|
Intro to Teen I
วัยรุ่นก็เป็นแบบเนี้ย!
มีพ่อแม่หลายคนที่ที่เมื่อลูกเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น แล้วก็ไม่สามารถจัดการลูกได้ ลูกรู้จักการเถียง การโต้แย้งกับผู้ใหญ่มากขึ้น อารมณ์รุนแรง บางคนไม่ชอบแสดงออกก็เอาระบายกับคอมพิวเตอร์ โป๊กๆ เป๊กๆ อยู่กับคีย์บอร์ดทั้งวันทั้งคืน บางคนก็อยากออกไปนอกบ้านเสียเหลือเกิน บ้านมันร้อนอยู่ไม่ได้ (ต้องร้อนสิ อยู่ที่ไร ก็ต้องทะเลาะกับผู้ใหญ่ในบ้าน) ยิ่งผู้ใหญ่ตำหนิติเตือน วัยรุ่นยิ่งเตือนเป็นเดือดเป็นแค้น ผู้ใหญ่ไม่รู้จะทำอย่างไร กลุ้มใจไปตามๆ กันทั้งบ้าน วัยรุ่นเองก็กลุ้มนะ "ทำไมพ่อแม่พี่น้องถึงมองเราเป็นตัวปัญหาทุกที" ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุด ที่ผู้ใหญ่พึงเข้าใจ คือ ต้องยอมรับและเข้าใจธรรมชาติของวัยรุ่นก่อนค่ะ
ซึ่งในครั้งนี้ขอนำเสนอในชื่อบทความว่า Intro to Teen คล้ายๆ กับวิชาเรียนในมหาวิทยาลัย ว่าด้วยเรื่องความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวัยรุ่น แต่ผู้เขียนไม่ได้เขียนตำรา ไม่ต้องว่ากันเป็นหลายๆ บท ถึงแม้เรื่องของวัยรุ่นจะมากมายเขียนขยายความแล้ว คงจะได้อยู่เป็นเล่มเหมือนกันก็ตาม แต่ผู้เขียนก็ขอนำเสนอในครั้งนี้เพียงสี่ข้อ ดังต่อไปนี้
1. เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ฮอร์โมนร่างกายแปลงแปลง อารมณ์ก็หันหุนพลันแล่น อัดอัดกายใจ เด็กผู้ชายจะห่วงเรื่องความแข็งแรงของร่างกาย จะรู้สึกมีปมด้อยฝังใจ ถ้าตัวเล็กกว่าเพื่อน กลัวโดนล้อ โดนแกล้ง หรือต้องเป็นลูกน้องเพื่อนไปตลอด วัยรุ่นหญิงที่โตเร็วกว่าเพื่อน (early mature) จะรู้สึกประหม่าอายต่อสายตาเพื่อนเพศตรงข้าม อยากโตแต่ก็รู้สึกว่ายังเด็ก ด้วยความที่ร่างกายกับจิตใจยังไปไม่พร้อมกัน โตช้าหรือโตเร็วกว่าเพื่อนก็ทำให้วิตกกังวล นิดๆ หน่อยๆ วัยรุ่นก็ตีรวนเป็นเรื่องใหญ่ได้อยู่แล้ว เช่น ใส่ชุดพละผิดวัน ผู้ใหญ่ในบ้านจึงต้องใจเย็นให้มากขึ้น ถ้ารู้สึกโกรธ ก็วางเฉย ก่อนพูดอะไรออกไป
2. วัยรุ่นจะเริ่มการกลัวการเป็นผู้ใหญ่ วัยรุ่นรู้สึกว่า "อยากโตนะ จะได้เป็นอิสระ ทำตามใจอะไรก็ได้" แต่พอคิดไปถึงทางข้างหน้าก็ชักจะสับสนจะเป็นอะไร จะเรียนต่ออะไร จะโดนสังคมประณามไหมถ้าทำอะไรผิด กลัวจะไม่เป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้าง กลัวว่าถ้าโตไปข้างหน้าต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น กลัวไม่ได้เล่นตามใจแบบเด็กๆ (อ้าว แล้วเมื่อกี้ก็อยากมีอิสระแบบผู้ใหญ่) เรียกว่า กลัวความรับผิดชอบตามภาระหน้าที่ของวัยนั่นเอง วัยรุ่นรู้สึกไม่พร้อมตลอดเวลา ดังนั้นความคิดเรื่องต่างๆ ก็จะสับสน มีเหตุผลสลับกับการใช้อารมณ์ไปพร้อมๆ กัน ผู้ใหญ่รอบข้างจึงต้องคอยแนะนำให้วัยรุ่นสามารถค้นหาตัวตนของตนเองได้ และบางทีก็ต้องคอยตอบปัญหาทางความคิดที่สับสนของวัยรุ่น เขาไม่ได้อยากให้ผู้ใหญ่ช่วย(ตรงๆ)หรอกนะ แต่ก็ต้องการการใส่ใจมากเลยล่ะ! ภาษาวัยรุ่นหน่อยๆ ก็คือ ถ้าจะช่วยหนู ก็ต้องทำเนียนๆ นะ ช่วยตรงๆ มันเหมือนชี้นำและบังคับ...หนูไม่ชอบ!
 |
|
ด้วยความที่อยากคิดเอง ทำอะไรเอง แบบผู้ใหญ่ในทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างถุงเท้าสองข้างสีขาวไม่เท่ากันยันเรื่องใหญ่ๆ อย่างการเรียนต่อ แต่ด้วยความขาดประสบการณ์ เลยทำให้ผู้ใหญ่หลายคนมองว่า การที่วัยรุ่นคุยกับผู้ใหญ่ คือ การปะทะกันทางอารมณ์ของคนต่างวัย และ นำไปสู่การทะเลาะเบาแว้งในครอบครัว เลยเลือกที่จะหลบเลี่ยงการเปิดอกคุยกันก็มี |
|
3. การปะทะผู้ใหญ่ การเติบโตทางร่างกาย และการพัฒนาทางทัศนคติและการใช้ความคิดตามวัยและการเรียนรู้จากสังคม ทำให้วัยรุ่นค่อยๆ เชื่อถือและยึดความยุติธรรมในใจตนเองมาก เพราะวัยรุ่นเชื่อว่า ความถูกต้อง ความยุติธรรมเป็นลักษณะหนึ่งของความเป็นผู้ใหญ่ วัยรุ่นจึงให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับความถูกต้อง (ในความคิดตนเอง) ทำให้วัยรุ่นต้องถกเถียงปะทะอารมณ์กับผู้ใหญ่เสมอเพื่อเรียกร้องความถูกต้องต่างๆ ทั้งในแง่การขอทำกิจกรรม การเรียนต่อ การแต่งกาย เรื่องพี่น้อง อย่างน้องได้เรียนเต้น แต่เราได้เรียนภาษาอังกฤษ เราไม่ยอม! ฯลฯ เพราะวัยรุ่นคิดว่า สิ่งที่เขากำลังคิดและกำลังทำนั้นถูกต้องแล้ว มีเหตุผลแล้ว เขาจึงมุ่งที่จะใช้เหตุผลของตนเองในการกำหนดพฤติกรรมต่างๆ
การปะทะผู้ใหญ่ของวัยรุ่นจึงมีรูปแบบแตกต่างกันไป บางก็เถียงออกมาตรงๆ บ้างก็ไม่เถียงแต่ก็ไม่ฟังอะไรเลย บางทีก็เหมือนบ้านอยู่ในสนามรบย่อมๆ เจอสงครามทางจิตวิทยา กดดันตลอดเวลา ปล่อยว่างเปล่าเหมือนไม่มีอะไร แต่จู่ๆ ก็ระเบิดมาจนรับมือไม่ทัน วันนี้วัยรุ่นเถียง พรุ่งนี้เดินหนีเข้าห้อง เมื่อวานมาคุยแบบเปิดอก อาทิตย์ต่อไปแอบไปทำอะไรลับหลังอีกต่างหาก ผู้ใหญ่เดาใจวัยรุ่นไม่ถูก แต่นี่แหละความถูกต้องของผม!
สามข้อที่นำเสนอไป เป็นธรรมชาติของวัยรุ่นโดยรวม ไม่แบ่งออกเป็นวันรุ่นตอนต้น ตอนกลางหรือตอนปลาย ครอบคลุมแล้วก็ตั้งแต่ประถมศึกษาตอนปลายถึงวัยเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยเลยทีเดียว ซึ่งจริงๆ ปัญหาแต่ละช่วงจะต่างกันไปเล็กน้อย วัยประถมปลายจะมุ่งที่เรื่องรูปร่างหน้าตา พอมาถึงปลายมัธยมต้นก็จะเน้นทำกิจกรรมเหมือนๆ เพื่อน ขออิสระไปไหนมาไหนได้ แต่พอจะเข้ามหาวิทยาลัยก็จะเริ่มมองหาอนาคต สับสนตัวเอง แต่ไม่ว่าจะช่วงไหน จริงๆ แล้วก็ยังต้องการความเข้าใจ ขอให้ผู้ใหญ่ปฏิบัติต่อตนเองแบบผู้ใหญ่ด้วยแต่ก็อยากให้ได้กำลังใจจากพ่อแม่แบบยังเป็นเด็กเสมอ (แม้จะไม่แสดงออกก็ตาม)
ดังนั้น ในข้อ 4 ต่อไป ผู้เขียนขอติดไว้ครั้งหน้า เกริ่นก่อนว่าก็เป็นเพียงเรื่องเดิมๆ คือ ควรเข้าใจวัยรุ่น แต่เพราะเหตุอะไรทำไมวัยรุ่นถึงเข้าใจยากนัก จริงๆ เพราะสังคมเปลี่ยนไปหรือใจคนต่างกัน แค่เรื่องช่องว่างระหว่างวัยหรือจริงแท้แล้วคือการปฏิบัติของผู้ใหญ่เอง ยิ่งเขียนยิ่งยาว ชักจะไม่กระชับเสียแล้ว ขอนำไปต่อตอนหน้าค่ะ
 |
 |
วัยรุ่นทั้งหลายจ๋า ถ้าอ่านมาจนถึงตรงนี้ได้ ขอให้เข้าใจตนเองเนอะ ผู้ใหญ่ห่วงเสมอ เราเองก็ต้องทำตัวให้มีเหตุผลสมกับที่กำลังจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เหมือนกัน ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม และขอให้โอกาสนี้ใครมีอะไรอยากบอกผู้ใหญ่ อยากบอกพ่อแม่ อยากบอกครู เขียนความคิดเห็นไว้เลย พี่เกียรติอยากให้ข้อมูลและความคิดเห็นของวัยรุ่นไทยตรงนี้ได้เป็นอีกช่องทางสื่อถึงผู้ใหญ่ ต้องมีผู้ใหญ่หลงเข้ามาอ่านในเว็บเราบ้างแหละ ฮา หรือถ้าผู้ใหญ่บ้านใครอินเทรนด์ จะแชร์ไปทาง Facebook Twitter ส่งอีเมล หรือจะหาวิธีอื่นๆ ก็ได้ตามถนัดเลย
มาประกาศให้โลกผู้ใหญ่รู้กันหน่อยว่าวัยรุ่นไทยไม่ไร้สาระ และกำลังเติบโตไปในทางที่เหมาะสมแล้ว มีใครคิดว่าวัยรุ่นเป็นอย่างไร อยากบอกเรื่องไหน มีมุมมองต่อชาติบ้านเมืองอย่างไร เล่าไปโลด! แล้วตอนต่อๆ ไป ถ้าใครมีความเห็นดีๆ จะได้ไปชวนมาสัมภาษณ์หรือนำมาเป็นต้นเรื่องหรือตัวอย่างเสียเลย!
|
 |

|
|
22 ความคิดเห็น
ปัญหากับทั้งพ่อแม่่อยมาก
แต่กับแม่จะเถียง แบบเถียงได้ อันนี้ไม่เท่าไหร่ เพิ่งมีัปันหากับเเม่เรื่องเพื่อน ผช จริงๆ ก้เหนว่าไม่เหมาะสมเพราะฝ่ายนุ้นส่งจุ๊บๆ มา แต่ว่าสมัยนี้เค้าไม่คิดอะไรกับคำๆ นี้แล้วอะ แล้วนั่นพาลทำให้แม่คิดว่าเราเป็นเด็กไม่ดีอย่างนุ้นอย่างนี้ คิดว่าเราไปเรียนพิเศษ(ดนตรี) เพื่อไปหา ผช ขนาดถามน้องเลยทีเดียว น้องก็บอกความจริงว่าไปเรียนๆ แม่ก้ไม่ยอมเชื่อ โอเค เค้าพิม จุ๊บๆ มามัน ไม่เหมาะสม แต่ทำไมถึงคิดว่าเราเป็นเด็กไม่ดีได้ขนาดนั้น ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เลยอะ เป็นแม่แล้วทำไมถึงไม่เชื่อใจลูก ลูกตัวเอง ตัวเองก็น่าจะรู้จักลูกดี ทำไมถึงคิดว่าลุกเปนผู้หญิงแบบนั้นไปได้ มันไม่ใช่อะ สมัยนี้มันเปิดกว้าง เด็กผู้หญิงคุยกับเด็กผู้ชายแล้วมันแปลก มันผิดด้วยหรอ ทำไมไม่เชื่อใจลูกตัวเองบ้างเลย >~< ตรงนี้ซีเรียสนะเนี่ย!
เรียนก็ช่าง ไม่เรียนก็ช่าง ไม่สนเลย
อยากไปไหน ไปเลย ไม่ต้องขอ
ปล่อยมากๆเ้ข้า เราก็สำนึกได้เองว่าเรียนดีกว่า
ปัจจุบันก็เลยเรียนเพราะอยากเรียน อยากมีอนาคตดีๆ
ไม่ค่อยชอบเถลไถลด้วย (เพราะหมกอยู่หน้าคอม)
อาจเป็นเพราะบ้านเราเลี้ยงแบบให้พึ่งตนเอง
เลยมีความรับผิดชอบมากขึ้นมั้ง
แต่เรารู้สึกว่าน้องชายเราเปลี่ยนไป น้องเราชอบห่วงเพื่อนมากกว่าแม่
อยากจะอยู่กับเพื่อนมากกว่าแม่ แม่เราเครียดกับน้องมากเลย
เลยคาดหวังมาที่เราว่า เราโตขึ้นแล้วจะลืมแม่รึเปล่า อันนี้เราก็โดนกดดันทั้งน้องทั้งแม่เลย
เพราะเราเป็นพี่โตสุด ถึงจะปล่อยให้ตามใจได้หมด แต่ก็คาดหวังเราสูงมาก
เรากังวลว่าเราจะทำให้แม่ผิดหวัง (ส่วนพ่อน่ะเหรอ ชอบเลี้ยงแบบตามใจแบบว่าให้
คิดเอง ทำเอง ตัดสินใจเอง จุดนี้ก็ทำให้เเม่กับเราเครียดเรื่องน้องด้วย ว่าจะไปรอดรึเปล่า)
เดี๋ยวนี้เราขออะไรแม่ไม่ได้เลย. ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่
เวลาที่ขอ แม่จะชอบหันมามองเราแว๊บนึงแล้วก็เมินหน้าไปทางอื่นอ่ะ :(
ประมาณว่าส่งสายตามาบอกเราว่า 'ซื้อให้ไม่ได้หรอก'.. แล้วก็ไม่สนใจเราอีกเลย.
คือ.. เงียบไปแบบนั้นไม่คิดบ้างหรอว่าเราจะรู้สึกยังไง...
เราในฐานะเด็กคนนึง ถ้าอยากได้อะไรแล้วให้เราไม่ได้ แค่มีคำอธิบายเราก็พร้อมจะรับฟังอ่ะ !
พูดกับเรา บอกเหตุผลเราซักหน่อยก็ได้นะ ! =_____=
ไม่ต้องเกี่ยวก้อยสัญญา หรือบนบานสารกล่าวที่ไหนด้วย
เข้าใจหน่อยเหอะ
แต่ยังไงพ่อแม่ก็รักเราที่สุด
เราคล้ายๆคห.4 เลย
แต่ตอนนี้ โอ้วใจเย็นๆ ใจเย็นๆ ดื่มเก๊กฮวยกัน พอใจเย็น ทีนี้ แม่ใส่เราอย่างเดียว
แต่แม่ก็ไปบอกคนอื่นนะว่าเราพูดรู้เรื่องไม่เถียง แต่ก็ดีตรงท้ายนี่แหละ มีคนชมๆ
เราก็ถือว่าโชคดีแฮะ เพราะครอบครัวเราคุยกันด้วยเหตุผล บอกไปก่อนเรื่องราวเป็นไงมาไง แล้วก็มานั่งถกเถียงฟังความคิดเห็นของทั้งเราและพ่อแม่ ก็เลยไม่เคยทะเลาะอะไรอ่ะ
แม่เราแค่เรื่องเล็กๆอย่างผ้าไม่ได้เก็บ (เพราะตอนกลางวันฝนตกทั้งวัน และมันเปียกอยู่ เดี๋ยวชื้น ราขึ้น) ก็ว่าเราแล้ว ว่าโดยที่ไม่ถามเหตุผลอะไรเลยสักนิด
เรื่องคบเพื่อน พ่อแม่รู้ว่าเราไม่เกินเลยอยู่แล้วเลยไม่ได้คิดอะไร แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีคนที่คบๆกันอยู่ พ่อจะเข้มมาก คือแบบ แค่ไปกินข้าว แล้วไม่ได้กินไกลเลยนะ หน้าปากซอยบ้านอ่ะ ร้อยเมตรก็เห็นแล้ว มีบ้างที่ไปเดินโรบินสัน แต่ก็ไม่เคยกลับเกินหกโมงหรือทุ่มนึง เพราะกลับมาก็อยู่คนเดียว ขอไปหาอะไรอ่านที่บีทูเอสดีกว่า นั่นก็ห่างจากบ้านไม่มาก นั่งมอเตอร์ไซต์ยี่สิบบาท
แค่อยากจะบอกพ่อแม่ว่า เวลาหนูคบใคร อย่าเพิ่งออกตัวว่าเป็นเพื่อนกันไปก่อน ให้ความหวังเค้า หรืออะไร เพราะก่อนจะคบกันเรื่องพวกนี้หนูคุยกับเค้าเคลียร์ไว้แล้ว เพราะไม่ชอบอะไรยุ่งยากแบบพอแยกกันไปเรียนก็นอกใจอะไรงี้ คือถ้าห่างกันมากไม่ไหวจริงๆก็คงต้องเลิก แต่ถ้าทำได้ก็คบกันไปเรื่อยๆ
หนูอยากจะพยายามและพิสูจน์ดูว่าจะคบกันไปได้นานแค่ไหน คนคนนี้ที่หนูชอบมาก อยากให้พ่อแม่ค่อยๆพูดมากกว่ามานั่งว่าหนูและวิจารณ์เขา เพราะเทียบกันแล้ว พ่อแม่ที่ไม่ได้รู้จักเขาเลยยิ่งไม่รธู้จักเขามากกว่าหนูอีก ของหนูยังมีรุ่นพี่ที่สนิทช่วยแสกนให้
เพราะงั้นก็ช่วยอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆบ้างนะคะ กดดันมากๆหนูไม่อยากปรี๊ดแตกเหมือนกัน
ให้อากาศหนูหายใจหน่อย เพราะหลังๆมานี้ชักรู้สึกอยากจะเก็บเงินซื้อคอนโดไปอยู่คนเดียวซะแล้วสิ
พ่อแม่ชอบอ้าง(?)ตลอดอ่ะ ว่าทำทุกอย่างเพราะความรัก อยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี
อย่างที่คห14.บอกแหละ "อนาคต" คือ "ของใคร"
แน่นอน! อนาคตของวัยรุ่นคนนั้นก็คือของคนนั้น ไม่ใช่ของพ่อแม่ที่จะมา สั่งๆๆ คิดว่าตัวเองรู้ดีไปหมดเพราะเคยผ่านช่วงเวลานั้นแล้ว แทนที่จะค่อยๆอธิบายดีๆ ลูกอารมณ์ไม่ดีก็รอให้อารมณ์เย็นแล้วอธิบายใหม่ด้วย'เหตุผล' อ่อ แล้วคุณมั่นใจหรอว่าคุณผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว แล้วคุณจะช่วยลูกผ่านสถาณการณ์นั้นได้ ...ตอนช่วงนั้นอ่ะ ตัวคุณเองจัดการตัวเองได้หรือป่าวเถอะ
พ่อแม่บางส่วนอาจเข้าใจวัยรุ่น แต่ก็มีบางส่วนก็ไม่ได้เข้าใจหรอกนะ เหมือนกับลืมไปว่าตัวเองเคยเป็นวัยรุ่นอย่า่งนั้นแหละ ผู้ใหญ่บางคนไร้เหตุผลยิ่งกว่าวัยรุ่นซะอีก (ที่เจอมาอ่ะนะ ไม่ว่าจะ ครูบางคน หรือญาติผู้ใหญ่บางคน)
เหมือนจะมาม่าเลย คห.เรา ข้ามๆไปก็ได้นะ 555
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2554 / 00:03
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2554 / 00:14
พอเถียงกันเราก็ไปหาป๋าบอกว่าม๋าอยู่ดีๆก็มาแย้งดูทีวี ป๋าก็บอกแกเป็นใครจะไปมีสิทธิสั่งไรเขาได้แกอ่ะผิด "เราไม่มีสิทธิมีเสียงมีอะไรในบ้านเลยรึไง" นี้ก็เป็นปัญหาของเราบ่อยมากคือไม่มีสิทธิอ่ะไรเลยเข้าห้องน้ำช้าก็โดนบ่นโดนว่าอยู่คนเดียว ค่าน้ำค่าไฟเปลืองก็หาว่าเราใช้เปลือง(บ้านขายของ)เลยใช้ไฟเยอะหน่อย เห้ออออเหมื่อนกระโถนเลยว่ะแม้งมีแต่คนว่าๆๆ บ่นๆๆมาที่เรา -"-เราว่าหลายๆคนเคยเจอแบบเราน่ะ ทั้งญาติพี่น้องก็หาว่าเราเป็นตัวปัญหาคือเราไม่ได้ทำไรเล๊ย เราก็อยู่ของเราคือเรานิสัยเหมื่อนเด็กฝรั่งคือ สิทธิของตนเองต้องมีบ้างคือต้องการเวลาส่วนตัวบ้างแต่เรามักไม่มี เรื่องข้าวของบนโต๊ะเรียนคือเข้าใจป่ะเรามันติสๆของบนโต๊ะถ้าเก็บมันจะลืมว่าไว้ตรงไหนเลยกองๆๆไว้ในนั้นแต่ก็ไม่ได้น่าเกียจเขาก็หาว่าสกปรก เราก็เป็นคนชอบล้างหน้าล้างมือบ่อยเื่นื่องจากแพ้ฝุ่นแพ้ไรเขาก็หาว่าเปลืองน้ำ~! อีกเรื่อง เรื่องอาหารการกินเราสั่งไข่เจียวหอยนางรม ไข่เจียวหน้าแปลกๆก็หาว่าไฮโซ ซื้อเป็ดMK ซื้อMr.Shakeมากิน ซื้อDoughnutมากินก็หาว่าใช้เงินเปลือง นอนดึกเพราะฟังเรื่องthe shock ก็หาว่า้เป็นบ้านอนดึกดื่นแต่นี้เราเข้าใจว่าเราผิดแต่ก็ไม่ได้ฟังบ่อยทุกวัน เห้ออีกรอบ เป็นเด็กมันผิดไปหมดใช้ม่ายยยยยยยคร๊าฟฟ(วิบัตเพื่อเสียง)
ขอบคุณน่ะที่ให้มีBlogดีๆให้พูดบ้างเพื่อม๋า ป๋าเข้ามาอ่านได้ ***คงไม่หลอกคนหัวโบราณกาลเทอญ....