จากกระแสภาพยนตร์เรื่อง Dunkirk (ดันเคิร์ก) ทำให้พี่น้องนึกถึงภาพๆ หนึ่งที่เรามักจะเห็นกันผ่านตาในอินเทอร์เน็ต เป็นภาพที่ถูกตั้งชื่อว่า "Shell Shocked Soldier" ซึ่งเรียกว่าเป็นภาพที่ถ่ายไว้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และน่าจะถือว่าเป็นภาพที่ฮือฮามากที่สุด เพราะเบื้องหลังอันน่าเศร้าของมัน
ถ้ายังนึกไม่ออก เดี๋ยวมีภาพให้ดูแล้วจะร้องอ๋อค่ะ
ถ้ายังนึกไม่ออก เดี๋ยวมีภาพให้ดูแล้วจะร้องอ๋อค่ะ
ภาพนี้ถ่ายไว้ตอนต้นสงครามโลกครั้งที่ 1 ในการรบที่เรียกว่า "Battler of the Somme" หรือ "Somme Offensive" เป็นการรบระหว่างทหารอังกฤษและฝรั่งเศส กับทหารเยอรมัน โดยฝั่งสัมพันธมิตร (อังกฤษกับฝรั่งเศส) ตั้งใจว่าถ้าชนะศึกนี้จะช่วยให้จบสงครามได้ง่ายๆ แต่ก็กลายเป็นศึกที่ใหญ่ที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 1 มีทหารเข้าร่วมกว่า 3 ล้านคน และกว่า 1 ล้านคน จบชีวิตที่นี่
เป็นการตายในสนามรบที่เยอะที่สุดของประวัติศาสตร์โลกเลยก็ว่าได้
สิ่งที่ทำให้คนสะเทือนใจเมื่อเห็นภาพถ่ายนี้ คือรอยยิ้มของทหารที่อยู่ด้านซ้ายของรูป ถ้าเราไม่รู้อะไร เราอาจคิดว่านี่เป็นภาพของทหารที่ยังมีความหวังกลางสมรภูมิ แต่ความจริงแล้วนี่คือภาพของทหารที่ได้รับผลกระทบจากอาการ Shell Shock ซึ่งเป็นคำนิยามที่ทหารตั้งขึ้นมา
Shell Shock แปลตรงๆ ก็คือ "อาการช็อกจากระเบิด" เนื่องจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นจุดเปลี่ยนจากสงครามดั้งเดิมที่สู้รบกันด้วยอาวุธประชิดตัว ตาต่อตาฟันต่อฟัน เป็นสงครามที่ใช้อาวุธทำลายล้างระดับสูงเต็มรูปแบบ ทั้งปืนกล เครื่องบินทิ้งระเบิด ทหารที่ถูกส่งไปยังสมรภูมิ แม้จะเก่งการต่อสู้ ยิงปืนแม่น แต่ถ้าเจออีกฝ่ายยิงกระสุนระเบิดมาใส่ก็มีโอกาสตายได้พอๆ กับทหารที่ไร้ประสบการณ์
สภาพสมรภูมิที่นั่งอยู่ในบังเกอร์ดีๆ ก็อาจจะมีระเบิดมาตกแถวที่ๆ ตัวเองอยู่ หรือแม้แต่เห็นเพื่อนตัวเองโดนระเบิด ร่างขาดเป็นชิ้นๆ ตกมาในบังเกอร์ ทำให้ทหารหลายนายช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น และส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง
อาการของทหารที่เจอ Shell Shock คือ ตัวสั่น สับสน ฝันร้าย หนักสุดๆ คือ หลุดไปเลยเหมือนคนเสียสติ อย่างเช่น ทหารนายนี้ที่อาจจะเสียสติไปแล้ว จึงได้แต่นั่งยิ้มให้กล้อง
ทหารหลายนายที่มีอาการ Shell Shock และพยายามหนีจากสมรภูมิ กลับถูกกล่าวหาว่าขี้ขลาด ทิ้งเพื่อนร่วมชาติ ทิ้งหน้าที่ บ้างถูกยิงทิ้งเนื่องจากละเมิดวินัยทหาร บ้างถูกขังเดี่ยว หรือรักษาด้วยการใช้ไฟฟ้าช็อต เพราะสมัยนั้นคนยังไม่รู้ว่านี่เป็นอาการทางจิตที่เกิดขึ้นจริง
หลังสงครามจึงมีการศึกษาเกี่ยวกับโรคนี้ และทางการแพทย์สรุปให้เรียกอาการนี้ว่า "War Neurosis" หรืออาการทางประสาทที่มีผลจากสงคราม รัฐบาลอังกฤษจึงต้องออกมาขอโทษครอบครัวของทหารที่ถูกตัดสินโทษเพราะอาการ Shell Shock
ในคลิปที่จะให้ดูเป็นคลิปสังเกตอาการผู้ป่วยที่มีอาการ Shell Shock และรักษาโดยนายแพทย์ชื่อ อาเธอร์ เฮิร์สต์ ซึ่งเป็นแพทย์เพียงคนเดียวในตอนนั้นที่เชื่อว่าคนพวกนี้ไม่ได้ขี้ขลาด และต้องรักษาให้ถูกวิธี เขารับทหารที่มีอาการนี้เข้ามารักษา และกว่า 90% ก็กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ รวมถึงนายทหารรายนี้ที่ได้รับการรักษาจนเดินได้เป็นปกติในระดับหนึ่งด้วย
เรื่องน่าช็อกที่เกิดกับทหารในสมรภูมิสงครามยังมีอีกมาก เช่น ลือกันว่าที่สมรภูมิมาร์น ทางตะวันออกของฝรั่งเศส ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ทหารที่เจอแรงกระแทกจากระเบิดอานุภาพสูง ถึงขั้นเสียชีวิตในทันทีทั้งที่ยังยืนประจำการอยู่ตรงนั้นและไร้ร่องรอยบาดเจ็บใดๆ จนเพื่อนทหารเข้าไปเรียกถึงได้รู้ว่าเพื่อนเสียชีวิตแล้ว
ระดับความเลวร้ายของสงครามโลกนั้น เราคงได้แค่คะเนจากการอ่านบันทึกประวัติศาสตร์ ดูภาพยนตร์ แต่คงเทียบกันไม่ได้กับคนที่ได้ไปอยู่ตรงนั้น ได้ยินเสียงระเบิดอยู่ข้างหู รับรู้ถึงแรงสะเทือนใต้ฝ่าเท้า และสายตาจับจ้องอยู่ที่เพื่อนทหารคนแล้วคนเล่าที่จากไป ที่เลวร้ายกว่าคือความจริงที่ว่า ทหารหลายนายที่รอดชีวิตกลับมา นอกจากจิตใจจะบอบช้ำจากสงครามแล้ว ยังถูกรัฐบาลและคนในสังคมทอดทิ้ง ไม่ไยดีอะไรเลยด้วย
ข้อมูลจาก
http://rarehistoricalphotos.com/shell-shocked-soldier-1916/
http://www.smithsonianmag.com/history/the-shock-of-war-55376701/
http://rarehistoricalphotos.com/shell-shocked-soldier-1916/
http://www.smithsonianmag.com/history/the-shock-of-war-55376701/
8 ความคิดเห็น
ไม่รู้ทำไมทหารคนนั้น คนที่นั่งยิ้มอยู่น่ากลัวมากเลย ยิ้มของเค้าเหมือนยิ้มของคนไม่ปกติและดูเหมือนเป็นยิ้มที่แฝงความน่ากลัวและหดหู่ใจอยู่ด้วย
แค่ภาพนั้นก็รู้เลยว่าช็อกจนสติไปแล้วอะ
แค่มองรอยยิ้มตรงนั้นก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก...
ไม่น่าเปิดมาดูเลย รูปนายทหารยิ้มคนนั้นมันแบบ น่ากลัวมาก -..-
เห็นแล้วรู้สึกหดหู่กับสงคราม......
สงครามโลกครั้งที่ 1 เรียก Shell Shock
สงครามโลกครั้งที่ 2 เรียก War Fatigue
ในสงครามปัจจุบัน เรียก PTSD ซึ่ง ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเฉพาะกับทหารเท่านั้น
เรื่องร้ายแรงที่คนอื่นอาจมองวาไม่ร้ายแรงแต่เมื่อส่งผลกระทบกับจิตใจของคนๆหนึ่งไปแล้ว มันร้ายแรงมากๆ
ไม่รู้ทำไม อยากขอบคุณคุณหมอที่รักษาและมีความเชื่อว่าคนเหล่านั้นไม่ได้ขี้ขลาดมาก ๆ เป็นคนที่กล้าลุกจะมาทำอะไรสักอย่างเพื่อคนอื่น แล้วก็เป็นการกระทำที่ทำให้หลายคนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง แบบ อห ขนลุก