สวัสดีค่า พบกับคอลัมน์เด็กพลังบวกที่จะพาน้องๆ ไปรู้จักวัยรุ่นทัศนคติดีๆ ที่จะมาสร้างแรงบันดาลใจให้เราใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ทำกิจกรรมดีๆ เพื่อตัวเองและสังคมค่ะ
ทราบกันดีว่าคนที่ทำงานเป็น "อาสากู้ภัย" ต้องพกทักษะไหวพริบและสติไว้เยอะมาก แถมต้องแบกรับมวลความกดดันมหาศาลไว้บนบ่าด้วย เพราะเมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น ความเป็นความตายของใครหลายคนแทบจะขึ้นอยู่กับพวกเขา... พอฟังแบบนี้แล้วดูเหมือนภาระจะยิ่งใหญ่เกินเด็กจะรับผิดชอบได้ใช่ไหมคะ^^ แต่เดี๋ยววันนี้เราจะพาไปรู้จักนักเรียน ม.ต้นคนหนึ่งที่วิ่งช่วยเหลือคนในฐานะ 'อาสาสมัครกู้ภัย' ซึ่งเขาทำได้ดีมาก สามารถช่วยเซฟชีวิตคนมาแล้ว 10 กว่าเคส! ถ้าพร้อมแล้ว ตามไปฟังเรื่องราวของเขากันเลยค่ะ~
แนะนำตัว
"สวัสดีครับ ชื่อ 'บอล' พลอธิป โพธิ์ทอง อายุ 16 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.3/2 โรงเรียนบ้านฉางกาญจนกุลวิทยาครับ"
เลิกเรียนแล้วลุยงาน...พร้อมจักรยานคู่ใจ!
อยากให้เล่าถึงงานช่วยเหลือสังคมที่บอลกำลังทำสักนิด "ผมทำ 'จิตอาสากู้ภัย' ครับ แต่งจักรยานเป็นรถสองล้อกู้ชีพไปลงพื้นที่ช่วยคนเจ็บจากอุบัติเหตุแถวหมู่บ้านหรือพื้นที่ใกล้เคียง ถ้ามีคนแจ้งมาก็จะรีบลงไปช่วยทันที นอกจากนี้ก็จะมีช่วยงานทั่วไปด้วย อย่างเช่นงานในเทศกาลต่างๆ ที่เขาต้องการคน หรืองานที่ต้องทำความสะอาดบาดแผล"
ส่วนรถสองล้อกู้ชีพคันที่ว่า เกิดจากการซื้อไฟฉุกเฉินมาติดจักรยานของตัวเอง และมีคนยินดีนำไฟที่ไม่ใช้แล้วมาให้ติดหน้ารถเพิ่มแสงสว่างอีกด้วย
จากนั้นเขาได้พูดถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากลุกมาทำงานจิตอาสาว่า "เริ่มจากเห็นพี่ข้างบ้านเขาทำอยู่มูลนิธิพุทธธรรมสงเคราะห์บ้านฉาง ผมรู้สึกอยากลองทำบ้างเลยสมัครไปครับ คือมูลนิธินี้เป็นองค์กรที่ช่วยเหลือคน ยิ่งถ้าช่วงเทศกาลจะมีอาสาสมัครเยอะมาก อย่างช่วงนี้เป็นช่วงกินเจ ผมก็มีลงไปช่วยที่ศาลเจ้าเหมือนกัน นอกจากนี้โรงเรียนยังเน้นสอนเรื่องการบำเพ็ญประโยชน์อยู่แล้วด้วยครับ ผมเองก็เคยไปช่วยทำจิตอาสาเก็บขยะกับเขาเหมือนกัน เพราะโรงเรียนอยู่ภาคตะวันออกที่มีทะเล ขยะเลยเยอะเป็นปกติ"
"งานจิตอาสากับทางมูลนิธิงานแรกของผมคือการไปช่วยทำแผลในงานล้างป่าช้าครับ มีพี่ๆ ไปด้วยกันหลายคน ตอนนั้นผมใช้เงินตัวเองซื้อเครื่องมือปฐมพยาบาล อุปกรณ์ทำแผล แล้วพี่เขาก็ช่วยสอนงานครับ หลังจากเสร็จงานกลับรู้สึกสนุก อยากทำงานแบบนี้อีกเรื่อยๆ เพราะผมเองเป็นคนชอบช่วยเหลืออยู่แล้ว จนตอนนี้ทำมาได้ 5-6 เดือนแล้ว"
แบบนี้จะกระทบการเรียนรึเปล่า เพราะเวลางานกับเวลาพักผ่อนเราน้อยกว่าคนอื่น? "ไม่เลยครับ ผมใช้เวลาหลังเลิกเรียน 1 ชั่วโมงไปทำงาน และกลับบ้านไม่เคยเกิน 2 ทุ่มทุกวัน ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ถ้าว่างจะไปช่วยทั้งวัน หรือบางทีก็เอาการบ้านไปนั่งทำตอนไปมูลนิธิด้วยครับ"
เหนื่อยสุด? & ประทับใจสุด?
"อืม...งานที่เหนื่อยสุดน่าจะเป็นเคสที่มีรถชนท้ายสิบล้อครับ เราต้องเอาคนเจ็บออกมาจากท้ายรถ จับให้เขานอน แล้วบล็อกคอ ดามแขนดามขา พอจับไปแล้วไม่เจอชีพจร ก็ต้องช่วยปั๊มหัวใจ ผมว่างานนี้ยาก ต้องใช้ความสามารถสูง อาการเขาเองก็สาหัสด้วย สุดท้ายคนนั้นก็ทนไม่ไหว เสียชีวิตระหว่างทางครับ"
"ส่วนงานที่ประทับใจเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้เองครับ เมื่อวันก่อน (18 ต.ค.) มีเหตุรถคว่ำ เราก็ไปช่วยทำแผล ในที่สุดเขาก็ปลอดภัย พอช่วยสำเร็จแล้วภูมิใจมาก"
ให้ = ได้
"ผมคิดว่าสิ่งที่ได้คือ 'ผลบุญ' นะ เพราะถ้านับตั้งแต่แรก ผมช่วยคนที่ประสบอุบัติเหตุสำเร็จไป 10 กว่าเคสแล้ว นอกจากนี้ก็ได้พัฒนาจิตใจให้แข็งแกร่งขึ้น ได้ฝึกการปฐมพยาบาลช่วยคนเจ็บ และที่สำคัญคือได้เปลี่ยนแปลงตัวเองจากเด็กที่ติดเกม มาเป็นคนที่ใช้เวลาช่วยเหลือสังคม เพราะเรามีหน้าที่ที่ต้องทำมากขึ้น จนแทบไม่มีเวลาให้แตะเกมเลยครับ"
ทิ้งท้ายจากใจจิตอาสารุ่นเยาว์
"ผมอยากขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่อนุญาตให้มาทำงานจิตอาสาแบบนี้ ขอบคุณครูที่ปรึกษา (ครูมุกและครูตุ่น) ขอบคุณครูหัวหน้าระดับ (ครูเหมี่ยว) และ ผอ.สุมาลี สุขสาร ที่สนับสนุนและดูแลผมมาตลอดครับ"
"สุดท้ายนี้ ถ้าใครว่างๆ ผมอยากชวนให้ลองสมัครทำงานจิตอาสาดูนะ เพราะการได้ช่วยเหลือสังคมทำให้มีความสุขมากจริงๆ"
...พอน้องบอลพูดจบ เราก็ได้ทราบจากครูมุกว่าเขามีงานจิตอาสาที่ต้องทำต่อหลังจากนี้ด้วย (แหม่ งานไม่ขาดมือจริงๆ) น้องๆ เห็นแล้วใช่ไหมคะว่าอายุไม่ใช่อุปสรรค ถึงจะเป็นเด็กอายุน้อย ก็มีแรงปั๊มหัวใจให้ผู้ใหญ่ได้เหมือนกัน! ดังนั้นถ้าใครอยากเก็บเกี่ยวความรู้ ประสบการณ์ และความสุขจากการให้ อย่าลืมมองหาโอกาสจากสิ่งใกล้ๆ ตัวเหมือนกับเด็กพลังบวกของเราในวันนี้นะคะ :)







0 ความคิดเห็น