือนกัน เป็นพวกโลกส่วนตัวสูงในสายตาแม่
พอเราพูดถึงเพื่อนกลุ่มนี้ทีไร แม่ก็จะทำท่าย่นจมูกแล้วก็ว่า "เฟิร์นน่ะนะ เฮอะ"
อยากจะบอกว่า คนอย่างเรา มีเพื่อนก็บุญแล้ว
พอเราย้อนถามว่าแม่ก็เห็นเขาบ่อยๆ เขาไม่ดีตรงไหนหรือไง แม่ก็ไม่ตอบ บางทีก็บอกว่า ชอบพาให้เราไร้สาระ เพ้อฝัน เราก็คิดในใจว่าแล้วมันไม่ดีตรงไหน แม่ทำเหมือนกับเราไปคบเพื่อนซอยผม สก๊อย ติดยาหรืออะไรเทือกนั้น
เราก็ยอมรับว่าบางครั้งเราก็ไม่อยากบอกอะไรพ่อแม่ เพราะกลัวเป็นเรื่อง บางทีก่อนจะพูดอะไรเราก็จะต้องกลั่นกรองก่อนว่าเรื่องไหนพูดไปแล้วปลอดภัยที่สุด โยงไปเข้ากับระเบิดไม่ได้
ความเห็นของเรากับพ่อแม่ในทุกเรื่องไม่ตรงกันเลย ทั้งเป้าหมาย ทัศนคติ ค่านิยมก็คนละเรื่อง
เราไม่มีศาสนา แม่ก็หาว่าเพราะเราไม่มีที่พึ่งทางใจก็เลยกลายเป็นคนแบบนี้ เราก็ย้อนไปว่าศาสนามันมีก็เพราะคนกลัวธรรมชาติ ไปเรื่อย ไม่จบไม่สิ้น
ล่าสุดนี่พอเราไม่ยอมเรียนพิเศษแม่ก็ไม่พอใจ บางทีก็รู้สึกแย่เวลาเราจะปฎิเสธอะไรสักอย่าง รู้ว่าเป็นเรื่องชัวร์
หนูเคยทำพ่อร้องไห้ด้วยซ้ำตอนทะเลาะกัน ทั้งๆที่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้เห็นท่านร้องเลย วันนั้นเลยกลายเป็นต่างคนต่างร้องไห้ 555+ แต่พอทุกอย่างผ่านไป เราเข้าใจในวิถีทางความคิด นิสัย กันมากขึ้นก็มีความสุขเหมือนเดิม
(ก็ต้องเข้าใจนะคะว่านี่มันความคิดของเด็กน่ะค่ะ 5555+)
พอตอบก็ถูกหาว่าเถียง แล้วก็มาบอกว่า พอเลย ไม่ต้องมาเถียง ไม่ต้องมาพูด
อ่าว!! แล้วมาถามหนูทำไมคะ?? งง??
ปล.ทะเลาะกันบ่อยมากๆ แต่หนูก็ีรักคุณยายที่สุดเลยค่ะ ^^
แถมทะเลาะแต่เรื่องเดิมๆ ก็เข้าใจว่าเป็นห่วง แต่ไม่ชอบเลยจริงๆ บางทีโกรธคนนู้นมาก็มาลงที่เรา
โดยเฉพาะเรื่องเรียน แค่ขอไม่เรียนที่โรงเรียนเพราะเรียนแล้วไม่เข้าใจก็โกรธ ไม่เคยฟังเราเลย
จะอ่านอะไรก็ต้องถามๆๆ เหมือนคิดว่าเรามันไม่น่าเชื่อใจ เวลาเครียดๆเลยไม่รู้จะไปลงกับใครนอกจากเพื่อน
บางทีไม่อยากคุยก็ดุก็ว่า บางทีไม่มีใครรับฟังก็แทบบ้าเหมือนกัน
อยากให้พ่อแม่รู้ไว้นะค่ะว่าเด็กแค่ต้องการคนรับฟัง ที่ไม่คอยตอกย้ำในความผิดผลาด เพียงแต่ฟังแล้วคอยปลอบใจ แค่นั้นหนูก็รู้สึกมีความสุขยิ่งกว่าได้ของที่อยากได้หรืออะไรทั้งหมดอีก
ปล.ขอโทษที่มีคำหยาบเล็กน้อย เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 30 กรกฎาคม 2554 / 17:12
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 30 กรกฎาคม 2554 / 17:13
อยากให้แม่มาอ่านจัง Y_Y
ขอให้ทุกๆคนสู้ๆนะ พยายามคุยกับแม่ดีๆอย่าใช่อารมเพาะถ้ายิ่งใช่อารมเราก็จะยิ่งทะเลาะกันไปใหญ่
ถ้าแม่อยากให้ทำอะไรเราก็ตอบ "ไงก็ได้" แต่บางอันก็ไม่ตอบเพราะไม่อยากทำ (อย่างเช่นอ่านหนังสือ)
ถ้าจะโดนด่าก็ส่วนมากจะเป็นจากพ่อ คงเพราะเขาไม่คอยได้เจอเรา แล้วเวลาเจอกันบางที่เราก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้เขาก็ว่า แต่เราไม่โต้ตอบกลับ
มีเรื่องอะไรเราก็ไม่คอยได้เล่าให้ฝังเพราะพอเล่าให้่พ่อฝังก็ไม่เข้าใจถึงแม้จะพยายามอธิบายแล้ว
แต่แบบนี้มันอึดอัดใจมากเลย บอกไม่ได้ ขัดไม่ได้
อยากให้มีระเบียบ ไม่ใช่ว่าไม่เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน ( แต่ที่บอกเพราะเขาเปนแบบนี้แหละในวัยรุ่น แล้วอนาคตมันไม่ดี )คือทุกสิ่งอย่างมันมาจากประสบการของพ่อแม่คือเขารู้งัยว่าถ้ายังเถียง ยังเล่นคอม ยังไม่อ่านหนังสือ ยังไม่ทำการบ้าน ยังไม่กวาดบ้านล้างถ้วยซักผ้ารีดผ้า ผลกระทบจะเปงอย่างไรต่างหากละที่พ่อแม่อยากบอก แต่ที่บอกก้อไม่ได้หมายความว่าไม่รัก ก้อเพราะรักมากงัยถึงได้สั่งสอนตั้งแต่อยู่ในบ้านตนเอง เวลาพวกหนูๆ ออกไปเรียนมหาลัย ไปทำงาน ที่ไม่มีพ่อแม่คอยบอกมันจะได้ทำเปงงัย และที่สำคัญ ไม่อยากให้คนอื่นเขาว่าลูกเราหลับหลังว่าไม่ดี ไม่เรียบร้อยไม่ด้ายเรื่องได้ราวต่างๆนาๆ จงมองที่วัตถุประสงค์หลัก อย่าคิดว่าเขาโกรธ เขาเกียจพ
พ่อแม่ถ้าถ้าจะให้แลกกับความเปลี่ยนแปลงชีวิตที่ดีของลูกแลกได้ทุกอย่างแม้กระทั้งชีวิต ตายแทนเลยไหมถ้าลูกยอมเปลี่ยนแปลงอย่างที่พ่อแม่บอก ที่พูดเขาเหนื่อยเขาทุกข์ เขาเครียดไม่ต่างอะไรจากพวกนู๋ๆหรอก เพระคาดหวังเกินไป เราถึงเหนื่อยกับลูกหรือเปล่า เงินทองจะเอาเท่าไหร่ถึงจะพอ ขอแค่หนูตั้งเรียนเรียน ทำตามพ่อแม่ต้องการ รักลูกุกคนนะค่ะ
^
^
^
ตัวเธอว์ ตัวเธอว์ ซื้ออะไรอะ บางทีพ่อก็ไม่ได้อยากด่าอะเปล่าาาา แต่เพราะของที่ซื้อนี่อาจไร้ประโยชน์ในสายตาผู้ใหญ่จริงๆ ก็ต้องดูด้วยอะนะ เขาคงไม่ได้อยากว่า อะฮึะฮึ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 4 สิงหาคม 2554 / 07:37
แต่เดี๋ยวนี้โดนบ่นอะไรจะนั่งเงียบ เฉยๆแล้วล่ะค่ะ
พ่อแม่เราค่อนข้างจะปล่อยแล้วอ่ะ
ม.ต้นก็โดนตีกรอบนู่น นี่ นั่น แต่ขึ้น ม.ปลายมาก็เริ่มปล่อย เพราะคงคิดว่าเราโตแล้วล่ะมั้ง
อยากฝากหลายๆคนนะคะ อย่าไปเถียงว่าหนูโตแล้ว จะทำอะไรก็ได้
เพราะยังไงพ่อแม่ก็มองเห็นเราเป็นเด็กเสมอ
พ่อแม่เราจะเป็นแบบอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ จะทำอะไรไปไหนก็ได้ แต่ขอให้บอกเท่านั้นเองอ่ะ
แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็จะไม่ทำอะไรที่มันนอกลู่นอกทาง เพราะพ่อแม่อุตส่าห์ไว้ใจเราแล้ว
ก็เลยไม่อยากทำลายความเชื่อใจค่ะ :)