เปิดใจพี่บุ๋ม ปนัดดา #หน้ากากมังกร The Mask Singer กับคอนเซปต์ความลับ/ความสนุก/ความฝัน



 
          ณ เวลานี้ คงไม่มีใครไม่รู้จักรายการ “The Mask Singer หน้ากากนักร้อง” ที่มีชื่อเสียงที่สุดในขณะนี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ทำไมรายการนี้ได้รับการตอบรับดีขนาดนี้  มีกระแสออกมาทุกๆ สัปดาห์ นอกจากความลับที่ทุกคนอยากตามหาว่าแต่ละหน้ากากนั้นคือใคร ยังมีความสนุก เสียงหัวเราะที่ได้จากรายการ และความฝัน แรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตหลังจากการถอดหน้ากาก
 

          วันนี้เจ๊ซาร่าจึงขอหยิบยกเอาเรื่องราวที่พี่ไอซ์ (กัปตันไอซ์ BAR5) มีโอกาสไปสัมภาษณ์หน้ากากมังกร “คุณบุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี” เจ้าของหน้ากากที่ได้สร้างสีสันให้กับรายการอีกคน การสัมภาษณ์แม่มังกรนั้นเป็นกันเองมาก รู้สึกได้ถึงพลังบวกอยู่เสมอ เบื้องลึกเบื้องหลังจะเป็นอย่างไร เรามาฟังคำตอบพร้อมกันจากเธอกันเลยดีกว่า
 



 

Q : รายการนี้ขึ้นชื่อว่า ความลับ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด พี่บุ๋มคิดอย่างไรบ้างคะ?

       อยู่ในวงการมา 17 ปี ก็ไม่เจอรายการที่ทำกับพี่ขนาดนี้มาก่อน ตั้งแต่ติดต่องาน แม้กระทั่งคนรอบข้าง คือทีมงานพี่มีแค่ 3 คนเท่านั้นที่รู้ มีสามี ลูกที่บ้าน คนนอกแทบจะไม่รู้เลย
 
        พอไปถึงก็จะมีคนมารับที่รถเลย โดยเอาหน้ากากและเสื้อคลุมมารับในรถให้ใส่ แล้วก็มีทีมงานเดินประกบไปถึงห้องอัด อยู่ในห้องแต่งตัวก็ของใครของมัน แม้กระทั่งทีม stage เอง ก็ไม่มีคนรู้ว่า คนในหน้ากากคือใคร พี่ต้องสวมหน้ากากให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาบรีฟงาน
 
       ห้ามแม้กระทั่งออกเสียง คุยกัน ห้ามหน้ากากคุยกันเอง ความลับเยอะมาก เลขา ผู้ติดตาม ต้องใส่หน้ากากด้วย ใส่เป็นโม่ง เพราะบางทีเขาเห็นผู้ติดตาม เขาก็รู้อยู่แล้วว่าใคร เขาก็จะจับใส่หน้ากาก ใส่เสื้อคลุม แล้วก็จับเซ็นสัญญาทุกคน ถ้าความลับออกคือโดนสองแสน ค่าตัวไม่คุ้มเลยไม่พูดดีกว่า
 

 
Q : ในระหว่างการถ่ายทำ มีคนสงสัยว่าเราคือหน้ากากมังกรเยอะไหมคะ?
 
        2 สัปดาห์แรกที่ออกอากาศยังไม่รู้ แต่แฟนคลับบางคนเริ่มสังเกต เพราะว่าจำเสียงพอได้ แต่ถ้าเกิดเป็นคนอื่น ไม่รู้เลย คิดว่าพี่เป็นมัม ลาโคนิค ซันนี่ ยูโฟร์ เป็นกะเทยไปซะอย่างนั้นอะ แล้วก็เริ่มมีแนวเสียงพลังๆ เช่น เจนนิเฟอร์ คิ้ม เป็นก้อย อะไรอย่างนี้ เป็นทางพวก Power, Diva
      
          
จนกระทั่งนักสืบพันทิปที่เขาพยายามสืบว่าใครเป็นใคร ก็ทำให้ช่วงสัปดาห์ที่ 2 กับ 3 ที่พี่จะแข่ง มันห่างกันเกือบ 2 เดือน พอมันห่างกันเกือบ 2 เดือน นั่นหมายถึงว่า ช่วงระยะเวลานั้นก็กรรมการก็ไปดูพันทิปกัน มันก็มีชื่อพี่ขึ้นมา เพราะเขาเดาจากการเกิดปีมะโรง มีลูกอยู่ 7 ตัว หรืออะไรก็ตาม ก็ทั้งหมาทั้งคนรวมกัน ซึ่งหลายคนก็ติดตาม IG พี่อยู่ก็จะรู้

 

 
Q : รู้สึกยังไงบ้างกับการเก็บความลับนี้ อึดอัด หรืออยากจะบอกกับใครบ้างหรือเปล่า?
 
          โคตรอึดอัดอะ อึดอัดมาก เพราะชีวิตประจำวันพี่ พี่ทำรายการทีวีอยู่ 7 รายการ พอ ดังนั้นทีมงานเอย แฟนคลับเอย ทุกคนก็จะถาม บุ๋มใช่ไหม? และเราพูดไม่ได้ พี่โกหกไม่เก่งอะ พี่เป็นคนตรงๆ ดังนั้น พอเป็นอะไรที่ต้องปิดความลับ อึดอัดมากกก เพราะว่าพอบอกไปว่า ไม่ใช่ คนก็ไม่เชื่อหรอก มันก็เลยเป็นแบบ เออๆ เอาเถอะๆ อยากจะว่าอะไรก็ว่า
 
          ที่น่ากลัวเลยคือ พี่หนึ่ง จักรวาล โหดมาก เพราะว่าในช่วง 2 ครั้งแรกเนี่ย พี่หนึ่งกับพี่ไม่เคยเจอกัน ได้แต่ฟังเสียง เสียงในรายการก็เป็น chipmunk ตอนที่พูดกัน แล้วบังเอิญในช่วงนั้นได้สัมภาษณ์พี่หนึ่ง แล้วมีวันนึงมาจับแขน มองหน้า แล้วถามว่า มังกรใช่ไหม เราก็หูยยย เหมือนกระดูกสันหลังวาบเลย เป็นอะไรที่น่ากลัวมาก เราก็ต้องทำหน้าแบบหืม..พี่ หนูหายใจยังผิดจังหวะเลย บอกแกไปอย่างนี้ แต่แกก็เริ่มแบบทะแม่งๆ

 

 
Q : อะไรที่ทำให้พี่บุ๋ม ตัดสินใจเข้าร่วมรายการนี้?
 
       ตอนที่พี่เห็นจ๊ะจ๋าในเทปแรก ตอนนั้นเรายังไม่ได้รับการติดต่อ สาย A เป็นอะไรที่แบบเราก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่า เราจะได้มารึเปล่า ก็ยังนึกในใจ เออ เป็นรายการที่ดูน่าสนุกเนอะ จ๊ะจ๋ามาได้ร้องเพลงด้วย ร้องดีจัง แล้วเราล่ะ ก็นึกในใจว่าเราจะร้องเป็นขนาดไหนเนี่ย ยังคิดอย่างนี้อยู่เลยอะ
 
      สังเกตดูว่า ดาราในช่วง season 1 จะเป็นดาราที่ไปร่วมงานกับ workpoint ค่อนข้างจะบ่อย เพราะคนยังไม่รู้ว่า feedback จะเป็นยังไง ไปแล้วจะหน้าแหกขนาดไหน ร้องสดอย่างนั้นแล้วมันจะเป็นยังไง คนจะด่าไหม อะไรอย่างนี้ คนก็กลัว อย่างของพี่เนี่ยพี่ไปรายการเขาบ่อยอยู่แล้ว เขาก็เลยติดต่อมา คือเลขาพี่พูดว่า เฮ้ย! ได้ตังค์ขนาดนี้เลยนะ เป็นรายการที่ได้ตังค์เยอะที่สุดตั้งแต่ workpoint ให้มา พี่ก็เลยแบบ เอาดิๆ คือเรื่องของเรื่องคือจะไปเอาเงิน (หัวเราะ)
 
          ไม่หรอก ก็แค่แบบสนุกอะ แล้วก็แบบทำไมเขาให้เยอะจังวะ อ๋อ ก็เพิ่งมารู้ว่า ต้องใช้เวลาเยอะมาก จับพี่ไปอยู่ตั้งแต่ 6 โมงเย็น กว่าจะถ่ายเสร็จคือ ตี 4 โหดมากอะ พี่บอกได้เลยว่าโหดมาก แต่เมื่อรับปากไปแล้ว เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด และก็ไม่คิดว่าจะเข้ารอบ พี่จะคิดว่าเอ่อ...ฉันก็คงเป็นอีกดาราคนหนึ่งที่เขาเอาไปเป็นสีสัน มันสู้นักร้องไม่ได้อยู่แล้ว ก็ไม่เห็นเป็นไร หน้าแตกก็คือหน้าแตก เพราะฉันก็คือดารา ฉันไม่ใช่นักร้อง ก็เลยไป
 

 
        ถ้ามีกล้องอยู่ใต้หน้ากาก ตอนที่เขาประกาศว่า มังกรเข้ารอบอะ คุณจะเห็นหน้าแบบ เฮ้ย! เหวอมาก เข้ารอบเหรอ จริงเหรอ แล้วคิวงานต่อไปล่ะ (หัวเราะ) คิวงานมันรวนมาก เพราะกลางคืนพี่ถ่ายอันนี้ กลางวันพี่ถ่ายอีก 7 รายการ ชีวิตช่วงครึ่งปีนั้นเละมาก ทุกครั้งที่เข้ารอบคือความเซอร์ไพรส์ แล้วพอเขาประกาศเสร็จเนี่ย มังกรก็ต้องไปอยู่หลังเวที
 
       เชื่อไหมว่า พี่รอดูหลังเวที รอบแรกพี่เห็นเป็นกวาง AB Normal รอบที่ 2 เป็น เป้ วง Mild รอบ 3 เป็น ดีเจพีเค พี่อยากจะกระโดดขึ้นไปบนเวที ไปขอลายเซ็นเขาอะ ไปขอเซลฟี่ เพราะเรากรี๊ดเขามาก แต่ละคนคือนักร้องด้วยไง เราก็แบบ อยากขอจับมือ
 

 
Q : เราก็เหมือนเป็นแฟนคลับคนนึงใช่ไหม ที่เราได้มีโอกาสแข่งร้องเพลงกับเขา?
 
      ใช่ๆ ไม่รู้ด้วยว่าเขาคือคนนี้ แบบ โห ถ้ารู้ว่าเป็นคนนี้ จะขอฟัดไปแล้วงี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ลงจากเวทีมาแล้ว ก็เลยถือว่าเป็นจังหวะมากกว่าที่ถ้าเกิดนักร้องที่พูดมาเนี่ย เขาอัดพลังของเขาเต็มๆ ร้องเพลงแนวที่เขาถนัด เขาก็ชนะอยู่แล้ว
 
Q : เนื่องจากคนรู้จักเราในฐานะอาชีพอื่น รู้สึกกดดันไหมที่จะต้องมาแข่งร้องเพลง ซึ่งบางทีคู่แข่งเราอาจจะเป็นนักร้องอาชีพ?
 
       ไม่กดดันเลย ไม่เครียดเลย เครียดตัวเองมากกว่าว่าจะร้องเพลง แล้วจะทำให้เพลงเขาเสียไหม คีย์คืออะไรยังไม่รู้ พี่ไม่มีความรู้เรื่องดนตรีเลย ตอนที่เขาบอกว่า One Moment in Time รอบแรกเนี่ย ลดคีย์ลงหน่อยไหม เขาถามพี่อย่างนี้ พี่บอกลดลงหน่อย เขาก็ลดลงมาหน่อย คือครึ่งเสียง (หัวเราะ) ซึ่งนักร้องไทยยังไม่เคยมีใครร้องเสียงคีย์นั้น แต่พี่ก็ลงครึ่งเสียง เพราะพี่เข้าใจว่านี่คือลงแล้ว ทำไมอันนี้สูงจังวะ แต่ก็เออ ก็ทำ ทำจนถึง มันก็เลยไปว่า พี่อัดเต็มๆ ทุกๆ รอบ เพราะเราไม่รู้ว่าคีย์คืออะไร เทคนิคคืออะไร แล้วทุกครั้งที่เราซ้อมก็คือ เราร้องในห้องน้ำน่ะ มันคือที่ๆ เดียวที่เราสามารถซ้อมได้ เพราะว่าที่อื่นเนี่ย เราซ้อม นั่งฮัมเพลงก็ไม่ได้ เวลาซ้อมก็คือเวลาส่วนตัวตอนดึกๆ ในห้องน้ำหลังจากเสร็จงานทั้งหมดที่บ้าน
 

 
Q : พี่บุ๋มรู้สึกยังไงบ้างคะกับการฟัง comment ภายใต้หน้ากาก ที่เขาไม่รู้เลยว่าเราเป็นใคร?
 
       พี่ว่าเป็น comment ที่จริงใจ ยิ่งเฉพาะรอบแรกรอบสองเนี่ย จะเป็น comment ที่เขาไม่รู้ว่าเราคือใคร ถ้าเกิดเป็นภาพปนัดดาร้องเพลงสมัยก่อน ถามว่าพี่ร้องไหม ก็มีนะตามงาน คนก็จะมองว่าเออ พี่บุ๋มร้องเพลงดีนะแค่นั้น แต่เป็นพิธีกรดีกว่า แต่เพลงก็ไม่ใช่แบบแนว diva ให้โชว์ด้วยไง มันไม่ใช่แบบแนวร้อง event ต่างๆ ส่วนใหญ่คนก็จะชอบแบบติ๊ดชึ่ง ตะลึงตึงๆ กันไป คนจะชอบแบบแนวเพลงฮิต เพลงสามช่าที่มันสนุกๆ แนว entertain เสียมากกว่า ไม่ใช่เพลงโชว์เสียง ดังนั้นสิ่งที่ผ่านมาก็คือ พี่ไม่มีโอกาส คือใช้คำว่าโอกาสได้โชว์สิ่งที่พี่อยากจะร้อง
 
Q : ในทางกลับกัน การที่เขาไม่รู้ว่าเราเป็นใคร เราได้เป็นตัวเองมากขึ้นไหมคะ?
 
        ใช่ ความกวนทุกอย่างที่เห็นน่ะ เขาไม่มีบรีฟเลย อยากร้องอะไรร้อง อยากพูดอะไรพูด ละก็ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นตัวตน มันเรียล แต่จริงๆ ถามว่าเพลงสไตล์ที่พี่ถนัดที่สุดคือ Pop Opera คือเพลงรอบสุดท้าย The Impossible Dream
 

 
Q : แสดงว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่เป็นตัวเองมากที่สุด?
 
       ใช่ อันนั้นคือสิ่งที่เราร้องเล่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แอบร้องมาเอง แอบฝึก ไปเรียนร้องกับครูดุษฎี พนมยงค์ ซึ่งเลขายังไม่รู้เลย ไม่มีใครเคยรู้ เพราะแอบไปเรียนก่อนแต่งงานเมื่อหลายปีก่อน แล้วก็ฝึกร้องเองหลังจากนั้น ไปนั่งดูละครบรอดเวย์ที่เมืองนอก เพราะชอบ Opera พี่ชอบละครเวที พอแต่งงานแล้ว ขอสามี ขอเลขาไปเรียนร้องเพลงเพิ่ม หลังจากนั้นคือ ไม่มีใครสนับสนุน เขาไม่คิดว่าพี่จะจริงจังมากขนาดนี้ เขาไม่คิดว่า พี่จะรักการร้องเพลงมากขนาดนี้ ขนาดขอเขาไปเรียนร้อง เขาก็ยังแบบ ไปทำไม ทำงานทุกวันก็เหนื่อยอยู่แล้ว นี่คือคำพูดจากคนรอบข้าง มันเลยทำให้เราไม่ได้ทำตามความฝันของเราสักเท่าไร
 
Q : ทำไมต้องหน้ากากมังกร?
 
      ที่เป็นหน้ากากมังกรเพราะว่าเราเกิดปีมะโรง เกิดวันเสาร์ และก็อยู่กู้ภัยมังกร ความเป็นมังกรมีความเกี่ยวข้องกับพี่ค่อนข้างจะเยอะ พญานาคเกี่ยวข้องกับพี่เยอะ
 
Q : แสดงว่าการออกแบบชุด แต่ละส่วนของหน้ากากมังกร เรามีส่วนช่วยด้วยไหมคะ?
 
      เราก็บอกเขาไปว่า ขอเป็นมังกรแล้วกัน แล้วเขาก็ออกแบบมาสัก 2-3 อย่างและให้เราเลือก แต่ตอนแรกหัวไหล่ทองจะอยู่ด้านขวามือ แต่พอใส่จริง แล้วแบบมันยกไมค์มันชนคอ ก็เลยขอย้ายมาด้านซ้าย ให้มาอยู่คู่กับกรงเล็บ จะได้ถนัดหน่อย
 

 
Q : โจทย์เพลง Bring Me to Life ในรอบแชมป์ชนแชมป์ เป็นเพลงแนวร็อก ซึ่งดูไม่ใช่แนวพี่บุ๋มเลย มันท้าทายมากไหมคะ?
 
      เพลง Bring Me to Life เนี่ย จริงๆ แล้ว ทางอีกาดำกำหนดค่ะ ตอนได้รับโจทย์มาก็อึ้งอยู่เหมือนกัน พี่ชอบฟังเพลงแนว Heavy metal มาตั้งแต่เด็กๆ Gun n Roses แล้วก็มีอีกหลายๆ วง Bon Jovi  แต่อย่างที่บอก เราไม่มีโอกาสได้ร้องอะเนอะ Bring Me to Life ก็เลยเป็นอีกเพลงของ Evanescence ที่เราฟังตั้งแต่เด็ก แต่เราไม่เคยได้ร้องจริงๆ จนกระทั่งรู้ว่า อีก 3 ชั่วโมงจะต้องร้อง มันคือการจับฉลาก ดังนั้นเราจะไม่รู้ว่า เราจะได้ร้องกับใคร ก็เลยรู้แค่สามชั่วโมงล่วงหน้า
 
       จริงๆ ฟีลของอีกาเขาส่งด้วย ทุกอย่างคือสด ไม่มีการซ้อม ทั้งที่แบบเสียงแตกครึ่ง ไม่แตกครึ่ง ถ้าฟังเพลงตอนท้าย มันจะมีเสียงพี่แบบ อ้ากก อ้ากก เป็นระยะๆ (ทำเสียง) เป็นเพราะว่า ลมจะหมดแล้วอะ (หัวเราะ) แต่เต็มที่กับเพลงนั้นจริงๆ ค่ะ แล้วก็สนุก อิน เหงื่อท่วมตัวเลยอะ มันมากๆ แล้วได้คุยกับอีกาว่าถ้ามีโอกาส เราจะ featuring กันอีก
 

 
Q : ให้พูดถึงครอบครัวหน้ากากนักร้องในมุมมองแบบแม่มังกรหน่อยค่ะ?
 
       เป็นรอบเดียวที่ได้เจอกันครบ 4 คน เราซ้อมรันคิวประมาณ 2 รอบเท่านั้น ทุกคนก็จะให้เกียรติแม่มังมาก โดยการที่ถ้าเกิดแม่มังเดินขึ้นหน้า ทุกคนก็จะค่อยๆ เดินตาม คือทุกคนไม่จำคิวเลย
  
Q : เหมือนแม่เป็นผู้นำคนเดียวเลย?
 
        จริง เหมือนเป็นหัวหน้าห้องเลยอะ ตอนแรกแม่มังจะอารมณ์แบบ เราเป็นคนจำคิวแม่นเพราะเราเล่นละคร เราจำบทแม่น ดังนั้นพอเราเล่นละคร เราจะรู้ว่านี่ซีนใคร นั่นซีนใคร เลยกลายเป็นท่าที่แม่มังมักจะชี้ว่า อันนี้ของเธอแล้ว สังเกตดิ หนูลูก ทุเรียนลูก ของหนูแล้ว ทุเรียนคือลืมสุด ทุเรียนเนี่ยชอบไปงับท่อนของจิงโจ้แรกๆ ส่วนอีกาจะจำท่อนตัวเองได้ แต่อีกาก็ยังหันมามองคิวว่าจะเดินยังไง เพราะจะมีเดินรอบนึงก่อน แล้วทุกคนก็เดิน ถ้าแม่มังเดินเข้า ทุกคนจะเดินเข้า
 
        กลายเป็นประวัติการณ์เลยค่ะ กลายเป็นนิยาย การ์ตูนก็มี มีแบบสมัครหัวหน้าห้องแต่ละพรรคแต่ละทีม กลายเป็นเรื่องตลกเลย อยากจะบอกว่า ทีมงานที่เขาทามทาบเนี่ย จะเห็นว่ามังกรก็ไม่ได้คิดว่าจะเข้ารอบนะ สี่คนสุดท้าย เขากะว่าจะเป็นหน้ากากโดรน มีหมอน 4 ใบออกมา ที่เขาสั่งทำ กลับเป็นโดรนไม่ใช่มังกร เพราะมันต้องสั่งทำก่อน ก่อนที่จะมีการแข่งจบ จริงๆ แล้วเราเป็นสายเซอร์ไพรส์มากกว่า ตอนยืนอยู่นี่แบบ อ้าว! นี่มันนักร้องหมดเลยนี่หว่า แล้วกูมาทำอะไรวะ ยังคิดในใจ (หัวเราะ)
 

 
Q : พี่บุ๋มคิดว่า เสน่ห์ของรายการนี้อยู่ตรงนี้ อะไรที่ทำให้รายการมีคนดูมากขนาดนี้?
 
       มันมีหลายอย่างมาก คือ 1.ความลับ 2.มันคือการประกวดร้องเพลง ซึ่งเข้าจริตคนไทย 3.มันตลก การถามตอบกรรมการ โคตรฮาอะ รู้สึกกวนตีนมาก 4.คือมันมีนักสืบตามเรื่อง เป็น Icon ไม่ใช่ Idol นะ Icon แบบเช่นชอบโพนี่  Icon ชอบทุเรียน Icon ใหม่ๆ มันเป็น Icon ขึ้นมา
 
      4 จุดนี้ที่มันกลายเป็นจุดที่แบบมันมีอะไรให้ตาม มีอะไรให้ค้นหา และพูดกันต่อหลังจากที่รายการออนแอร์ออกไป รายการแข่งขัน รายการออกแนว reality หรือรายการอื่นๆ บางทีออนแอร์แล้วมันจบ story มันจบ แต่อันนี้มันมี story ให้มันถามต่อ คนเลยสนใจเยอะจนกลายเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ถือว่าประสบความสำเร็จมากๆ อย่างตัวพี่เอง ตอนถอดหน้ากากเนี่ย โห! ก็กระแสแรงมาก 
 

 
Q : หลังจากที่พี่บุ๋มถอดหน้ากาก แล้วได้เล่าเรื่องที่ตัวเองมาทำตามความฝันที่อยากเป็นนักร้อง วันนี้ถือว่าสำเร็จหรือยังคะ?
 
       มันเกินฝัน เพราะตอนนั้นฝันอยากเป็นนักร้องเนี่ย มันคือสมัยที่เรายังไม่เห็นภาพหรอกว่า การเป็นนักร้องจริงๆ ทั้งหมดคืออะไร แค่รู้ว่าเรารักการร้องเพลง และเราเคยจะมีอัลบั้ม เราถ่ายปกเรียบร้อยแล้ว แต่เราต้องยอมถอยออกมา เพราะคำสั่งพ่อว่าเรียนให้จบก่อน เรากำลังจะออกอัลบั้มอีกอันหนึ่ง แม่ก็จับประกวดนางสาวไทยเสียก่อน ก็เลยกลายเป็นว่า เราไม่ได้ออกอัลบั้มกับเขาสักที จนกระทั่งมาวันนี้มันกลายเป็นการร้องเพลง
 
       แต่ถามว่าคือนักร้องเต็มตัวไหม มันก็คงไม่หรอก เพราะชีวิตหน้าที่ปัจจุบันพี่ยังอยู่ การเป็นพิธีกร ดารา นักแสดงของพี่เนี่ย หรือการเป็นประธานองค์กรทำดีของพี่ พี่ยังต้องทำอยู่ พี่ทิ้งมันไม่ได้ เพราะพี่เป็นคนสร้างมันมา 17 ปี แต่ถ้าจะมีงานร้องเพลง มันก็เลยเป็นโอกาสที่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก และวันนี้พี่ก็ได้ใส่ใน Profile IG พี่คือ Singer ก็คือเป็นนักร้องขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างด้วยความภาคภูมิใจ มันก็เลยถามว่า ความฝันสำเร็จไหม มันทำให้ชีวิตพี่มีความสุขมาก มากจริงๆ

 

 
Q : แสดงว่าหลังจากถอดหน้ากากแล้ว ชีวิตเราเปลี่ยนไปเยอะมาก?
 
       ใช่ อยู่ในวงการมา 17 ปี พี่เป็นทั้งนางงาม นักแสดง พิธีกร ผู้ประกาศข่าวพี่ก็เป็น ดีเจ คอลัมนิสต์ นางแบบ ชุดว่ายน้ำพี่ก็ขึ้นปกทุกเล่ม พี่ทำมาหมดอะ แต่พี่ไม่เคยไปห้างแล้วมีเสียงกรี๊ดหน้ากากมังกร คนกรี๊ดแบบตึง ห้างแตก พี่ไม่เคยแบบมีผู้สื่อข่าวเอาไมค์จ่อปากพี่แล้วบอกร้องเพลงให้ฟังหน่อย พี่ไม่เคย live สดแล้วมีคนขอเพลงนั้นขอเพลงนี้ พี่ไม่เคยเจอฟีลนี้มาก่อน แต่มันทำให้พี่รู้สึก เอ้อ ชีวิตเปลี่ยนจริงๆ ก็มีงานร้องเพลงติดต่อเข้ามาเยอะ
 
Q : มากกว่าความลับ ความสนุกแล้ว พี่บุ๋มคิดว่า รายการนี้สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นให้ทำตามความฝันของตัวเองได้ไหมคะ?
 
      พี่ว่าได้ เพราะอย่างตัวพี่อะ สัปดาห์ของพี่ ไม่พูดถึงคนอื่นละกัน พี่กลับกลายเป็นว่าพี่มีแฟนคลับที่ น้องๆ หรือใครหลายๆ คนที่บอกว่า เออ ลืมความฝันของตัวเองไปนาน บางคนกลับไปเรียนร้องเพลง บางคนกลับไปเรียนขับเครื่องบิน ไปตามความฝันของตัวเองที่หายไปนาน
 
      แต่อย่าลืมว่า 41 ของพี่ พี่ทิ้งมันมา 17 ปีก็จริง แต่พี่ฝึกกับมัน จนกระทั่ง จู่ๆ ไม่ใช่ขึ้นเวทีแล้วร้องได้ขนาดนั้น ถูกไหม มันต้องมีการฝึกตัวเองมากพอสมควร นั่นคือเหตุผลว่าทำไม พี่ยังเก็บสิ่งที่พี่รัก และพี่ยังทำมันอยู่ตลอดคนเดียวเงียบๆ
 

"ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไรก็ตาม คุณยังสามารถทำตามความฝันได้ เพราะว่ามันจะทำให้เรามีความสุข" - บุ๋ม ปนัดดา
 
        พี่มีความรู้สึกทุกๆ ครั้งที่พี่ไปรายการนี้ พี่ก็เลยดีใจที่ชีวิตพี่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายต่อหลายคน ได้เปลี่ยนมุมมองหลายๆ คนที่แต่ก่อนไม่ชอบบุ๋ม ปนัดดา ดูแรง แต่พอมาเห็นความตั้งใจจากหลายๆ อย่าง ดูเข้าใจที่มา จุดยืนของมัน เพราะว่ามันจำเป็นจะต้องมุ่งมั่นทำตามความฝันของคนรอบข้าง แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอะไรที่ยอมเสียสละความฝันของตัวเอง เพื่อหลายๆ คนที่รออยู่
 
       ณ วันนี้พี่ได้แฟนคลับเพิ่ม ที่เข้าใจพี่มากขึ้น ที่เปิดใจรับฟังมากขึ้น และรู้สึกถึงตัวตนและจิตใจข้างนอกพี่มากขึ้น พี่ได้โอกาสในชีวิตมากขึ้น และพี่ดีใจที่พี่ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนกลับไปทำตามความฝันของตัวเอง

 
Q : สุดท้ายอยากให้พี่บุ๋มพูดถึงรายการนี้ และฝากถึงแฟนๆ The Mask Singer หน่อยค่ะ?
 
       รายการนี้จริงๆแล้ว สร้างเพื่อความบันเทิงนะ ไม่อยากให้ซีเรียสกัน ไม่อยากให้เล่นทีมใครทีมมัน เพราะมันจะมี Season 2 ดังนั้น อยากจะให้เป็นเหมือนรายการนึงที่กลายเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ มีอะไรให้คุยต่อ มีความสนุกสนาน ได้ฟังเสียงเพลงจากศิลปิน จากหลากหลายสาขาอาชีพที่คุณชอบ แล้วก็ได้เห็นความสามารถของ celeb คนนั้น ว่าเขามีความสามารถอื่นๆ ด้วย ได้มีความเซอร์ไพรส์ โห น้องซีร้องเพลงเก่ง น้องเอมมี่ร้องเพลงเก่ง เราได้เห็นเจ้าของผู้บริหารนกแอร์มาร้องเพลง ได้เห็นดาราอีกหลายคน นักร้องอีกหลายคน ที่หายไปนาน ได้กลับมาสร้างความสุขอีกครั้งให้เราใหม่ อย่างออดี้ กับสงกรานต์ ได้กลับมาเห็นความสามารถอื่นๆ ของเขาอีกมุมหนึ่ง ได้เห็นอีกา เอ๊ะ จิรากร ที่ร้องเพลงอะไรขนาดนี้ ร้องเสียงนี้ได้ด้วยเหรอ และได้มีความสุขกับรายการนี้

           และขอบคุณสำหรับทุกๆคนที่ติดตามรายการ และให้กำลังใจ คอยติดตาม รวมถึง story ต่างๆ นิยาย นิทาน การ์ตูนที่เกิดขึ้นแม้รายการจบไปแล้ว ขอบคุณมาก และก็ทำให้บุ๋มสนุกจริงๆ ทำให้มีความสุขมากจริงๆค่ะ 
 


พี่ไอซ์ หรือกัปตันไอซ์ BAR5 บุกสัมภาษณ์พี่บุ๋ม ปนัดดา แบบใกล้ชิด 

 
       กว่า 30 นาทีที่ได้นั่งพูดคุย สัมภาษณ์พี่บุ๋ม ปนัดดานั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตัวเองกลับมีแต่รอยยิ้ม ความสุข แรงบันดาลใจที่มาจากเจ้าของหน้ากากมังกรแบบไม่รู้ตัว และยิ่งรู้สึกอยากจะติดตามรายการ The Mask Singer และชีวิตจริงภายใต้หน้ากากนักร้องแต่ละคนต่อๆ ไปอีก

           หวังว่า ทุกๆคนจะได้รับพลังบวกจากพี่บุ๋ม ปนัดดาไปเช่นเดียวกัน และเดินหน้าทำตามความฝันที่ตัวเองมีต่อไป อย่างที่ที่พี่บุ๋มได้กล่าวไว้ว่า ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไรก็ตาม คุณยังสามารถทำตามความฝันได้ เพราะว่ามันจะทำให้เรามีความสุข

 
บทความจาก : Icepphassorn Aonkwanmueng


 
พี่ซาร่า
พี่ซาร่า - Columnist คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ Lifestyle

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด